ชีวิตของคุณ—มีจุดมุ่งหมายอะไร?
“ใจยังคงกำลังแนะนำข้าฯ ด้วยสติปัญญา . . . จนข้าฯ จะได้เห็นว่าอะไรจะดีกว่าสำหรับให้บุตรมนุษย์. . . . จนตลอดชีวิตของเขานั้น.”—ท่านผู้ประกาศ 2:3.
1, 2. เหตุใดไม่ผิดที่จะสนใจในตัวเองอย่างพอเหมาะพอควร?
คุณสนใจในตัวเองมิใช่หรือ? นั่นนับว่าเป็นเรื่องปกติ. ด้วยเหตุนี้ เรารับประทานอาหารในแต่ละวัน, เราหลับเมื่อรู้สึกเหนื่อย, และเราอยากอยู่กับเพื่อน ๆ และคนที่เรารัก. บางครั้งเราเล่นเกม, ว่ายน้ำ, หรือทำสิ่งอื่นที่เราชอบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราสนใจในตัวเองอย่างสมดุล.
2 ความสนใจในตัวเองเช่นนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงดลใจให้ซะโลโมเขียนที่ว่า “สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรจะดีไปกว่าจะกินและดื่มกับทำใจของเขาให้ชื่นชมสนุกสนานในการงานของตน.” โดยอาศัยประสบการณ์ ซะโลโมกล่าวเพิ่มเติมดังนี้: “นี่แหละข้าฯ ได้เห็นว่า, เป็นมาแต่พระหัตถ์ของพระเจ้า. ด้วยว่าใครจะกินได้เล่า, หรือใครจะชื่นชมได้เล่าในเมื่อเขาเอาตัวออกหากเสียจากพระเจ้าแล้ว?”—ท่านผู้ประกาศ 2:24, 25.
3. คำถามที่น่างงงวยอะไรบ้างที่คนส่วนใหญ่พบว่าไม่สามารถหาคำตอบได้?
3 แต่คุณทราบดีว่า ชีวิตไม่ได้มีเพียงแค่การกิน, การดื่ม, การพักผ่อนนอนหลับ, และการทำบางสิ่งที่ดี. เราพบกับความเจ็บปวด, ความผิดหวัง, และสิ่งที่ทำให้กังวล. และดูเหมือนว่าเราจะยุ่งเกินไปจนไม่มีเวลามาใคร่ครวญความหมายของชีวิตเรา. เป็นเช่นนั้นกับคุณไหม? หลังจากตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความรู้และทักษะของมนุษย์เราที่ก้าวไกลไปมาก เวอร์มันต์ รอยสเตอร์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล เขียนดังนี้: “ตรงนี้นับว่าน่าแปลก. เมื่อพิเคราะห์ดูตัวเอง, สภาพอับจนของมนุษย์เรา, และตำแหน่งของมนุษย์ในเอกภพนี้ เราไม่ได้รู้มากขึ้นสักเท่าใดนักเมื่อเทียบกับตอนที่ชีวิตเริ่มต้นขึ้นมา. เรายังคงงุนงงกับคำถามที่ว่า เราเป็นใคร, ทำไมเราจึงมีชีวิตอยู่, และอนาคตมีอะไรรอเราอยู่?”
4. ทำไมเราแต่ละคนน่าจะต้องการตอบคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเองได้?
4 คุณจะตอบคำถามนี้อย่างไรที่ว่า เราเป็นใคร? ทำไมเราอยู่ที่นี่? และอนาคตมีอะไรรอเราอยู่? นายรอยสเตอร์เสียชีวิตเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว. คุณคิดว่าถึงตอนนั้นเขาได้พบคำตอบที่น่าพอใจไหม? พูดให้ตรงจุดเข้าไปอีก มีวิธีที่คุณสามารถพบคำตอบได้ไหม? และการพบคำตอบเหล่านั้นจะสามารถช่วยคุณได้อย่างไรให้มีชีวิตที่มีความสุขและเปี่ยมด้วยความหมายมากขึ้น? ให้เรามาดูกัน.
แหล่งอันยอดเยี่ยมแห่งความหยั่งเห็นเข้าใจ
5. เหตุใดเราควรขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเมื่อเราแสวงหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งในคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับความหมายของชีวิต?
5 หากเราแสวงหาความหมายของชีวิตเราด้วยตัวเอง เราอาจประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อยหรือไม่พบความสำเร็จเลย เช่นเดียวกับชายหญิงส่วนใหญ่ แม้แต่คนที่มีประสบการณ์และความรู้กว้างไกล. แต่เราไม่ได้ถูกทิ้งให้แสวงหาแต่เพียงลำพังตัวเอง. พระผู้สร้างของเราทรงจัดความช่วยเหลือไว้ให้. เมื่อคุณคิดดูในเรื่องนี้ พระองค์ทรงเป็นแหล่งสูงสุดแห่งความเข้าใจและสติปัญญามิใช่หรือ เพราะพระองค์ทรงเป็นอยู่ “ตั้งแต่อดีตกาลจนตลอดอนาคตกาล” และทรงมีความรู้ครบถ้วนในเรื่องเอกภพและความเป็นมา? (บทเพลงสรรเสริญ 90:1, 2) พระองค์ทรงสร้างมนุษย์และสังเกตเห็นประสบการณ์ทั้งสิ้นของมนุษย์ ดังนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เราควรขอความช่วยเหลือเพื่อจะได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่มนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์ซึ่งมีความรู้และสมรรถนะในการเข้าใจจำกัด.—บทเพลงสรรเสริญ 14:1-3; โรม 3:10-12.
6. (ก) พระผู้สร้างได้ทรงจัดเตรียมอย่างไรให้มีความหยั่งเห็นเข้าใจที่จำเป็น? (ข) ซะโลโมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไร?
6 ขณะที่เราไม่สามารถคาดหมายให้พระผู้สร้างกระซิบที่ข้างหูของเราเพื่อเปิดเผยความหมายของชีวิต แต่พระองค์ได้ทรงจัดให้มีแหล่งแห่งความหยั่งเห็นเข้าใจ นั่นคือพระคำที่ทรงดลใจให้เขียนขึ้น. (บทเพลงสรรเสริญ 32:8; 111:10) พระธรรมท่านผู้ประกาศมีคุณค่าเป็นพิเศษในแง่นี้. พระเจ้าทรงดลใจผู้เขียนพระธรรมเล่มนี้เพื่อให้ “พระสติปัญญาแห่งกษัตริย์ซะโลโมมีมากยิ่งกว่าสติปัญญาชาวประเทศทั้งปวงฝ่ายทิศตะวันออก.” (1 กษัตริย์ 3:6-12; 4:30-34) “สติปัญญา . . . ของกษัตริย์ซะโลโม” สร้างความประทับใจอย่างยิ่งแก่ราชินีผู้มาเยือนจนพระนางตรัสว่า ซึ่งได้ยินมานั้นยังไม่ถึงครึ่งที่ได้เห็นจริง และคนที่ได้ยินพระสติปัญญาของพระองค์ก็เป็นสุขสำราญ.a (1 กษัตริย์ 10:4-8) เราเองก็สามารถได้ความหยั่งเห็นเข้าใจและความสุขจากพระสติปัญญาที่มาจากเบื้องบนที่พระผู้สร้างของเราทรงจัดเตรียมให้โดยทางซะโลโม.
7. (ก) ซะโลโมลงความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับกิจกรรมส่วนใหญ่ทั่วใต้ฟ้า? (ข) อะไรที่เป็นตัวอย่างแสดงถึงการที่ซะโลโมประเมินค่าสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง?
7 พระธรรมท่านผู้ประกาศสะท้อนให้เห็นพระสติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ซึ่งมีผลต่อหัวใจและสมองของซะโลโม. เนื่องจากมีเวลา, กำลังทรัพย์, และความหยั่งเห็นเข้าใจจะทำได้ ซะโลโมพินิจพิเคราะห์ “บรรดาการที่บังเกิดขึ้นทั่วใต้ฟ้า.” ท่านพบว่าส่วนใหญ่แล้วก็ “อนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลม” ซึ่งนี่คือการประเมินที่ได้รับการดลใจซึ่งเราควรจำเอาไว้เสมอเมื่อคิดถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต. (ท่านผู้ประกาศ 1:13, 14, 16) ซะโลโมเป็นคนจริงใจและยอมรับความเป็นจริง. ตัวอย่างเช่น ลองใคร่ครวญดูคำพูดของท่านที่ท่านผู้ประกาศ 1:15, 18. คุณทราบว่าในช่วงหลายศตวรรษมานี้ คนเราได้ทดลองระบอบการปกครองหลากหลายรูปแบบ บางครั้งก็พยายามด้วยน้ำใสใจจริงจะแก้ปัญหาและทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น. กระนั้น มีรัฐบาลใดไหมที่ได้ทำให้ทุกสิ่งของระบบที่ไม่สมบูรณ์นี้ซึ่ง “ถูกทำให้คด” กลับตรงได้? และคุณอาจได้เห็นแล้วว่า ยิ่งคนเรามีความรู้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งตระหนักชัดว่าในช่วงชีวิตอันสั้นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่. การตระหนักในข้อเท็จจริงนี้ทำให้หลายคนข้องขัดใจ แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเป็นอย่างนั้น.
8. วัฏจักรอะไรบ้างที่ดำเนินมานาน?
8 อีกจุดหนึ่งที่น่าพิจารณาคือวัฏจักรของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อเรา อย่างเช่น การขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ หรือการพัดของลมและการไหลของน้ำ. วัฏจักรเหล่านี้มีอยู่ในสมัยของโมเซ, ซะโลโม, นะโปเลียน, และในสมัยปู่ทวดของเรา. และวัฏจักรเหล่านี้ก็ยังคงดำเนินอยู่. ในทำนองคล้ายกัน “กาลสมัยของมนุษย์ต่างหมุนเวียนเปลี่ยนไป.” (ท่านผู้ประกาศ 1:4-7) จากแง่คิดของมนุษย์ แทบไม่มีอะไรเปลี่ยน. ผู้คนในสมัยโบราณและสมัยปัจจุบันต่างก็มีกิจกรรม, ความหวัง, ความทะเยอทะยาน, และความสำเร็จผลในชีวิตคล้าย ๆ กัน. แม้แต่ในท่ามกลางมนุษยชาติ บางคนมีชื่อเด่นดังในด้านความสวยงามหรือความสามารถ แต่คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหนในเวลานี้? พวกเขาตายไปและบางทีถูกลืมไปแล้ว. นี่ไม่ใช่ทัศนะในแง่ลบ. คนส่วนใหญ่ไม่สามารถแม้แต่จะบอกชื่อปู่ทวดย่าทวดหรือบอกได้ว่าท่านเกิดที่ไหนและศพฝังอยู่ที่ไหน. คุณคงจะเข้าใจแล้วว่าทำไมซะโลโมจึงเห็นอย่างที่ตรงตามความเป็นจริงว่ากิจการงานและความบากบั่นทั้งหลายของมนุษย์เราล้วนอนิจจัง.—ท่านผู้ประกาศ 1:9-11.
9. เราอาจได้รับการช่วยเหลืออย่างไรให้ได้รับความหยั่งเห็นเข้าใจตามความเป็นจริงในเรื่องสภาพของมนุษยชาติ?
9 แทนที่ทำให้เราข้องขัดใจ ความหยั่งเห็นเข้าใจที่มาจากพระเจ้าในเรื่องสภาพพื้นฐานของมนุษยชาติสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ โดยช่วยเราหลีกเลี่ยงการมีค่านิยมอย่างผิด ๆ ในเรื่องเป้าหมายหรือสิ่งที่คนเราแสวงหาซึ่งไม่ช้าจะมลายและถูกลบลืมไป. ความหยั่งเห็นเข้าใจนี้ควรจะช่วยเราให้ประเมินค่าสิ่งที่เรากำลังได้จากชีวิตและสิ่งที่เราพยายามบรรลุ. เพื่อเป็นตัวอย่าง แทนที่จะทำตัวเยี่ยงฤๅษีชีไพร เราสามารถมีความเพลิดเพลินจากการกินและดื่มอย่างสมดุล. (ท่านผู้ประกาศ 2:24) และดังที่เราจะเห็น ซะโลโมได้มาถึงข้อสรุปอย่างที่นำไปใช้การได้และมองในแง่ดีทีเดียว. กล่าวสั้น ๆ ข้อสรุปคือว่าเราควรหยั่งรู้ค่าอย่างลึกซึ้งต่อความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระผู้สร้าง ผู้ทรงสามารถช่วยเราให้มีความสุขชั่วนิรันดร์ มีอนาคตที่มีจุดมุ่งหมาย. ซะโลโมเน้นดังนี้: “บทสรุปของเรื่อง เมื่อได้ฟังทุกสิ่งแล้ว คือ: จงเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้และถือรักษาพระบัญชาของพระองค์. เพราะนี่คือพันธะทั้งสิ้นของมนุษย์.”—ท่านผู้ประกาศ 12:13, ล.ม.
จุดมุ่งหมายเมื่อได้พิจารณาวัฏจักรของชีวิต
10. ซะโลโมเปรียบเทียบสัตว์กับมนุษย์ในทางใด?
10 พระสติปัญญาของพระเจ้าที่สะท้อนให้เห็นในพระธรรมท่านผู้ประกาศสามารถช่วยเรามากขึ้นอีกในการพิจารณาเรื่องจุดมุ่งหมายในชีวิต. เป็นเช่นนั้นโดยวิธีใด? โดยที่ซะโลโมเพ่งเล็งความจริงอื่น ๆ อีกตามสภาพที่เป็นจริงซึ่งเราไม่ค่อยได้คิดถึง. ประการหนึ่งนั้นเกี่ยวกับข้อที่คล้ายคลึงกันระหว่างคนกับสัตว์. พระเยซูทรงเปรียบผู้ติดตามพระองค์ว่าเป็นเหมือนแกะ แต่ผู้คนทั่วไปไม่ค่อยชอบถูกนำไปเปรียบกับสัตว์. (โยฮัน 10:11-16) กระนั้น ซะโลโมยกข้อเท็จจริงบางอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ขึ้นมากล่าวดังนี้: “พระเจ้าจึงจะได้สำแดงให้ [เหล่าบุตรแห่งมนุษยชาติ] ดู, เพื่อเขาจะได้เห็นว่าเขาเป็นแต่สัตว์เดียรัจฉาน. เพราะเมื่อมีอะไรตกแก่บุตรมนุษย์ทั้งหลายก็ตกแก่สัตว์เดียรัจฉานด้วย; แม้มีเหตุอะไรสักอย่างหนึ่งตกแก่สัตว์เดียรัจฉานเช่นความตายตกแก่มนุษย์, ความตายก็ตกแก่สัตว์; . . . และมนุษย์ไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าสัตว์เดียรัจฉาน: เพราะว่าสารพัตรเป็นอนิจจัง. . . . ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นมาจากผงคลีดิน, และทั้งสองฝ่ายก็กลับเป็นผงคลีดินอีก.”—ท่านผู้ประกาศ 3:18-20.
11. (ก) อาจพรรณนาวัฏจักรชีวิตของสัตว์ชนิดหนึ่งที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างได้อย่างไร? (ข) คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการวิเคราะห์เช่นนั้น?
11 ขอให้นึกภาพสัตว์ที่คุณชอบเฝ้ามอง เช่นอาจเป็นตัวตุ่นหรือกระต่าย. (พระบัญญัติ 14:7; บทเพลงสรรเสริญ 104:18; สุภาษิต 30:26) หรือคุณอาจนึกภาพกระรอกซึ่งทั่วโลกมีอยู่มากกว่า 300 ชนิด. วงจรชีวิตของมันเป็นเช่นไร? หลังจากที่มันเกิดมา แม่ของมันก็จะทะนุถนอมเลี้ยงดูมันอยู่หลายสัปดาห์. ไม่นานมันก็มีขนปุกปุยและสามารถออกไปผจญโลกภายนอกได้. คุณอาจเห็นมันวิ่งปรู๊ดปร๊าดไปมาเพื่อเรียนรู้ในการหาอาหาร. แต่บ่อยครั้งดูเหมือนมันเพียงแต่วิ่งเล่น ดูจะมีความสุขกับวัยอันอ่อนเยาว์ของมัน. หลังจากเติบโตขึ้นมาได้สักปีหนึ่งหรือมากกว่านั้น มันก็จะหาคู่. จากนั้นมันต้องสร้างรังหรือโพรงที่อยู่และดูแลลูก ๆ ของมัน. หากมันพบผลไม้ และเมล็ดพืชที่เป็นอาหารเพียงพอ ครอบครัวกระรอกนี้ก็อาจเติบโตอ้วนท้วนและมีเวลาจะขยับขยายที่อยู่ของตัว. แต่ภายในชั่วเวลาไม่กี่ปี เจ้าสัตว์ชนิดนี้ก็จะเริ่มแก่ลงและจะเกิดอุบัติเหตุและเป็นโรคได้ง่าย. พออายุได้ประมาณสิบปีมันก็ตาย. กระรอกต่างชนิดกันก็จะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย แต่นั่นคือวงจรชีวิตของมัน.
12. (ก) ตามความเป็นจริงแล้ว เหตุใดวัฏจักรชีวิตของผู้คนมากมายจึงเหมือนกับวัฏจักรชีวิตของสัตว์โดยทั่วไป? (ข) คราวหน้าถ้าเราเห็นสัตว์ที่เรานึกไว้แล้วในใจ เราอาจคิดถึงอะไร?
12 คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดโต้แย้งอะไรต่อวงจรชีวิตแบบนั้นสำหรับสัตว์ และพวกเขาคงไม่ได้คาดว่ากระรอกคิดถึงจุดมุ่งหมายในชีวิต. อย่างไรก็ตาม ชีวิตมนุษย์หลายคนไม่ได้ต่างไปมากนักจากพวกสัตว์เหล่านั้นมิใช่หรือ? พวกเขาเกิดมาและได้รับการเลี้ยงดูตอนที่เป็นทารกอยู่. พวกเขารับประทานอาหาร, เติบโตขึ้น, และเล่นเมื่อเป็นวัยรุ่น. ไม่ช้าพวกเขาก็เป็นผู้ใหญ่ หาคู่ครอง และหาที่อยู่อาศัยและวิธีทำมาหากิน. หากพวกเขาประสบผลสำเร็จ พวกเขาอาจมีชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุขและขยับขยายบ้าน (รัง) เพื่อรองรับลูก ๆ ที่เกิดมา. แต่เวลาหลายสิบปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว และพวกเขาเริ่มแก่ตัวลง. หากไม่เป็นอะไรไปก่อนหน้านั้น พวกเขาอาจตายไปหลังจากที่ 70 หรือ 80 ปีอัน “ประกอบไปด้วยการลำบากและความทุกข์” ล่วงไป. (บทเพลงสรรเสริญ 90:9, 10, 12) คุณอาจลองคิดพิจารณาข้อเท็จจริงที่น่าคิดเหล่านี้ในคราวหน้าที่คุณเห็นกระรอก (หรือสัตว์อื่นที่คุณนึกถึง).
13. ผลบั้นปลายเช่นไรที่ปรากฏว่าเป็นจริงกับทั้งคนและสัตว์?
13 คุณสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดซะโลโมเปรียบชีวิตคนกับชีวิตสัตว์. ท่านเขียนดังนี้: “มีวาระกำหนดไว้สำหรับทุกสิ่ง . . . มีวาระสำหรับชาตะ, และวาระสำหรับมรณะ.” วาระสุดปลายคือความตายนั้นก็คล้ายกันสำหรับมนุษย์และสัตว์ “เช่นความตายตกแก่มนุษย์, ความตายก็ตกแก่สัตว์.” ท่านกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นมาจากผงคลีดิน, และทั้งสองฝ่ายก็กลับเป็นผงคลีดินอีก.”—ท่านผู้ประกาศ 3:1, 2, 19, 20.
14. บางคนพยายามเปลี่ยนวัฏจักรชีวิตตามปกติธรรมดาอย่างไร แต่ยังผลเป็นเช่นไร?
14 เราไม่จำเป็นต้องคิดว่าการประเมินค่าสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงเช่นนี้เป็นการคิดในแง่ลบ. จริงอยู่ บางคนพยายามเปลี่ยนสภาพการณ์ในชีวิต เช่นโดยการทำงานพิเศษเพื่อจะได้มีสิ่งต่าง ๆ ทางด้านวัตถุมากกว่าที่บิดามารดาของตนเคยมี. พวกเขาอาจมุมานะศึกษาเล่าเรียนนานหลายปีเพื่อจะสามารถมีมาตรฐานความเป็นอยู่สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามขยายโลกทัศน์ในเรื่องชีวิตให้กว้างขึ้น. หรือพวกเขาอาจจดจ่ออยู่กับการบริหารร่างกายหรือการวางแผนควบคุมการรับประทานอาหารเพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและชีวิตยืนยาวอีกนิด. ความพยายามเหล่านี้ก็อาจมีประโยชน์บางอย่าง. แต่ใครจะมั่นใจได้ว่าความพยายามเช่นนั้นจะเกิดผลแน่นอน? แม้แต่เมื่อประสบผลจริง ประโยชน์ที่ได้นั้นยาวนานแค่ไหน?
15. การประเมินค่าชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่อย่างตรงไปตรงมาเช่นไรที่นับว่าเป็นจริง?
15 ซะโลโมถามอย่างนี้: “เพราะเหตุยิ่งมีถ้อยคำมากขึ้นก็ยิ่งมีอนิจจังมากขึ้น, แล้วเป็นประโยชน์อะไรแก่มนุษย์เล่า? ใครคนไหนรู้ว่าสิ่งอะไรเป็นสิ่งที่ดีสำหรับมนุษย์ในชีวิตนี้, คือในระยะวันเดือนปีทั้งหลายแห่งชีวิตอันเหลว ๆ ของตนที่ได้เสียไปดุจดังเงาเล่า? หรือใครผู้ใดอาจบอกแก่มนุษย์ได้ว่า, สิ่งนี้สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นภายหลังตนที่ภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า?” (ท่านผู้ประกาศ 6:11, 12) เนื่องจากความตายค่อนข้างจะมาถึงอย่างรวดเร็วและความเพียรพยายามทั้งมวลของคนเราก็พลันจบสิ้นลง มีประโยชน์มากจริงไหมในการดิ้นรนเพื่อได้สิ่งฝ่ายวัตถุมาก ๆ หรือในการร่ำเรียนหลายปีในสถานศึกษาเพื่อจะมีทรัพย์สินเงินทองมาก? และเนื่องจากชีวิตนั้นสั้นมากและล่วงไปดุจเงา หลายคนเข้าใจดีว่าไม่มีเวลามากพอจะเปลี่ยนแนวไปติดตามเป้าหมายอย่างอื่นของมนุษย์เราอีกเมื่อเขาตระหนักว่าล้มเหลวเสียแล้ว; อีกทั้งคนเราไม่อาจจะมั่นใจได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับลูก ๆ ที่มา “ภายหลังตน.”
นี่เป็นเวลาจะสร้างชื่อเสียงที่ดี
16. (ก) เราควรทำอะไรซึ่งสัตว์ไม่สามารถทำได้? (ข) ความจริงอะไรอีกที่ควรมีผลกระทบวิธีคิดของเรา?
16 ไม่เหมือนสัตว์ เราที่เป็นมนุษย์มีความสามารถคิดใคร่ครวญว่า ‘ฉันมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? เป็นเพียงแค่วัฏจักรหนึ่งที่ตายตัวเท่านั้นไหม โดยมีวาระที่ได้เกิดมาแล้วก็วาระที่จะตายไป?’ ในเรื่องนี้ ขอให้ระลึกถึงความจริงในคำพูดของซะโลโมเกี่ยวกับมนุษย์และสัตว์ที่ว่า “ทั้งสองฝ่ายก็กลับเป็นผงคลีดินอีก.” นั่นหมายความว่าความตายทำให้ชีวิตของคนเรายุติลงอย่างสิ้นเชิงไหม? คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่า มนุษย์ไม่ได้มีจิตวิญญาณอมตะซึ่งดำรงชีพสืบไปต่อจากร่างกาย. มนุษย์เป็นจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย. (ยะเอศเคล 18:4, 20) ซะโลโมกล่าวอย่างละเอียดในเรื่องนี้โดยบอกว่า “คนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย, แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย, หรือเขาหาได้รับรางวัลอีกไม่เลย; ด้วยว่าใคร ๆ ก็พากันลืมเขาเสียหมดแล้ว. เมื่อมือไม้ของเจ้าจับการอันใดทำ, จงกระทำการอันนั้นด้วยกำลังวังชาของเจ้าเถิด; เพราะว่าไม่มีการงาน, หรือโครงการ, หรือความรู้หรือสติปัญญาในเมืองผี [“เชโอล,” ล.ม.] ที่เจ้าจะไปนั้น.”—ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10.
17. ท่านผู้ประกาศ 7:1, 2 น่าจะทำให้เราคิดใคร่ครวญถึงอะไร?
17 โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ไม่อาจหลีกพ้นเช่นนั้น ขอให้พิจารณาคำกล่าวนี้: “ชื่อเสียงหอมก็ดีกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ; และวันตายก็ดีกว่าวันเกิดของคนผู้หนึ่ง. ไปยังเรือนที่มีความโศกเศร้าก็ดีกว่าไปยังเรือนที่มีการเลี้ยงกัน: เพราะนั่นเป็นระยะที่สุดปลายของมนุษย์ทั้งปวง; และผู้ยังมีชีวิตอยู่จะเอาเหตุการณ์นั้นใส่ไว้ในใจตน.” (ท่านผู้ประกาศ 7:1, 2) เราคงต้องยอมรับว่า ความตายเป็น “ระยะที่สุดปลายของมนุษย์ทั้งปวง.” ไม่มีมนุษย์คนใดที่เคยพบน้ำอมฤต, รับประทานวิตามินรวม, ควบคุมอาหาร หรือหมกมุ่นในการบริหารร่างกายแล้วทำให้มีอมตชีพ. และตามปกติ เมื่อเขาตายไปไม่นานนัก “ใคร ๆ ก็พากันลืมเขาเสียหมดแล้ว.” ถ้าอย่างนั้น ทำไมชื่อเสียงที่ดี “ก็ดีกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ; และวันตายก็ดีกว่าวันเกิดของคนผู้หนึ่ง”?
18. เหตุใดเราแน่ใจได้ว่า ซะโลโมมีความเชื่อในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย?
18 ดังได้กล่าวไปแล้ว ซะโลโมมองสิ่งต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง. ท่านรู้ว่าอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบซึ่งเป็นบรรพบุรุษของท่านได้สร้างชื่อเสียงที่ดีเอาไว้กับพระผู้สร้างของเรา. ด้วยทรงรู้จักอับราฮามอย่างดี พระยะโฮวาพระเจ้าทรงสัญญาจะอวยพระพรท่านและพงศ์พันธุ์ของท่าน. (เยเนซิศ 18:18, 19; 22:17) ถูกแล้ว อับราฮามมีชื่อเสียงที่ดีกับพระเจ้า จนได้เป็นมิตรกับพระองค์. (2 โครนิกา 20:7; ยะซายา 41:8; ยาโกโบ 2:23) อับราฮามทราบว่า ชีวิตของท่านและของบุตรชายท่านไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่รู้จบ. ชีวิตมีความหมายมากกว่านั้นอย่างแน่นอน. เขาเหล่านี้มีความหวังอันแน่นอนที่จะมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะพวกเขามีจิตวิญญาณอมตะ แต่เพราะพวกเขาจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. อับราฮามเชื่อมั่นว่า “พระเจ้าสามารถจะปลุกเขา [ยิศฮาค] ให้เป็นขึ้นจากตายได้.”—เฮ็บราย 11:17-19, ล.ม.
19. เราอาจได้รับความหยั่งเห็นเข้าใจอะไรจากพระธรรมโยบในเรื่องความหมายของท่านผู้ประกาศ 7:1?
19 นั่นคือกุญแจไขให้เข้าใจว่า “ชื่อเสียงหอมก็ดีกว่าน้ำมันหอมอย่างวิเศษ; และวันตายก็ดีกว่าวันเกิดของคนผู้หนึ่ง” อย่างไร. เช่นเดียวกับโยบผู้มีชีวิตอยู่ก่อน ซะโลโมมั่นใจว่าพระองค์ผู้สร้างชีวิตมนุษย์ทรงสามารถคืนชีวิตให้. พระองค์สามารถทำให้คนที่ตายไปกลับมามีชีวิตอีก. (โยบ 14:7-14) โยบผู้ซื่อสัตย์กล่าวดังนี้: “พระองค์ [พระยะโฮวา] จะทรงเรียก และข้าพระองค์จะทูลตอบพระองค์ พระองค์จะทรงอาลัยอาวรณ์พระหัตถกิจของพระองค์.” (โยบ 14:15, ฉบับแปลใหม่) คิดดูซิ! พระผู้สร้างของเราทรง “อาลัยอาวรณ์” ผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์ซึ่งได้ตายไป. (“พระองค์ทรงประสงค์จะได้เห็นพระหัตถกิจของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง.”—เดอะ เจรูซาเลม ไบเบิล.) โดยใช้เครื่องบูชาค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์ พระผู้สร้างทรงสามารถปลุกมนุษย์ให้เป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 3:16; กิจการ 24:15) เห็นได้ชัดว่า มนุษย์สามารถต่างออกไปจากสัตว์เดียรัจฉานที่ต้องตาย.
20. (ก) เมื่อไรที่วันตายดีกว่าวันเกิด? (ข) การกลับเป็นขึ้นจากตายของลาซะโรคงต้องได้มีผลกระทบหลายคนอย่างไร?
20 นี่หมายความว่า วันตายย่อมดีกว่าวันที่คนเราเกิดมา หากถึงตอนนั้นเขาได้สั่งสมชื่อเสียงที่ดีกับพระยะโฮวา ผู้ทรงสามารถปลุกคนซื่อสัตย์ที่ตายไปให้มีชีวิตอีกได้. พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นซะโลโมองค์ยิ่งใหญ่ทรงพิสูจน์ให้เห็นจริงเช่นนั้น. ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงปลุกลาซะโรผู้ซื่อสัตย์ให้เป็นขึ้นจากตาย. (ลูกา 11:31; โยฮัน 11:1-44) ดังที่คุณคงจะสามารถนึกภาพออกได้ หลายคนที่เป็นประจักษ์พยานถึงการกลับมีชีวิตอีกครั้งของลาซะโรได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยได้เข้ามาเชื่อถือในพระบุตรของพระเจ้า. (โยฮัน 11:45) คุณคิดไหมว่าพวกเขาอาจรู้สึกว่าชีวิตปราศจากความหมาย และไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและจะไปที่ใด? ตรงกันข้าม พวกเขาสามารถเห็นได้ว่า ชีวิตเขาไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนสัตว์ที่เกิดมามีชีวิตอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็ตายไป. จุดประสงค์ในชีวิตผูกอยู่โดยตรงและอย่างใกล้ชิดกับการได้มารู้จักพระบิดาของพระเยซูและทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. คุณล่ะเป็นอย่างไร? การพิจารณาเรื่องนี้ช่วยคุณให้มองเห็นหรือเห็นได้ชัดเจนขึ้นไหมว่าชีวิตคุณสามารถมีและน่าจะมีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงได้อย่างไร?
21. แง่มุมใดอีกในการหาความหมายของชีวิตที่เรายังอยากจะพิจารณากันต่อไป?
21 กระนั้น การดำรงชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายแท้และเปี่ยมด้วยความหมายมีความหมายยิ่งเสียกว่าการคิดเกี่ยวกับความตายและการมีชีวิตอีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นมากนัก. ชีวิตจะมีความหมายอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในชีวิตของเราแต่ละวัน. ซะโลโมได้ทำให้เรื่องนี้กระจ่างด้วยในพระธรรมท่านผู้ประกาศ ดังที่เราจะได้เห็นในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
a “คำพรรณนาเรื่องเกี่ยวกับราชินีแห่งชีบาเน้นพระสติปัญญาของซะโลโม และเรื่องราวนี้มักจะถูกเรียกว่าเป็นตำนาน (1 กษัตริย์ 10:1-13). แต่บริบทบ่งบอกว่า การมาเยือนของพระนางในรัชกาลของซะโลโมนั้นจริง ๆ แล้วเกี่ยวกับการค้าและดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้; จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์จริง.”—สารานุกรม ดิ อินเตอร์แนชันแนล สแตนดาร์ด ไบเบิล (1988) เล่มที่ 4 หน้า 567.
คุณจำได้ไหม?
▫ สัตว์และมนุษย์มีความคล้ายคลึงกันในทางใดบ้าง?
▫ เหตุใดความตายเน้นให้เห็นว่าความพยายามและกิจกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์เป็นสิ่งที่อนิจจัง?
▫ วันตายจะดีกว่าวันเกิดได้โดยวิธีใด?
▫ การที่เราจะมีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายขึ้นอยู่กับสัมพันธภาพอะไร?
[รูปภาพหน้า 10]
ชีวิตคุณแตกต่างอย่างมากจากชีวิตสัตว์เหล่านี้ในแง่ใด?