ผู้พยากรณ์เท็จในสมัยนี้
ยิระมะยาได้รับใช้ฐานะผู้พยากรณ์ของพระเจ้าในกรุงยะรูซาเลมในคราวที่เมืองนั้นดาษดื่นด้วยการไหว้รูปเคารพ, การผิดศีลธรรม, การทุจริตติดสินบน, และการทำให้เลือดผู้ปราศจากผิดตก. (ยิระมะยา 7:8-11) ท่านหาได้เป็นผู้พยากรณ์ที่ปฏิบัติงานอยู่คนเดียวในคราวนั้นไม่ แต่ผู้พยากรณ์คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ปรนนิบัติตัวเองและทำการทุจริต. ในทางใด? พระยะโฮวาทรงแถลงว่า “ตั้งแต่ผู้ทำนายจนถึงพวกปุโรหิต ทุกตัวคนมักทำการด้วยอสัตย์อธรรม. เขาทั้งปวงได้รักษาบาดแผลของลูกหญิงพลไพร่ของเรามักง่าย พูดอยู่ว่า ‘เป็นสุข เป็นสุขเถิด [มีสันติสุข! มีสันติสุข!, ล.ม.] เมื่อไม่มีความสุข [สันติสุข, ล.ม.].”—ยิระมะยา 6:13, 14.
ผู้พยากรณ์เท็จพยายามจะทำให้ดูเหมือนว่า ทั้ง ๆ ที่มีความทุจริตเสื่อมทรามทั้งมวลในแผ่นดิน เหตุการณ์ก็เป็นไปด้วยดี และประชาชนก็มีสันติสุขกับพระเจ้า แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่. การพิพากษาของพระเจ้ารอพวกเขาอยู่ ดังที่ยิระมะยาประกาศโดยไม่หวั่นกลัว. ยิระมะยา ผู้พยากรณ์แท้ หาใช่ ผู้พยากรณ์เท็จไม่ ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นฝ่ายถูกคราวเมื่อกรุงยะรูซาเลมถูกทำลายย่อยยับโดยทหารบาบูโลนในปี 607 ก่อนสากลศักราช พระวิหารถูกทำลาย และประชาชนถ้าไม่ถูกฆ่าก็ถูกนำไปเป็นเชลยยังบาบูโลนอันห่างไกล. ชนส่วนน้อยที่น่าสังเวชซึ่งถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินได้หนีไปยังอียิปต์.—ยิระมะยา 39:6-9; 43:4-7.
ผู้พยากรณ์เท็จได้ทำอะไร? “‘นี่แน่ะ เราเป็นที่ต่อสู้พวกทำนายทุกตัวคนที่ได้ขโมยคำโอวาทของเราจากเพื่อนบ้านของตัว.’ พระยะโฮวาได้ตรัส.” (ยิระมะยา 23:30) ผู้พยากรณ์เท็จขโมยพลังและผลกระทบจากพระวจนะของพระเจ้าโดยการสนับสนุนประชาชนให้ฟังคำโกหกแทนที่จะฟังคำเตือนแท้จากพระเจ้า. พวกเขาไม่ได้บอก “การอิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า” หากแต่บอกความคิดของตนเอง สิ่งที่ผู้คนต้องการฟัง. ข่าวสารของยิระมะยามาจากพระเจ้าจริง ๆ และหากชนยิศราเอลได้ปฏิบัติตามคำตรัสของพระองค์ พวกเขาคงจะรอดชีวิต. ผู้พยากรณ์เท็จ ‘ขโมยคำโอวาทของพระเจ้า’ และนำประชาชนไปสู่ความหายนะ. เป็นเช่นเดียวกับที่พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพวกผู้นำทางศาสนาที่ไม่ซื่อสัตย์ในสมัยของพระองค์ว่า “เขาเป็นคนตาบอดจูงคนตาบอด. ถ้าคนตาบอดจูงคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงในบ่อ.”—กิจการ 2:11; มัดธาย 15:14.
เช่นเดียวกับในสมัยของยิระมะยา ทุกวันนี้มีผู้พยากรณ์เท็จที่อ้างว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิลอยู่ แต่พวกเขาขโมยคำโอวาทของพระเจ้าด้วยเช่นกันโดยประกาศสิ่งที่ทำให้ประชาชนเขวไปจากสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างแท้จริงโดยทางพระคัมภีร์. ในทางใด? ขอให้เราตอบคำถามนั้นโดยการใช้คำสอนพื้นฐานของพระคัมภีร์เรื่องราชอาณาจักรเป็นตัวอย่าง.
ความจริงเรื่องราชอาณาจักร
ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นสาระสำคัญแห่งการสอนของพระคริสต์ และมีการกล่าวถึงราชอาณาจักรมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งในกิตติคุณ. ในช่วงต้น ๆ แห่งงานรับใช้ของพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เราต้องไปประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า เพราะเราถูกส่งมาก็ด้วยเหตุนี้.” พระองค์ทรงสอนพวกสาวกให้อธิษฐานว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด.”—ลูกา 4:43; 11:2, ล.ม.
ดังนั้นแล้ว ราชอาณาจักรคืออะไร? ตามพจนานุกรมภาษากรีกอังกฤษฉบับใหม่ของเทเยอร์ คำภาษากรีกที่ได้รับการแปลว่า “ราชอาณาจักร” ในพระคัมภีร์มีความหมายประการแรกว่า “ราชอำนาจ, ฐานะกษัตริย์, การปกครอง, การครอบครอง” และประการที่สองหมายถึง “อาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์.” จากความหมายนี้เราจะสรุปได้อย่างมีเหตุผลว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรัฐบาลจริง ๆ ที่บริหารงานโดยกษัตริย์. เป็นเช่นนี้ไหม?
ใช่ เป็นเช่นนี้ และพระมหากษัตริย์คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง. ก่อนการประสูติของพระเยซู ทูตสวรรค์ฆับริเอลได้กล่าวแก่มาเรียว่า “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของผู้สูงสุด พระเจ้า [พระยะโฮวา, ล.ม.] จะประทานพระที่นั่งของดาวิดบิดาของท่านให้แก่ท่าน.” (ลูกา 1:32) การที่พระเยซูได้รับพระที่นั่งพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ผู้ปกครองของรัฐบาล. คำพยากรณ์ของยะซายาพิสูจน์เช่นกันว่าราชอาณาจักรเป็นรัฐบาลจริง ๆ: “จะมีบุตรคนหนึ่งเกิดขึ้นในพวกเรา คือทรงประทานบุตราคนหนึ่งให้แก่พวกเรา และท่านได้แบกการปกครองไว้เหนือบ่า . . . ความจำเริญรุ่งเรืองแห่งรัฐบาลของท่านและสันติสุขจะไม่รู้สิ้นสุด.”—ยะซายา 9:6, 7.
พระเยซูทรงปกครองที่ไหน? ในกรุงยะรูซาเลมหรือ? เปล่าเลย. ผู้พยากรณ์ดานิเอลได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับการที่พระเยซูรับมอบราชอาณาจักร และนิมิตของท่านชี้ตำแหน่งของพระเยซูอยู่ในสวรรค์. (ดานิเอล 7:13, 14) นี้ลงรอยกับวิธีที่พระเยซูตรัสถึงราชอาณาจักร. บ่อยครั้งพระองค์ทรงเรียกราชอาณาจักรนั้นว่า “ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.” (มัดธาย 10:7; 11:11, 12) ทั้งยังลงรอยกับคำตรัสของพระเยซูต่อปีลาตเมื่อพระองค์อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีต่อหน้าท่านที่ว่า “ราชอาณาจักรของเรามิได้เป็นส่วนของโลกนี้. ถ้าราชอาณาจักรของเราเป็นส่วนของโลกนี้ บริวารของเราคงได้ต่อสู้เพื่อมิให้เราถูกมอบไว้กับพวกยิว. แต่ว่า ราชอาณาจักรของเรามิได้มาจากแหล่งนี้.” (โยฮัน 18:36, ล.ม.) นักเทศน์หรือบาทหลวงของคุณได้สอนไหมว่าราชอาณาจักรของพระเยซูเป็นรัฐบาลจริง ๆ ปกครองจากสวรรค์? หรือว่าเขาสอนว่าราชอาณาจักรนั้นเป็นเพียงอะไรบางอย่างที่อยู่ในหัวใจ? ถ้าเช่นนั้น เขาก็ได้ขโมยคำโอวาทของพระเจ้าไปจากคุณ.
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรกับรัฐบาลของมนุษย์ทุกรูปแบบต่าง ๆ กันนั้นเป็นเช่นไร? ตามสารานุกรมเกี่ยวกับศาสนา (ภาษาอังกฤษ) เรียบเรียงโดย มีร์ซา เอเลียตนั้น มาร์ติน ลูเธอร์ นักปฏิรูป เมื่อสาธยายเรื่องราชอาณาจักร ได้สอนว่า “รัฐบาลฝ่ายโลก . . . อาจเรียกว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ด้วย.” บางคนสอนว่ามนุษย์สามารถทำให้รัฐบาลของมนุษย์เป็นเหมือนราชอาณาจักรของพระเจ้ามากขึ้น โดยความพยายามของเขาเอง. ในปี 1983 สภาคริสต์จักรโลกยืนยันว่า “ขณะที่เราให้คำพยานถึงความปรารถนาที่แท้จริงของเราในเรื่องสันติภาพด้วยการปฏิบัติจำเพาะเจาะจง พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถใช้ความพยายามอันเปราะบางของเราเพื่อทำให้อาณาจักรของโลกนี้เป็นเหมือนราชอาณาจักรของพระเจ้ามากขึ้นได้.”
แต่จงสังเกตว่า ในคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า (“พระบิดาของเรา”) พระเยซูทรงสอนพวกสาวกให้อธิษฐานเพื่อให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามา และเพียงแต่ต่อจากนั้น พระองค์สั่งเขาให้อธิษฐานว่า “พระทัยของพระองค์ [พระเจ้า] สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จในแผ่นดินโลกอย่างนั้น.” (มัดธาย 6:10, ล.ม.) กล่าวอีกนัยหนึ่ง มนุษย์ไม่อาจทำให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาโดยการที่พวกเขากระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. การที่ราชอาณาจักรนั้นมานั่นแหละคือสาเหตุทำให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จบนแผ่นดินโลก. โดยวิธีใด?
จงฟังสิ่งที่คำพยากรณ์ในดานิเอลบท 2 ข้อ 44 แจ้งไว้: “ในสมัยเมื่อกษัตริย์เหล่านั้น [ผู้ครอบครองที่เป็นมนุษย์ในสมัยอวสาน] กำลังเสวยราชย์อยู่ พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรอันหนึ่งขึ้น ซึ่งจะไม่มีวันทำลายเสียได้. . . . แต่อาณาจักรนี้จะทำลายอาณาจักรอื่น ๆ ลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น.” ไม่น่าแปลกใจที่พระเยซูตรัสว่าอาณาจักรของพระองค์ไม่เป็นส่วนของโลกนี้! ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว ราชอาณาจักรนั้นจะทำลายอาณาจักรทั้งหลาย รัฐบาลต่าง ๆ ของแผ่นดินโลกนี้ และเข้ามาแทนที่ในการปกครองมนุษยชาติ. ในฐานะเป็นรัฐบาลที่พระเจ้าประทานให้สำหรับมนุษยชาติ ราชอาณาจักรนั้นจะดูแลให้แน่ใจว่าพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะสำเร็จบนแผ่นดินโลกในครั้งนั้น.
เหตุผลที่ราชอาณาจักรปฏิบัติการรุนแรงอย่างขนานใหญ่เช่นนั้นปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเราคำนึงถึงว่าใครบังคับควบคุมโลกนี้อยู่. อัครสาวกโยฮันเขียนว่า “มนุษย์โลกทั้งสิ้นทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย [ผู้ชั่วร้าย, ล.ม.].” (1 โยฮัน 5:19) “ผู้ชั่วร้าย” นั้นคือซาตานพญามาร ผู้ซึ่งเปาโลให้ฉายาว่า “พระเจ้าของระบบนี้.” (2 โกรินโธ 4:4, ล.ม.) สถาบันต่าง ๆ ในโลกซึ่งมีซาตานพญามารเป็นพระเจ้านั้น จะได้รับการระบุว่าเป็นฝ่ายเดียวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้แม้แต่น้อย.
นี้เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่พระเยซูมิได้เข้าไปพัวพันในเรื่องการเมือง. เมื่อชาวยิวที่ถือลัทธิชาตินิยมพยายามจะตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงพวกเขา. (โยฮัน 6:15) ดังที่เราได้เห็น พระองค์ตรัสแก่ปีลาตอย่างตรงไปตรงมาว่า “ราชอาณาจักรของเรามิได้เป็นส่วนของโลกนี้.” และประสานกับข้อนี้ พระองค์ได้ตรัสถึงพวกสาวกของพระองค์ว่า “พวกเขาไม่เป็นส่วนของโลกเหมือนข้าพเจ้าไม่เป็นส่วนของโลก.” (โยฮัน 17:16, ล.ม.) เพราะฉะนั้น พวกผู้นำทางด้านศาสนาผู้ซึ่งสอนว่าการมาถึงแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้านั้นได้รับการเร่งโดยการปฏิรูปภายในระบบนี้ และผู้ซึ่งสนับสนุนศาสนิกชนของเขาให้พยายามเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นก็เป็นผู้พยากรณ์เท็จ. พวกเขาขโมยพลังและผลกระทบของสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างแท้จริง.
ทำไมจึงเป็นเรื่องสำคัญ?
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อโต้แย้งของปัญญาชนเท่านั้นไหม? เปล่าเลยทีเดียว. คำสอนผิด ๆ ในเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าได้นำหลายคนไปผิดทาง และได้มีผลกระทบต่อวิถีของประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ. ตัวอย่างเช่น หนังสือเธโอ สารานุกรมโรมันคาทอลิก บอกว่า “ประชาชนของพระเจ้ารุดหน้าไปยังราชอาณาจักรของพระเจ้าที่พระคริสต์ทรงริเริ่มบนแผ่นดินโลก . . . คริสต์จักรเป็นเมล็ดแห่งราชอาณาจักรนี้.” การถือว่าคริสต์จักรคาทอลิกเป็นอันเดียวกับราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ทำให้คริสต์จักรมีอำนาจทางโลกอย่างมากมายระหว่างยุคกลางที่เต็มด้วยการถือโชคลาง. แม้กระทั่งทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ของคริสต์จักรพยายามจะมีอิทธิพลต่อวิถีแห่งกิจธุระของโลก, ทำงานเพื่อสนับสนุนระบบการเมืองบางรูปแบบและต่อต้านระบบอื่น ๆ.
นักวิจารณ์คนหนึ่งได้เสนอทัศนะอีกแบบหนึ่งซึ่งแพร่หลายในทุกวันนี้เมื่อเขากล่าวว่า “วิถีทางแห่งการปฏิวัติคือราชอาณาจักร เพราะการปฏิวัติคือการที่ประชาชนมารวมกันในสภาพมนุษย์ใหม่ ได้รับการกระตุ้นโดยสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่ประทานผ่านทางบุรุษแห่งสัจธรรม—พระเยซู . . . คานธี . . . สองพี่น้องสกุลเบอร์ริแกน.” การสอนว่าอาจส่งเสริมราชอาณาจักรของพระเจ้าได้โดยลัทธิดำเนินการทางการเมือง และมองข้ามข้อเท็จจริงแท้ ๆ ในเรื่องราชอาณาจักรได้ชักจูงให้พวกผู้นำทางศาสนาสมัครเข้าแข่งขันเพื่อได้ตำแหน่งทางการเมือง. นั่นได้ชักนำคนอื่น ๆ ให้เข้าไปพัวพันในความวุ่นวายของพลเมืองและถึงกับมีส่วนในสงครามแบบกองโจรด้วยซ้ำ. การกระทำเช่นนี้ไม่มีสักสิ่งเดียวประสานกับความจริงที่ว่าราชอาณาจักรไม่เป็นส่วนของโลกนี้. และพวกผู้นำทางศาสนาซึ่งเข้าไปพัวพันอย่างลึกซึ้งเช่นนั้นในการเมืองห่างไกลจากการไม่เป็นส่วนของโลก ดังที่พระเยซูตรัสว่าพวกสาวกแท้ของพระองค์จะไม่เป็นส่วนนั้น. คนเหล่านั้นที่สอนว่าจะบรรลุถึงราชอาณาจักรของพระเจ้าได้โดยปฏิบัติการทางการเมืองนั้นเป็นผู้พยากรณ์เท็จ. พวกเขาขโมยคำโอวาทของพระเจ้าไปจากประชาชน.
หากผู้นำทางศาสนาในคริสต์จักรจะสอนสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างแท้จริงแล้ว ศาสนิกชนของพวกเขาคงจะทราบว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเช่นความอัตคัดขัดสน, โรคภัย, ความไม่เสมอภาคทางด้านเชื้อชาติ, และการกดขี่นั้นจริง ๆ. แต่นั่นจะเป็นไปในเวลากำหนดของพระเจ้าและโดยวิธีการของพระเจ้า. จะไม่เป็นไปโดยทางการปฏิรูประบบการเมือง ซึ่งจะสิ้นสุดลงเมื่อราชอาณาจักรนั้นมา. หากนักเทศน์เหล่านี้เป็นผู้พยากรณ์แท้ พวกเขาคงได้สอนศาสนิกชนของตนว่า ระหว่างที่รอคอยราชอาณาจักรของพระเจ้าปฏิบัติการนั้น พวกเขาจะพบการช่วยเหลือที่ใช้การได้จริงซึ่งพระเจ้าประทานให้โดยแท้ เพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งความอยุติธรรมของโลกนี้ก่อให้เกิดขึ้น.
ในที่สุด พวกเขาคงได้สอนศาสนิกชนของเขาว่าสภาพการณ์ที่เลวร้ายบนแผ่นดินโลกซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ระทมมากมายนั้นได้มีการพยากรณ์ไว้ในพระคัมภีร์และเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าราชอาณาจักรจวนจะมาถึงแล้ว. ถูกแล้ว ในไม่ช้าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะเข้าแทรกแซงและเข้ามาแทนโครงสร้างทางการเมืองในปัจจุบัน. นั่นช่างจะเป็นพระพรเสียนี่กระไร!—มัดธาย 24:21, 22, 36-39; 2 เปโตร 3:7; วิวรณ์ 19:11-21.
มนุษยชาติภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า
การมาถึงของราชอาณาจักรของพระเจ้าจะหมายถึงสิ่งใดสำหรับมนุษยชาติ? เอาละ คุณจะวาดมโนภาพการที่ตัวเองตื่นขึ้นมาทุกเช้าด้วยความกระปรี้กระเปร่าเต็มที่ได้ไหม? ไม่มีสักคนที่คุณรู้จักนั้นป่วยหรือตาย. แม้แต่ผู้เป็นที่รักของคุณที่ตายไปก็ถูกนำกลับคืนมาหาคุณโดยทางการกลับเป็นขึ้นจากตาย. (ยะซายา 35:5, 6; โยฮัน 5:28, 29) ไม่มีความวิตกกังวลในเรื่องเศรษฐกิจอีกต่อไป ซึ่งระบบการค้าอันเห็นแก่ตัวหรือระบบเศรษฐกิจที่ไม่เสมอภาคนั้นก่อให้เกิดขึ้น. คุณมีบ้านที่สุขสบายของคุณเองและมีที่ดินมากมายที่จะเพาะปลูกทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว. (ยะซายา 65:21-23) คุณจะเดินไปที่ไหน ๆ ในเวลาใด ๆ ทั้งกลางวันกลางคืนได้โดยไม่กลัวการทำร้าย. ไม่มีสงครามอีกต่อไป—ไม่มีอะไรมาคุกคามความปลอดภัยของคุณ. ทุก ๆ คนห่วงใยในสวัสดิภาพของคุณ. คนชั่วหมดสิ้นไปแล้ว. ความรักและความชอบธรรมเข้าครอบงำ. คุณนึกภาพสมัยดังกล่าวได้ไหม? นี้แหละคือโลกชนิดที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะนำมา.—บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11; 85:10-13; มีคา 4:3, 4.
นี้เป็นเพียงการฝันกลางวันเท่านั้นไหม? เปล่าเลย. โปรดอ่านข้อคัมภีร์ที่มีการอ้างถึงในวรรคก่อน และคุณจะพบว่าทุกสิ่งที่กล่าวไว้นั้นสะท้อนถึงคำทรงสัญญาอันแน่ชัดของพระเจ้า. ถ้าหากจนกระทั่งบัดนี้คุณยังไม่ได้รับภาพที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าสามารถทำได้และจะกระทำเพื่อมนุษยชาติ ดังนั้นแล้ว มีใครบางคนได้ขโมยคำโอวาทของพระเจ้าไปจากคุณ.
น่ายินดี คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพเช่นนั้นต่อไป. พระเยซูตรัสว่าในสมัยของเรา “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ แล้วจุดอวสานจะมาถึง.” (มัดธาย 24:14, ล.ม.) วารสารที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้เป็นส่วนแห่งงานประกาศนั้น. เราสนับสนุนคุณให้หลีกเลี่ยงการถูกหลอกโดยผู้พยากรณ์เท็จ. จงตรวจดูพระวจนะของพระเจ้าให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเพื่อพบความจริงในเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. ครั้นแล้ว จงยอมตัวอยู่ใต้ราชอาณาจักรนั้นซึ่งเป็นการจัดเตรียมของพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้บำรุงเลี้ยงองค์ใหญ่ยิ่ง. จริง ๆ แล้ว นั่นเป็นความหวังอย่างเดียวของมนุษย์และราชอาณาจักรนั้นจะไม่ล้มเหลว.
[รูปภาพหน้า 5]
[รูปภาพหน้า 7]
เช่นเดียวกับผู้เลี้ยงแกะที่เปี่ยมด้วยความรัก พระยะโฮวาจะทรงนำมาซึ่งสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ไม่สามารถนำมาได้นั้นโดยทางราชอาณาจักรของพระองค์