บท 9
‘พระเจ้าแสดงฤทธิ์อำนาจผ่านทางพระคริสต์’
1-3. (ก) พวกสาวกเจอกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวอะไรในทะเลสาบกาลิลี และพระเยซูทำอะไร? (ข) ทำไมอัครสาวกเปาโลพูดถึงพระเยซูว่า ‘พระเจ้าแสดงฤทธิ์อำนาจผ่านทางพระคริสต์’?
พวกสาวกตกใจกลัวมาก พวกเขากำลังแล่นเรือข้ามทะเลสาบกาลิลี จู่ ๆ ก็เกิดพายุขึ้น ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาเคยเห็นพายุในทะเลสาบนี้มาก่อน ที่จริงพวกเขาบางคนเป็นชาวประมงที่มีประสบการณ์a (มัทธิว 4:18, 19) แต่นี่เป็น “ลมพายุรุนแรงมาก” ที่ทำให้ทะเลปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว พวกเขาพยายามบังคับเรืออย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจต้านพายุได้ คลื่นโหมกระหน่ำ “ซัดเข้าเรือ” จนน้ำใกล้จะเต็มเรืออยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่มีเสียงดังวุ่นวาย พระเยซูก็ยังนอนหลับสนิทอยู่ท้ายเรือ ท่านหมดเรี่ยวแรงหลังจากสอนผู้คนมาทั้งวัน พวกสาวกกลัวว่าจะจมน้ำตาย พวกเขาเลยปลุกพระเยซูให้ตื่นแล้วขอร้องว่า “นายครับ ช่วยชีวิตพวกเราด้วย พวกเรากำลังจะตายกันอยู่แล้ว”—มาระโก 4:35-38; มัทธิว 8:23-25
2 พระเยซูไม่กลัว ด้วยความมั่นใจท่านห้ามลมและทะเลว่า “สงบเงียบเดี๋ยวนี้” ลมและทะเลก็เชื่อฟังทันที ลมพายุก็หยุดและทุกอย่างก็ “สงบนิ่ง” ตอนนี้พวกสาวกกลัวมาก พวกเขาพูดกันว่า “ท่านเป็นใครกัน?” พวกเขาแปลกใจที่ท่านบอกให้ลมกับทะเลเชื่อฟังท่านได้เหมือนกับบอกเด็กดื้อให้เชื่อฟัง—มาระโก 4:39-41; มัทธิว 8:26, 27
3 แต่พระเยซูไม่ใช่คนธรรมดา พระยะโฮวาใช้อำนาจของพระองค์เพื่อช่วยพระเยซูและคนอื่นในวิธีที่น่าอัศจรรย์มาก อัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจให้พูดถึงพระเยซูว่า ‘พระเจ้าแสดงฤทธิ์อำนาจผ่านทางพระคริสต์’ (1 โครินธ์ 1:24) พระยะโฮวาแสดงอำนาจของพระองค์ผ่านทางพระเยซูยังไงบ้าง? และเรื่องนี้มีประโยชน์กับเรายังไง?
อำนาจของลูกคนเดียวของพระเจ้า
4, 5. (ก) พระยะโฮวาให้อำนาจอะไรกับลูกคนเดียวของพระองค์? (ข) พระเยซูใช้อะไรเพื่อทำให้ความประสงค์ของพระยะโฮวาสำเร็จ?
4 ขอให้คิดถึงอำนาจที่พระเยซูมีก่อนที่ท่านจะมาบนโลก พระยะโฮวาใช้ “ฤทธิ์อำนาจถาวร” เพื่อสร้างลูกคนเดียวของพระองค์ ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์ (โรม 1:20; โคโลสี 1:15) หลังจากนั้น พระยะโฮวาให้อำนาจกับพระเยซู และให้ท่านสร้างทุกสิ่งตามความประสงค์ของพระองค์ คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงพระเยซูว่า “พระเจ้าใช้ท่านให้สร้างทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเลยที่เกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ได้ให้ท่านสร้าง”—ยอห์น 1:3
5 เราอาจไม่เข้าใจจริง ๆ ว่างานมอบหมายนี้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ขอให้คิดถึงอำนาจที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะสร้างทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากนับล้านล้านองค์ เอกภพที่มีหลายพันล้านกาแล็กซี และโลกที่มีสิ่งมีชีวิตมากมาย เพื่อจะทำงานเหล่านี้ให้สำเร็จพระยะโฮวาให้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับลูกของพระองค์ซึ่งก็คือพลังบริสุทธิ์ พระเยซูมีความสุขที่ได้เป็นนายช่างที่พระยะโฮวาใช้ให้สร้างสิ่งต่าง ๆ—สุภาษิต 8:22-31
6. หลังจากพระเยซูเสียชีวิตบนโลกและฟื้นขึ้นจากตายแล้ว ท่านได้รับอำนาจอะไร?
6 ลูกคนเดียวของพระเจ้าจะได้รับอำนาจมากกว่านี้อีกไหม? หลังจากพระเยซูเสียชีวิตบนโลกและฟื้นขึ้นจากตายแล้ว ท่านบอกว่า “พระเจ้ามอบอำนาจให้ผมปกครองทุกสิ่งในสวรรค์และบนโลกนี้แล้ว” (มัทธิว 28:18) นี่หมายความว่าพระยะโฮวาให้พระเยซูมีสิทธิ์ที่จะปกครองเหนือทุกสิ่ง ในฐานะ “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและนายเหนือเจ้านายทั้งหลาย” ท่านมีอำนาจที่จะ “ทำลายรัฐบาล ผู้มีอำนาจ และผู้มีฤทธิ์ทั้งหมด” ทั้งในสวรรค์และบนโลกที่ต่อต้านพระยะโฮวา (วิวรณ์ 19:16; 1 โครินธ์ 15:24-26) พระยะโฮวาทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระเยซู “ไม่มีอะไรเลยที่ไม่อยู่ใต้อำนาจท่าน” มีผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของพระเยซู คือพระยะโฮวาพ่อของท่าน—ฮีบรู 2:8; 1 โครินธ์ 15:27
7. ทำไมเราแน่ใจได้ว่าพระเยซูจะไม่มีวันใช้อำนาจที่พระยะโฮวาให้ท่านอย่างผิด ๆ?
7 เราต้องกังวลไหมว่าพระเยซูจะใช้อำนาจอย่างผิด ๆ? ไม่ พระเยซูรักพ่อของท่านมากและจะไม่มีวันทำอะไรให้พ่อเสียใจ (ยอห์น 8:29; 14:31) พระเยซูรู้ดีว่าพระยะโฮวาไม่เคยใช้อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ในทางที่ผิด พระเยซูได้เห็นว่าพระยะโฮวาหาโอกาส “เพื่อจะใช้อำนาจของพระองค์ช่วยเหลือคนที่รับใช้พระองค์สุดหัวใจ” (2 พงศาวดาร 16:9) เหมือนกับพ่อของท่าน พระเยซูรักผู้คน พวกเราก็เลยมั่นใจได้ว่าท่านจะใช้อำนาจของท่านเพื่อทำแต่สิ่งดี ๆ (ยอห์น 13:1) ท่านมีชื่อเสียงที่ดีในเรื่องนี้เสมอ ขอให้เรามาดูว่าพระเยซูใช้อำนาจยังไงตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกและทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น
“พูดอย่างมีอำนาจ”
8. หลังจากถูกเจิมแล้วพระเยซูได้รับอำนาจให้ทำอะไร และท่านใช้อำนาจของท่านยังไง?
8 ดูเหมือนว่า ตอนที่พระเยซูเติบโตขึ้นในเมืองนาซาเร็ธท่านไม่ได้ทำการอัศจรรย์เลย แต่ในปี ค.ศ. 29 หลังจากที่ท่านได้รับบัพติศมาตอนอายุ 30 ปี สภาพการณ์ก็เปลี่ยนไป (ลูกา 3:21-23) คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า ‘พระเจ้าได้เจิมพระเยซูไว้ด้วยพลังบริสุทธิ์และให้อำนาจแก่ท่าน พระเยซูเดินทางไปทั่วทุกแห่งเพื่อทำสิ่งดี ๆ และรักษาคนที่ต้องทนทุกข์เพราะถูกมารครอบงำ’ (กิจการ 10:38) คำพูดที่ว่า “ทำสิ่งดี ๆ” บอกให้รู้ว่าพระเยซูใช้อำนาจของท่านเพื่อช่วยเหลือคนอื่น หลังจากถูกเจิมแล้ว ท่านก็ “เป็นผู้พยากรณ์ที่ทำการอัศจรรย์และพูดอย่างมีอำนาจ”—ลูกา 24:19
9-11. (ก) หลายครั้งพระเยซูสอนที่ไหน และท่านเจออุปสรรคอะไรบ้าง? (ข) ทำไมผู้คนถึงรู้สึกทึ่งกับการสอนของท่าน?
9 พระเยซูพูดอย่างมีอำนาจยังไง? หลายครั้งท่านสอนตามริมทะเลสาบและเนินเขา รวมทั้งตามถนนและในตลาดด้วย (มาระโก 6:53-56; ลูกา 5:1-3; 13:26) คนที่ฟังท่านอาจจะเดินหนีไปก็ได้ถ้าพวกเขาไม่อยากฟังท่านต่อ ผู้ฟังที่เห็นค่าต้องจำสิ่งที่พระเยซูพูดเพราะว่าในตอนนั้นยังไม่มีการเขียนเรื่องที่ท่านสอนเอาไว้ ดังนั้น คำสอนของท่านจะต้องน่าสนใจ เข้าใจชัดเจน และจำได้ง่าย แต่เรื่องนี้ไม่ยากสำหรับพระเยซูเลย ตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้คือคำบรรยายบนภูเขาของท่าน
10 เช้าวันหนึ่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 31 ผู้คนมารวมตัวกันบนเนินเขาใกล้ทะเลสาบกาลิลี บางคนมาจากแคว้นยูเดียและกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ไกลจากที่นั่น 100 ถึง 110 กิโลเมตร คนอื่น ๆ มาจากชายฝั่งทะเลแถบเมืองไทระและไซดอนที่อยู่ทางเหนือ คนป่วยหลายคนเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อพยายามแตะตัวท่านและท่านก็รักษาพวกเขาให้หาย หลังจากรักษาทุกคนแล้ว ท่านก็เริ่มสอนพวกเขา (ลูกา 6:17-19) เมื่อท่านพูดจบ พวกเขารู้สึกประหลาดใจเพราะสิ่งที่ได้ฟัง เพราะอะไร?
11 หลายปีต่อมา คนหนึ่งที่ฟังคำบรรยายนั้นได้เขียนว่า “คนที่มาฟังก็รู้สึกทึ่งกับวิธีสอนของท่าน เพราะท่าน . . . สอนแบบคนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า” (มัทธิว 7:28, 29) พวกเขารู้สึกได้ว่าคำสอนของพระเยซูมีพลัง ท่านสอนสิ่งที่พระเจ้าอยากให้พวกเขารู้และสอนโดยใช้ถ้อยคำของพระเจ้า (ยอห์น 7:16) คำสอนของพระเยซูชัดเจน กระตุ้นผู้คนให้ทำตามและช่วยให้พวกเขายอมรับว่าท่านสอนความจริงจากพระเจ้า ท่านช่วยผู้ฟังให้รู้ต้นเหตุของปัญหา และช่วยพวกเขาตรวจสอบความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ท่านสอนพวกเขาให้รู้ว่าทำยังไงชีวิตถึงจะมีความสุข จะอธิษฐานถึงพระเจ้ายังไง และยังสอนด้วยว่าพวกเขาจะทำให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตและจะมีอนาคตที่ดีได้ยังไง (มัทธิว 5:3-7:27) คำสอนของท่านกระตุ้นคนที่รักความจริงและอยากเห็นความยุติธรรมให้ลงมือทำตามสิ่งที่ได้เรียน พวกเขาเต็มใจ “เลิกใช้ชีวิต” เพื่อตัวเองและทิ้งทุกอย่างเพื่อติดตามพระเยซู (มัทธิว 16:24; ลูกา 5:10, 11) คำสอนของพระเยซูมีพลังมากจริง ๆ
“ทำการอัศจรรย์”
12, 13. ทำไมพระเยซูถึง “ทำการอัศจรรย์” ได้ และท่านทำการอัศจรรย์อะไรบ้าง?
12 นอกจากนั้น พระเยซูยัง “ทำการอัศจรรย์” ด้วย (ลูกา 24:19) ในหนังสือข่าวดีสี่เล่มพูดถึงการอัศจรรย์มากกว่า 30 ครั้งที่ท่านทำด้วย “พลังของพระยะโฮวา”b (ลูกา 5:17) หลายพันคนได้รับประโยชน์จากการอัศจรรย์ที่ท่านทำ ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าครั้งหนึ่งพระเยซูทำการอัศจรรย์เลี้ยงอาหารผู้ชาย 5,000 คน และทีหลังก็เลี้ยงอาหารผู้ชายอีก 4,000 คน ถ้านับผู้หญิงและเด็กด้วยก็คงจะมีจำนวนทั้งหมดหลายพันคน—มัทธิว 14:13-21; 15:32-38
13 พระเยซูทำการอัศจรรย์หลายแบบ ท่านมีอำนาจเหนือพวกปีศาจและขับไล่พวกมันออกจากคนที่ถูกสิงได้ง่าย ๆ (ลูกา 9:37-43) ท่านสามารถเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น (ยอห์น 2:1-11) ลองคิดดูว่าพวกสาวกตกใจกลัวมากขนาดไหนตอนที่เห็น “พระเยซูเดินบนน้ำ” (ยอห์น 6:18, 19) ท่านมีอำนาจรักษาความพิการและโรคร้ายทุกชนิด (มาระโก 3:1-5; ยอห์น 4:46-54) ท่านรักษาผู้คนในหลายวิธี บางครั้งท่านรักษาคนป่วยที่อยู่ไกลออกไป แต่บางครั้งท่านก็รักษาพวกเขาโดยการสัมผัสตัว (มัทธิว 8:2, 3, 5-13) บางคนหายป่วยทันที ส่วนบางคนก็ค่อย ๆ หายป่วย—มาระโก 8:22-25; ลูกา 8:43, 44
‘พวกเขาเห็นพระเยซูเดินบนน้ำ’
14. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่านมีอำนาจเหนือความตาย?
14 การอัศจรรย์ที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ พระเยซูมีอำนาจที่จะปลุกคนตายให้ฟื้น คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงสามเหตุการณ์ที่ท่านปลุกคนตายให้ฟื้น คือลูกสาวอายุ 12 ปีของไยรอส ลูกชายคนเดียวของแม่ม่ายในเมืองนาอิน และน้องชายที่รักของพี่สาวสองคน (ลูกา 7:11-15; 8:49-56; โยฮัน 11:38-44) ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่ยากเกินไปสำหรับพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นการปลุกเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปีที่นอนตายบนเตียงได้ไม่นาน การปลุกลูกชายของแม่ม่ายที่เพิ่งตายและนอนอยู่บนแคร่หามศพ หรือการปลุกลาซารัสที่ตายไปแล้ว 4 วันให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ
พระเยซูใช้อำนาจอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีเหตุผลและคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นเสมอ
15, 16. อะไรแสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่เคยใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตัวเอง?
15 ถ้าผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบมีอำนาจเหมือนพระเยซู หลายคนอาจกลัวว่าพวกเขาจะใช้อำนาจปกครองอย่างผิด ๆ พวกเขามักจะเห็นแก่ตัว หยิ่งและโลภ พวกเขาเลยใช้อำนาจเพื่อทำร้ายคนอื่น แต่พระเยซูไม่เป็นอย่างนั้นเพราะท่านไม่มีบาป—1 เปโตร 2:22
16 พระเยซูใช้อำนาจของท่านเพื่อประโยชน์ของคนอื่นและไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แม้แต่ตอนที่ท่านหิวท่านก็ไม่ยอมที่จะเสกก้อนหินให้กลายเป็นขนมปัง (มัทธิว 4:1-4) ท่านมีสิ่งของไม่เยอะ นี่แสดงให้เห็นว่าท่านไม่ได้ใช้อำนาจเพื่อทำให้ตัวเองร่ำรวย (มัทธิว 8:20) ตอนที่ทำการอัศจรรย์ ท่านก็ต้องใช้พลังด้วย แม้แต่ตอนที่รักษาแค่คนเดียวพระเยซูก็รู้สึกได้ว่าพลังออกจากตัวท่าน (มาระโก 5:25-34) ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยอมให้ทุกคนแตะตัวท่าน และพวกเขาก็หายโรค (ลูกา 6:19) นี่ทำให้เห็นว่าพระเยซูสนใจคนอื่นมากจริง ๆ และอยากใช้อำนาจเพื่อช่วยพวกเขาเสมอ
17. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่านใช้อำนาจของท่านอย่างมีเหตุผลเสมอ?
17 พระเยซูใช้อำนาจของท่านอย่างมีเหตุผลเสมอ ท่านไม่เคยทำการอัศจรรย์เพื่อจะโอ้อวดหรือเพื่อทำให้คนอื่นมาสนใจในตัวท่าน (มัทธิว 4:5-7) ตัวอย่างเช่น เมื่อเฮโรดอยากให้ท่านทำการอัศจรรย์ให้ดู ท่านก็ปฏิเสธ (ลูกา 23:8, 9) แทนที่จะบอกว่าท่านมีอำนาจมากแค่ไหน บ่อยครั้งท่านห้ามคนเหล่านั้นที่ท่านรักษาไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร (มาระโก 5:43; 7:36) พระเยซูไม่อยากให้ผู้คนเชื่อว่าท่านเป็นเมสสิยาห์แค่เพราะได้ยินว่าท่านทำการอัศจรรย์ที่น่าตื่นเต้นได้—มัทธิว 12:15-19
18-20. (ก) ทำไมพระเยซูถึงใช้อำนาจของท่านเพื่อทำการอัศจรรย์? (ข) คุณรู้สึกยังไงกับวิธีที่พระเยซูรักษาชายหูหนวกคนหนึ่ง?
18 พระเยซูไม่เหมือนกับผู้ปกครองคนอื่นที่ใช้อำนาจโดยไม่คิดถึงความจำเป็นและความทุกข์ของคนอื่น ท่านห่วงใยผู้คน แค่ได้เห็นว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ ท่านก็รู้สึกสงสารและอยากจะช่วยพวกเขา (มัทธิว 14:14) ท่านสนใจจริง ๆ ว่าคนอื่นรู้สึกยังไงและพวกเขามีความจำเป็นในเรื่องอะไรบ้าง และท่านก็ใช้อำนาจของท่านเพื่อช่วยพวกเขาให้มีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้น เราอ่านตัวอย่างหนึ่งที่น่าประทับใจได้ที่มาระโก 7:31-37
19 ในตอนนั้น หลายคนมาหาพระเยซูและพาคนที่ป่วยจำนวนมากมาหาท่าน และท่านก็รักษาทุกคนให้หาย (มัทธิว 15:29, 30) แต่พระเยซูเห็นชายคนหนึ่งที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เขาหูหนวกและแทบจะพูดไม่ได้ ท่านอาจสังเกตว่าชายคนนี้รู้สึกกังวลและอายมาก ด้วยความเห็นอกเห็นใจท่านพาเขาออกไปในที่ที่ห่างจากผู้คน แล้วท่านก็ทำท่าทางบางอย่างเพื่อให้เขารู้ว่าท่านจะทำอะไร ท่าน “แหย่นิ้วมือเข้าไปในหูทั้งสองข้างของเขา บ้วนน้ำลาย แล้วเอามาแตะที่ลิ้นของเขา”c (มาระโก 7:33) หลังจากนั้น พระเยซูเงยหน้ามองท้องฟ้าและอธิษฐาน การทำอย่างนี้จะช่วยให้เขาเข้าใจว่า พระเจ้าให้อำนาจพระเยซูเพื่อจะรักษาเขา ในที่สุดพระเยซูพูดว่า “เปิดออก” (มาระโก 7:34) แล้วเขาก็สามารถได้ยินและพูดได้เป็นปกติ
20 เรารู้สึกประทับใจมากที่พระเยซูใช้อำนาจที่ได้รับจากพระเจ้าเพื่อรักษาคนป่วย และเห็นว่าท่านสนใจคนที่ท่านรักษามากขนาดไหน เราได้กำลังใจมากที่รู้ว่าพระยะโฮวาเลือกพระเยซูซึ่งมีความกรุณาและความรักให้เป็นกษัตริย์ในรัฐบาลของพระองค์
การอัศจรรย์ของพระเยซูทำให้เห็นว่าท่านจะทำอะไรในอนาคต
21, 22. (ก) พระเยซูจะทำการอัศจรรย์อะไรบ้างในอนาคต? (ข) การที่พระเยซูมีอำนาจควบคุมพลังในธรรมชาติช่วยให้เรามั่นใจว่าท่านจะทำอะไรตอนที่ปกครองโลก?
21 การอัศจรรย์ที่พระเยซูทำบนโลกทำให้เห็นว่าท่านจะทำสิ่งดี ๆ อะไรบ้างในอนาคตเมื่อท่านเป็นกษัตริย์ปกครองทั่วโลก ในโลกใหม่พระเยซูจะทำการอัศจรรย์อีกครั้งที่จะเป็นประโยชน์กับทุกคนบนโลก ให้เรามาดูว่ามีสิ่งดี ๆ อะไรบ้างที่พระเยซูจะทำเพื่อเรา
22 พระเยซูจะฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เคยถูกทำลายให้ดีขึ้น จำไว้ว่าพระเยซูสามารถทำให้พายุใหญ่สงบลงได้ ดังนั้นท่านจะควบคุมพลังในธรรมชาติได้แน่นอน เมื่อพระเยซูปกครอง เราไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับผลเสียจากพายุไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ พระเยซูเป็นนายช่างที่พระยะโฮวาใช้ให้สร้างโลกและสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลก ท่านก็เลยรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลก ท่านรู้ว่าเราจะอยู่บนโลกโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมได้ยังไง ภายใต้การปกครองของท่าน ทั่วโลกจะกลายเป็นอุทยาน—ลูกา 23:43
23. เมื่อพระเยซูเป็นกษัตริย์ท่านจะดูแลเรายังไง?
23 พระเยซูจะดูแลเราได้ไหม? จำไว้ว่าพระเยซูเคยเลี้ยงอาหารหลายพันคนด้วยอาหารนิดเดียว เราเลยมั่นใจได้ว่าเมื่อท่านปกครองจะไม่มีใครอดอยากอีกเลย ในตอนนั้นจะมีอาหารมากมายให้ทุกคนได้กิน (สดุดี 72:16) ท่านจะรักษาคนป่วย คนตาบอด คนหูหนวก คนพิการ และคนง่อยให้หายอย่างถาวรได้ (อิสยาห์ 33:24; 35:5, 6) ท่านจะปลุกหลายล้านคนที่อยู่ในความทรงจำของพระยะโฮวาให้ฟื้นขึ้นจากตายด้วย—ยอห์น 5:28, 29
24. ตอนที่เราคิดถึงวิธีที่พระเยซูใช้อำนาจ เราต้องจำอะไรไว้เสมอ และเพราะอะไร?
24 ตอนที่เราคิดถึงวิธีที่พระเยซูใช้อำนาจ เราต้องจำไว้ว่าท่านเลียนแบบพ่อของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ (ยอห์น 14:9) วิธีที่ท่านใช้อำนาจทำให้เราเห็นชัดว่าพระยะโฮวาก็ใช้อำนาจของพระองค์อย่างนั้นด้วย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ท่านรักษาคนโรคเรื้อนคนหนึ่งให้หาย ท่านก็แสดงความอ่อนโยนและคิดถึงความรู้สึกของเขาด้วย เพราะรู้สึกสงสารท่านยื่นมือมาแตะตัวเขาแล้วบอกว่า “ผมอยากช่วย” (มาระโก 1:40-42) จากเรื่องราวแบบนี้ที่มีในคัมภีร์ไบเบิลก็เหมือนกับพระยะโฮวากำลังบอกว่า ‘เราใช้อำนาจของเราแบบนี้แหละ’ นี่ทำให้เราอยากสรรเสริญพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดและขอบคุณที่พระองค์ใช้อำนาจของพระองค์ด้วยความรักจริง ๆ
a เป็นเรื่องปกติที่จะมีพายุเกิดขึ้นอย่างฉับพลันในทะเลสาบกาลิลี ทะเลสาบนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล (ประมาณ 200 เมตร) และมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่รอบ ๆ นี่เลยทำให้อากาศแปรปรวนได้ และลมแรงจากภูเขาเฮอร์โมนซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือที่พัดลงมาตามหุบเขาจอร์แดนก็สามารถทำให้อากาศที่สงบนิ่งเปลี่ยนเป็นพายุแรงได้อย่างรวดเร็ว
b บางครั้งหนังสือข่าวดีสี่เล่มรวมการอัศจรรย์หลายอย่างที่พระเยซูทำไว้ในเหตุการณ์ครั้งเดียว ตัวอย่างเช่น มีครั้งหนึ่ง “คนทั้งเมือง” มาหาท่านและท่านก็รักษา “คนมากมาย” ให้หายป่วย—มาระโก 1:32-34
c การบ้วนน้ำลายเป็นวิธีที่แสดงถึงการรักษาโรคที่ได้รับการยอมรับโดยชาวยิวและคนต่างชาติ ในสมัยนั้นผู้คนใช้น้ำลายในการรักษาโรคหลายชนิด พระเยซูอาจบ้วนน้ำลายเพื่อช่วยให้ชายคนนั้นรู้ว่าเขากำลังจะได้รับการรักษา แต่จริง ๆ แล้วน้ำลายของพระเยซูไม่ได้ทำให้เขาหายโรคได้