คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน
เหตุใดชายที่เคยมีภรรยาหลายคนและต่อต้านพยานพระยะโฮวาจึงตัดสินใจเข้ามาเป็นพยานฯ? อะไรทำให้นักเทศน์นิกายเพนเทคอสต์คนหนึ่งเปลี่ยนความเชื่อ? อะไรช่วยให้ผู้หญิงที่มีชีวิตขมขื่นในวัยเด็กเอาชนะความรู้สึกเกลียดตัวเองและมีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า? ทำไมชายคนหนึ่งที่เคยคลั่งไคล้ดนตรีเฮฟวีเมทัลจึงมาเป็นผู้สอนศาสนา? เชิญอ่านเรื่องราวที่พวกเขาจะเล่าต่อไปนี้.
“ตอนนี้ผมเป็นสามีที่ดีขึ้น.”—รีโกเบร์ อูเอโต
ปีเกิด: 1941
ประเทศบ้านเกิด: เบนิน
อดีต: มีภรรยาหลายคนและต่อต้านพยานพระยะโฮวา
ชีวิตที่ผ่านมา:
ผมมาจากโคโตโนอูซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในเบนิน. ผมโตมาในครอบครัวคาทอลิกแต่ไม่ได้ไปโบสถ์เป็นประจำ. ในแถบที่ผมอยู่ ชาวคาทอลิกมักมีภรรยาหลายคนเพราะในสมัยนั้นยังไม่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย. ผมเองก็มีภรรยาถึงสี่คน.
เมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970 ผมคิดว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศของผม. ผมจึงสนับสนุนการปฏิวัติอย่างเต็มที่และเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง. ประชาชนที่สนับสนุนการปฏิวัติไม่ชอบพยานพระยะโฮวาเพราะพยานฯ ไม่เข้าข้างฝ่ายใด. ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ข่มเหงพยานฯ ด้วย. เมื่อมิชชันนารีของพยานฯ ถูกเนรเทศออกนอกประเทศในปี 1976 ผมมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้กลับเข้ามาอีก.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร:
การปฏิวัติสิ้นสุดลงในปี 1990. ผมแปลกใจมากเมื่อเห็นพวกมิชชันนารีพยานฯ กลับมาอีกครั้ง. ผมเริ่มคิดว่าบางทีพระเจ้าอาจอยู่กับคนพวกนี้ก็ได้. ในช่วงนั้นเอง ผมย้ายไปทำงานที่ใหม่. เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเป็นพยานฯ และหลังจากรู้จักกันได้ไม่นาน เขาก็เริ่มเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาของเขา. เขาให้ผมดูข้อความจากคัมภีร์ไบเบิลที่บอกว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีความรักและความยุติธรรม. (พระบัญญัติ 32:4; 1 โยฮัน 4:8) ผมรู้สึกประทับใจในคุณลักษณะเหล่านั้น. ผมต้องการเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระยะโฮวา ผมจึงตอบตกลงเมื่อเขาชวนให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.
หลังจากนั้นไม่นาน ผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมของพยานพระยะโฮวา. ผมประทับใจที่เห็นว่าพวกเขามีความรักแท้ต่อกัน และไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นหรือสีผิว. ยิ่งผมรู้จักพยานพระยะโฮวามากเท่าไร ผมก็ยิ่งแน่ใจว่าพวกเขาเป็นสาวกแท้ของพระเยซู.—โยฮัน 13:35
ผมรู้ว่าถ้าผมอยากรับใช้พระยะโฮวา ผมต้องตัดสินใจลาออกจากคริสตจักรคาทอลิก. แต่การทำเช่นนั้นไม่ง่ายเพราะผมกลัวคนอื่นจะไม่พอใจ. หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่นานและด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ในที่สุดผมก็ลาออกจากคริสตจักร.
ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมต้องเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่. ผมได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย. (เยเนซิศ 2:18-24; มัดธาย 19:4-6) ตามทัศนะของพระเจ้าแล้วการแต่งงานครั้งแรกถือว่าถูกต้อง. ดังนั้น ผมจึงจดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนแรกและเลิกกับภรรยาคนอื่น ๆ โดยจัดให้พวกเธอมีสิ่งจำเป็นต่าง ๆ อย่างพอเพียง. ต่อมา อดีตภรรยาของผมสองคนก็มาเป็นพยานพระยะโฮวาด้วย.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
แม้ว่าภรรยาของผมจะยังเป็นคาทอลิก แต่เธอก็นับถือการตัดสินใจของผมที่เลือกรับใช้พระยะโฮวา. เราต่างก็รู้สึกว่าตอนนี้ผมเป็นสามีที่ดีขึ้น.
ผมเคยคิดว่าผมจะพัฒนาชุมชนได้โดยเข้าไปมีบทบาททางการเมือง แต่ผลกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด. ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้. (มัดธาย 6:9, 10) ผมขอบคุณพระยะโฮวาที่สอนผมให้รู้จักแนวทางชีวิตที่นำไปสู่ความสุขแท้.
“ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง.”—อะเล็กซ์ เลมอส ซิลวา
ปีเกิด: 1977
ประเทศบ้านเกิด: บราซิล
อดีต: นักเทศน์นิกายเพนเทคอสต์
ชีวิตที่ผ่านมา:
ผมเติบโตขึ้นในแถบชานเมืองอีตู รัฐเซาเปาลู. ชุมชนแถบนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งอาชญากรรม.
ผมเป็นคนดุร้ายและไร้ศีลธรรม. นอกจากนั้น ผมยังลักลอบขนยาเสพติดด้วย. ในที่สุด ผมก็ตระหนักว่าถ้าผมยังใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไปผมคงต้องจบชีวิตในคุกหรือไม่ก็หลุมศพ. ผมจึงเลิกทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเริ่มไปเข้าโบสถ์ของนิกายเพนเทคอสต์ และในที่สุดผมก็ได้เป็นนักเทศน์.
ผมรู้สึกว่าการเป็นนักเทศน์ในโบสถ์ทำให้ผมสามารถช่วยผู้คนได้อย่างแท้จริง. ผมถึงกับจัดรายการสอนศาสนาทางวิทยุชุมชนจนมีชื่อเสียงโด่งดัง. แต่ต่อมาผมก็เริ่มมองเห็นว่าแท้จริงแล้วคริสตจักรไม่ได้สนใจสวัสดิภาพของเหล่าสมาชิกเลย แถมยังไม่สนใจจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยซ้ำ. ผมรู้สึกว่าเป้าหมายเพียงอย่างเดียวของคริสตจักรคือการหาเงิน. ผมจึงตัดสินใจลาออกจากคริสตจักร.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร:
เมื่อผมเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา ผมมองเห็นทันทีว่าพวกเขาไม่เหมือนศาสนาอื่น. มีสองอย่างที่ทำให้ผมประทับใจ. อย่างแรก พยานพระยะโฮวาไม่เพียงแต่พูด ว่ารักพระเจ้าและเพื่อนบ้าน แต่พวกเขาแสดง ให้เห็นด้วยการกระทำ. อย่างที่สอง พวกเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสงคราม. (ยะซายา 2:4) สิ่งที่เห็นทำให้ผมมั่นใจว่าผมได้พบศาสนาแท้ ซึ่งเป็นทางแคบที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์.—มัดธาย 7:13, 14
ผมรู้ว่าถ้าผมอยากทำให้พระเจ้าพอพระทัย ผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่าง. ผมต้องเอาใจใส่ครอบครัวให้มากกว่านี้. ผมต้องถ่อมใจมากขึ้นด้วย. ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาผมทำได้สำเร็จ. ภรรยาของผมประทับใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้. ที่จริง เธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก่อนผม แต่ตอนนี้เธอเอาจริงเอาจังกว่าเดิมและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว. ไม่นาน เราทั้งคู่ก็คิดว่าเราต้องการจะเป็นพยานพระยะโฮวา. ในที่สุด เราได้รับบัพติสมาในวันเดียวกัน.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
ผมกับภรรยายินดีมากที่ได้ช่วยลูกทั้งสามคนให้มีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระยะโฮวา. เราเป็นครอบครัวที่มีความสุข. ผมขอบคุณพระยะโฮวาที่ชักนำผมให้ได้พบความจริงในคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์. คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้จริง ๆ! ชีวิตผมนี่แหละเป็นข้อพิสูจน์.
“ฉันรู้สึกว่าตัวเองสะอาด และมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย.”—วิกตอเรีย ทัง
ปีเกิด: 1957
ประเทศบ้านเกิด: ออสเตรเลีย
อดีต: มีชีวิตวัยเด็กที่ขมขื่น
ชีวิตที่ผ่านมา:
ฉันโตขึ้นในเมืองนิวคาสเซิล รัฐนิวเซาท์เวลส์. ฉันเกิดมาในครอบครัวที่พ่อติดเหล้า. ฉันเป็นลูกสาวคนโตในบรรดาลูกเจ็ดคน. ทั้งพ่อและแม่ของฉันชอบใช้ความรุนแรง. แม่มักจะตบตีและด่าว่าฉันเป็นประจำ. แม่พูดบ่อย ๆ ว่าฉันเป็นคนเลวและจะต้องถูกทรมานในไฟนรก. คำขู่ของแม่ทำให้ฉันกลัวมาก.
ฉันถูกแม่ทุบตีอย่างทารุณจนต้องขาดเรียนบ่อย ๆ. เมื่ออายุ 11 ขวบ ฉันถูกพาไปอยู่ที่สถานคุ้มครองเด็กของรัฐบาลและต่อมาก็ถูกส่งไปอยู่ในคอนแวนต์แห่งหนึ่ง. พออายุ 14 ปีฉันหนีออกจากคอนแวนต์. ฉันไม่อยากกลับไปที่บ้าน ฉันจึงใช้ชีวิตอยู่ตามถนนในย่านคิงส์ครอสของซิดนีย์.
ระหว่างเร่ร่อนอยู่ตามถนน ฉันเสพยา ติดเหล้า ดูสื่อลามก และเป็นโสเภณี. ครั้งหนึ่งฉันเจอกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวจริง ๆ. ช่วงนั้นฉันอาศัยอยู่กับเจ้าของไนต์คลับแห่งหนึ่ง. เย็นวันหนึ่ง มีชายสองคนมาพบเขาที่อพาร์ตเมนต์. เขาบอกให้ฉันเข้าไปอยู่ในห้องนอน แต่ฉันแอบได้ยินพวกเขาคุยกัน. เจ้าของไนต์คลับเจรจาตกลงขายฉันให้กับชายสองคนนั้น. พวกเขาคิดจะซ่อนฉันในเรือสินค้าและส่งฉันไปทำงานในบาร์ที่ญี่ปุ่น. ฉันกลัวมากจึงกระโดดหนีออกไปทางระเบียง แล้ววิ่งไปขอให้คนช่วย.
ฉันพบชายคนหนึ่งซึ่งมาเที่ยวซิดนีย์. ฉันเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นและหวังว่าเขาจะให้เงินฉันบ้าง. แต่เขากลับชวนฉันไปที่ห้องพักของเขาเพื่ออาบน้ำและกินอะไรสักหน่อย. สุดท้าย ฉันก็พักอยู่กับเขา. แล้วหนึ่งปีหลังจากนั้น เราก็แต่งงานกัน.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตฉันอย่างไร:
เมื่อฉันเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา ฉันเกิดความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน. ฉันโกรธมากที่รู้ว่าซาตานเป็นต้นเหตุของความชั่ว ฉันถูกสอนมาตลอดว่าพระเจ้าเป็นผู้ก่อความทุกข์ยากให้เรา. ฉันโล่งใจเมื่อได้รู้ว่าพระเจ้าจะไม่ลงโทษมนุษย์ในไฟนรก ซึ่งเป็นคำสอนที่ทำให้ฉันหวาดกลัวมาตลอดตั้งแต่จำความได้.
ฉันรู้สึกประทับใจที่เห็นว่าเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ พยานฯ จะใช้คัมภีร์ไบเบิลเสมอ. พวกเขาดำเนินชีวิตตามความเชื่อจริง ๆ. ฉันเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก. แต่ถึงแม้ฉันจะพูดหรือแสดงกิริยาที่ไม่ดี พยานฯ ก็ยังปฏิบัติต่อฉันด้วยความรักและความนับถือ.
ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือฉันต้องต่อสู้กับความรู้สึกไร้ค่า. ฉันเกลียดตัวเองเหลือเกิน และแม้ว่าฉันจะรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวามานานหลายปีแล้วความรู้สึกนี้ก็ยังคงอยู่. ฉันรู้ว่าฉันรักพระยะโฮวา แต่ฉันก็เชื่อว่าพระองค์จะไม่มีวันรักคนอย่างฉันได้แน่ ๆ.
ในที่สุด หลังจากรับบัพติสมานานถึง 15 ปี ชีวิตฉันก็มาถึงจุดเปลี่ยน. วันนั้นฉันกำลังฟังคำบรรยายที่หอประชุมของพยานพระยะโฮวา และผู้บรรยายได้อ้างถึงยาโกโบ 1:23, 24. ข้อนั้นเปรียบพระคำของพระเจ้าเหมือนกระจกซึ่งช่วยให้เรามองตัวเองอย่างที่พระยะโฮวาทรงมองดูเรา. ฉันเริ่มสงสัยว่าบางทีฉันอาจมองตัวเองต่างไปจากที่พระยะโฮวามองดูฉัน. ทีแรก ฉันต่อต้านความคิดนี้. ฉันยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระยะโฮวาจะรักคนอย่างฉัน.
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉันได้อ่านข้อคัมภีร์ข้อหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตฉัน. ข้อนั้นคือยะซายา 1:18 ซึ่งที่นั่นพระยะโฮวาตรัสว่า “มาเถิด, ให้เรามาหารือตกลงกันเสียให้เด็ดขาด: แม้บาปของเจ้าจะแดงเป็นเหมือนสีที่แดงก่ำ, บาปนั้นก็อาจจะกลับกลายเป็นสีขาวเหมือนอย่างหิมะ.” ฉันรู้สึกเหมือนกับพระยะโฮวากำลังตรัสกับฉันว่า “มาเถิดวิกกี ให้เรามาตกลงกัน. เรารู้จักเจ้า เรารู้ว่าเจ้าทำบาปอะไร เรารู้ว่าหัวใจเจ้าเป็นอย่างไร และเราก็รักเจ้า.”
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ. ฉันยังสงสัยว่าพระยะโฮวาจะรักฉันได้จริง ๆ หรือ แต่แล้วฉันก็เริ่มคิดถึงเรื่องค่าไถ่ของพระเยซู. ทันใดนั้น ฉันก็คิดได้ว่าพระยะโฮวาทรงอดทนกับฉันมานานจริง ๆ และพระองค์แสดงให้เห็นมากมายหลายวิธีว่าพระองค์รักฉัน. แต่ฉันก็ทำเหมือนกับจะบอกพระองค์ว่า “ความรักของพระองค์ยังไม่มากพอที่จะเผื่อแผ่มาถึงคนอย่างลูก. ค่าไถ่ของพระบุตรของพระองค์ก็ยังไม่มีคุณค่าพอที่จะปิดคลุมบาปของลูกได้.” ฉันทำราวกับว่าฉันได้โยนค่าไถ่กลับไปให้พระยะโฮวา. แต่เมื่อได้คิดใคร่ครวญเรื่องค่าไถ่ที่พระเจ้าประทานให้ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่าพระยะโฮวาทรงรักฉันจริง ๆ.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
“ฉันรู้สึกว่าตัวเองสะอาด และมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย.” ชีวิตสมรสของฉันดีขึ้นและฉันมีความสุขที่สามารถใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น. ตอนนี้ฉันรู้สึกใกล้ชิดพระยะโฮวาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน.
“นี่เป็นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของผม.”—เซอเกย์ โบตันกิน
ปีเกิด: 1974
ประเทศบ้านเกิด: รัสเซีย
อดีต: คลั่งไคล้ดนตรีเฮฟวีเมทัล
ชีวิตที่ผ่านมา:
ผมเกิดที่วอตกินสค์ บ้านเกิดของปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี นักประพันธ์เพลงชื่อดัง. ครอบครัวของผมยากจน. พ่อของผมเป็นคนดีแต่ท่านติดเหล้า บรรยากาศในบ้านของเราจึงเต็มไปด้วยความเครียด.
ผมเรียนหนังสือไม่เก่ง และพอโตขึ้นก็กลายเป็นคนมีปมด้อย. ผมชอบเก็บตัวและไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ. การไปโรงเรียนทำให้ผมเครียดมาก. ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องรายงานหน้าชั้น หลายครั้งผมไม่สามารถอธิบายความคิดของตัวเองได้แม้แต่เรื่องง่าย ๆ ซึ่งถ้าเป็นเวลาอื่นผมจะไม่มีปัญหาเลย. พอจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สอง ครูเขียนในสมุดพกของผมว่า “รู้คำศัพท์น้อย อธิบายความคิดของตัวเองไม่ได้.” รายงานของครูทำให้ผมเจ็บปวดใจและยิ่งรู้สึกไร้ค่ามากขึ้นไปอีก. ผมเริ่มสงสัยว่าผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร.
ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น ผมเริ่มดื่มเหล้า. ตอนแรก การดื่มเหล้าทำให้ผมสบายใจ. แต่พอดื่มหนักขึ้น ผมก็รู้สึกผิด. ชีวิตของผมดูไร้ความหมาย. ผมซึมเศร้ามากขึ้น และบางครั้งผมจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านนานหลายวัน. ผมเริ่มคิดจะฆ่าตัวตาย.
พออายุ 20 ปีผมได้พบสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้นแม้จะเพียงชั่วคราวก็ตาม นั่นคือดนตรีเฮฟวีเมทัล. ดนตรีนี้ทำให้ผมมีชีวิตชีวาและผมเริ่มหาเพื่อนที่ฟังดนตรีประเภทเดียวกัน. ผมไว้ผมยาว เจาะหู และแต่งตัวเลียนแบบนักดนตรีที่ผมชื่นชอบ. นิสัยของผมค่อย ๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นคนกล้าบ้าบิ่นและก้าวร้าว. ผมมักมีเรื่องทะเลาะกับคนในครอบครัวบ่อย ๆ.
ผมคิดว่าการฟังดนตรีเฮฟวีเมทัลจะทำให้มีความสุข แต่ผลกลับตรงกันข้าม. ผมเปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน! และเมื่อผมรู้ว่านักดนตรีที่ผมคลั่งไคล้ก่อเรื่องไม่ดีบางอย่าง ผมก็รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง.
ผมเริ่มคิดฆ่าตัวตายอีกและครั้งนี้ผมตั้งใจจริง ๆ. สิ่งเดียวที่รั้งผมไว้คือผมเป็นห่วงว่าแม่จะรู้สึกอย่างไรถ้าผมฆ่าตัวตาย. แม่รักผมมากและท่านทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อผม. ผมทุกข์ใจเหลือเกิน. ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่ผมก็ฆ่าตัวตายไม่ได้.
เพื่อจะไม่หมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไป ผมจึงเริ่มอ่านวรรณกรรมคลาสสิกของรัสเซีย. ในวรรณกรรมเรื่องหนึ่งที่ผมอ่าน ตัวเอกของเรื่องทำงานอยู่ในโบสถ์. เรื่องที่อ่านกระตุ้นใจผมขึ้นมาทันทีให้อยากทำอะไรเพื่อพระเจ้าและคนอื่น ๆ. ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าจากหัวใจซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน. ผมทูลต่อพระเจ้าว่าขอทรงช่วยผมให้รู้วิธีใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย. ขณะที่อธิษฐานอยู่นั้น ผมรู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด. แต่ที่น่าประหลาดกว่านั้นคือ หลังจากนั้นแค่สองชั่วโมงก็มีพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านและชวนผมศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ผมเชื่อว่านี่เป็นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของผม. ชีวิตใหม่ที่มีความสุขของผมเริ่มขึ้นในวันนั้นเอง.
คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตผมอย่างไร:
แม้จะตัดใจได้ยาก แต่ผมก็เอาทุกสิ่งที่เกี่ยวกับดนตรีเฮฟวีเมทัลไปทิ้งจนหมด. อย่างไรก็ตาม ดนตรีที่ผมเคยฟังยังฝังอยู่ในหัวผมอีกนาน. ถ้าผมบังเอิญเดินผ่านไปในที่ที่มีการเปิดดนตรีพวกนั้น ผมจะคิดถึงอดีตขึ้นมาทันที. ผมไม่อยากให้ความทรงจำเก่า ๆ มาปะปนกับเรื่องดี ๆ ที่ผมเพิ่งปลูกฝังลงในความคิดจิตใจ. ผมจึงตั้งใจว่าจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้สถานที่เหล่านั้น. และถ้าผมเริ่มคิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาเมื่อไร ผมจะรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าทันที. การอธิษฐานอย่างแรงกล้าเช่นนั้นช่วยให้ผมมี “สันติสุขของพระเจ้าซึ่งเหนือกว่าความคิดทุกอย่าง.”—ฟิลิปปอย 4:7
เมื่อได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลผมจึงรู้ว่าคริสเตียนจำเป็นต้องบอกคนอื่นเกี่ยวกับความเชื่อของตน. (มัดธาย 28:19, 20) ผมเชื่อว่าผมไม่มีทางทำได้โดยเด็ดขาด. แต่ความรู้ใหม่ที่ผมได้เรียนทำให้ผมมีความสุขมากและมีใจสงบ. ผมรู้ว่าคนอื่น ๆ จำเป็นต้องได้เรียนรู้ความจริงเช่นกัน. ดังนั้น แม้จะรู้สึกกลัวแต่ผมก็เริ่มพูดคุยกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้. ผมนึกไม่ถึงเลยว่าการพูดคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับคนอื่นจริง ๆ แล้วกลับทำให้ผมมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น. และการทำเช่นนั้นยังช่วยให้ความเชื่อใหม่หยั่งรากลึกในหัวใจของผมด้วย.
ประโยชน์ที่ได้รับ:
ตอนนี้ผมแต่งงานแล้วและมีความสุขมาก. ผมดีใจที่ได้ช่วยหลายคนให้มาเรียนคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งแม่กับน้องสาวของผมด้วย. การรับใช้พระเจ้าและช่วยคนอื่นให้เรียนรู้จักพระองค์ทำให้ชีวิตของผมมีความหมายอย่างแท้จริง.