บท 2
วิธีที่ความตายกระทบกระเทือนชีวิตประจำวันของคนเรา
คนส่วนมากที่สุดเอาธุระอย่างมากมายจริง ๆ เกี่ยวด้วยสิ่งที่กระทบกระเทือนชีวิตของตน และครอบครัวของตนในขณะนี้ทีเดียว. แต่มีน้อยคนที่เต็มใจพูดถึง หรือคิดนึกอย่างกว้างขวางในเรื่องความตาย.
จริงอยู่ ความตายหาใช่ความคาดหวังอันแจ่มใสไม่ แต่ว่าความตายก็ยังผลที่แน่นอนขึ้นแก่ชีวิตประจำวันของคนเรา. ใครบ้างในพวกเราที่ไม่เคยได้ประสบความเศร้าสลดใจ และความรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้งในเรื่องความตายของเพื่อนที่รัก หรือญาติผู้เป็นที่รัก? ความตายภายในครอบครัวอาจเปลี่ยนแปลงแบบชีวิตอย่างแท้จริงของครอบครัวได้ ทำลายเสียซึ่งรายได้อันมั่นคง และก่อให้เกิดความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว หรือความห่อเหี่ยวใจสำหรับผู้ที่เหลืออยู่ข้างหลัง.
ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งอันไม่น่าพึงพอใจก็ตาม ความตายก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำซึ่งท่านก็จำต้องคาดคะเนเอาไว้. ท่านจะยืดการกระทำบางอย่างให้ยาวนานออกไปอย่างไม่มีกำหนดย่อมไม่ได้. พรุ่งนี้อาจสายไปก็ได้.
ข้อนี้กระทบกระเทือนท่านอย่างไรบ้าง? บางครั้งบางคราวท่านรู้สึกถูกกดดันโดยช่วงเวลาอันสั้นนิดเดียวแห่งชีวิตในการพยายามอย่างสุดกำลังที่จะให้ได้รับประโยชน์ทุกอย่างที่ท่านสามารถจะรับได้กระนั้นไหม? หรือท่านถือว่าทุกสิ่งเป็นไปตามเคราะห์กรรม โดยลงความเห็นเสียว่า สิ่งที่จะเป็นไปก็จะต้องได้เป็นไป?
ทัศนะในเรื่องเคราะห์กรรม
คนเป็นอันมากทุกวันนี้เชื่อว่าชีวิต และความตายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเคราะห์กรรม. นี้แหละคือความคิดความเข้าใจอันเป็นหลักสำคัญของชาวฮินดูมากกว่า 477 ล้านคน. อันที่จริง ทัศนะในเรื่องเคราะห์กรรมนั้นเป็นทัศนะที่มีอยู่อย่างกว้างขวางทั่ว ๆ ไป. ท่านเคยได้ยินอย่างที่บางคนพูดกันไหมว่า ‘มันเป็นสิ่งที่จะต้องได้เกิดขึ้นพอดี’ ‘ถึงคราวของเขาแล้ว’ หรือไม่ก็ ‘เขารอดพ้นมาได้ก็เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเขานั่นเอง’? ถ้อยคำเช่นนั้นมักมีการพูดกันบ่อย ๆ เกี่ยวด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ. คำพูดเหล่านั้นเป็นความจริงไหม? โปรดพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้:
ระหว่างที่มีการแสดงเครื่องบินที่นครปารีสเมื่อปี 1973 นั้น เครื่องบินโดยสารที่สามารถบินได้เร็วกว่าเสียง แบบทียู-144 ของสหภาพโซเวียตระเบิดขึ้น ทำให้คณะเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบินต้องสูญเสียชีวิต. ส่วนใหญ่ ๆ ของเครื่องบินตกฟาดลงมาอย่างเต็มแรงกระจายลงเหนือหมู่บ้านกูเซนวิลล์ ประเทศฝรั่งเศส. ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่นเพิ่งปิดประตูห้องนอนเอาไว้เบื้องหลังขณะที่ส่วนหนึ่งของซากเครื่องบินนั้นปลิวพรวดลงมาชนฝาผนังข้างนอกอย่างแรง ห้องนอนถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี. ผู้หญิงคนนั้นปลอดภัย.
คนอื่น ๆ หาได้หลบหนีไปเสียไม่. ผู้ซึ่งต้องเสียชีวิตไปนั้นก็มีรวมทั้งพวกหลาน ๆ สามคนของหญิงสูงอายุคนหนึ่ง แต่ผู้เป็นยายมิได้รับอันตราย.
พวกเด็กเหล่านั้นและคนอื่น ๆ ตายไปก็เพราะถึง “คราว” หรือ “เวลากำหนด” ของเขาแล้วกระนั้นไหม? คนอื่น ๆ ถูกสงวนชีวิตไว้ก็เพราะยังไม่ครบกำหนดที่เคราะห์กรรมจะเรียกร้องเอาเขาไปกระนั้นไหม?
พวกที่ตอบว่า “ใช่แล้ว” ย่อมเชื่อว่าใคร ๆ ไม่อาจจะทำอะไร ๆ เพื่อป้องกันคนเราไว้จากความตายได้ ถ้าแม้น ‘ถึงเวลากำหนด’ ของเขาเข้าแล้ว. เขารู้สึกว่า แม้จะมีการระวังไว้ล่วงหน้าก็ตาม เขาก็จะหนีให้พ้นสิ่งซึ่งเคราะห์กรรมกำหนดไว้นั้นไม่ได้. นี้คือทัศนะคติที่คล้ายคลึงกันกับทัศนะคติแห่งชาติกรีกโบราณผู้ซึ่งถือเสียว่าเคราะห์กรรมของมนุษย์นั้นถูกควบคุมโดยเทพธิดาสามองค์-คือคโลโธ ลาชิซิส และอะโทรพ็อส. คโลโธนั้นมีการเชื่อกันว่าเป็นผู้ปั่นเส้นด้ายแห่งชีวิต ลาชิซิสเป็นผู้กำหนดความยาวของเส้นด้าย และอะโทรพ็อสเป็นผู้ตัดเมื่อหมดเวลาที่กำหนดไว้แล้ว.
ทัศนะเกี่ยวกับเคราะห์กรรมเช่นนั้นจะมีเหตุผลไหม? จงถามตัวเองดังนี้: เหตุใดจำนวนการตายโดยอุบัติเหตุจึงลดน้อยลง ในเมื่อมีการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับสำหรับความปลอดภัย และมีมากขึ้นในเมื่อไม่มีการคำนึงถึงกฎข้อบังคับเหล่านั้น? เหตุใดการตายด้วยการจราจร ส่วนใหญ่นั้นแสดงถึงผลอันเนื่องมาจากความประมาท การเสพย์สุรามึนเมา ความผิดพลาดหรือการละเลยกฎหมาย? เหตุใดเล่าในประเทศซึ่งมีมาตรฐานสูงเกี่ยวกับอนามัย และการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์นั้น คนส่วนใหญ่จึงมีช่วงชีวิตเมื่อประมาณโดยเฉลี่ยแล้วก็นานกว่าคนในประเทศที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้มากนัก? เหตุใดพวกนักสูบบุหรี่จึงตายด้วยโรคมะเร็งที่ปอดมากกว่าพวกที่ไม่ใช่นักสูบบุหรี่? ทั้งหมดนี้สามารถเป็นไปเนื่องมาแต่เคราะห์กรรมอันปราศจากความพินิจพิเคราะห์ซึ่งไม่มีการบังคับควบคุมนั้นได้อย่างไร? นั่นเป็นกรณีของการมีสาเหตุสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มิใช่หรือ?
ในจำพวกการตายด้วยอุบัติเหตุซึ่งมีอยู่เป็นอันมากนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่คนเราเพียงแต่บังเอิญเข้ามาอยู่ในภาวะที่มีอันตราย มิใช่หรอกหรือ? ยกตัวอย่างเช่น: ชายคนหนึ่งออกจากบ้านไปทำงานตามเวลาทุกวัน. เช้าวันหนึ่งขณะที่เขาผ่านบ้านของเพื่อนบ้านคนหนึ่งไป เขาได้ยินเสียงร้องกรี๊ด และเสียงตะโกน. เขาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น และขณะที่เขาจะเลี้ยวตรงหัวถนนก็พอดีโดนกระสุนหลงเข้า. การตายของเขาเช่นนั้นก็เนื่องจากเขาไปถึงหัวถนนผิดจังหวะนั่นเอง. เหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดล่วงหน้าไว้เลย.
ครั้นได้สังเกตเห็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตทุก ๆ วัน ท่านผู้ฉลาดรอบรู้ผู้จารึกพระธรรมท่านผู้ประกาศจึงกล่าวดังนี้: “ข้าพเจ้ากลับมาเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ว่า คนที่วิ่งเร็วมิใช่จะชนะในการวิ่งแข่ง หรือคนที่มีอำนาจใหญ่โตมิใช่จะเอาชนะในการสงครามได้ หรือคนฉลาดก็เช่นกันจะมีอาหารกินเสมอก็หาไม่ หรือคนที่มีความเข้าใจก็เหมือนกัน หาใช่ว่าจะมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ไม่ หรือแม้แต่คนเหล่านั้นที่มีความรู้ก็จะหาได้รับความโปรดปรานไม่ เพราะวาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่างหน้าไว้ ย่อมบังเกิดแก่เขาทุกคน.”—ท่านผู้ประกาศ 9:11.
บุคคลผู้ที่หยั่งรู้สำนึกถึงข้อนี้ย่อมจะเอาใจใส่นึกถึงกฎข้อบังคับเพื่อความปลอดภัย และจะไม่ทำสิ่งซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยโดยไม่จำเป็น คือนึกเสียว่าตนพ้นจากความตายก็ตราบเท่าที่ “วาระ” ของตนยังไม่หมดลง. เขาย่อมสำนึกอยู่ว่า ทัศนะคติเกี่ยวด้วยเคราะห์กรรมนั้นอาจเป็นอันตรายแก่ตนเองและแก่คนอื่น ๆ ได้ด้วย. หากเอาความรู้นี้ไปใช้อย่างฉลาดรอบคอบแล้ว ก็ย่อมจะเพิ่ม วัน เดือน ปี ให้แก่ชีวิตของท่านได้.
ในอีกด้านหนึ่ง ทัศนะคติเกี่ยวด้วยเคราะห์กรรมอาจก่อให้เกิดการกระทำแบบที่โง่เขลางมงายก็ได้ และอาจทำให้คนเราละเลยไม่แสวงหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องซึ่งอาจกระทบกระเทือนเขา และครอบครัวของเขา อย่างมากมายก็ได้.
มีชีวิตอยู่เพื่อปัจจุบันเท่านั้น
นอกจากทัศนะเกี่ยวกับเคราะห์กรรมแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ แห่งศตวรรษที่ยี่สิบ มีผลกระทบกระเทือนถึงการปฏิบัติต่าง ๆ ของคนเรา.
จงพิจารณาสักครู่ถึงสิ่งที่บังเกิดขึ้น. หลายล้านคนต้องตายไปอย่างที่น่าอเนจอนาถในฐานะเป็นเหยื่อของสงคราม อาชญากรรม การจลาจลวุ่นวายและการอดอยาก. อากาศและน้ำซึ่งเป็นเครื่องยังชีพ ก็ถูกกระทำให้อยู่ในสภาพที่เป็นพิษอย่างถึงขนาดอันน่าตกใจ. ดูเหมือนว่าชีวิตของมนุษย์กำลังถูกคุกคามจากทุกแง่ทุกมุมอย่างเป็นที่น่ากลัว. และก็ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะให้คำรับรองที่แท้จริงว่า มนุษย์ชาติจะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ในอนาคตอันใกล้นี้. ชีวิตดูเหมือนว่าไม่แน่นอนจริง ๆ. ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
พลเมืองของโลกเป็นอันมากมีชีวิตอยู่ก็เพื่อปัจจุบันนี้เท่านั้น คือที่จะให้ได้ประโยชน์จากทุกวันนี้มากที่สุดที่จะเป็นได้. พวกเขารู้สึกว่าถูกกระตุ้นให้กระทำเช่นนั้น โดยให้เหตุผลว่าชีวิตที่ตนมีอยู่เวลานี้คือชีวิตทั้งหมดแท้ ๆ ซึ่งตนหวังจะได้. พระคัมภีร์พรรณนาถึงทีท่าอาการของเขาไว้อย่างเหมาะเจาะดังนี้: “ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตายไป.”—1 โกรินโธ 15:32.
ด้วยความบากบั่นพยายามที่จะหลีกหนีสภาพความเป็นจริงที่รุนแรงต่าง ๆ แห่งชีวิต เขาเหล่านั้นจึงอาจจะหันเข้าหาแอลกอฮ็อล หรือยาเสพย์ติดก็ได้ คนอื่น ๆ ต่างก็พยายามหาทางออกเพราะความสิ้นท่าหมดประตูของตน และความเป็นห่วงเกี่ยวกับช่วงเวลาอันสั้นแห่งชีวิตโดยการหาความสุขสำราญเฉพาะตัวด้วยประสบการณ์ต่าง ๆ ทางเพศทุกชนิด—ดังเช่น การล่วงประเวณี การเล่นชู้ ชายเล่นน้องสวาท หญิงเล่นเพื่อน. หนังสือ เดธ แอนด์ อิทส์ มิสเตอรี่ส์ กล่าวดังต่อไปนี้:
“ดูเหมือนปกติชนโดยมากในทุกวันนี้ต่างก็ได้รับความกระทบกระเทือนโดยความหวั่นกลัวต่อความตายรวมกันเป็นกลุ่มเป็นกอง อย่างน้อยที่สุดโดยไม่สำนึกตัว. นี่คือการอธิบายอย่างน้อยที่สุด ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับความยุ่งเหยิงสับสนในสมัยของเรานี้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอาชญากรรมที่กระทำลงไปด้วยปราศจากสาเหตุ การทำลายศิลปวัตถุ ความหมกมุ่นในกาม และเร่งจังหวะแห่งชีวิตให้เร็วขึ้น. แม้แต่ดนตรีและแบบการเต้นรำสมัยใหม่ดูเหมือนว่าแสดงออกซึ่งความรู้สึกหมดหวังแห่งมนุษย์ชาติที่ไม่เชื่อถือในอนาคตของตนเองอีกต่อไป.”
ผลเป็นอย่างไรในเรื่องการดำเนินชีวิตเช่นนั้นแท้ ๆ สำหรับแค่ปัจจุบันอันดูประหนึ่งว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่มีมา?
พวกเหล่านั้นที่มั่วสุมในการดื่มจัดและเสพย์สุรามึนเมาเป็นอาจิณเช่นนั้น อาจจะลืมความยุ่งยากลำบากของตนไปชั่วคราวก็ได้. แต่พวกเขาสู้ยอมสละเกียรติของตน และในระหว่างที่เมาอยู่นั้น บางครั้งบางคราวก็ทำให้ตัวเอง หรือคนอื่น ๆ ถึงกับเป็นอันตราย. และวันรุ่งขึ้นจึงรู้สึกตนว่าได้รับความทรมานเนื่องจากอาการปวดศีรษะอันทำให้ความยุ่งยากลำบากที่ตนมีอยู่แล้วนั้นเพิ่มขึ้นอีก.
พวกที่ติดยาเสพย์ติดก็เช่นกัน ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปอย่างมากมายในการที่ตนพยายามจะหลีกหนีให้พ้นจากสภาพความเป็นอยู่อันแท้จริง. เขาเหล่านั้นมักประสบซึ่งความเสียหายทางด้านร่างกาย และทางด้านความคิดจิตใจตลอดไป และเพื่อสนับสนุนนิสัยของตนอันทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมายเช่นนั้น เขาอาจจะตัดสินใจในการทำตัวให้เลวทรามลง ด้วยทำการลักขโมยหรือหากินในการเป็นโสเภณีก็ได้.
การเกี่ยวพันกันทางเพศแบบสำส่อนนั้นล่ะจะว่าอย่างไร? การปฏิบัติเช่นนั้นช่วยทำให้ฐานะแห่งชีวิตของคนเราดีขึ้นไหม? ตรงกันข้าม ผลที่มีอยู่อย่างดาษดื่นก็คือกามโรค ซึ่งเป็นโรคที่น่ารังเกียจ การมีครรภ์ชนิดที่ไม่มีผู้ต้องการ พวกลูก ๆ นอกกฎหมาย การทำให้แท้งลูก สภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ความหึงหวงอย่างขมชื่น การต่อสู้กันและแม้กระทั่งการฆาตกรรมเสียด้วยซ้ำ.
แน่ทีเดียว ประชาชนหลายคนไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งการดำเนินชีวิตแบบลามกเสเพล. แม้กระนั้น เขาก็หลีกหนีไม่พ้นความกดดันที่มาจากข้อเท็จจริง ซึ่งว่าชีวิตของตนจะต้องได้สิ้นสุดลง ไม่ว่าเขาจะสำนึกตัวหรือไม่สำนึกตัวในเรื่องนี้ก็ตาม. โดยทราบอยู่ว่าเวลามีจำกัด เขาอาจพยายามที่จะขึ้นหน้าในโลกโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้ทีเดียว. พร้อมด้วยมีผลประการใด? ความปรารถนาของเขาในเรื่องการมีสมบัติพัสดุต่าง ๆ อาจกระตุ้นเขาให้ยอมสละความสุจริตซื่อตรงส่วนตัวเสียก็ได้. ตามที่พระธรรมสุภาษิตแถลงไว้อย่างที่เป็นความจริงดังนี้: “คนที่เร่งรีบจะให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์นั้นจะเป็นคนบริสุทธิ์พ้นข้อหาย่อมไม่ได้.” (สุภาษิต 28:20) แต่ก็หาหมดแค่นั้นไม่.
เวลาและกำลังอย่างมากมายจริง ๆ ถูกนำไปใช้เพื่อให้ขึ้นหน้าทางด้านวัตถุปัจจัยจนกระทั่งมีเวลาเล็กน้อยที่จะได้สนุกสนานชื่นชมกับครอบครัวของตน. เป็นความจริง เด็ก ๆ อาจได้รับอะไรต่ออะไรทุกอย่างทางด้านวัตถุปัจจัยที่พวกเขาปรารถนา. แต่ว่าเขาได้รับคำแนะนำ และการว่ากล่าวแก้ไขซึ่งเขาจำเป็นจะต้องได้รับเพื่อที่เขาจะได้โตขึ้นเป็นคนหนุ่มคนสาวที่รู้จักรับผิดชอบนั้นหรือเปล่า? ในระหว่างที่สำนึกว่าเวลาที่ใช้ไปกับลูก ๆ ของตนนั้นค่อนข้างจำกัด บิดามารดาเป็นจำนวนมากหาได้มองเห็นเหตุผลอย่างแท้จริงในการเอาธุระเป็นพิเศษไม่ – จนกระทั่งสายเกินไปเสียแล้ว. ถูกแล้ว การที่ได้มาทราบว่า ลูกชายของตนเองถูกจับกุม หรือลูกสาววัยรุ่นของตนเองกำลังจะเป็นมารดาที่ยังมิได้สมรสเช่นนั้น ย่อมเป็นการปวดร้าวทรมานหัวใจจริง ๆ.
เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ แม้ชีวิตจะมีช่วงเวลาอันสั้นก็ตาม ยังไม่ปรากฏชัดหรอกหรือว่าประชาชนเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องเรียนรู้ถึงวิธีดำเนินชีวิตที่จะทำให้ได้รับความพอใจมากกว่านี้?
การที่จะหลีกหนีให้พ้นความตายไม่ได้อย่างที่เห็นชัด ๆ อยู่นั้น ก็หาได้ทำให้ทุก ๆ คนทิ้งเสียซึ่งหลักศีลธรรม โดยปล่อยให้เป็นไปตามเรื่อง เช่นนั้นไม่และทั้งหาได้ก่อให้เกิดความเฉื่อยชาแบบไม่ดิ้นรนขึ้นในตัวบุคคลทั้งปวง ไม่ด้วย. ตรงกันข้าม ประชาชนหลายแสนคนทุกวันนี้กำลังได้รับความพอใจเพลิดเพลินจากแนวทางอันบริสุทธิ์สะอาดแห่งชีวิต เนื่องด้วยไม่ถูกกระทบกระเทือนอย่างที่เป็นความเสียหายโดยความเห็นในเรื่องความตาย.
แนวทางที่ดีกว่า
เมื่อพิจารณาดูอย่างถูกต้องสมควรแล้ว ความตายย่อมสามารถสอนเราให้รู้ถึงอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มีค่าได้. ขณะที่ความตายมาเรียกร้องเอาผู้ซึ่งต้องตกเป็นเหยื่อไปนั้น เราก็สามารถได้รับประโยชน์จากการไตร่ตรองดูอย่างรอบคอบเกี่ยวด้วยแนวทางที่เราดำเนินชีวิตของเราเองได้. ราว ๆ สามพันปีมาแล้ว ท่านผู้ซึ่งคอยสังเกตดูมนุษย์ชาติอย่างรอบคอบ ได้ยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเป็นเรื่องเด่นโดยกล่าวว่า: “ชื่อเสียงดีก็ประเสริฐกว่าน้ำหอมอย่างวิเศษ และวันตายก็ดีกว่าวันเกิดของคนเรา. ไปยังเรือนที่มีความโศกเศร้าก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน เพราะว่านั่นคือวาระสุดปลายของมนุษย์ทั้งปวง และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ควรจะเอาเหตุการณ์นั้นใส่เข้าไว้ในหัวใจของตน. . . . หัวใจของคนที่มีสติปัญญาจะอยู่ในเรือนที่มีความโศกเศร้า แต่หัวใจของคนโฉดเขลาจะอยู่ในเรือนที่มีการสนุกสนาน.”—ท่านผู้ประกาศ 7:1-4.
ณ ที่นี้พระคัมภีร์มิใช่แนะนำรับรองความโศกเศร้าเสียใจ โดยถือว่า ดีกว่าความรื่นเริงสนุกสนาน. ถ้าจะพูดให้ถูก คำกล่าวนั้นพาดพิงโดยเฉพาะถึงคราวเมื่อครอบครัวหนึ่งอยู่ในภาวะที่มีความทุกข์โศกเศร้าเนื่องด้วยการตายแห่งสมาชิกผู้หนึ่งในครอบครัว. เวลาเช่นนั้น หาใช่เวลาที่จะพึงละลืมผู้ที่มีความทุกข์โศกเศร้านั้น และดำเนินต่อ ๆ ไปในการกินเลี้ยง และการสนุกสนานของตนเองไม่. เพราะว่าความตายได้ทำให้แผนการ และกิจกรรมทุกอย่างของผู้ที่ตายไปนั้นสิ้นสุดลงอย่างไร สภาพการนั้น ๆ ก็ย่อมจะเกิดขึ้นแก่เราเช่นเดียวกันอย่างนั้น. นับว่าเป็นการเหมาะที่คนเราจะพึงถามตัวเองดังนี้: “ข้าพเจ้ากำลังทำประการใดเกี่ยวกับชีวิตของข้าพเจ้า? ข้าพเจ้ากำลังสร้างชื่อเสียงดีขึ้นไว้สำหรับตนไหม? ข้าพเจ้ามีส่วนสนับสนุนเพื่อความสุข และสวัสดิภาพของคนอื่น ๆ มากน้อยเพียงไร?
“ชื่อ”ของเราจะได้รับความหมายตามความจริง คือพิสูจน์หลักฐานว่า ตัวเราเป็นบุคคลชนิดใดนั้น หาใช่เมื่อเกิดมานั้นไม่. แต่ในระหว่างช่วงชีวิตทั้งหมดของเราต่างหาก. บุคคลผู้ซึ่งมีหัวใจเสมือนว่าอยู่ใน “เรือนที่มีความโศกเศร้า”นั้น คือผู้ซึ่งคำนึงถึงวิธีที่เขาดำเนินชีวิตของเขา ไม่ว่าชีวิตจะสั้นยาวสักเพียงไรก็ตาม. เขาปฏิบัติกับชีวิตในฐานะเป็นอะไรบางอย่างที่มีค่ามาก. เขาจะไม่ส่อให้เห็นน้ำใจแบบตื้น ๆ ที่ไม่ไตร่ตองให้รอบคอบอันเป็นลักษณะเด่นแห่งสถานที่ที่มีการเฮฮา สำมะเลเทเมาสนุกสนาน. ไม่ต้องสงสัย เขาเองจะใช้ความมานะพยายามดำเนินชีวิตอย่างที่มีความหมาย อย่างมีจุดประสงค์ และด้วยวิธีนั้นจึงจะมีส่วนสนับสนุนช่วยเหลือเพื่อความสุขและสวัสดิภาพแห่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน.
ใคร ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่าเวลานี้ตนกำลังได้รับความเพลิดเพลินจากวิธีที่ดีที่สุดที่พอจะเป็นไปได้สำหรับตนนั้นหรือไม่ เขาดำเนินชีวิตด้วยมีจุดมุ่งหมายอย่างแท้จริงหรือไม่? มาตรฐานเพื่อการตัดสินนับว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างแน่นอน. ประชาชนผู้สุจริตใจเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้นตลอดทั้งโลกได้มาลงความเห็นแล้วว่า พระคัมภีร์ไบเบิ้ลคือมาตรฐานนั้น ๆ ที่เชื่อถือวางใจได้. การที่เขาตรวจพิจารณาดูพระคัมภีร์เช่นนั้น ทำให้เขาสามารถแลเห็นจุดมุ่งหมายจริง ๆ ในชีวิตขณะนี้ และก่อให้เขามีความหวังอันดีเยี่ยมสำหรับอนาคต คือความหวังที่พาดพิงถึงชีวิตภายใต้สภาพอันชอบธรรมบนพื้นพิภพนี้ทีเดียว. เขาเหล่านั้นได้มาสำนึกว่า หาใช่ความตายไม่หรอก แต่ชีวิตต่างหากคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ชาติ.