การป้องกันในบ้าน
โมนิกอายุเก้าขวบเมื่อเธอ เริ่มถูกเขาทำร้ายทางเพศ. เขา เริ่มโดยลอบเฝ้าดูเธอขณะ ที่เธอเปลื้องผ้า แล้วเขา เริ่มเข้ามาหาเธอที่ห้องเวลา กลางคืนและจับต้องของสงวน ของเธอ. เมื่อเธอขัดขืน เขาบันดาลโทสะ. ครั้งหนึ่ง เขาถึงกับขู่เธอด้วยฆ้อน และเหวี่ยงเธอตกบันได. โมนิกหวนระลึกว่า “ไม่มีใคร เชื่อดิฉัน”—ไม่แม้กระทั่ง มารดาของเธอ. ผู้ทำร้าย ทางเพศคือพ่อเลี้ยง ของโมนิกนั่นเอง.
มิใช่บุรุษลึกลับสวมเสื้อคลุมยาวมีพฤติกรรมน่าสงสัย, มิใช่คนที่เข้าสังคมไม่ได้ซึ่งซุ่มตัวในพุ่มไม้ ถือเป็นภัยใหญ่โตที่สุดสำหรับเด็ก. แต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว. การทำร้ายทางเพศส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้าน. ฉะนั้น จะทำให้บ้านมีแรงต้านทานเพิ่มมากขึ้นได้อย่างไรต่อการทำร้ายทางเพศ?
ในหนังสือของเขาชื่อ การทำลายผู้ไร้เดียงสา (ภาษาอังกฤษ) ดร. แซนเดอร์ เจ. ไบรเนอร์ นักประวัติศาสตร์ได้ตรวจสอบหลักฐานการทำร้ายทางเพศต่อเด็กในสังคมโบราณห้าแห่ง—อียิปต์, จีน, กรีซ, โรม, และยิศราเอล. เขาสรุปว่า แม้จะมีอยู่ในยิศราเอลการทำร้ายทางเพศก็มีน้อยเมื่อเทียบกับอารยธรรมอื่น ๆ อีกสี่แห่ง. เพราะเหตุใด? ต่างกับเพื่อนบ้านของพวกเขา ผู้คนในยิศราเอลได้รับการสอนให้นับถือผู้หญิงและเด็ก—ทัศนะที่ได้รับความสว่างเช่นนี้พวกเขาได้มาจากคัมภีร์ไบเบิลอันศักดิ์สิทธิ์. เมื่อชาวยิศราเอลนำพระบัญญัติของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตครอบครัว พวกเขาก็ป้องกันไม่ให้เกิดการทำร้ายทางเพศต่อเด็ก. ครอบครัวในปัจจุบันต้องการมาตรฐานที่สะอาด ใช้การได้จริงมากยิ่งกว่าแต่ก่อน.
กฎหมายทางศีลธรรม
กฎหมายของคัมภีร์ไบเบิลมีผลกระทบต่อครอบครัวของคุณไหม? ตัวอย่างเช่น เลวีติโก 18:6 อ่านว่า “อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้เปิดที่ลับส้องเสพย์ด้วยคนที่เป็นวงศ์ญาติสนิทกัน: เราเป็นพระยะโฮวา.” เช่นเดียวกับชาติยิศราเอลโบราณ ประชาคมคริสเตียนในปัจจุบันนี้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายอันเด็ดขาดหนักแน่นต่อต้านการประพฤติผิดทางเพศทุกรูปแบบ. ผู้ใดก็ตามซึ่งทำร้ายเด็กทางเพศ เสี่ยงต่อการถูกตัดสัมพันธ์ และขับออกจากประชาคม.a—1โกรินโธ 6:9,10.
ทุกครอบครัวควรรู้และทบทวนกฎหมายเหล่านี้ด้วยกัน. พระบัญญัติ 6:6,7 แนะนำว่า “และถ้อยคำเหล่านี้, ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย; และจงอุตส่าห์สั่งสอนบุตรทั้งหลายของเจ้าด้วยถ้อยคำเหล่านี้, และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะนั่งอยู่ในเรือน หรือเดินในหนทาง, หรือนอนลง, และตื่นขึ้น.” การปลูกฝังกฎหมายเหล่านี้หมายความมากกว่าการบรรยายให้เด็กฟังตามแต่โอกาสจะอำนวย. นั่นหมายถึงการพูดคุยแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยเป็นประจำ. เป็นครั้งคราว ทั้งมารดาและบิดาควรยืนยันการสนับสนุนกฎหมายของพระเจ้าที่ห้ามการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดและเหตุผลอันประกอบด้วยความรักที่มีกฎหมายเช่นนั้น.
คุณอาจใช้เรื่องราว เช่น เรื่องธามาร์และอำโนน ราชบุตรและราชธิดาของดาวิด เพื่อแสดงให้เด็กเห็นว่าในเรื่องเพศก็มีขอบเขตซึ่งไม่ว่าใคร—แม้แต่ญาติใกล้ชิด—ไม่อาจล้ำเขตได้.—เยเนซิศ 9:20-29; 2ซามูเอล 13:10-16.
การนับถือหลักการเหล่านี้แสดงให้เห็นได้กระทั่งในการจัดเตรียมเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม. ในประเทศตะวันออกแห่งหนึ่ง การวิจัยแสดงให้เห็นว่า การร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดมักเกิดขึ้นในครอบครัวซึ่งเด็กนอนกับบิดามารดา ถึงแม้ไม่มีความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่จะทำเช่นนั้น. ในทำนองคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปแล้วนับว่าไม่ฉลาดที่จะให้พี่น้องต่างเพศนอนเตียงเดียวกันหรือในห้องเดียวกันเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ถ้าเลี่ยงได้. แม้เมื่อสภาพที่อยู่อาศัยแออัดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ บิดามารดาก็ควรใช้ดุลยพินิจที่ดีเพื่อตัดสินว่าสมาชิกครอบครัวแต่ละคนควรนอนที่ไหน.
กฎหมายของคัมภีร์ไบเบิลที่ห้ามการเมาสุรา ชี้แนะว่าการเมาอาจนำไปสู่ความเสื่อมทรามได้. (สุภาษิต 23:29-33) ตามการศึกษารายหนึ่ง ประมาณ 60 ถึง 70เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียหายจากการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดรายงานว่าบิดาหรือมารดาที่ทำร้ายทางเพศนั้นได้ดื่มสุราเมื่อการทำร้ายเริ่มขึ้น.
ประมุขครอบครัวที่มีความรัก
นักวิจัยพบว่าในครอบครัวซึ่งสามีแสดงอำนาจบาตรใหญ่ การทำร้ายทางเพศมีมากกว่า. ทัศนะซึ่งยึดถือกันอย่างกว้างขวางที่ว่า ผู้หญิงมีไว้เพียงเพื่อสนองความต้องการของผู้ชายนั้นผิดหลักพระคัมภีร์. ผู้ชายบางคนอ้างความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับหลักการคริสเตียนนี้เป็นข้อแก้ตัวในการเข้าหาลูกสาวเพื่อได้สิ่งซึ่งไม่อาจได้จากภรรยา. การกดขี่แบบว่านี้ย่อมทำให้ผู้หญิงที่ตกอยู่ในสภาพการณ์ดังกล่าวสูญเสียดุลยภาพทางอารมณ์. หลายคนสูญเสียแรงกระตุ้นตามธรรมชาติที่จะป้องกันบุตรของตน. (เทียบท่านผู้ประกาศ 7:7.) อีกด้านหนึ่ง การศึกษารายหนึ่งพบว่าเมื่อบิดาที่เป็นโรคบ้างานไม่ค่อยอยู่บ้าน บางครั้ง การทำร้ายทางเพศระหว่างมารดากับบุตรชายได้ก่อตัวขึ้น.
แล้วครอบครัวคุณล่ะ? คุณฐานะสามีสวมบทบาทประมุขอย่างจริงจังไหม หรือคุณสละให้ภรรยา? (1โกรินโธ 11:3) คุณปฏิบัติต่อภรรยาของคุณด้วยความรัก, โดยให้เกียรติ, และให้ความนับถือไหม? (เอเฟโซ 5:25; 1เปโตร 3:7) ทัศนะของเธอมีความสำคัญไหม? (เยเนซิศ 21:12; สุภาษิต 31:26,28) แล้วลูกของคุณล่ะ? คุณมองเขาเสมือนสิ่งมีค่าไหม? (บทเพลงสรรเสริญ 127:3) หรือคุณมองพวกเขาเสมือนเป็นเพียงภาระ และฉวยประโยชน์ได้โดยง่าย? (เทียบ 2โกรินโธ 12:14.) จงขจัดทัศนะที่บิดเบือน ไม่ตรงกับหลักพระคัมภีร์ เกี่ยวกับบทบาทของครอบครัวในบ้านคุณ และคุณจะทำให้ครอบครัวต้านทานต่อการทำร้ายทางเพศได้มากขึ้น.
สถานที่ปลอดภัยด้านอารมณ์
หญิงสาวคนหนึ่งมีนามสมมุติว่าแซนดีบอกว่า “ทั้งครอบครัวของดิฉันมีสภาวะเอื้อต่อการทำร้ายทางเพศ. ไม่ชอบสังคม และสมาชิกแต่ละคนก็แยกตัวจากคนอื่น ๆ.” การอยู่โดดเดี่ยว, ความแข็งกร้าว, และการไม่เผยความในใจ—ทัศนะเหล่านี้ที่ไม่เข้ากับหลักพระคัมภีร์ ผิดสุขลักษณะ เป็นเครื่องหมายเด่นของครอบครัวที่มีการทำร้ายทางเพศ. (เทียบ 2ซามูเอล 12:12; สุภาษิต 18:1; ฟิลิปปอย 4:5.) จงทำให้บรรยากาศของครอบครัวปลอดภัยสำหรับเด็กทางด้านอารมณ์. บ้านควรเป็นสถานที่ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าได้รับการเสริมสร้าง ที่ซึ่งพวกเขารู้สึกเป็นอิสระที่จะเปิดใจและพูดออกมาอย่างสะดวกใจ.
นอกจากนั้น เด็ก ๆ มีความต้องการอย่างยิ่งต่อการแสดงออกซึ่งความรักทางกายภาพ—การโอบกอด, การลูบไล้ด้วยความเอ็นดู, การจับมือ, การวิ่งเล่นด้วยกัน. อย่ามีปฏิกิริยาหวั่นกลัวมากเกินไปต่ออันตรายเรื่องการทำร้ายทางเพศโดยยับยั้งสิ่งเหล่านี้อันเป็นการแสดงออกซึ่งความรัก. สอนเด็กด้วยความรักชอบอย่างเปิดเผย อบอุ่น และยกย่องชมเชยพวกเขาว่า มีค่า. แซนดีจำได้ว่า “ทัศนะของแม่คือ การให้คำชมเชยใด ๆ ต่อใครนั้นผิด. จะทำให้เขาเป็นคนหยิ่งทะนง.” แซนดีทนทุกข์จากการทำร้ายทางเพศอยู่อย่างน้อยสิบปีโดยไม่ปริปาก. เด็ก ๆ ซึ่งไม่มีความมั่นใจว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่รัก, ที่มีค่านั้นอาจจะอ่อนไหวต่อคำชม, การแสดง “ความรักชอบ” หรือคำขู่ว่าจะไม่รักของผู้ทำร้ายทางเพศ.
คนหนึ่งที่มีใจกำหนัดในผู้เยาว์ซึ่งทำร้ายทางเพศต่อเด็กชายหลายร้อยคนในช่วงเวลา 40 ปียอมรับว่าเด็กผู้ชายซึ่งมี ความต้องการทางอารมณ์ อยากได้เพื่อนที่เข้าใจเขานั้นเป็นเหยื่อ “ดีที่สุด.” อย่าสร้างความต้องการเช่นนี้ในลูกของคุณ.
ตัดวงจรการทำร้ายทางเพศ
เมื่อตกอยู่ภายใต้การทดลองอย่างหนัก โยบพูดว่า “ดวงจิตต์ของข้าฯ เบื่อหน่ายต่อชีวิตของข้าฯ. ข้าฯ จะปล่อยตัวของข้าฯ ให้บ่นไปตามเรื่อง; ข้าฯ จะพูดด้วยความขมขื่นแห่งดวงจิตต์ของข้าฯ.” (โยบ 10:1) ในทำนองเดียวกัน บิดามารดาหลายคนได้พบว่าพวกเขาสามารถช่วยบุตรของตนได้โดยการช่วยเหลือตัวเองก่อน. เดอะ ฮาร์วาร์ด เมนทัล เฮลธ์ เล็ตเตอร์ ให้ข้อสังเกตเมื่อไม่นานมานี้ว่า “การไม่ยอมรับอย่างรุนแรงของสังคมต่อการแสดงความปวดร้าวของผู้ชาย ดูเหมือนจะส่งเสริมให้วงจรการทำร้ายทางเพศดำเนินต่อไป.” ดูเหมือนว่าผู้ชายซึ่งไม่มีโอกาสได้แสดงความปวดร้าวจากการถูกทำร้ายทางเพศ มักจะกลายเป็นผู้ทำร้ายทางเพศเสียเอง. หนังสือเด็กปลอดภัย รายงานว่าผู้ทำร้ายทางเพศต่อเด็กส่วนใหญ่ก็เคยถูกทำร้ายทางเพศมาก่อนตอนเป็นเด็ก แต่ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือให้ฟื้นตัว. พวกเขาแสดงความปวดร้าวและความโกรธโดยทำร้ายทางเพศต่อเด็กอื่น.b—ดูโยบ 7:11; 32:20 ด้วย.
อัตราเสี่ยงของเด็กอาจจะสูงขึ้นเช่นกัน เมื่อมารดาไม่เรียนรู้วิธีรับมือกับการถูกทำร้ายทางเพศในอดีต. ยกตัวอย่าง นักวิจัยรายงานว่าผู้หญิงซึ่งถูกทำร้ายทางเพศในวัยเด็กมักจะสมรสกับผู้ชายซึ่งเป็นผู้ทำร้ายทางเพศต่อเด็ก. นอกจากนั้น ถ้าผู้หญิงไม่เรียนรู้วิธีรับมือกับการถูกทำร้ายทางเพศในอดีต ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าเธออาจจะรู้สึกยากที่จะพูดคุยเรื่องการทำร้ายทางเพศกับลูกของเธอ. ถ้าการทำร้ายทางเพศเกิดขึ้น เธออาจด้อยความสามารถในการสังเกตรับรู้และลงมือปฏิบัติในทางบวก. แล้วเด็กจะประสบความเสียหายมากจากการอยู่เฉยของมารดา.
เหตุฉะนั้น การทำร้ายทางเพศอาจผ่านจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นถัดไป. แน่ละ หลายคนซึ่งเลือกที่จะไม่พูดถึงอดีตอันปวดร้าวของตน ดูเหมือนจะรับมือกับชีวิตได้ดีพอสมควร และก็นับว่าน่าชมเชย. แต่สำหรับอีกหลายคน ความปวดร้าวอยู่ลึกกว่า และพวกเขาต้องผนึกความเพียรพยายาม—รวมทั้งแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญถ้าจำเป็น—เพื่อรักษาบาดแผลฉกรรจ์ในวัยเด็ก. เป้าหมายของพวกเขามิใช่เพื่อจมปลักอยู่กับการสงสารตัวเอง. พวกเขาต้องการตัดวงจรการทำร้ายทางเพศต่อเด็กอันทำให้เจ็บปวดรวดร้าวนี้ซึ่งกระทบครอบครัวของเขา.—ดู อะเวก! ฉบับ 8 ตุลาคม 1991 หน้า 3 ถึง11.
อวสานของการทำร้ายทางเพศ
เมื่อนำไปใช้อย่างถูกต้อง ข้อมูลข้างต้นนี้อาจช่วยลดโอกาสได้อย่างมากไม่ให้เกิดการทำร้ายทางเพศต่อเด็กในบ้านของคุณ. กระนั้น โปรดจำไว้ว่า ผู้ทำร้ายทางเพศต่อเด็กทำงานอย่างลับ ๆ พวกเขาฉวยโอกาสจากการไว้วางใจ และใช้กลยุทธ์อย่างผู้ใหญ่ต่อเด็กที่ไร้เดียงสา. ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนพรรค์นี้บางคนดูเหมือนประกอบอาชญากรรมอันน่าสะอิดสะเอียนนี้แล้วยังลอยนวลอยู่.
อย่างไรก็ดี จงมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเห็นสิ่งที่พวกเขากระทำ. (โยบ 34:22) พระองค์จะไม่ลืมการกระทำชั่วของเขาเว้นแต่ว่าพวกเขากลับใจและเปลี่ยนแปลง. พระองค์จะเปิดโปงการกระทำของเขาในเวลากำหนดของพระองค์. (เทียบมัดธาย 10:26.) และพระองค์จะพิพากษาตามกระบวนการยุติธรรม. พระยะโฮวาพระเจ้าทรงสัญญาถึงสมัยหนึ่งเมื่อผู้คนที่เลวทรามเหล่านั้นทั้งสิ้นจะถูก “ถอนรากเง่าออกเสีย” และเฉพาะคนใจถ่อมและสุภาพซึ่งรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์จะได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่. (สุภาษิต 2:22; บทเพลงสรรเสริญ 37:10,11,29; 2เปโตร 2:9-12) เรามีความหวังเรื่องโลกใหม่อันน่าพิศวงดังกล่าวนี้ ก็เพราะพระคุณแห่งเครื่องบูชาค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์. (1ติโมเธียว 2:6) ครั้นแล้ว ในตอนนั้นเอง การทำร้ายทางเพศจะหมดสิ้นไปตลอดกาล.
ในระหว่างนี้ เราต้องทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เพื่อป้องกันลูกของเรา. พวกเขามีค่ามาก! บิดามารดาส่วนใหญ่พร้อมจะเสี่ยงภัยเพื่อป้องกันลูกเล็ก ๆ ของตนไว้. (เทียบโยฮัน 15:13.) ถ้าเราไม่ป้องกันลูกของเรา ผลที่เกิดขึ้นอาจสยดสยอง. ถ้าเราป้องกัน เราจะให้ของขวัญอันน่าพิศวงแก่เขา—นั่นคือวัยเด็กอันไร้เดียงสาและปลอดจากความทุกข์ระทม. พวกเขาจะรู้สึกเช่นเดียวกับท่านผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญซึ่งจารึกว่า “ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพระยะโฮวาว่า, พระองค์เป็นที่พึ่งพำนักและเป็นป้อมของข้าพเจ้า; พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ๆ วางใจในพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 91:2.
[เชิงอรรถ]
a การทำร้ายทางเพศต่อเด็กเกิดขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งใช้เด็กสนองความปรารถนาทางเพศของตน. มักจะเกี่ยวพันกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าการผิดประเวณี หรือ พอร์นีอา ซึ่งรวมทั้งการลูบคลำอวัยวะเพศ, เพศสัมพันธ์, การร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก. การทำร้ายทางเพศต่อเด็กบางอย่าง เช่น การลูบคลำเต้านม, ข้อเสนอที่ผิดศีลธรรมอย่างชัดแจ้ง, แสดงสื่อลามกให้เด็กดู, ถ้ำมอง, และการเผยของลับอย่างไม่บังควร อาจเทียบเท่าสิ่งที่พระคัมภีร์ตำหนิว่าเป็น “การประพฤติหละหลวม.”—ฆะลาเตีย 5:19-21; ดูวารสาร หอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กันยายน 1983 ที่เชิงอรรถหน้า27.
b ขณะที่ผู้ทำร้ายทางเพศต่อเด็กส่วนใหญ่เคยถูกทำร้ายทางเพศตอนเป็นเด็กนั้น ก็มิได้หมายความว่าการทำร้ายทางเพศ ทำให้ เด็กกลายเป็นผู้ทำร้ายทางเพศ. ไม่ถึงหนึ่งในสามของเด็กที่ถูกทำร้ายทางเพศกลายเป็นผู้ทำร้ายทางเพศต่อเด็ก.
[กรอบหน้า 11]
ผู้เคยประสบการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิด หลายปีบอกว่า “การทำร้ายทางเพศทำลายเด็ก, ทำลาย ความไว้วางใจของเขา, สิทธิของเขาที่จะมีความรู้สึกไร้เดียงสา. เหตุฉะนั้น เด็กต้องได้รับการคุ้มครอง. เพราะบัดนี้ผมต้องสร้างชีวิตทั้งหมดขึ้นใหม่. ทำไมจะทำให้เด็กอีกหลายคนต้องทำอย่างนั้นล่ะ?”
ทำไมต้องทำด้วย?
[กรอบหน้า 11]
จงฟังสิ่งที่บุตรพูด!
ในบริติชโคลัมเบีย แคนาดา การวิจัยรายหนึ่งไม่นานมานี้ได้ตรวจสอบอาชีพของ 30 คนซึ่งทำร้ายเด็กทางเพศ. ผลเป็นที่น่าตกตะลึง. บุคคล 30 คนนั้นได้ทำร้ายทางเพศต่อเด็กรวมกันแล้ว 2,099 ราย. ครึ่งหนึ่งของคนพวกนั้นทำงานในตำแหน่งที่น่าไว้วางใจ—ครู, นักเทศน์นักบวช, ผู้บริหาร, และผู้ทำงานดูแลเด็ก. ผู้ทำร้ายคนหนึ่งเป็นทันตแพทย์ชายวัย 50 ปี ได้ทำร้ายทางเพศต่อเด็กเกือบ 500 คนในช่วงเวลา 26 ปี.
อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์ เดอะ โกลบ แอนด์ เมล์ แห่งโตรอนโต ให้ความเห็นว่า “80เปอร์เซ็นต์ของกรณีเช่นนี้ ผู้คนส่วนหนึ่งหรือมากกว่านั้นในชุมชนดังกล่าว (รวมทั้งเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานของผู้กระทำผิด, ครอบครัวของผู้เสียหาย, เด็กอื่น ๆ, ผู้เสียหายบางราย) ปฏิเสธหรือไม่ถือว่าการทำร้ายทางเพศเป็นเรื่องสำคัญ.” ไม่น่าแปลกใจ “รายงานชี้ว่าการปฏิเสธและการไม่เชื่อเปิดทางให้การทำร้ายทางเพศดำเนินต่อไป.”
ผู้เสียหายบางคนได้เอาเรื่องผู้ทำร้ายทางเพศไปฟ้องผู้ใหญ่. อย่างไรก็ดี เดอะ โกลบ แอนด์ เมล์ อ้างถึงรายงานหนึ่งดังนี้: “บิดามารดาของผู้เสียหายวัยเยาว์ไม่เต็มใจจะเชื่อเรื่องที่ลูกบอกเขา”. ทำนองคล้ายกัน เจ้าหน้าที่รัฐบาลในเยอรมนีอ้างถึงรายงานหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ว่า ผู้เสียหายหลายคนที่เป็นเด็กซึ่งถูกทำร้ายทางเพศ ต้องเข้าพบผู้ใหญ่เล่าเรื่องราวซ้ำถึงเจ็ดครั้งกว่าพวกเขาจะเชื่อ.
[รูปภาพหน้า 12]
“ขอความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้”
“ถ้าคุณเป็นผู้ชายและคุณเข้าไปพัวพันทางเพศกับเด็ก ๆ คุณอาจจะพูดกับตัวเองว่า ‘เธอชอบ,’ หรือ ‘เขาขอเอง,’ หรือ ‘ผมกำลังสอนเธอเรื่องเพศ.’ คุณกำลังโกหกตัวเอง. ลูกผู้ชายที่แท้จริงไม่พัวพันเรื่องเพศกับเด็ก ๆ หรอก. ถ้ามีส่วนหนึ่งส่วนใดในตัวคุณห่วงใยใฝ่หาเด็กคนนั้นอยู่ จงหยุดพฤติกรรมอย่างว่า. ขอความช่วยเหลือเดี๋ยวนี้.”—คำประกาศเพื่อบริการสาธารณชนที่มีการเสนอขึ้นมา ซึ่งยกมากล่าวในหนังสือ ถูกหักหลังโดยความเงียบ (ภาษาอังกฤษ).
[รูปภาพหน้า 13]
เด็ก ๆ ต้องการการเอาใจใส่ด้วยความรักและความอบอุ่นอย่างเต็มที่