ราชอาณาจักรของพระเจ้า—คุณเข้าใจความหมายไหม?
“ส่วนพืชซึ่งหว่านตกที่ดินดีนั้น. ได้แก่ผู้ที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ.”—มัดธาย 13:23.
1. มีการเชื่อกันอย่างไรบ้างเกี่ยวกับ ‘ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์’?
คุณ “เข้าใจ” ไหมว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด? ความคิดเห็นเกี่ยวด้วย ‘ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์’ นั้นแตกต่างกันมากตลอดหลายศตวรรษ. ความเชื่อทั่วไปของสมาชิกคริสตจักรบางคนสมัยนี้ถือว่า ราชอาณาจักรเป็นอะไรบางอย่างที่พระเจ้าใส่ไว้ในหัวใจของคนเราตอนที่เขาเปลี่ยนเข้ามาเลื่อมใสพระเจ้า. ส่วนคนอื่นคิดว่า ราชอาณาจักรหมายถึงแดนสุขาวดีอันเป็นที่ที่คนดีจะไปอยู่เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว. แต่ยังมีบางคนอ้างว่าพระเจ้าปล่อยให้เป็นเรื่องของมนุษย์ที่จะดำเนินงานจัดตั้งราชอาณาจักรบนแผ่นดินโลก โดยปลูกฝังคำสอนและกิจปฏิบัติต่าง ๆ ฝ่ายคริสเตียนเข้าไปในกิจกรรมทางสังคมและทางการปกครอง.
2. คัมภีร์ไบเบิลชี้แจงไว้อย่างไรเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า และราชอาณาจักรนี้จะทำอะไรให้สัมฤทธิผล?
2 อย่างไรก็ดี คัมภีร์ไบเบิลแจ้งไว้ชัดว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่สถาบันบนแผ่นดินโลก ทั้งหาได้หมายถึงสภาพในหัวใจหรือการทำให้สังคมมนุษย์เป็นคริสเตียนไม่. จริงอยู่ ความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับราชอาณาจักรนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โตในชีวิตของบรรดาผู้ที่สำแดงความเชื่อในราชอาณาจักร. แต่จริง ๆ แล้ว ราชอาณาจักรคือรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นในสวรรค์ ซึ่งทำให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ คือขจัดผลเสียต่าง ๆ อันสืบเนื่องจากบาปและความตาย และฟื้นฟูสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ชอบธรรมบนแผ่นดิน. ราชอาณาจักรนี้ได้อำนาจปกครองแล้วในสวรรค์ และอีกไม่นาน “อาณาจักรนี้จะทำลายอาณาจักรอื่น ๆ ลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น, และอาณาจักรนี้จะดำรงอยู่เป็นนิจ.”—ดานิเอล 2:44; วิวรณ์ 11:15; 12:10.
3. เมื่อพระเยซูเริ่มงานรับใช้ของพระองค์ ได้มีการเปิดแนวทางอะไรแก่มนุษย์?
3 นักประวัติศาสตร์ เอช. จี. เวลล์ส ได้เขียนไว้ว่า “หลักคำสอนเรื่องราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์นี้ ซึ่งเป็นคำสอนสำคัญของพระเยซู และซึ่งมีบทบาทน้อยมากในหลักข้อเชื่อของศาสนาคริสเตียน เป็นหนึ่งในหลักคำสอนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงที่สุดซึ่งเคยปลุกเร้าและเปลี่ยนความคิดของมนุษย์มาแล้วอย่างแน่นอน.” นับแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว สาระสำคัญแห่งงานสั่งสอนของพระเยซูคือ “ท่านทั้งหลาย จงกลับใจเสียใหม่ เพราะราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์มาใกล้แล้ว.” (มัดธาย 4:17, ล.ม.) พระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกเวลานั้นฐานะเป็นกษัตริย์ผู้ถูกเจิม และน่ายินดีอย่างยิ่ง บัดนี้หนทางได้เปิดให้แก่มนุษย์ ไม่เพียงแต่จะร่วมรับพระพรแห่งราชอาณาจักรนั้น แต่ที่จะได้ร่วมปกครองและเป็นปุโรหิตกับพระเยซูในราชอาณาจักรด้วย!—ลูกา 22:28-30; วิวรณ์ 1:6; 5:10.
4. ฝูงชนสมัยศตวรรษแรกมีการตอบสนองอย่างไรต่อ “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร” ซึ่งนำไปสู่การพิพากษาเช่นไร?
4 ขณะฝูงชนเป็นอันมากได้ยิน “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร” ซึ่งน่าตื่นเต้น แต่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นได้เชื่อถือ. ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้นำทางศาสนาได้ “ปิดเมืองสวรรค์ [“ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์,” ล.ม.] ไว้จากมนุษย์.” โดยคำสอนเท็จของเขา เขา “เอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย.” เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับพระเยซูในฐานะพระมาซีฮาและกษัตริย์ผู้ถูกเจิมสำหรับราชอาณาจักรของพระเจ้า พระเยซูจึงตรัสแก่พวกเขาดังนี้: “แผ่นดิน [“ราชอาณาจักร,” ล.ม.] ของพระเจ้าจะต้องเอาไปจากท่าน, ยกให้แก่ประเทศหนึ่งประเทศใด [“ชาติหนึ่ง,” ล.ม.] ซึ่งจะกระทำให้ผลเจริญสมกับแผ่นดินนั้น.”—มัดธาย 4:23, ล.ม.; 21:43; 23:13; ลูกา 11:52.
5. ผู้คนส่วนใหญ่ที่ได้ฟังอุทาหรณ์ของพระเยซูแสดงอย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้ฟังด้วยความเข้าใจ?
5 เมื่อทรงสั่งสอนฝูงชนจำนวนมาก ณ โอกาสหนึ่ง พระเยซูทรงใช้ชุดอุทาหรณ์ดังที่ทรงปฏิบัติเสมอมาเพื่อทดสอบดูใจฝูงชน และเพื่อแยกคนจำพวกที่สนใจราชอาณาจักรแต่เพียงผิวเผินออกไป. อุทาหรณ์เรื่องแรกกล่าวถึงผู้หว่านเมล็ดพืชลงในดินสี่ชนิด. ดินสามชนิดแรกไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของพืช แต่ดินชนิดสุดท้ายเป็น “ดินดี” ซึ่งให้ผลผลิตที่ดี. พระองค์จบอุทาหรณ์สั้น ๆ นี้ด้วยคำกระตุ้นเตือนว่า “ใครมีหูจงฟังเถิด.” (มัดธาย 13:1-9) คนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ที่นั่นได้ยินพระองค์ แต่พวกเขาไม่ได้ “ฟัง.” พวกเขาไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่สนใจจริงจะเรียนรู้ว่าเมล็ดพืชซึ่งหว่านภายใต้สภาพการณ์ต่าง ๆ เป็นเหมือนราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์อย่างไร. พวกเขาต่างคนต่างกลับบ้านดำเนินชีวิตประจำวันของตนต่อไป คงจะคิดว่า อุทาหรณ์ของพระเยซูก็ไม่ต่างกันกับนิทานดี ๆ ที่ให้คติสอนใจ. พวกเขาพลาดความเข้าใจอันอุดมบริบูรณ์ อีกทั้งสิทธิพิเศษและโอกาสงาม ๆ หลายประการไปอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากหัวใจของเขาไม่ตอบสนอง!
6. เหตุใดความเข้าใจเกี่ยวด้วย “ข้อลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์” ทรงโปรดให้เฉพาะเหล่าสาวกของพระเยซูพวกเดียว?
6 พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ดังนี้: “ข้อลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ [“ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์,” ล.ม.] ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้, แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้.” โดยยกข้อความจากพระธรรมยะซายา พระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า “เพราะว่าใจของคนเหล่านี้ก็แข็งกะด้าง, หูก็ตึง, และตาเขาก็หลับเสีย, กลัวเกลือกว่าจะได้เห็นด้วยตา, และจะได้ยินกับหู, และจะได้เข้าใจ, แล้วจะได้กลับใจเสียใหม่, และเราจะได้รักษาเขาให้หาย. แต่ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น, และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน.”—มัดธาย 13:10-16; มาระโก 4:11-13.
การ ‘เข้าใจความหมาย’ เกี่ยวด้วยราชอาณาจักร
7. เหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักร?
7 พระเยซูทรงชี้ถึงปัญหา. เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการ ‘เข้าใจความหมายเกี่ยวด้วย’ ข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร. พระองค์ตรัสแก่สาวกของพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น. เมื่อผู้ใดได้ยินคำแห่งแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ, ผู้ชั่วก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย.” พระองค์ทรงอธิบายต่อไปว่า ดินสี่ชนิดโดยนัยแล้วหมายถึงสภาพหัวใจที่ต่างกัน ซึ่ง “คำแห่งแผ่นดินพระเจ้า” ถูกหว่านลงไป.—มัดธาย 13:18-23; ลูกา 8:9-15.
8. อะไรขัดขวาง “พืช” ซึ่งได้หว่านลงในดินสามชนิดแรกนั้นจนไม่บังเกิดผล?
8 “พืช” ที่หว่านลงในดินแต่ละชนิดนั้นดี ทว่า ผลผลิตที่ออกมาย่อมขึ้นอยู่กับสภาพดิน. หากสภาพหัวใจเป็นเหมือนดินตามทางที่ผู้คนเดินผ่านไปมาไม่หยุดหย่อน เป็นดินแน่นแข็งเนื่องจากกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เกี่ยวกับฝ่ายวิญญาณ ก็ยิ่งง่ายสำหรับผู้ที่ได้ยินข่าวราชอาณาจักรจะแก้ตัว โดยการพูดว่าไม่มีเวลาให้กับเรื่องราชอาณาจักร. เมล็ดพืชที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่อาจถูกจิกไปได้ง่าย ๆ ก่อนเมล็ดจะงอกราก. แต่ถ้าเมล็ดพืชถูกหว่านลงในหัวใจซึ่งเปรียบได้กับดินปนหินล่ะ? พืชอาจงอกรากได้ แต่คงยากที่จะหยั่งรากลึกลงไปเพื่อดูดอาหารขึ้นมาเลี้ยงลำต้นและจะยืนต้นอยู่ได้. ความคาดหวังที่จะเป็นผู้รับใช้ที่เชื่อฟังพระเจ้า โดยเฉพาะเมื่อถูกการกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรง คงจะเป็นการท้าทายที่หนักหน่วง และบางคนอาจสะดุดล้ม. และนอกจากนี้ ถ้าสภาพหัวใจเต็มล้นด้วยความกระวนกระวายหรือความอยากได้ใคร่มีวัตถุปัจจัยต่าง ๆ พืชราชอาณาจักรซึ่งยังอ่อนอยู่ก็คงจะงันไป. สภาพจริงในชีวิตทั้งสามอย่างเหล่านี้คงจะไม่สามารถผลิตผลแห่งราชอาณาจักรออกมาได้.
9. เหตุใดเมล็ดพืชที่หว่านลงในดินดีสามารถจะเกิดผลดีได้?
9 แต่จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับเมล็ดพืชราชอาณาจักรที่ได้หว่านลงในดินดี? พระเยซูทรงตอบดังนี้: “ส่วนพืชซึ่งหว่านตกที่ดินดีนั้น. ได้แก่ผู้ที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ, จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง, หกสิบเท่าบ้าง, สามสิบเท่าบ้าง.” (มัดธาย 13:23) เมื่อ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักร พวกเขาแต่ละคนย่อมเกิดผลดีตามสภาวะของตน.
ความรับผิดชอบมาพร้อมกับความเข้าใจ
10. (ก) พระเยซูทรงชี้ให้เห็นอย่างไรว่าการ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรนำมาทั้งพระพรและความรับผิดชอบ? (ข) การที่พระเยซูมอบหมายให้ออกไปและทำให้คนเป็นสาวกนั้นเป็นพระบัญชาเฉพาะสำหรับเหล่าสาวกศตวรรษแรกเท่านั้นหรือ?
10 หลังจากได้ยกอุทาหรณ์อีกหกเรื่องเพื่อชี้แจงแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับราชอาณาจักร พระเยซูทรงถามเหล่าสาวกว่า “เจ้าทั้งหลายเข้าใจความหมายของเรื่องทั้งหมดนี้หรือ?” เมื่อเขาตอบว่า “เข้าใจ” พระองค์จึงตรัสดังนี้: “เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้สอนในที่สาธารณะทุกคน ครั้นได้รับการสอนเกี่ยวกับราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ เป็นเหมือนผู้ชาย เจ้าของบ้าน ซึ่งนำทั้งของใหม่และของเก่าออกมาจากคลังทรัพย์ของตน.” การสอนและการฝึกอบรมจากพระเยซูย่อมเสริมสร้างเหล่าสาวกของพระองค์ให้เป็นคริสเตียนที่อาวุโส ซึ่งสามารถนำเอาอาหารฝ่ายวิญญาณอันอุดมบริบูรณ์จาก “คลังทรัพย์” ของตนออกมาแจกจ่ายได้ไม่สิ้นสุด. เรื่องนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับราชอาณาจักรของพระจ้า. พระเยซูทำให้ชัดเจนว่าการ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรไม่เพียงแต่นำมาซึ่งพระพรนานาประการ แต่รวมไปถึงความรับผิดชอบด้วย. พระองค์ทรงบัญชาว่า “เหตุฉะนั้น จงไปและทำให้ชนจากทุกชาติเป็นสาวก . . . สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้. และนี่แน่ะ! เราอยู่กับเจ้าทั้งหลายตลอดไปจนกระทั่งช่วงอวสานแห่งระบบนี้.”—มัดธาย 13:51, 52; 28:19, 20, ล.ม.
11. พอถึงปีสากลศักราช 1914 มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นที่เกี่ยวโยงกับราชอาณาจักร?
11 ดังที่สัญญาไว้ พระเยซูทรงอยู่กับสาวกแท้ของพระองค์ตลอดศตวรรษต่าง ๆ เรื่อยมาจนถึงสมัยปัจจุบัน. ในสมัยสุดท้ายนี้ พระองค์ทรงประทานความเข้าใจแก่พวกเขาเป็นขั้น ๆ นอกจากนั้น พระองค์ทรงถือว่าพวกเขามีความรับผิดชอบจะใช้ประโยชน์จากความสว่างแห่งความจริงที่เพิ่มขึ้น. (ลูกา 19:11-15, 26) ปีสากลศักราช 1914 เรื่องราวสำคัญเกี่ยวกับราชอาณาจักรได้เริ่มคลี่คลายออกมาอย่างรวดเร็วและน่าพิศวง. ณ ปีนั้น ไม่เพียงแต่การ “คลอด” ราชอาณาจักรที่เฝ้ารอมานานได้อุบัติขึ้น แต่เป็นการเริ่มต้น “ช่วงอวสานแห่งระบบนี้” ด้วย. (วิวรณ์ 11:15; 12:5, 10; ดานิเอล 7:13, 14, 27) ด้วยการสังเกตเข้าใจความหมายเกี่ยวด้วยเหตุการณ์ปัจจุบัน คริสเตียนแท้จึงได้รณรงค์ประกาศเผยแพร่เรื่องราชอาณาจักรและการสั่งสอนครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์. พระเยซูตรัสพยากรณ์เรื่องนี้ไว้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.”—มัดธาย 24:14, ล.ม.
12. (ก) การให้คำพยานอย่างกว้างขวางในปัจจุบันเกี่ยวกับราชอาณาจักรบังเกิดผลอย่างไร? (ข) ในโลกที่ผู้คนตั้งข้อสงสัย มีอันตรายอะไรสำหรับคริสเตียน?
12 การให้คำพยานเรื่องราชอาณาจักรอย่างกว้างขวางเช่นนี้แผ่เข้าไปในดินแดนต่าง ๆ มากกว่า 230 ดินแดน. สาวกแท้ห้าล้านกว่าคนกำลังร่วมทำงานนี้อยู่ และคนอื่น ๆ กำลังถูกรวบรวมเข้ามา. แต่ถ้าเราเปรียบเทียบจำนวนสาวกกับประชากรโลก 5.6 พันล้านคน เห็นได้ชัดว่า เหมือนสมัยพระเยซู มนุษยชาติส่วนใหญ่ไม่ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักร. ดังที่ทำนายไว้ ผู้คนมากมายเยาะเย้ยและกล่าวว่า “การประทับของพระองค์ที่ทรงสัญญาไว้นี้อยู่ที่ไหนล่ะ?” (2 เปโตร 3:3, 4, ล.ม.) อันตรายสำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียนก็คือ ความไม่แยแส, การตั้งข้อสงสัย, ทัศนะที่ฝักใฝ่ทางวัตถุของผู้คนอาจค่อย ๆ ส่งผลกระทบแง่คิดที่เรามีต่อสิทธิพิเศษแห่งราชอาณาจักรได้. ขณะที่เราอยู่ท่ามกลางผู้คนของโลก เราอาจเริ่มรับเอาแง่คิดและกิจปฏิบัติบางอย่างของเขามาไว้อย่างง่ายดาย. เป็นสิ่งจำเป็นเพียงใดที่เราจะ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรของพระเจ้าและยึดมั่นกับความเข้าใจนั้น!
ตรวจสอบตนเองในประเด็นเกี่ยวกับราชอาณาจักร
13. เกี่ยวกับการมอบหมายให้ประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร เราอาจทดสอบได้อย่างไรว่าเรายังคง “ฟัง” อย่างต่อเนื่องพร้อมกับการสังเกตเข้าใจ?
13 พระเยซูตรัสถึงสมัยของเราว่าเป็นช่วงการเก็บเกี่ยวดังนี้: “บุตรมนุษย์จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิดและบรรดาผู้ที่กระทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน, คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจแสงดวงอาทิตย์. ใครมีหูจงฟังเถิด.” (มัดธาย 13:41, 43) คุณกำลัง “ฟัง” อย่างต่อเนื่องไหม พร้อมด้วยการตอบรับอย่างเชื่อฟังต่อคำสั่งที่ให้ประกาศเรื่องราชอาณาจักรและทำให้คนเป็นสาวก? จำไว้ว่า “พืชซึ่งหว่านตกที่ดินดีนั้น” ‘ได้ยินพระวจนะและเข้าใจ’ และบังเกิดผลดี.—มัดธาย 13:23.
14. เมื่อเราได้รับคำแนะนำ เราแสดงให้เห็นโดยวิธีใดว่าเรา “เข้าใจ” ความหมายของคำแนะนำนั้น?
14 เมื่อทำการศึกษาส่วนตัวและเข้าร่วมประชุมคริสเตียน เราต้อง ‘น้อมใจของเราลงเพื่อความเข้าใจ.’ (สุภาษิต 2:1-4) เมื่อมีคำแนะนำเกี่ยวกับการประพฤติ, การแต่งกาย, ดนตรี, และการบันเทิง เราต้องยอมให้คำแนะนำนั้นเข้าไปในหัวใจของเรา และกระตุ้นเราให้ปรับเปลี่ยนตามที่จำเป็น. อย่าอ้างเหตุผล, หาข้อแก้ตัว, หรือไม่ตอบรับ. ถ้าราชอาณาจักรเป็นเรื่องจริงในชีวิตเรา เราย่อมดำเนินชีวิตตามมาตรฐานราชอาณาจักร อีกทั้งกระตือรือร้นจะประกาศให้ผู้อื่นทราบ. พระเยซูตรัสดังนี้: “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยประสงค์พระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์นั้นจึงจะเข้าได้.”—มัดธาย 7:21-23, ล.ม.
15. เหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะ ‘แสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระเจ้าก่อนสิ่งอื่น’?
15 ความโน้มเอียงของมนุษย์คือจะกระวนกระวายเรื่องอาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, และที่อยู่อาศัยที่จำเป็น แต่พระเยซูตรัสว่า “จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมดจะเพิ่มเติมให้แก่ท่าน.” (มัดธาย 6:33, 34, ล.ม.) เมื่อจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง จงทำให้ราชอาณาจักรขึ้นมาเป็นอันดับแรกในชีวิตของคุณ. รักษาชีวิตของคุณให้เรียบง่าย อิ่มใจพอใจกับการมีสิ่งจำเป็น. คงเป็นความโง่เขลาที่จะทำให้ชีวิตของเราเต็มไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ และการให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ไม่สำคัญ บางทีอ้างเหตุผลว่า การทำเช่นนี้เป็นที่ยอมรับได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ในตัวมันเองแล้วก็ใช่ว่าไม่ดี. แม้นั่นอาจเป็นความจริง แต่การได้มาซึ่งสิ่งไม่จำเป็นดังกล่าวและใช้สิ่งเหล่านั้นจะก่อผลเช่นไรต่อการศึกษาส่วนตัว, การเข้าร่วมประชุมคริสเตียน, และการมีส่วนในงานประกาศเผยแพร่? พระเยซูตรัสว่า ราชอาณาจักรเปรียบเหมือนพ่อค้าที่ได้พบ “มุกดาเม็ดหนึ่งมีราคามาก ก็ไปขายสิ่งสารพัตรซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อมุกดานั้น.” (มัดธาย 13:45, 46) นี่แหละควรเป็นความรู้สึกของเราต่อเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. เราควรเลียนแบบเปาโล ไม่ใช่เดมาซึ่งได้เลิกงานรับใช้ “ด้วยเขารักโลกปัจจุบันนี้.”—2 ติโมเธียว 4:10, 18; มัดธาย 19:23, 24; ฟิลิปปอย 3:7, 8, 13, 14; 1 ติโมเธียว 6:9, 10, 17-19.
“คนอธรรมจะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก”
16. การ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรของพระเจ้าจะช่วยพวกเราอย่างไรที่จะหลีกเว้นการประพฤติผิด?
16 เมื่อประชาคมโกรินโธยอมทนการประพฤติผิดศีลธรรม เปาโลได้พูดตรง ๆ ว่า “อะไรกัน! ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าคนอธรรมจะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก? อย่าให้ใครชักนำท่านให้หลง. คนผิดประเวณี หรือคนบูชารูปเคารพ หรือคนเล่นชู้ หรือชายเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ผิดธรรมชาติ หรือชายที่นอนกับชายด้วยกัน หรือขโมย, หรือคนโลภ, หรือนักเลงสุรา, หรือคนด่าประจาน, หรือคนกรรโชก จะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก.” (1 โกรินโธ 6:9, 10, ล.ม.) ถ้าเรา “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรของพระเจ้า เราจะไม่ลวงตนเองโดยคิดเสียว่าพระยะโฮวาจะทรงยอมทนต่อการประพฤติผิดศีลธรรมบางรูปแบบ ตราบใดที่พระองค์ทรงเห็นเราขยันขันแข็งในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน. ไม่สมควรจะเอ่ยถึงความไม่สะอาดด้วยซ้ำในท่ามกลางพวกเรา. (เอเฟโซ 5:3-5) คุณสังเกตเห็นไหมว่า ความคิดหรือกิจปฏิบัติที่ไม่ดีบางอย่างของโลกนี้เริ่มแทรกซึมเข้ามาในชีวิตของคุณ? จงขจัดสิ่งชั่วเหล่านั้นออกจากชีวิตของคุณทันที! ราชอาณาจักรมีค่าล้ำเกินกว่าที่จะยอมให้หลุดมือไปเพราะเห็นแก่สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว.—มาระโก 9:47.
17. ในทางใดบ้างที่การหยั่งรู้ค่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะส่งเสริมความถ่อมใจและขจัดสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้สะดุดล้ม?
17 เหล่าสาวกของพระเยซูถามว่า “ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์?” พระเยซูทรงตอบเขาโดยให้เด็กเล็กคนหนึ่งมายืนท่ามกลางเขาแล้วตรัสว่า “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ, ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ [“ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์,” ล.ม.] ไม่ได้เลย. เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตต์ใจลงเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนนี้, ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์.” (มัดธาย 18:1-6) คนยโส, คนที่เอาแต่ใจตัวเอง, คนไม่สนใจไยดี, และคนละเลยกฎหมายจะไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้า ทั้งจะไม่ได้เป็นพลเมืองแห่งราชอาณาจักรนั้น. ความรักของคุณต่อพวกพี่น้อง, ความถ่อมใจของคุณ, ความเกรงกลัวพระเจ้ากระตุ้นคุณไหมที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นเหตุให้คนอื่นสะดุดเนื่องจากความประพฤติของคุณ? หรือคุณยืนกรานอ้าง “สิทธิ” ของตัวเองไหม โดยไม่คำนึงว่า ทัศนะและการกระทำแบบนี้อาจส่งผลกระทบอย่างไรต่อคนอื่น?—โรม 14:13, 17.
18. ผลจะเป็นประการใดต่อมนุษย์ที่เชื่อฟังเมื่อราชอาณาจักรของพระเจ้าทำให้พระประสงค์ของพระองค์สัมฤทธิผล ‘บนแผ่นดินโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์’?
18 อีกไม่นาน พระยะโฮวาพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะทรงสนองตอบเต็มที่ต่อคำอธิษฐานด้วยศรัทธาแรงกล้าที่ว่า “ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด. พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกอย่างนั้น.” ในไม่ช้า พระเยซูคริสต์กษัตริย์องค์ทรงราชย์จะเสด็จในแง่ที่ว่าประทับบนพระที่นั่งเพื่อดำเนินการพิพากษา เพื่อแยก “แกะ” ออกจาก “แพะ.” ครั้นถึงเวลากำหนด “กษัตริย์จะตรัสแก่พวกเหล่านั้นทางเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ‘มาเถิด เจ้าทั้งหลาย ซึ่งได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับราชอาณาจักรเป็นมรดกซึ่งตระเตรียมไว้สำหรับพวกเจ้าตั้งแต่การวางรากฐานโลก.’” ส่วนแพะ “จะไปสู่การตัดขาดเป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์.” (มัดธาย 6:10; 25:31-34, 46, ล.ม.) “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” จะขจัดระบบเก่าให้หมดสิ้น รวมไปถึงทุกคนที่ไม่ยอม “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักร. แต่หลายล้านคนที่รอดชีวิตผ่าน “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” และอีกหลายพันล้านคนซึ่งจะได้รับการปลุกขึ้นจากตายก็จะได้รับพระพรแห่งราชอาณาจักรเป็นมรดกตลอดชั่วกาลนานในอุทยานที่ฟื้นฟูแล้วบนแผ่นดินโลก. (วิวรณ์ 7:14) ราชอาณาจักรเป็นรัฐบาลใหม่ของแผ่นดินโลก ซึ่งปกครองจากสวรรค์. รัฐบาลนี้จะดำเนินการให้สำเร็จครบถ้วนตามพระประสงค์ของพระยะโฮวาที่มีต่อแผ่นดินโลกและมนุษยชาติ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อการเทิดทูนพระนามอันบริสุทธิ์ยิ่งของพระองค์. นับเป็นมรดกที่คุ้มค่ามิใช่หรือกับการทำงาน, การเสียสละ, และการรอคอย? นี่แหละคือสิ่งซึ่งการ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรน่าจะหมายถึงสำหรับพวกเรา!
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ ราชอาณาจักรของพระเจ้าหมายถึงอะไร?
▫ เหตุใดคนส่วนใหญ่ที่ฟังพระเยซูไม่ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักร?
▫ การ “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรนำมาทั้งพระพรและความรับผิดชอบอย่างไร?
▫ ในเรื่องการเผยแพร่ อะไรเป็นข้อบ่งชี้ว่าเรา “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรหรือไม่?
▫ เราแสดงโดยการประพฤติอย่างไรว่าเรา “เข้าใจ” ความหมายของคำแนะนำที่เราได้รับ?
[รูปหน้า 17]
เหล่าสาวกของพระเยซู “เข้าใจ” ความหมายเกี่ยวด้วยราชอาณาจักรและบังเกิดผลดี