“สติปัญญาย่อมทำให้คนไม่โกรธเร็ว”
โค้ชบาสเกตบอลคนหนึ่งในวิทยาลัยถูกไล่ออกเพราะโมโหจนฟิวส์ขาด
เด็กคนหนึ่งระเบิดอารมณ์เพราะไม่ได้อย่างใจ
แม่กับลูกชายทะเลาะกันเสียงดังเพราะลูกทำห้องรกรุงรัง
เราทุกคนเคยเห็นคนโกรธ และเราเองบางครั้งก็เคยโกรธด้วยเหมือนกัน เราอาจจะมองว่าความโกรธเป็นอารมณ์ที่ไม่ดีที่ควรควบคุม แต่หลายครั้งเราเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผลที่จะโกรธ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่ามันไม่ยุติธรรม บทความที่เขียนโดยสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกาให้ความคิดเห็นว่า “ความโกรธเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นอารมณ์ของมนุษย์”
มุมมองแบบนี้อาจดูเหมือนว่าฟังขึ้นและรู้สึกว่าความโกรธเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อเรานึกถึงข้อความที่พระเจ้าดลใจให้เปาโลเขียนไว้ ที่ว่า “ถ้าจะโกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก” (เอเฟโซส์ 4:26) ถ้าอย่างนั้นเราควรระบายความโกรธไหม หรือเราควรพยายามควบคุมอารมณ์?
เราควรโกรธไหม?
เมื่อเปาโลให้คำแนะนำเกี่ยวกับความโกรธ เขาคงนึกถึงคำพูดของผู้เขียนหนังสือบทเพลงสรรเสริญที่ว่า “โกรธก็โกรธเถิดแต่อย่าทำบาป” (บทเพลงสรรเสริญ 4:4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971 ) เปาโลหมายความว่าอย่างไร? เขาอธิบายต่อว่า “ให้ท่านทั้งหลายขจัดความขุ่นแค้น ความโกรธ การเดือดดาล การตวาด และการพูดหยาบหยามออกไปเสียให้หมดพร้อมกับการชั่วทั้งปวง” (เอเฟโซส์ 4:31) จริง ๆ แล้วเปาโลกระตุ้นคริสเตียนให้ควบคุมอารมณ์ ไม่ใช่ระบายความโกรธ บทความที่เขียนโดยสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกาให้ความคิดเห็นที่น่าสนใจอีกว่า “ผลการวิจัยพบว่าการระเบิดอารมณ์ออกมา จริง ๆ แล้วยิ่งทำให้โกรธมากขึ้นไปอีก และไม่ได้ช่วยคุณ . . . แก้ปัญหาอะไรเลย”
แล้วอะไรจะช่วย “ขจัด” ความโกรธและผลเสียหายทั้งหมดที่ตามมา? กษัตริย์โซโลมอนผู้ชาญฉลาดของชาติอิสราเอลโบราณเขียนว่า “สติปัญญาย่อมทำให้คนไม่โกรธเร็ว และการไม่ถือโทษนั้นก็เป็นมงคลแก่เขา” (สุภาษิต 19:11) “สติปัญญา” หรือความเข้าใจจะช่วยคนเราได้อย่างไรเมื่อรู้สึกโกรธ?
สติปัญญาหรือความเข้าใจช่วยให้ไม่โกรธเร็ว
คนที่มีสติปัญญาหรือมีความเข้าใจสามารถที่จะมองสภาพการณ์ต่าง ๆ ให้ออกและไม่มองเรื่องต่าง ๆ แค่ผิวเผิน การมีความเข้าใจจะช่วยเราอย่างไรเมื่อถูกยั่วยุหรือทำให้โกรธ?
เมื่อเราเห็นความไม่ยุติธรรม เราอาจไม่พอใจ แต่ถ้าเราไม่ควบคุมอารมณ์และตอบโต้อย่างรุนแรง เราอาจทำร้ายตัวเองหรือคนอื่นได้ นี่ก็เหมือนกับไฟที่ไม่มีการควบคุมสามารถเผาทำลายบ้านทั้งหลังได้ ความโกรธที่ไม่ควบคุมก็อาจทำลายชื่อเสียงและความสัมพันธ์กับคนอื่น หรือแม้แต่กับพระเจ้าได้ ดังนั้น เมื่อเราเริ่มโกรธ เราก็ยิ่งต้องมองสภาพการณ์ต่าง ๆ ให้ออก การมองภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยเราให้ควบคุมอารมณ์ได้อย่างแน่นอน
กษัตริย์ดาวิดพ่อของโซโลมอนเกือบจะฆ่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เพราะทะเลาะกับชายคนหนึ่งที่ชื่อนาบาล แต่น่าดีใจที่มีคนช่วยดาวิดให้เข้าใจสถานการณ์ คือในตอนนั้นดาวิดและคนของเขาได้ปกป้องฝูงแกะของนาบาลในทะเลทรายยูดาห์ พอถึงฤดูตัดขนแกะ ดาวิดก็ไปขอเสบียงจากนาบาล แต่นาบาลกลับตอบว่า “ควรหรือที่เราจะเอาขนมปัง น้ำ และเนื้อที่เราฆ่าสำหรับคนตัดขนแกะของเราไปให้กลุ่มคนที่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า?” นี่มันดูถูกกันชัด ๆ! พอดาวิดได้ยินอย่างนั้น เขาก็พาพรรคพวก 400 คนพร้อมอาวุธครบมือจะออกไปจัดการกับนาบาลและคนของเขา—1 ซามูเอล 25:4-13, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
เมื่ออะบีฆายิลภรรยาของนาบาลได้รู้เรื่องนี้ก็รีบออกไปพบดาวิดและคนของเขา เธอก้มลงแทบเท้าของดาวิดและพูดว่า ‘ขอให้ข้าพเจ้าทูลต่อท่าน และจงฟังคำทาสของท่านเถิด’ แล้วเธอก็บอกดาวิดว่านาบาลเป็นคนโง่เขลาไร้สติ และถ้าดาวิดโกรธและแก้แค้นอาจต้องมาเสียใจภายหลังเพราะทำผิดฐานฆ่าคน—1 ซามูเอล 25:24-31
คำพูดของอะบีฆายิลช่วยดาวิดให้มีความเข้าใจอย่างไรที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น? อย่างแรก เขารู้ว่านาบาลเป็นคนโง่เขลา และอย่างที่สอง ดาวิดรู้ว่าถ้าตัวเองแก้แค้นอาจทำให้คนที่ไม่มีความผิดต้องตาย เช่นเดียวกับดาวิด เราอาจเจอสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้โกรธ เราควรทำอย่างไร? บทความจากมาโยคลินิกบอกวิธีจัดการกับความโกรธไว้ว่า “ใจเย็น ๆ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วนับ 1 ถึง 10” ใช่แล้ว เราควรหยุดและคิดว่าอะไรเป็นต้นเหตุของปัญหาและคิดถึงผลที่จะตามมา เมื่อทำอย่างนั้น สติปัญญาหรือความเข้าใจก็อาจช่วยเราไม่ให้โกรธเร็ว หรือถึงกับหายโกรธด้วยซ้ำ—1 ซามูเอล 25:32-35
หลายคนในทุกวันนี้ก็ใช้วิธีคล้าย ๆ กันเพื่อช่วยพวกเขาให้ควบคุมความโกรธ ตัวอย่างเช่น เซบาสเตียน อายุ 23 ปีที่ติดคุกอยู่ในโปแลนด์เล่าว่าการเรียนคัมภีร์ไบเบิลช่วยเขาควบคุมความโกรธและอารมณ์รุนแรงได้อย่างไร เขาบอกว่า “ผมคิดก่อนว่าอะไรเป็นต้นเหตุของปัญหา แล้วผมก็พยายามทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล ผมยอมรับว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นคู่มือที่ดีที่สุด”
เซทซูโอก็ใช้วิธีคล้าย ๆ กันนั้น เขาบอกว่า “ผมมักจะตะโกนใส่เพื่อนร่วมงานตอนที่เขาทำให้ผมโกรธ พอเรียนคัมภีร์ไบเบิลแล้ว แทนที่จะตะโกนผมจะคิดก่อนว่า ‘จริง ๆ แล้วปัญหาเกิดขึ้นเพราะอะไร? ผมมีส่วนผิดด้วยหรือเปล่า?’” การคิดอย่างนี้ทำให้เขาไม่โกรธเร็ว และสามารถควบคุมอารมณ์ได้
อารมณ์โกรธอาจรุนแรงแต่คำแนะนำจากพระคำของพระเจ้ามีพลังมากกว่า ถ้าเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้และอธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วย คุณก็จะมีสติปัญญาและความเข้าใจที่ทำให้คุณไม่โกรธเร็วหรือควบคุมความโกรธได้เหมือนกัน