บท 13
“กฎหมายของพระยะโฮวาสมบูรณ์”
1, 2. ทำไมหลายคนถึงไม่ค่อยเคารพกฎหมาย แต่เรารู้สึกยังไงกับกฎหมายของพระเจ้า?
ทุกวันนี้ ผู้คนในหลายประเทศไม่เคารพกฎหมาย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ส่วนใหญ่แล้วกฎหมายเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และผู้มีอำนาจก็ปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไม่ยุติธรรม ส่วนคนที่หวังว่าจะได้รับความยุติธรรมจากศาลก็ต้องรอนาน และต้องเสียเงินมากมาย
2 ต่างจากความคิดของผู้คนทั่วไป ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลพูดไว้นานมาแล้วว่า “ผมรักกฎหมายของพระองค์จริง ๆ” (สดุดี 119:97) ทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น? เพราะกฎหมายที่เขารักไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระยะโฮวาพระเจ้า ตอนที่คุณเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายของพระยะโฮวา คุณจะรู้สึกแบบเดียวกับผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และคุณจะเข้าใจความคิดของผู้ให้กฎหมายและผู้พิพากษาที่ยิ่งใหญ่สูงสุดมากขึ้น
ผู้ให้กฎหมายองค์สูงสุด
3, 4. พระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ให้กฎหมายยังไง?
3 คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “มีผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นทั้งผู้ตั้งกฎหมายและผู้พิพากษา” (ยากอบ 4:12) พระยะโฮวาเป็นผู้เดียวที่มีสิทธิ์จะตั้งกฎให้กับทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง แม้แต่การโคจรของดวงดาวต่าง ๆ พระองค์ก็ให้มี “กฎควบคุมท้องฟ้า” (โยบ 38:33) ทูตสวรรค์จำนวนมากมายก็อยู่ใต้กฎหมายของพระยะโฮวาด้วย และพระองค์ให้ทูตสวรรค์แต่ละองค์มีหน้าที่เฉพาะและบอกว่าพวกเขาจะรับใช้พระองค์ยังไง—สดุดี 104:4; ฮีบรู 1:7, 14
4 พระยะโฮวาได้ให้กฎหมายกับมนุษย์ด้วย เราแต่ละคนมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เป็นเหมือนกฎหมายในตัวเรา ซึ่งช่วยเราให้เข้าใจความคิดของพระยะโฮวาว่าอะไรถูกอะไรผิด (โรม 2:14) อาดัมกับเอวามีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น พวกเขาเลยไม่ต้องมีกฎหมายมากมาย (ปฐมกาล 2:15-17) แต่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบต้องมีกฎหมายมากกว่าเพื่อช่วยเขาให้ทำสิ่งที่พระเจ้าพอใจ พระยะโฮวาให้กฎหมายกับหัวหน้าครอบครัว เช่น โนอาห์ อับราฮัม และยาโคบ แล้วพวกเขาก็บอกกฎหมายนั้นกับคนในครอบครัว (ปฐมกาล 6:22; 9:3-6; 18:19; 26:4, 5) พระยะโฮวาเป็นผู้ให้กฎหมายในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พระองค์ให้โมเสสบอกกฎหมายของพระองค์กับชาวอิสราเอล ซึ่งถูกเรียกว่ากฎหมายของโมเสส กฎหมายเหล่านี้จะช่วยเราให้เรียนรู้ว่าพระยะโฮวารู้สึกยังไงกับความยุติธรรม
ภาพรวมกฎหมายของโมเสส
5. กฎหมายของโมเสสมีกฎมากมายที่ซับซ้อนและทำตามได้ยากไหม และทำไมคุณถึงบอกอย่างนั้น?
5 หลายคนคิดว่ากฎหมายของโมเสสมีกฎมากมายที่ซับซ้อนและทำตามได้ยาก แต่นั้นไม่ใช่เรื่องจริงเลย กฎหมายของโมเสสมีมากกว่า 600 ข้อ นั่นอาจดูเหมือนว่าเยอะ แต่ลองคิดดูสิว่า ช่วงประมาณปี 2000 กฎหมายของสหรัฐมีมากกว่า 150,000 หน้า และทุก ๆ สองปีก็มีการเพิ่มกฎหมายต่าง ๆ เข้าไปอีกประมาณ 600 ข้อ ดังนั้น ถ้าพูดถึงเรื่องปริมาณแล้ว กฎหมายมากมายของมนุษย์ทำให้กฎหมายของโมเสสดูน้อยไปเลย และกฎหมายที่พระเจ้าให้ชาวอิสราเอลก็ยังเกี่ยวข้องกับหลายแง่มุมของชีวิตซึ่งกฎหมายในปัจจุบันไม่ได้พูดถึงด้วยซ้ำ ขอให้เรามาดูภาพรวมของกฎหมายนี้ด้วยกัน
6, 7. (ก) อะไรทำให้กฎหมายของโมเสสต่างจากกฎหมายของมนุษย์ และกฎหมายข้อไหนสำคัญที่สุด? (ข) ชาวอิสราเอลจะแสดงให้เห็นยังไงว่าพวกเขายอมรับอำนาจปกครองสูงสุดของพระยะโฮวา?
6 กฎหมายที่สอนชาวอิสราเอลให้เชื่อฟังพระยะโฮวาผู้มีอำนาจปกครองสูงสุด นี่ทำให้กฎหมายของโมเสสต่างจากกฎหมายของมนุษย์มาก กฎหมายข้อสำคัญที่สุดที่บอกไว้คือ “ชาวอิสราเอล ฟังให้ดี พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดกำลัง” พระยะโฮวาอยากให้พวกเขาแสดงความรักต่อพระองค์ยังไง? พวกเขาต้องรับใช้และเชื่อฟังพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้มีอำนาจปกครองสูงสุด—เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4, 5; 11:13
7 ชาวอิสราเอลแต่ละคนต้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขายอมรับอำนาจปกครองสูงสุดของพระยะโฮวาโดยนับถือและเชื่อฟังคนเหล่านั้นที่มีอำนาจเหนือพวกเขา เช่น พ่อแม่ หัวหน้า ผู้พิพากษา ปุโรหิต และกษัตริย์ พระยะโฮวามองว่าการไม่เชื่อฟังคนเหล่านั้นก็เหมือนกับการไม่เชื่อฟังพระองค์ แต่ถ้าคนที่มีอำนาจไม่แสดงความยุติธรรมและทำไม่ดีกับเพื่อนร่วมชาติพระยะโฮวาก็จะลงโทษพวกเขา (อพยพ 20:12; 22:28; เฉลยธรรมบัญญัติ 1:16, 17; 17:8-20; 19:16, 17) ชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งคนที่มีอำนาจและคนที่อยู่ใต้อำนาจต้องยอมรับอำนาจปกครองสูงสุดของพระยะโฮวา
8. กฎหมายของโมเสสเน้นมาตรฐานของพระยะโฮวาในเรื่องความบริสุทธิ์ยังไง?
8 กฎหมายที่สอนให้ชาวอิสราเอลเป็นคนบริสุทธิ์ ในกฎหมายของโมเสสมีคำว่า “บริสุทธิ์” และ “ความบริสุทธิ์” มากกว่า 280 ครั้ง กฎหมายนี้ช่วยประชาชนของพระเจ้าให้รู้ว่าอะไรสะอาดและอะไรไม่สะอาด โดยพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ประมาณ 70 อย่างที่จะทำให้พวกเขาไม่สะอาดและไม่สามารถเข้าร่วมการนมัสการพระเจ้ากับคนอื่นได้ กฎหมายนี้ยังพูดถึงเรื่องสุขอนามัย เรื่องอาหาร และการกำจัดของเสียด้วย และเรื่องนี้เป็นประโยชน์กับสุขภาพของชาวอิสราเอลมากa แต่กฎหมายนี้มีบางอย่างที่ช่วยพวกเขาให้ทำสิ่งที่สำคัญกว่านั้นอีก คือการแยกพวกเขาจากการกระทำที่น่ารังเกียจของชาติที่อยู่รอบ ๆ และช่วยให้พวกเขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาพอใจเสมอ ให้เรามาดูตัวอย่างหนึ่งด้วยกัน
9, 10. พระยะโฮวาให้กฎหมายอะไรกับชาวอิสราเอลเรื่องการมีเพศสัมพันธ์และการคลอดลูก และกฎหมายเหล่านี้มีประโยชน์กับพวกเขายังไง?
9 กฎหมายของโมเสสบอกว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์จะไม่สะอาดอยู่ช่วงหนึ่งถึงแม้เขาจะแต่งงานกันแล้ว และผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกก็จะไม่สะอาดอยู่ช่วงหนึ่งด้วยเหมือนกัน (เลวีนิติ 12:2-4; 15:16-18) นี่ไม่ได้หมายความว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างคนที่แต่งงานแล้วและการมีลูกไม่ใช่ของขวัญที่มีค่าจากพระเจ้า (ปฐมกาล 1:28; 2:18-25) แต่พระยะโฮวาให้กฎหมายเหล่านี้เพื่อช่วยให้คนของพระองค์เป็นคนสะอาดและไม่ยุ่งเกี่ยวกับการนมัสการเท็จ ชาติที่อยู่รอบ ๆ ชาวอิสราเอลนมัสการพระของพวกเขาโดยการมีเพศสัมพันธ์ ศาสนาของชาวคานาอันมีโสเภณีทั้งชายและหญิงประจำวิหาร นี่ทำให้ผู้คนทำสิ่งที่น่ารังเกียจมากจริง ๆ แต่กฎหมายของโมเสสไม่ได้เอาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์มารวมกับการนมัสการพระยะโฮวาb กฎหมายของพระยะโฮวาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์และการคลอดลูกยังมีประโยชน์กับชาวอิสราเอลในด้านอื่นด้วย
10 กฎหมายเหล่านี้สอนความจริงที่สำคัญc ถึงแม้การมีเพศสัมพันธ์และการคลอดลูกจะเป็นของขวัญจากพระเจ้า แต่นี่ก็เป็นวิธีที่บาปของอาดัมถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง (โรม 5:12) กฎหมายของพระเจ้าเตือนให้ประชาชนของพระองค์จำไว้เสมอว่าเขาเป็นคนบาป ที่จริง เราทุกคนเกิดมาก็มีบาปแล้ว (สดุดี 51:5) เป็นเพราะพระยะโฮวาให้อภัยและไถ่บาปเรา เราถึงใกล้ชิดกับพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์ได้
11, 12. (ก) กฎหมายของโมเสสสอนเรื่องความยุติธรรมยังไง? (ข) กฎหมายของโมเสสปกป้องประชาชนไม่ให้ถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรมยังไง?
11 กฎหมายที่สนับสนุนความยุติธรรมที่สมบูรณ์แบบของพระยะโฮวา กฎหมายของโมเสสสอนหลักการที่สำคัญว่าต้องมีความสมดุลระหว่างการทำผิดและการลงโทษ มีกฎหมายที่บอกไว้ว่า “ชีวิตจะต้องแทนด้วยชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:21) ดังนั้น ถ้ามีใครทำผิดพวกเขาก็ต้องถูกลงโทษแบบที่ไม่หนักหรือเบาเกินไป กฎหมายของโมเสสทำให้เห็นความยุติธรรมของพระยะโฮวา และถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ เราก็จะเข้าใจเรื่องค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์ด้วย ซึ่งเราจะเรียนมากขึ้นในบท 14—1 ทิโมธี 2:5, 6
12 กฎหมายนี้ยังปกป้องประชาชนไม่ให้ถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนถูกกล่าวหาว่าทำผิด ผู้พิพากษาจะตัดสินลงโทษเขาก็ต่อเมื่อมีพยานอย่างน้อยสองคนยืนยันในเรื่องนั้น และถ้าใครเป็นพยานเท็จ เขาก็จะมีโทษร้ายแรง (เฉลยธรรมบัญญัติ 19:15, 18, 19) การทุจริตและการติดสินบนเป็นการทำผิดที่ร้ายแรงด้วย (อพยพ 23:8; เฉลยธรรมบัญญัติ 27:25) แม้แต่เรื่องการซื้อขาย ชาวอิสราเอลก็ต้องทำตามมาตรฐานเรื่องความยุติธรรมของพระยะโฮวา (เลวีนิติ 19:35, 36; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:19, 20) เห็นชัดว่ากฎหมายของโมเสสยุติธรรมและเป็นประโยชน์กับชาวอิสราเอลจริง ๆ
กฎหมายที่สอนเรื่องความเมตตาและความยุติธรรม
13, 14. กฎหมายของโมเสสช่วยทั้งผู้เสียหายและขโมยให้มั่นใจได้ยังไงว่าพวกเขาจะได้รับความยุติธรรม?
13 กฎหมายของโมเสสเข้มงวดเกินไปและไม่ได้สอนเรื่องความเมตตาไหม? ไม่เลย กษัตริย์ดาวิดได้รับการดลใจให้เขียนว่า “กฎหมายของพระยะโฮวาสมบูรณ์” (สดุดี 19:7) ดาวิดเข้าใจว่ากฎหมายของโมเสสสอนผู้คนให้เมตตาและแสดงความยุติธรรมกับคนอื่น แล้วกฎหมายของโมเสสทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ยังไง?
14 ทุกวันนี้ ดูเหมือนว่ากฎหมายจะให้ประโยชน์กับคนที่ทำผิดมากกว่าผู้เสียหาย ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ขโมยต้องติดคุก แต่คนที่เสียหายอาจไม่ได้ของที่ถูกขโมยนั้นคืนมา และเขาก็ยังต้องเสียภาษีที่เอาไปใช้จ่ายดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับคนที่ติดคุกด้วย ในอิสราเอลโบราณไม่มีคุกเหมือนในทุกวันนี้ แต่กฎหมายของโมเสสให้ความเป็นธรรมทั้งกับผู้เสียหายและคนที่ทำผิด และไม่ให้ลงโทษคนที่ทำผิดรุนแรงมากเกินไป (เฉลยธรรมบัญญัติ 25:1-3) แต่เขาต้องคืนของที่ขโมยมาและยังต้องชดใช้เพิ่มเติมด้วย เขาต้องจ่ายเพิ่มเติมเท่าไหร่? ผู้พิพากษาอาจตัดสินว่าคนที่ทำผิดจะต้องชดใช้เพิ่มเติมเท่าไหร่โดยดูจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น คนที่ทำผิดกลับใจจริง ๆ ไหม นี่ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมการชดใช้ที่เลวีนิติ 6:1-7 ถึงน้อยกว่าที่บอกไว้ในอพยพ 22:7
15. กฎหมายของโมเสสเน้นเรื่องความเมตตาและความยุติธรรมยังไงเมื่อมีคนทำให้คนอื่นเสียชีวิตโดยไม่เจตนา?
15 กฎหมายของโมเสสทำให้เห็นว่าพระยะโฮวาเมตตาคนที่ทำผิดโดยไม่เจตนา ตัวอย่างเช่น เมื่อมีใครทำให้คนหนึ่งเสียชีวิตโดยไม่ได้เจตนา เขาไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของตัวเอง แต่เขาต้องหนีไปเมืองลี้ภัยที่ตั้งอยู่ทั่วอิสราเอล หลังจากผู้พิพากษาพิจารณาคดีของเขาแล้ว เขาต้องอยู่ในเมืองลี้ภัยจนกว่ามหาปุโรหิตเสียชีวิต หลังจากนั้นเขาถึงจะมีอิสระย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าเขาทำตามการจัดเตรียมนี้ เขาก็จะได้รับประโยชน์จากความเมตตาของพระเจ้า นอกจากนั้น กฎหมายข้อนี้ยังช่วยให้ชาวอิสราเอลเข้าใจว่าชีวิตมนุษย์มีค่ามากสำหรับพระยะโฮวา—กันดารวิถี 15:30, 31; 35:12-25
16. กฎหมายของโมเสสสอนให้เคารพสิทธิ์ของคนอื่นยังไง?
16 กฎหมายของโมเสสสอนให้เคารพสิทธิ์ของคนอื่น กฎหมายนี้ยังปกป้องคนที่เป็นหนี้โดยห้ามไม่ให้เจ้าหนี้เข้าไปในบ้านของลูกหนี้แล้วยึดของมาค้ำประกัน แต่เจ้าหนี้ต้องคอยอยู่ข้างนอกและให้ลูกหนี้เอาของค้ำประกันมาให้เขาเอง โดยวิธีนี้บ้านของลูกหนี้จะไม่ถูกบุกรุก ถ้าเจ้าหนี้เอาเสื้อคลุมของลูกหนี้ไปเป็นของค้ำประกัน เขาต้องเอาเสื้อนั้นมาคืนก่อนดวงอาทิตย์ตก เพราะลูกหนี้คงจะต้องใช้เสื้อนั้นเพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่นตอนกลางคืน—เฉลยธรรมบัญญัติ 24:10-14
17, 18. ในเรื่องการทำสงคราม ชาวอิสราเอลต่างจากชาติอื่น ๆ ยังไง และเพราะอะไร?
17 พระยะโฮวาให้กฎหมายกับชาวอิสราเอลเกี่ยวกับการทำสงครามด้วย พวกเขาไม่ได้ทำสงครามเพราะอยากมีอำนาจมากขึ้นหรือชอบต่อสู้ แต่พวกเขาสู้ใน “สงครามของพระยะโฮวา” (กันดารวิถี 21:14) หลายครั้งชาวอิสราเอลต้องเสนอเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้ก่อน ถ้าเมืองไหนไม่ยอม พวกเขาถึงจะล้อมโจมตีเมืองนั้นได้แต่ก็ต้องทำตามกฎของพระเจ้า ในประวัติศาสตร์มีหลายครั้งที่ทหารข่มขืนผู้หญิงหรือสังหารหมู่ แต่ทหารในกองทัพของอิสราเอลไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอย่างนั้น พวกเขาต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่โค่นต้นไม้ที่ให้ผลในเมืองของศัตรูd กองทัพชาติอื่นไม่มีกฎหมายแบบนี้เลย—เฉลยธรรมบัญญัติ 20:10-15, 19, 20; 21:10-13
18 คุณรู้สึกรับไม่ได้ไหมเมื่อได้ยินว่าในบางประเทศมีการฝึกเด็กให้เป็นทหาร? ในอิสราเอลโบราณ ไม่มีผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเป็นทหาร (กันดารวิถี 1:2, 3) แม้แต่ผู้ชายที่อายุมากกว่านั้นก็ไม่ต้องไปรบถ้าเขารู้สึกกลัวมากเกินไป และผู้ชายที่เพิ่งแต่งงานก็ไม่ต้องไปรบเป็นเวลา 1 ปีเต็มเพื่อเขาจะได้เห็นลูกของตัวเองเกิดมาก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ที่เสี่ยงอันตราย กฎหมายอธิบายว่าโดยวิธีนี้ผู้ชายที่เพิ่งแต่งงานจะ “อยู่ที่บ้าน . . . เพื่อทำให้ภรรยาของเขาชื่นใจ”—เฉลยธรรมบัญญัติ 20:5, 6, 8; 24:5
19. กฎหมายของโมเสสปกป้องผู้หญิง เด็ก ๆ ครอบครัว แม่ม่าย และลูกกำพร้าพ่อยังไง?
19 พระยะโฮวาใช้กฎหมายของโมเสสเพื่อปกป้องผู้หญิง เด็ก ๆ และครอบครัว และยังสั่งชาวอิสราเอลให้ดูแลเอาใจใส่พวกเขาให้มีสิ่งจำเป็น พระยะโฮวาสั่งพ่อแม่ให้ใช้เวลากับลูก ๆ และสอนเรื่องพระองค์กับพวกเขาด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6, 7) พระองค์บอกว่าการมีเพศสัมพันธ์กับญาติใกล้ชิดเป็นบาปร้ายแรง และคนที่ทำอย่างนั้นจะถูกประหารชีวิต (เลวีนิติบท 18) พระองค์ยังห้ามไม่ให้เล่นชู้ ซึ่งบ่อยครั้งเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวแตกแยกและทำให้คนในครอบครัวต้องทุกข์ใจและเจ็บปวดมาก พระยะโฮวาสั่งชาวอิสราเอลให้ดูแลแม่ม่ายและลูกกำพร้าพ่อให้มีสิ่งจำเป็น และยังบอกว่าถ้ามีใครทำไม่ดีกับพวกเขา พระองค์จะโกรธมาก—อพยพ 20:14; 22:22-24
20, 21. (ก) ทำไมกฎหมายของโมเสสถึงอนุญาตให้ชาวอิสราเอลมีภรรยาหลายคน? (ข) ทำไมพระยะโฮวายอมให้มีผู้ชายอิสราเอลหย่าภรรยาได้?
20 แต่บางคนอาจสงสัยว่า ‘ทำไมกฎหมายของโมเสสถึงอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาหลายคน?’ (เฉลยธรรมบัญญัติ 21:15-17) เราจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นถ้าเราคิดถึงว่าวัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของชาวอิสราเอลต่างกันมากกับผู้คนในปัจจุบันนี้ (สุภาษิต 18:13) ตอนที่พระยะโฮวาสร้างอาดัมกับเอวาพระองค์บอกชัดเจนว่าผู้ชายควรมีภรรยาคนเดียวและพวกเขาต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต (ปฐมกาล 2:18, 20-24) แต่ตอนที่พระยะโฮวาให้กฎหมายกับชาวอิสราเอล ผู้ชายหลายคนมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนและเป็นแบบนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว พระยะโฮวารู้ว่า “ชนชาตินี้ดื้อด้านจริง ๆ” และบ่อยครั้งพวกเขาไม่เชื่อฟังกฎหมายที่สำคัญที่สุด เช่น การไหว้รูปเคารพ (อพยพ 32:9) ดังนั้น ก่อนที่จะมีกฎหมายของโมเสส พระองค์ไม่ได้แก้ไขการทำผิดที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคน เราต้องไม่ลืมว่า พระยะโฮวาไม่เคยบอกให้พวกเขามีภรรยาหลายคน แต่พระองค์ใช้กฎหมายของโมเสสเพื่อปกป้องผู้หญิงและไม่ให้ผู้ชายทำไม่ดีกับเธอ
21 บางคนอาจสงสัยด้วยว่าทำไมกฎหมายของโมเสสอนุญาตให้ผู้ชายหย่าภรรยาด้วยเหตุผลต่าง ๆ (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1-4) พระเยซูบอกว่าพระยะโฮวายอมให้ทำอย่างนั้นเพราะพวกเขาเป็นคน “ดื้อรั้น” แต่พระองค์ยอมให้พวกเขาทำอย่างนั้นแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น พระเยซูสอนสาวกของท่านให้เชื่อฟังและให้ทำตามมาตรฐานเดิมของพระยะโฮวาในเรื่องการแต่งงาน—มัทธิว 19:8
กฎหมายที่สอนเรื่องความรัก
22. กฎหมายของโมเสสสอนเรื่องการแสดงความรักยังไง และกับใครบ้าง?
22 ในทุกวันนี้ไม่มีประเทศไหนที่สามารถออกกฎหมายให้ผู้คนรักกัน แต่กฎหมายของโมเสสสอนว่าความรักสำคัญที่สุด ในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติมีคำที่เกี่ยวข้องกับ “ความรัก” มากกว่า 20 ครั้ง กฎหมายข้อสองที่สำคัญที่สุดคือ “ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง” (เลวีนิติ 19:18; มัทธิว 22:37-40) ประชาชนของพระเจ้าต้องรักกันและต้องรักคนต่างชาติด้วย เพราะพวกเขาเคยเป็นคนต่างชาติในอียิปต์มาก่อน พวกเขาต้องแสดงความรักกับคนจนและคนที่กำลังเดือดร้อนโดยช่วยเหลือให้มีสิ่งจำเป็นและไม่เอาเปรียบพวกเขา พวกเขาต้องกรุณากับสัตว์ของเขาด้วย—อพยพ 23:6; เลวีนิติ 19:14, 33, 34; เฉลยธรรมบัญญัติ 22:4, 10; 24:17, 18
23. ผู้เขียนหนังสือสดุดีบท 119 ถูกกระตุ้นให้ทำอะไร และเราตั้งใจที่จะทำอะไร?
23 ไม่มีชาติไหนมีกฎหมายดีเหมือนกับที่พระยะโฮวาให้ชาวอิสราเอล ไม่แปลกใจที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “ผมรักกฎหมายของพระองค์จริง ๆ” เพราะเขารักกฎหมายของพระเจ้า เขาเลยอยากเชื่อฟังและทำตามอย่างเต็มที่ เขายังบอกต่อไปว่า “ผมใคร่ครวญกฎหมายนั้นตลอดวัน” (สดุดี 119:11, 97) เขาใช้เวลาศึกษากฎหมายของพระยะโฮวาเป็นประจำ และนั่นทำให้เขายิ่งรักพระยะโฮวาและกฎหมายของพระองค์มากขึ้น เมื่อคุณเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายของพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป คุณก็จะใกล้ชิดกับพระเจ้าผู้ให้กฎหมายองค์ยิ่งใหญ่และพระเจ้าแห่งความยุติธรรมมากขึ้น
a ตัวอย่างเช่น กฎหมายที่บอกให้กลบอุจจาระ กักตัวผู้ป่วยไว้เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อโรค และการชำระตัวคนที่สัมผัสซากศพเป็นความรู้ที่มีมานานหลายพันปีก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะเข้าใจว่าทำไมถึงดีที่จะทำอย่างนั้น—เลวีนิติ 13:4-8; กันดารวิถี 19:11-13, 17-19; เฉลยธรรมบัญญัติ 23:13, 14
b วิหารของชาวคานาอันมีห้องพิเศษเพื่อให้คนที่มานมัสการมีเพศสัมพันธ์ แต่กฎหมายของโมเสสบอกว่าคนที่เพิ่งมีเพศสัมพันธ์กันจะไม่สะอาด นั่นทำให้พวกเขาเข้ามานมัสการในวิหารไม่ได้ ดังนั้น ถ้าพวกเขาเชื่อฟังกฎหมายข้อนี้ พวกเขาก็จะไม่เอาเรื่องเพศสัมพันธ์มารวมกับการนมัสการพระยะโฮวาที่วิหารของพระองค์
c กฎหมายของพระยะโฮวามีไว้เพื่อสอนประชาชน สารานุกรมจูไดกาอธิบายไว้ว่าคำภาษาฮีบรู โทห์ราห์ ที่แปลว่า “กฎหมาย” หมายถึง “คำสั่งสอน”
d ในคัมภีร์ไบเบิลพระเจ้าใช้คำถามที่กระตุ้นความคิดว่า “ทำไมต้องไปทำลายต้นไม้ในท้องทุ่งเหมือนทำกับคน?” (เฉลยธรรมบัญญัติ 20:19) ฟิโลนักวิชาการชาวยิวในศตวรรษแรกได้พูดถึงกฎหมายข้อนี้โดยอธิบายว่า พระเจ้าถือว่าเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่คนเราจะทำลายสิ่งที่ไม่รู้เรื่องอะไรแค่เพราะเราโกรธคนอื่น