จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
“หญิงชื่อเสียงดี”
รูทคุกเข่าลงข้างกองข้าวบาร์เลย์ที่เธอเก็บรวบรวมมาตลอดทั้งวัน. ตอนนี้ทุ่งนารอบเมืองเบทเลเฮมเริ่มมืดแล้ว และคนงานหลายคนพากันเดินไปที่ประตูเมืองซึ่งอยู่บนสันเขาใกล้กับทุ่งนาแห่งนี้. รูทคงปวดเมื่อยไปทั้งตัวเพราะตั้งแต่เช้าเธอทำงานหนักโดยแทบไม่ได้หยุดพักเลย. ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป. เธอใช้ท่อนไม้เล็ก ๆ ฟาดต้นข้าวที่เก็บมาเพื่อให้เมล็ดร่วงหลุดจากรวง. แม้จะเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยมาก แต่ก็เป็นวันที่ดีสำหรับรูทเพราะเธอเก็บข้าวได้มากอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน.
ตอนนี้ม่ายสาวที่ยากไร้อย่างรูทจะลืมตาอ้าปากได้แล้วไหม? เธอตัดสินใจติดตามนาอะมีแม่สามีมาที่นี่ โดยสาบานว่าจะอยู่กับนางตลอดไปและยอมรับนับถือพระยะโฮวาพระเจ้าของนาอะมีเป็นพระเจ้าของเธอเอง. ผู้หญิงสองคนที่เพิ่งสูญเสียผู้เป็นที่รักดั้นด้นเดินทางจากโมอาบมาที่เบทเลเฮม และหลังจากมาถึงได้ไม่นานรูทหญิงชาวโมอาบก็ได้เรียนรู้ว่าพระบัญญัติของพระยะโฮวามีการจัดเตรียมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์และคำนึงถึงศักดิ์ศรีของคนจนในอิสราเอล รวมทั้งคนต่างชาติด้วย.a และตอนนี้เธอยังเห็นอีกว่าประชาชนของพระยะโฮวาที่อยู่ใต้พระบัญญัติได้เรียนรู้และปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้นและแสดงความกรุณาต่อเธอ ซึ่งเป็นการเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอ.
หนึ่งในนั้นคือโบอัศ ชายสูงอายุผู้มั่งคั่งซึ่งเป็นเจ้าของนาที่เธอมาเก็บข้าวในวันนี้. เขาแสดงความเมตตาต่อเธอเหมือนบิดาคนหนึ่ง. เธออดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงคำพูดที่กรุณาของเขาซึ่งชมเชยเธอที่ได้ดูแลนาอะมีผู้ชราและเลือกที่จะมาอยู่ใต้การปกป้องของพระยะโฮวา พระเจ้าองค์เที่ยงแท้.—ประวัตินางรูธ 2:11-13
แต่รูทคงนึกสงสัยว่าชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป. ชาวต่างชาติที่ยากไร้อย่างเธอซึ่งไม่มีทั้งสามีและลูกจะหาเลี้ยงตัวเองและนาอะมีไปได้อีกนานแค่ไหน? แค่เก็บข้าวตกในนาเพียงอย่างเดียวจะพอเลี้ยงตัวไหม? ใครจะดูแลเธอยามแก่ชราล่ะ? ถ้ารูทจะรู้สึกหนักใจกับเรื่องเหล่านี้ก็คงไม่แปลก. ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองนี้ หลายคนก็มีความวิตกกังวลคล้าย ๆ กัน. เมื่อเราเรียนรู้ว่าความเชื่อของรูทช่วยให้เธอฝ่าฟันปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร เราจะเห็นว่ามีหลายสิ่งที่เราอาจเลียนแบบเธอได้.
แบบไหนที่เรียกว่าครอบครัว?
หลังจากนวดข้าวและรวบรวมเมล็ดข้าวทั้งหมดแล้ว รูทก็เห็นว่าวันนี้เธอเก็บข้าวบาร์เลย์ได้มากถึงหนึ่งถังเต็ม ๆ หรือประมาณ 20 ลิตร. ข้าวทั้งหมดนี้อาจหนักราว ๆ 14 กิโลกรัม! เธอโกยข้าวใส่ห่อผ้าแล้วยกขึ้นเทินศีรษะ จากนั้นก็เดินกลับบ้านที่เบทเลเฮมขณะที่ฟ้าเริ่มมืด.—ประวัตินางรูธ 2:17, ล.ม.
นาอะมีดีใจเมื่อเห็นลูกสะใภ้ที่เธอรักกลับมาถึงบ้าน. เธอคงแปลกใจจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นข้าวบาร์เลย์ห่อใหญ่ที่รูทแบกมา. รูทยังนำอาหารที่เหลือจากมื้อเที่ยงซึ่งโบอัศจัดไว้ให้คนงานกลับมาด้วย และทั้งสองก็เอาอาหารนั้นมาแบ่งกันกิน. นาอะมีถามรูทว่า “เจ้าเก็บรวงข้าวได้ที่ไหน? และทำการที่ไหนวันนี้? ขอให้ผู้ที่เอื้อเฟื้อต่อเจ้าได้รับพรเถิด.” (ประวัตินางรูธ 2:19) นาอะมีเป็นคนช่างสังเกต. เมื่อนางเห็นข้าวที่รูทแบกมา นางก็รู้ว่าต้องมีใครสักคนที่สังเกตเห็นรูทและแสดงความกรุณาต่อเธอ.
หญิงทั้งสองพูดคุยกันและรูทเล่าให้นาอะมีฟังว่าโบอัศเมตตาเธอมากเพียงไร. นาอะมีรู้สึกตื้นตันใจ นางจึงพูดออกไปว่า “ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ผู้นั้น, พระองค์มิได้ให้ความเมตตาของพระองค์ขาดจากผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือผู้ที่ตายแล้ว.” (ประวัตินางรูธ 2:19, 20) นางคิดว่าความมีน้ำใจของโบอัศนี้มาจากพระยะโฮวา ผู้ที่ได้กระตุ้นประชาชนของพระองค์ให้เป็นคนใจกว้างและทรงสัญญาว่าจะประทานรางวัลแก่ทุกคนที่แสดงความกรุณาต่อผู้อื่น.b—สุภาษิต 19:17
นาอะมีสอนรูทให้ทำตามคำแนะนำของโบอัศที่บอกเธอให้มาเก็บรวงข้าวใกล้สาวใช้ของเขาเพื่อคนงานหนุ่ม ๆ จะไม่มาเกาะแกะรังแกเธอ. รูทเชื่อฟังนาอะมีและได้ “อาศัยอยู่กับแม่ผัว” ต่อไป. (ประวัตินางรูธ 2:22, 23) อีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นคุณลักษณะเด่นของรูท คือความรักภักดี. ตัวอย่างของเธอทำให้เราต้องถามตัวเองว่า เราเห็นค่าความรักความผูกพันภายในครอบครัวของเรา และสนับสนุนผู้ที่เรารักด้วยความภักดีพร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาไหม. พระยะโฮวาจะทรงมองเห็นคนที่มีความรักภักดีเช่นนั้นอย่างแน่นอน.
แต่นาอะมีกับรูทจะเรียกว่าเป็นครอบครัวได้จริง ๆ หรือ? บางวัฒนธรรมถือว่าครอบครัวที่ “สมบูรณ์” จะต้องมีสมาชิกครบถ้วนทั้งสามี ภรรยา ลูกชาย ลูกสาว ปู่ย่าตายาย และคนอื่น ๆ. แต่ตัวอย่างของนาอะมีกับรูทเตือนใจเราว่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาสามารถเปิดใจให้กว้าง และแม้ว่าจะมีกันไม่กี่คนก็เป็นครอบครัวที่อบอุ่น เปี่ยมด้วยความรักและความกรุณาได้. คุณเห็นค่าครอบครัวของคุณไหม? พระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกว่าประชาคมคริสเตียนอาจเป็นครอบครัวสำหรับคนที่ไร้ญาติขาดมิตรได้.—มาระโก 10:29, 30
“ผู้นั้น . . . จะไถ่เราออกได้”
รูทเก็บข้าวตกในนาของโบอัศตั้งแต่ฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ราวเดือนเมษายนไปจนถึงฤดูเกี่ยวข้าวสาลีราวเดือนมิถุนายน. ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านไป นาอะมีคงต้องคิดถึงสิ่งที่นางอาจทำได้เพื่อช่วยลูกสะใภ้ที่รักของนาง. ตอนอยู่ที่โมอาบ นาอะมีคิดว่านางคงไม่มีทางช่วยรูทให้หาสามีใหม่ได้แน่ ๆ. (ประวัตินางรูธ 1:11-13) แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนความคิดแล้ว. นาอะมีพูดกับรูทว่า “ลูกเอ๋ย, แม่จะหาที่พึ่งพักสำหรับเจ้า . . . มิควรหรือ?” (ประวัตินางรูธ 3:1) ในสมัยนั้นเป็นธรรมเนียมที่พ่อแม่จะหาคู่ให้ลูกของตน และตอนนี้รูทก็เป็นเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของนาอะมีแล้ว. นางอยากหา “ที่พึ่งพัก” สำหรับรูทซึ่งหมายถึงบ้านที่มั่นคงปลอดภัยและสามีที่อาจเลี้ยงดูเธอได้. แต่นาอะมีจะทำอย่างไร?
ตอนที่รูทเล่าเรื่องโบอัศให้นาอะมีฟังครั้งแรก นาอะมีพูดว่า “ผู้นั้นเป็นพี่น้องอันชิดสนิทกับเราในหมู่ญาติซึ่งอาจจะไถ่เราออกได้.” (ประวัตินางรูธ 2:20) นางหมายความว่าอย่างไร? พระบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่ชาติอิสราเอลมีการจัดเตรียมต่าง ๆ ด้วยความรักสำหรับครอบครัวที่อาจทุกข์ลำบากเพราะความขัดสนหรือเพราะสูญเสียคนที่ตนรัก. ผู้หญิงที่กลายเป็นม่ายโดยไม่มีบุตรคงต้องเป็นทุกข์มากจริง ๆ เพราะชื่อของสามีจะถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูลเนื่องจากไม่มีผู้สืบสกุล. อย่างไรก็ตาม พระบัญญัติของพระเจ้ายอมให้พี่ชายหรือน้องชายของผู้ตายแต่งงานกับภรรยาม่ายของเขา เพื่อเธอจะให้กำเนิดบุตรซึ่งจะสืบสกุลของผู้ตายและรักษามรดกของครอบครัวไว้ต่อไป.c—พระบัญญัติ 25:5-7
นาอะมีบอกให้รูทรู้คร่าว ๆ ว่านางมีแผนการอะไร. เราคงนึกภาพได้ไม่ยากว่ารูทเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจขณะที่ฟังแม่สามีพูด. กฎหมายและธรรมเนียมหลายอย่างของชาวอิสราเอลคงเป็นเรื่องใหม่สำหรับรูท. ถึงกระนั้น เธอก็ตั้งใจฟังคำพูดทุกคำของนาอะมีเพราะเธอเคารพนับถือนางมาก. สิ่งที่นาอะมีบอกให้เธอทำอาจฟังดูเป็นเรื่องน่าอายหรือทำให้กระอักกระอ่วนใจ และอาจถึงกับทำให้เธอเสื่อมเสียเกียรติด้วยซ้ำ. แต่รูทก็ยอมเชื่อฟัง. เธอพูดอย่างถ่อมใจว่า “สิ่งสารพัตรที่แม่บอกฉัน ๆ จะกระทำทั้งสิ้น.”—ประวัตินางรูธ 3:5
บางครั้งเป็นเรื่องยากที่คนหนุ่มสาวจะรับฟังคำแนะนำของผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า. คนหนุ่มสาวมักจะคิดว่าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจปัญหาของตนอย่างแท้จริง. แต่ตัวอย่างความถ่อมใจของรูทสอนเราว่าการรับฟังคำแนะนำที่ฉลาดสุขุมของผู้ใหญ่ที่รักและคำนึงถึงผลประโยชน์ของเราอาจก่อผลดีอย่างมาก. แล้วนาอะมีบอกให้รูททำอะไร และเธอได้รับผลดีจริง ๆ ไหมเมื่อทำตามคำแนะนำนั้น?
รูทไปที่ลานนวดข้าว
เย็นวันนั้น รูทไปที่ลานนวดข้าวซึ่งเป็นพื้นดินราบที่ถูกถมจนแน่น. ชาวนาส่วนใหญ่จะเอาฟ่อนข้าวที่เก็บได้ไปที่ลานแห่งนี้เพื่อนวดและฝัดร่อน. ลานนวดข้าวมักอยู่บนไหล่เขาหรือยอดเขาซึ่งจะมีลมพัดแรงตอนบ่ายและตอนเย็น. ชาวนาจะแยกเมล็ดข้าวออกจากแกลบและฟางโดยใช้ไม้ง่ามหรือพลั่วตักฟ่อนข้าวที่นวดแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ. เมล็ดข้าวที่หนักกว่าจะตกลงบนพื้น ส่วนฟางที่เบากว่าจะปลิวไปตามลม.
รูทเฝ้าดูอยู่เงียบ ๆ จนถึงเวลาเย็น. โบอัศยืนดูคนงานฝัดข้าวจนได้เมล็ดข้าวกองโต. หลังจากกินดื่มอย่างสำราญใจแล้ว เขาก็นอนลงข้างกองข้าวนั้น. เป็นเรื่องปกติที่ชาวนาในสมัยนั้นจะนอนเฝ้าข้าวเพื่อป้องกันขโมย. รูทรอจนโบอัศล้มตัวลงนอน. ถึงเวลาแล้วที่เธอจะลงมือทำตามแผนการของนาอะมี.
รูทใจเต้นแรงขณะที่ย่องเข้าไปใกล้เขา. เธอรู้ว่าตอนนี้เขาหลับสนิทแล้ว. ดังนั้น เธอจึงทำตามที่นาอะมีบอก โดยเปิดผ้าที่คลุมเท้าของเขาออกแล้วนอนลงที่นั่น. รูทเฝ้ารอให้เวลาผ่านไป. สำหรับรูทแล้ว เวลานี้ช่างเนิ่นนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด. ในที่สุดโบอัศก็สะดุ้งตื่นตอนราว ๆ เที่ยงคืน. เขาคงรู้สึกหนาวจึงดึงผ้ามาห่มเท้าไว้ตามเดิม. แต่แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ที่ปลายเท้า. พระคัมภีร์บันทึกว่า “ดูเถิด มีผู้หญิงมานอนอยู่ที่เท้าของท่าน.”—ประวัตินางรูธ 3:8, ฉบับคิงเจมส์
โบอัศถามว่า “เจ้าคือผู้ใด?” รูทคงจะตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ฉันคือรูธทาสีของท่าน, ขอขยายชายเสื้อท่านห่มทาสีของท่านด้วย; เพราะท่านเป็นญาติผู้มีหน้าที่จะไถ่ฉันออก.” (ประวัตินางรูธ 3:9) นักตีความพระคัมภีร์สมัยใหม่บางคนอธิบายว่าคำพูดและการกระทำของรูทอาจเป็นการเชิญชวนโบอัศให้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ แต่นักตีความเหล่านี้มองข้ามข้อเท็จจริงสองประการ. ประการแรก รูททำตามธรรมเนียมของคนในสมัยนั้น ซึ่งธรรมเนียมหลายอย่างอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนในสมัยนี้. ดังนั้น คงไม่ถูกนักหากจะตัดสินการกระทำของเธอโดยเทียบกับมาตรฐานทางศีลธรรมที่เสื่อมทรามของคนในยุคนี้. ประการที่สอง คำตอบของโบอัศแสดงให้เห็นชัดว่า เขามองว่ารูทเป็นหญิงที่มีความประพฤติดีงามและน่าชมเชยอย่างยิ่ง.
โบอัศพูดกับรูทด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยนซึ่งคงต้องทำให้เธอสบายใจขึ้น. เขาพูดว่า “ลูกหญิงเอ๋ย, ขอให้พระยะโฮวาเจ้าทรงอวยพระพรแก่เจ้าด้วย, คุณของเจ้าครั้งหลังนี้ยิ่งกว่าครั้งก่อน, ด้วยเจ้ามิได้ไปหาคนหนุ่มที่ยากจน, หรือคนมั่งมี.” (ประวัตินางรูธ 3:10) คำว่า “ครั้งก่อน” หมายถึงตอนที่รูทแสดงความรักภักดีโดยติดตามนาอะมีกลับมาที่แผ่นดินอิสราเอลและคอยดูแลแม่สามีอย่างดี. คำว่า “ครั้งหลัง” ก็หมายถึงสิ่งที่รูทกำลังทำอยู่นี้. โบอัศรู้ว่าผู้หญิงที่ยังสาวอย่างรูทอาจหาสามีที่หนุ่มกว่าเขาได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะรวยหรือจน. อย่างไรก็ตาม รูทไม่เพียงต้องการทำดีกับนาอะมีเท่านั้น แต่กับสามีของนาอะมีที่ตายไปแล้วด้วย เพราะเธอจะช่วยรักษาชื่อของเขาให้คงอยู่ในแผ่นดินเกิดต่อไป. ไม่ยากเลยที่เราจะเข้าใจว่าทำไมโบอัศจึงรู้สึกประทับใจหญิงสาวที่ไม่เห็นแก่ตัวคนนี้.
โบอัศพูดต่อไปว่า “ลูกหญิงเอ๋ย, อย่ากลัวเลย; สิ่งสารพัตรที่เจ้าได้ขอเราจะกระทำแก่เจ้า: ด้วยบรรดาชาวชนหัวเมืองของเราก็ทราบอยู่ดีแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงชื่อเสียงดี.” (ประวัตินางรูธ 3:11) เขายินดีที่จะแต่งงานกับรูท และบางทีเขาอาจไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่รูทขอให้เขาเป็นผู้ไถ่ตัวเธอ. แต่โบอัศเป็นคนชอบธรรมและไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามใจชอบ. เขาจึงบอกรูทว่ามีผู้ไถ่อีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับครอบครัวของสามีนาอะมีมากกว่าเขา และเขาจะไปถามชายคนนั้นก่อนว่าต้องการแต่งงานกับรูทหรือไม่.
โบอัศบอกให้รูทนอนต่อจนใกล้สว่างแล้วค่อยลุกไปก่อนที่คนอื่นจะมาเห็น. เขาต้องการปกป้องชื่อเสียงของรูทและของตัวเอง เนื่องจากคนที่มาเห็นอาจเข้าใจผิดได้ว่าทั้งสองทำผิดศีลธรรม. รูทนอนลงที่เท้าของโบอัศอีกครั้ง แต่ตอนนี้เธอคงรู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากที่เขายอมทำตามคำขอร้องของเธอด้วยความกรุณา. จากนั้น ขณะที่ฟ้ายังมืดอยู่ โบอัศก็ตวงข้าวบาร์เลย์หลายทะนานใส่เสื้อคลุมยาวของรูทให้เธอเอากลับไปที่เบทเลเฮม.
รูทคงปลาบปลื้มใจมากเพียงไรเมื่อคิดถึงคำพูดของโบอัศที่ชมเชยเธอว่าบรรดาชาวเมืองต่างก็รู้ว่าเธอเป็น “หญิงชื่อเสียงดี”! รูทคงมีชื่อเสียงดีเนื่องจากเธอกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้จักพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์. นอกจากนั้น เธอยังแสดงความกรุณาอย่างมากต่อนาอะมีและชนร่วมชาติของนาง โดยเต็มใจปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตและธรรมเนียมที่เธอไม่คุ้นเคย. เราสามารถเลียนแบบความเชื่อของรูทได้โดยให้ความนับถืออย่างจริงใจต่อผู้อื่นและคำนึงถึงขนบธรรมเนียมของพวกเขา. ถ้าเราทำเช่นนั้น เราจะมีชื่อเสียงดีได้เช่นกัน.
ที่พักพิงสำหรับรูท
เมื่อรูทกลับมาถึง นาอะมีก็ถามว่า “ลูกเอ๋ย, เป็นอย่างไร?” นางอยากรู้ว่าตอนนี้รูทมีหวังจะได้แต่งงานอีกครั้งไหมหรือยังเป็นม่ายอยู่เหมือนเดิม. รูทรีบเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับโบอัศให้นาอะมีฟัง. เธอยังให้นาอะมีดูข้าวบาร์เลย์ที่โบอัศฝากมาให้นางด้วย.d—ประวัตินางรูธ 3:16, 17
นาอะมีแนะนำรูทอย่างสุขุมรอบคอบว่าให้คอยอยู่ที่บ้านแทนที่จะออกไปเก็บข้าวตกในนา. นางบอกรูทว่า “ท่านผู้นั้นจะไม่หยุดเลย, กว่าท่านจะได้สิ่งนั้นสำเร็จแล้วในวันนี้.”—ประวัตินางรูธ 3:18
นาอะมีพูดถูกทีเดียว. โบอัศไปที่ประตูเมืองซึ่งพวกผู้เฒ่าผู้แก่มักจะมาพบปะกัน. เขารอจนกระทั่งชายคนที่เป็นญาติใกล้ชิดกับครอบครัวของนาอะมีเดินผ่านมา. โบอัศถามชายคนนั้นต่อหน้าพยานทั้งหลายว่าเขาต้องการทำหน้าที่ผู้ไถ่โดยแต่งงานกับรูทหรือไม่. ชายคนนั้นปฏิเสธและอ้างว่าการแต่งงานกับรูทจะส่งผลเสียต่อมรดกของตน. ดังนั้น ต่อหน้าพยานซึ่งอยู่ที่ประตูเมือง โบอัศประกาศว่าเขาจะเป็นคนไถ่ตัวรูทโดยซื้อที่ดินทั้งหมดของอะลีเมะเล็ค สามีของนาอะมี และแต่งงานกับรูทภรรยาม่ายของมาโลนลูกชายของอะลีเมะเล็ค. โบอัศกล่าวว่าที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อจะ “เชิดชูนามของผู้ตายนั้นไว้ที่มรดกของท่าน.” (ประวัตินางรูธ 4:1-10) โบอัศเป็นคนดีและไม่เห็นแก่ตัวเลย!
โบอัศแต่งงานกับรูท. หลังจากนั้น เราอ่านว่า “พระยะโฮวาเจ้าทรงประทานให้ตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย.” พวกผู้หญิงในเมืองเบทเลเฮมอวยพรนาอะมีและยกย่องรูทว่าประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน. ต่อมา เราได้รู้ว่าลูกชายของรูทกลายเป็นปู่ของกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่. (ประวัตินางรูธ 4:11-22) และดาวิดก็เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์.—มัดธาย 1:1e
รูทได้รับพระพรมากจริง ๆ และนาอะมีก็เช่นกัน. นางช่วยเลี้ยงลูกของรูทราวกับเป็นลูกของนางเอง. ชีวิตของผู้หญิงสองคนนี้เป็นตัวอย่างเตือนใจที่ชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงสังเกตเห็นทุกคนที่เต็มใจทำงานต่ำต้อยเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของตนและรับใช้อย่างซื่อสัตย์ร่วมกับประชาชนของพระองค์. พระยะโฮวาจะไม่ลืมประทานรางวัลแก่คนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์และมีชื่อเสียงดีเช่นเดียวกับรูท.
a ดูบทความ “จงเลียนแบบความเชื่อของเขา—‘แม่จะไปไหน, ฉันจะไปด้วย’ ” ในหอสังเกตการณ์ 1 กรกฎาคม 2012.
b ดังที่นาอะมีกล่าว พระยะโฮวาไม่เพียงกรุณาต่อคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ยังกรุณาต่อคนที่ตายแล้วด้วย. นาอะมีสูญเสียสามีและลูกชายสองคน ส่วนรูทก็สูญเสียสามีของเธอ. แน่นอนว่าชายทั้งสามคนนี้มีความหมายมากสำหรับหญิงม่ายทั้งสอง. ใครก็ตามที่แสดงความกรุณาต่อนาอะมีและรูทก็เหมือนกับได้แสดงความกรุณาต่อผู้ตายทั้งสาม เพราะพวกเขาคงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้หญิงที่พวกเขารักได้รับการเอาใจใส่ดูแล.
c ดูเหมือนว่า สิทธิในการแต่งงานกับหญิงม่ายรวมทั้งสิทธิในมรดกของผู้ตายจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายของเขาก่อน จากนั้นจึงจะเป็นญาติใกล้ชิดที่สุดตามลำดับ.—อาฤธโม 27:5-11
d โบอัศตวงข้าวให้รูทหกทะนานซึ่งอาจเป็นการเปรียบเทียบว่า เช่นเดียวกับที่ชาวยิวต้องทำงานหกวันก่อนจะได้หยุดพักในวันซะบาโต รูทซึ่งเป็นหญิงม่ายที่ทำงานหนักก็กำลังจะได้ “หยุดพัก” ในบ้านที่ปลอดภัยและได้รับการปกป้องดูแลจากสามี. ในอีกแง่หนึ่ง ข้าวหกทะนานอาจเป็นเพียงปริมาณข้าวที่รูทสามารถขนกลับบ้านได้.
e รูทเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในสี่คนที่อยู่ในรายชื่อบรรพบุรุษของพระเยซูตามบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล. อีกคนหนึ่งคือราฮาบ ซึ่งเป็นแม่ของโบอัศ. (มัดธาย 1:3, 5, 6) เช่นเดียวกับรูท ราฮาบก็ไม่ใช่ชาวอิสราเอลด้วย.