“นี่แน่ะ! เรากำลังสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่”
1-4 (ก) ท่านอยากจะชื่นชมกับสภาพการณ์อะไรบ้างตามที่แสดงไว้บนหน้าปก? (ข) ณ ที่นี่ความหวังอันรุ่งโรจน์อะไรที่เสนอไว้แก่ท่าน? (ค) ข้อพระคัมภีร์อะไรบ้างที่สนับสนุนความหวังเช่นนี้?
จงมองดูชนที่มีความสุขบนหน้าปกหนังสือนี้ซิ. ท่านอยากเป็นคนหนึ่งในกลุ่มนี้ไหม? ท่านคงบอกว่า ‘แน่นอน.’ เพราะที่นี่มีสันติสุขและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างที่มนุษย์ทุกคนปรารถนา. ชนทุกเชื้อชาติ—ไม่ว่าผิวดำ ผิวขาว หรือผิวเหลือง—ต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสนิทสนมประหนึ่งครอบครัวเดียวกัน. น่ายินดี! และมีความสามัคคีอะไรเช่นนี้! เห็นได้ชัดว่า ชนเหล่านี้ไม่วิตกกลัวสงครามนิวเคลียร์หรือการคุกคามของผู้ก่อการร้ายเลย. เครื่องบินรบไอพ่นก็ไม่ก่อกวนท้องฟ้าที่สงบเหนือสวนธรรมชาติอันสวยงามนี้. ไม่มีทหาร ไม่มีรถถัง ไม่มีปืน. แม้แต่กระบองตำรวจก็ไม่จำเป็นเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย. สงครามและอาชญากรรมย่อมไม่มีอย่างแน่นอน. และที่อยู่อาศัยก็ไม่ขาดแคลน เพราะทุกคนมีบ้านสวยงามเป็นของตนเอง.
2 จงมองดูเด็ก ๆ เหล่านี้ซิ! การเล่นของพวกเขาน่าสนุกจัง. ดูซิ สัตว์ต่าง ๆ ก็มาเล่นด้วย! สวนแห่งนี้ไม่ต้องมีกรงเหล็ก เพราะสัตว์ทุกตัวอยู่กันอย่างสงบสุขและไม่ทำร้ายมนุษย์. กระทั่งสิงโตกับลูกแกะก็เป็นเพื่อนกัน. ดูนกเหล่านั้นซิสีสันสวยสดงดงาม ขณะโผผินบินไปมา และฟังเสียงนกร้องเพลงไพเราะประสานเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ก้องกังวานไปทั่ว. นกไม่อยู่ในกรงหรือ? ไม่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนนี้มีอิสรภาพและความชื่นชมยินดีอย่างเต็มที่. ลองดมกลิ่นหอมของดอกไม้เหล่านี้ซิ ฟังเสียงน้ำไหลระลอกในลำธาร สัมผัสแสงแดดอันอบอุ่น. โอ้โฮ ผลไม้ในตะกร้าใบนั้นน่ารับประทานเสียจริง ๆ เป็นผลไม้ที่มีรสชาติดีเยี่ยมซึ่งเป็นผลผลิตจากแผ่นดินโลก ล้วนแต่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น เช่นเดียวกับทุกสิ่งที่มีและชื่นชมได้ภายในสวนอุทยานอันงดงามนี้.
3 บางคนอาจพูดว่า ‘แต่เดี๋ยวก่อน คนแก่ไปไหนกันหมด? คนแก่น่าจะมีโอกาสอยู่ร่วมในสังคมที่เปี่ยมด้วยความสุขนี้มิใช่หรือ?’ ที่จริง คนแก่ก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่พวกเขากลับเป็นคนหนุ่มอีก. ในสวนนี้ไม่มีใครตายเพราะชราภาพ. คนหนุ่ม ๆ ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แต่ไม่แก่มากไปกว่านั้น. ไม่ว่าอายุยี่สิบปีหรือสองร้อยปี แต่ละคนในชนจำนวนล้าน ๆ ที่อยู่ในสวนแห่งนี้ต่างก็ชื่นชมยินดีในความกระปรี้กระเปร่าแห่งวัยหนุ่มแน่นพร้อมด้วยสุขภาพสมบูรณ์. ท่านอาจถามว่า ล้าน ๆ คนเชียวหรือ? ใช่ จะมีคนจำนวนหลายล้าน เพราะอุทยานจะแผ่คลุมทั่วทุกหนทุกแห่ง. ทั่วโลกจะบริบูรณ์ด้วยสิ่งมีชีวิต สันติสุขและความงดงาม ตั้งแต่ภูเขาฟูจิในญี่ปุ่นจนถึงเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ ตั้งแต่ฮ่องกงจดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน. เพราะว่าแผ่นดินโลกทั้งสิ้นจะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นสวนที่มีแต่ความสุขสงบ. จะเป็นอุทยานที่คืนสู่สภาพเดิมทั่วทั้งโลก.
4 ท่านบอกว่า ‘ไม่น่าเชื่อ’ กระนั้นหรือ? แต่ก่อนอื่น ขอพิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์. เป็นไปได้ที่ท่านและครอบครัวจะรอดชีวิตผ่านระบบปัจจุบันที่มีแต่ความทุกข์ยากแล้วเข้าสู่อุทยานดังที่เห็นบนหน้าปกเล่มนี้.a
หนังสือที่อธิบายเรื่องอุทยาน
5. (ก) หนังสืออะไรอธิบายเรื่องเหล่านี้? (ข) หนังสือเล่มนี้เด่นในทางใดบ้าง?
5 สิ่งที่ดียอดเยี่ยมเหล่านี้ รวมทั้งหลักฐานที่ว่า สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงอย่างแน่นอนนั้นมีอธิบายไว้ในหนังสือที่วิเศษสุด. หนังสือนั้นเรียกว่าคัมภีร์ไบเบิล. ไบเบิลเป็นหนังสือเก่าแก่มาก บางส่วนได้รับการจารึกประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว. ในขณะเดียวกันไบเบิลเป็นหนังสือที่ทันสมัยที่สุดในด้านการให้คำแนะนำที่ดี ใช้ได้จริงในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน. คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ก่อความหวังอันสดใสสำหรับอนาคต. พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่จำหน่ายได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ มีการพิมพ์ครบเล่มออกจำหน่ายหรือบางส่วนที่สำคัญ ๆ มากกว่า 2,000,000,000 ฉบับ มากกว่า 1,810 ภาษา.
6. อะไรที่ทำให้พระคัมภีร์ไบเบิลแตกต่างไปจากบทจารึกอื่น ๆ ที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์?
6 ไม่มีหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มใดที่ได้จำหน่ายจ่ายแจกไปอย่างกว้างขวางและมีอายุนานเท่าพระคัมภีร์. คัมภีร์กุรอานของศาสนาอิสลามมีอายุไม่ถึง 1,400 ปี. พระพุทธเจ้าและขงจื้ออยู่ในสมัยประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว และบทจารึกของท่านทั้งสองก็มีอายุตั้งแต่เวลานั้น. คัมภีร์ศาสนาชินโตได้รับการเรียบเรียงอย่างที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็ไม่เกิน 1,200 ปีมาแล้ว. คัมภีร์มอร์มันมีอายุเพียง 160 ปีเท่านั้น. หนังสือศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่มีเล่มใดสามารถติดตามร่องรอยประวัติศาสตร์ของมนุษย์ย้อนหลังไปได้ถึง 6,000 ปีเหมือนอย่างคัมภีร์ไบเบิล. เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากเข้าใจศาสนาดั้งเดิมแล้ว เราจำต้องหันเข้าหาคัมภีร์ไบเบิล. ไบเบิลเป็นหนังสือเล่มเดียวเท่านั้นที่มีข่าวสารสำหรับมวลมนุษย์ทั้งสิ้น.
7. ชนผู้ชอบคิดกล่าวอย่างไรถึงพระคัมภีร์ไบเบิล?
7 คนช่างคิดจากทุกเชื้อชาติและจากฐานะอาชีพต่าง ๆ กันเคยยกย่องปัญญาสุขุมและความไพเราะของข่าวสารในพระคัมภีร์. เซอร์ ไอแซค นิวตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้เรืองนามและเป็นผู้ค้นพบกฎแรงดึงดูด ได้กล่าวดังนี้: “ไม่มีวิทยาศาสตร์สาขาใดมีหลักฐานดีไปกว่าคัมภีร์ไบเบิล.” แพทริค เฮนรี หัวหน้าปฏิวัติชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยถ้อยคำที่ว่า “จงให้อิสรภาพแก่ข้าพเจ้าเถิด มิฉะนั้น ก็ความตาย” เขาได้แถลงด้วยว่า “คัมภีร์ไบเบิลมีคุณค่าเกินกว่าหนังสือทุกประเภทที่เคยพิมพ์ออกมาแล้ว.” แม้แต่มหาตมะคันธีบัณฑิตชาวฮินดูผู้มีชื่อเคยพูดกับอุปราชอังกฤษประจำประเทศอินเดียดังนี้ “เมื่อใดที่ประเทศของท่านและของข้าพเจ้าตกลงกันตามคำสอนที่พระคริสต์ทรงบัญญัติไว้ในคำเทศน์บนภูเขา พวกเราคงแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ไม่เฉพาะปัญหาในประเทศเรา แต่ปัญหาของทั้งโลกด้วย.” คันธีอ้างถึงพระธรรมมัดธายบท 5 ถึง 7 ในพระคัมภีร์นั่นเอง. เชิญท่านอ่านข้อความนี้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วยตัวเอง และดูซิว่าท่านจะตื่นเต้นสักเพียงไรเนื่องด้วยข่าวสารที่มีอานุภาพเช่นนี้.
คัมภีร์ไบเบิล—หนังสือที่มาจากตะวันออก
8, 9. (ก) ทำไมผิดที่จะเรียกพระคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นหนังสือทางตะวันตก? (ข) พระคัมภีร์ได้รับการเขียนโดยวิธีใด และใช้เวลาเขียนนานเท่าไร? (ค) พระคัมภีร์เป็นเสมือนห้องสมุดในทางใด? (ง) มีกี่คนที่มีส่วนร่วมเขียนพระคัมภีร์? (จ) พวกเขาบางคนกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับแหล่งที่มาของพระคัมภีร์?
8 ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่ว ๆ ไป พระคัมภีร์หาใช่ผลงานที่มาจากอารยธรรมตะวันตกไม่ ทั้งคัมภีร์เองก็มิได้ยกย่องอารยธรรมตะวันตกเลย. พระคัมภีร์เกือบทั้งเล่มได้รับการจารึกในประเทศทางตะวันออก. ผู้จารึกล้วนเป็นชาวตะวันออกทั้งนั้น. ประมาณหนึ่งพันปีก่อนสมัยพระพุทธเจ้าคือในปี 1513 ก่อนสากลศักราช (ปี 970 ก่อนพุทธศักราช) โมเซผู้ซึ่งอยู่ในตะวันออกกลางได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนพระธรรมเล่มแรกของพระคัมภีร์ที่มีชื่อว่าเยเนซิศหรือปฐมกาล. จากจุดเริ่มต้นนี่เอง พระคัมภีร์ดำเนินเรื่องตามสาระสำคัญที่สอดคล้องกันเพียงเรื่องเดียวกระทั่งจบวิวรณ์พระธรรมเล่มสุดท้าย. การเขียนพระคัมภีร์ได้จบลงในปี 98 สากลศักราช ประมาณ 600 ปีหลังสมัยพระพุทธเจ้า. ท่านทราบไหมว่าพระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือต่าง ๆ ถึง 66 เล่ม? จริงทีเดียว พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือหลายเล่ม!
9 ดังนั้น เป็นเวลา 1,600 กว่าปี นับตั้งแต่สมัยโมเซเป็นต้นมา มีประมาณ 40 คนที่มีส่วนได้เขียนบทบันทึกที่สอดคล้องลงรอยกันของพระคัมภีร์. พวกเขาเป็นพยานว่า เขาได้จารึกโดยได้รับการดลใจจากอำนาจที่เหนือกว่ามนุษย์. คริสเตียนอัครสาวกเปาโลเขียนว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนพระเจ้าได้ทรงประสาทให้ย่อมเป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอน สำหรับตักเตือน สำหรับดัดแปลงคนให้ดีขึ้น และสำหรับสอนให้รู้ในความชอบธรรม.”b (2 ติโมเธียว 3:16) และอัครสาวกเปโตรอธิบายว่า “คำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้ว พวกผู้พยากรณ์ไม่ได้คิดออกตามลำพังใจของตนเอง ด้วยว่าคำพยากรณ์นั้นเมื่อก่อนไม่ได้เป็นมาตามน้ำใจมนุษย์ แต่ว่ามนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น.”—2 เปโตร 1:20, 21; 2 ซามูเอล 23:2; ลูกา 1:70.
10. (ก) พระคัมภีร์ได้ตกทอดมาถึงสมัยของเราอย่างไร? (ข) เหตุใดเราจึงมั่นใจได้ว่าข้อความในพระคัมภีร์ยังคงเหมือนต้นฉบับที่ได้รับการดลบันดาล?
10 สิ่งน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือวิธีที่พระคัมภีร์ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้. นานหลายพันปีก่อนมีการคิดประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ขึ้นมาประมาณ 500 ปีที่แล้ว การทำสำเนาพระคัมภีร์ก็ต้องคัดลอกด้วยมือ. ไม่มีวรรณกรรมชิ้นใดในสมัยโบราณที่ได้รับการคัดลอกอย่างขันแข็งและคัดลอกซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนพระคัมภีร์. พระคัมภีร์ได้รับการคัดลอกหลายครั้งหลายหน แต่ก็ทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเสมอ. ผู้คัดลอกทำผิดไปบ้างก็เพียงเล็กน้อย และจากการเปรียบเทียบข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้รู้แน่นอนว่าต้นฉบับที่จารึกโดยการดลบันดาลจากพระเจ้านั้นมีข้อความอย่างไร. เซอร์ เฟร็ดเดริค เคนยัน ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำทางด้านฉบับสำเนาของพระคัมภีร์กล่าวว่า “พื้นฐานสุดท้ายที่จะสงสัยว่าพระคัมภีร์ตกทอดมาถึงเรานั้นตรงตามที่ได้เขียนตอนแรกหรือไม่ บัดนี้ ข้อสงสัยนั้นถูกขจัดออกไปแล้ว.” ทุกวันนี้ ยังคงมีสำเนาพระคัมภีร์ซึ่งคัดลอกไว้ทั้งเล่มหรือบางส่วนถึง 16,000 ฉบับ บางฉบับได้คัดลอกตั้งแต่ศตวรรษที่สองก่อนพระคริสต์. ยิ่งกว่านั้น มีการแปลพระคัมภีร์อย่างถูกต้องจากภาษาเดิมซึ่งต้นฉบับคือภาษาฮีบรู อะราเมอิคและภาษากรีกออกเป็นภาษาต่าง ๆ เกือบทุกภาษาในโลกนี้.
11. สมัยนี้ได้มีการค้นพบอะไรบ้างซึ่งลงรอยกับประวัติบันทึกของพระคัมภีร์?
11 บางคนพยายามทำให้พระคัมภีร์ไม่น่าเชื่อถือโดยกล่าวว่าพระคัมภีร์ไม่ถูกต้องมีข้อผิดพลาด. อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีมานี้นักโบราณคดีได้ขุดซากเมืองโบราณที่มีชื่อปรากฏในพระคัมภีร์ และได้พบคำจารึกและหลักฐานอื่น ๆ ที่พิสูจน์อย่างแน่ชัดว่าบุคคลและสถานที่ซึ่งระบุในประวัติบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดของพระคัมภีร์นั้นเคยมีอยู่จริง. พวกเขาได้ขุดค้นพบหลักฐานมากมายที่แสดงว่าเคยมีมหาอุทกภัยทั่วโลกซึ่งพระคัมภีร์บอกไว้ว่าเคยเกิดขึ้นเมื่อ 4,000 กว่าปีมาแล้วในสมัยโนฮา. ในเรื่องนี้เจ้าชายมิคาซานักโบราณคดีที่มีชื่อได้แถลงว่า “เคยมีน้ำท่วมใหญ่จริง ๆ หรือ? . . . ข้อเท็จจริงที่ว่าเคยเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ก็ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้ว.”c
พระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิล
12. (ก) คนช่างเยาะเย้ยพูดอย่างไรเกี่ยวกับพระเจ้า? (ข) เหตุใดพระคัมภีร์จึงกล่าวถึงพระเจ้าฐานะเป็นพระบิดา? (ค) พระคัมภีร์ระบุนามของพระเจ้าว่าอย่างไร?
12 เช่นเดียวกับที่บางคนเคยเยาะเย้ยเรื่องพระคัมภีร์ ก็มีบางคนเยาะเย้ยเรื่องพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์. (2 เปโตร 3:3-7) พวกเขากล่าวว่า ‘ฉันจะเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงได้อย่างไร ในเมื่อฉันไม่เห็นพระองค์? มีข้อพิสูจน์ไหมว่าพระผู้สร้างซึ่งไม่เห็นประจักษ์ที่สูงส่งกว่ามนุษย์นั้นมีจริง? พระเจ้าสถิตทั่วทุกแห่งมิใช่หรือ?’ บางคนก็บอกว่า ‘พระเจ้าไม่มี.’ อย่างไรก็ดี พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่า เราทุกคนได้รับชีวิตจากบิดาทางโลกนี้ผู้ให้กำเนิดฉันใด บรรพบุรุษดั้งเดิมของเราก็ได้รับชีวิตจากบิดาฝ่ายสวรรค์หรือพระผู้สร้าง ผู้ทรงพระนามว่ายะโฮวาฉันนั้น.—บทเพลงสรรเสริญ 83:18; 100:3; ยะซายา 12:2; 26:4.
13. พระยะโฮวาได้ทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่มนุษย์โดยสองทางอะไรบ้าง?
13 พระยะโฮวาได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์รู้จักพระองค์ด้วยแนวทางที่เด่นถึงสองทาง. ทางหลักคือพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเปิดเผยความจริงของพระองค์และจุดมุ่งหมายอันยืนยงของพระองค์. (โยฮัน 17:17; 1 เปโตร 1:24, 25) อีกทางหนึ่งคือสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง. โดยการสังเกตดูสิ่งต่าง ๆ อันน่าพิศวงรอบตัวหลายต่อหลายคนได้มาเข้าใจว่าต้องมีพระเจ้าผู้สร้าง ซึ่งคุณลักษณะอันเลอเลิศของพระองค์สะท้อนออกมาในกิจการทั้งสิ้นของพระองค์.—วิวรณ์ 15:3, 4.
14. พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา?
14 พระยะโฮวาทรงเป็นต้นกำเนิดของพระคัมภีร์. พระองค์ทรงเป็นกายวิญญาณองค์ยิ่งใหญ่ ทรงสภาพเป็นอยู่ชั่วนิรันดร. (โยฮัน 4:24; บทเพลงสรรเสริญ 90:1, 2) พระนามของพระองค์คือ “ยะโฮวา” ชี้ถึงวัตถุประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง. จุดมุ่งหมายของพระองค์คือจะทรงชันสูตรเชิดชูพระนามใหญ่ยิ่งนั้นโดยทำลายคนชั่วและช่วยชนเหล่านั้นที่รักพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. (เอ็กโซโด 6:2-8; ยะซายา 35:1, 2) เนื่องด้วยพระองค์เป็นพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์ พระองค์จึงมีอำนาจจะทำเช่นนี้ได้. เพราะเหตุที่เป็นผู้สร้างเอกภพ พระองค์จึงทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่าพระและรูปเคารพของนานาประเทศ.—ยะซายา 42:5, 8; บทเพลงสรรเสริญ 115:1, 4-8.
15. การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับธรรมชาติโดยผู้มีความรู้ได้นำไปสู่ข้อสรุปอะไรบ้าง?
15 เพียงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เวลาไปมากเพื่อค้นคว้าศึกษาธรรมชาติ. เขาได้ลงความเห็นอย่างไร? ลอร์ด เคลวิน นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษผู้เรืองนาม เป็นผู้บุกเบิกทางด้านไฟฟ้า ชี้แจงว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่ายิ่งทำการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างถี่ถ้วนเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เราห่างไกลไปจากทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลัทธิอเทวนิยม.” อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ที่เกิดในยุโรปผู้ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า แต่กระนั้น เขายอมรับว่า “พอทีสำหรับข้าพเจ้าที่จะ . . . ไตร่ตรองถึงโครงสร้างอันมหัศจรรย์ของเอกภพ ซึ่งพวกเราสามารถเข้าใจได้อย่างคลุมเครือ และด้วยใจถ่อมพยายามจะเข้าใจแม้แต่ส่วนเล็กน้อยเหลือประมาณเกี่ยวกับสติปัญญาที่สำแดงอยู่ในธรรมชาติ.” อาร์เธอร์ ฮอลลี คอมพ์ตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ชนะรางวัลโนเบลกล่าวว่า “เอกภพที่แสดงถึงความเป็นระเบียบ ย่อมเป็นพยานถึงสัจธรรมแห่งคำแถลงอันน่าเคารพอย่างยิ่งเท่าที่เคยมีมาที่ว่า ‘เมื่อเดิมนั้นพระเจ้า.’” เขาได้ยกถ้อยคำจากข้อแรกในคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมากล่าว.
16. เอกภพแสดงอย่างไรถึงสติปัญญา และอำนาจในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า?
16 นักปกครองของบรรดาประเทศมหาอำนาจอาจโอ้อวดความฉลาดรอบรู้และความสำเร็จผลทางวิทยาศาสตร์เมื่อได้พิชิตอวกาศชั้นนอก. แต่ดาวเทียมของเขาดูกระจ้อยร่อยเพียงไรเมื่อเทียบกับดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก อีกทั้งดาวเคราะห์ทั้งหลายที่โคจรรอบดวงอาทิตย์! ความสำเร็จของมนุษย์ที่ต้องตายนั้นช่างด้อยสักเพียงไรเมื่อเทียบกับกาแล็กซีหลายพันล้านกลุ่มที่พระยะโฮวาได้สร้าง แต่ละกลุ่มเป็นดาวฤกษ์เหมือนดวงอาทิตย์ของเราหลายพันล้านดวง ทั้งได้ทรงจัดเป็นหมวดหมู่และกำหนดให้อยู่ตามตำแหน่งจนไม่อาจนับเวลาได้! (บทเพลงสรรเสริญ 19:1, 2; โยบ 26:7, 14) ไม่น่าแปลกที่พระยะโฮวาทรงเปรียบมนุษย์เป็นประหนึ่งตั๊กแตนและประเทศต่าง ๆ ที่มีอำนาจ “เป็นศูนยภาพ.”—ยะซายา 40:13-18, 22.
17. ทำไมจึงมีเหตุผลที่จะเชื่อว่ามีพระผู้สร้าง?
17 ท่านมีบ้านอยู่ไหม? ตัวท่านเองคงไม่ได้สร้างบ้านหลังนั้นและอาจไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างเสียด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม การที่ท่านไม่รู้จักคนสร้างบ้านคงไม่ทำให้ท่านไม่ยอมรับความจริงที่ว่า ต้องมีคนที่ฉลาดมีสติปัญญาได้สร้างบ้านหลังนั้น. การที่จะชักเหตุผลว่า บ้านหลังนั้นเกิดขึ้นเองดูจะเป็นความเขลาเสียจริง ๆ! เนื่องจากการสร้างเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลพร้อมกับสิ่งสารพัดที่อยู่ในเอกภพ ย่อมต้องใช้เชาวน์ฉลาดยิ่งกว่าการสร้างบ้าน ดังนั้น มีเหตุผลมิใช่หรือที่จะสรุปว่าต้องมีผู้สร้างซึ่งมีเชาวน์ฉลาด? แท้จริง เฉพาะคนไร้เหตุผลเท่านั้นที่จะกล่าวในใจว่า “พระยะโฮวาไม่มี.”—บทเพลงสรรเสริญ 14:1, ล.ม.; เฮ็บราย 3:4.
18. อะไรแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นบุคคลและคู่ควรแก่คำยกย่องสรรเสริญ?
18 บรรดาสิ่งอันน่าพิศวงรอบ ๆ ตัวเรา—ดอกไม้ นก สัตว์ทั้งหลาย การสร้างอันน่าทึ่งที่เรียกว่ามนุษย์ การอัศจรรย์เกี่ยวกับชีวิตและการกำเนิด—ทั้งหมดนี้เป็นพยานหลักฐานถึงผู้ทรงไว้ซึ่งเชาวน์ฉลาดอันยอดเยี่ยมที่ไม่ประจักษ์แก่ตา ผู้ได้สร้างสิ่งเหล่านี้. (โรม 1:20) ที่ไหนมีเชาวน์ฉลาด ที่นั่นย่อมมีความคิด. ที่ไหนมีความคิด ที่นั่นย่อมมีบุคคล. เชาวน์ฉลาดอันยอดเยี่ยมย่อมเป็นเชาวน์ฉลาดของผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ได้สร้างสารพัดทุกสิ่งที่มีชีวิต เป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตนั่นแหละ. (บทเพลงสรรเสริญ 36:9) พระผู้สร้างสมควรอย่างยิ่งที่จะได้คำยกย่องสรรเสริญ และการเทิดทูนบูชาทุกประการ.—บทเพลงสรรเสริญ 104:24; วิวรณ์ 4:11.
19. (ก) เหตุใดจึงไม่มีชาติใดในทุกวันนี้จะอ้างได้ว่าเขาชนะสงคราม เพราะพระเจ้าทรงช่วย? (ข) เหตุใดพระเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามระหว่างชาติต่าง ๆ?
19 มีบางคนซึ่งความเชื่อของเขาเรื่องพระเจ้าได้รับการกระทบกระเทือน เนื่องด้วยประสบการณ์อันยากลำบากจากสงครามโลกที่สอง. ครั้งนั้น แต่ละประเทศต่างก็ร้องทูล “พระเจ้า” ของตน ไม่ว่าเขานับถือศาสนาคาทอลิกหรือโปรเตสแตนท์หรือศาสนาทางตะวันออก. จะกล่าวได้ไหมว่า “พระเจ้า” โปรดให้บางประเทศชนะแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องพ่ายแพ้? พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่าไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่ร้องทูลพระเจ้าเที่ยงแท้. พระยะโฮวาพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกไม่เป็นเหตุให้เกิดความสับสนวุ่นวายและสงครามท่ามกลางนานาชาติ. (1 โกรินโธ 14:33) ความคิดของพระองค์นั้นสูงส่งกว่าความคิดของนักการเมืองและนักการทหารแห่งนานาประเทศในโลก. (ยะซายา 55:8, 9) ในทำนองเดียวกัน ศาสนาแท้และการนมัสการพระยะโฮวาจึงไม่มีส่วนในการสงครามของนานาชาติ. พระยะโฮวาสูงส่งกว่าบรรดาพระต่าง ๆ ที่ส่งเสริมลัทธิชาตินิยม. พระองค์ไม่เหมือนพระเจ้าองค์ใด ๆ ทั้งสิ้นในข้อที่ว่า พระองค์เป็นพระเจ้าของบรรดาชายหญิงที่รักสันติจากทุกเชื้อชาติทีเดียว. ดังที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า “พระเจ้าไม่เลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.” (กิจการ 10:34, 35) บัดนี้ ชนนานาชาติที่ใฝ่หาความชอบธรรมกำลังศึกษาพระคัมภีร์และยึดอยู่กับการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ “ผู้ประทานสันติ” พระผู้สร้างมนุษยชาติทั้งมวล.—โรม 16:20; กิจการ 17:24-27.
20. อะไรแสดงว่าคริสต์ศาสนจักรไม่ใช่คริสเตียน ทั้งยังต่อต้านพระเจ้าอีกด้วย?
20 บางคนชี้ให้ดูความแตกแยกและความหน้าไหว้หลังหลอกที่มีในคริสต์ศาสนจักรซึ่งอ้างว่าดำเนินตามพระคัมภีร์. เขากล่าวด้วยว่า ‘ผมจะเชื่อพระเจ้าแห่งคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร ในเมื่อชาติต่าง ๆ ที่มีพระคัมภีร์ก็กำลังสะสมอาวุธนิวเคลียร์กันอย่างบ้าคลั่ง?’ ความจริงคือ ขณะที่พระคัมภีร์ยังคงเป็นความจริงเสมอไปนั้น ชาติต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรได้ถอยห่างจากหลักคำสอนฝ่ายคริสเตียนของพระคัมภีร์ไปไกลเหมือนขั้วโลกเหนือไกลจากขั้วโลกใต้ทีเดียว. เขาเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกโดยการอ้างตัวเป็นคริสเตียน. เขามีพระคัมภีร์แต่เขาหาได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระคัมภีร์ไม่. ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐที่สั่งให้ทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกลงที่เมืองฮิโรชิมาได้อุทานว่า “ขอให้ได้คนอย่างยะซายาหรือเปาโลสักคน!”—เพื่อนำทางประชาชนในยามที่โลกวิกฤติเช่นนี้. แต่ถ้าเขาเห็นด้วยกับยะซายา ที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ เขาก็จะไม่สั่งให้ทิ้งลูกระเบิดปรมาณูเป็นแน่ เพราะยะซายาได้สนับสนุนการ “เอาดาบตีเป็นผาลไถนาและเอาหอกตีเป็นขอสำหรับลิดแขนง.” ยิ่งกว่านั้น เปาโลผู้จารึกพระคัมภีร์ได้ประกาศว่า “เราไม่ได้สู้รบฝ่ายเนื้อหนัง เหตุว่าเครื่องอาวุธของเราไม่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง.” (ยะซายา 2:4; 2 โกรินโธ 10:3, 4) อย่างไรก็ดี แทนที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำอันสุขุมของพระคัมภีร์ ชาติต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรได้เข้าไปพัวพันในการแข่งขันสร้างอาวุธซึ่งจะนำไปสู่การทำลายตัวเอง. เขาอาจอ้างตัวเป็นคริสเตียนที่ปฏิบัติตามหลักการในพระคัมภีร์ แต่นั่นไม่จริง. พวกเขาจะต้องเผชิญการพิพากษาของพระเจ้าในการที่มิได้กระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์.—มัดธาย 7:18-23; ซะฟันยา 1:17, 18.
การทรงสร้างและการอัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระยะโฮวา
21. เหตุใดนับว่ามีเหตุผลที่จะไม่สงสัยการมหัศจรรย์ต่าง ๆ ของพระเจ้า?
21 พระยะโฮวาทรงสร้างและพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ. ท่านเคยรู้สึกประหลาดใจไหมเกี่ยวกับการเปลี่ยนน้ำเป็นเลือด การแยกทะเลแดงออกเป็นช่อง การกำเนิดของพระเยซูจากหญิงพรหมจารี และการอัศจรรย์อื่น ๆ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์? ด้วยเหตุที่มนุษย์มีเชาวน์ฉลาดจำกัด เขาอาจจะไม่เข้าใจเลยว่าการอัศจรรย์ที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นอย่างไร เช่นเดียวกับที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้เต็มที่ถึงความมหัศจรรย์เกี่ยวด้วยดวงอาทิตย์ขึ้นและตกแต่ละวัน. การสร้างมนุษย์เป็นการอัศจรรย์. มนุษย์ในปัจจุบันไม่ได้เห็นการอัศจรรย์นั้น แต่เขาทราบว่าสิ่งนั้นได้เกิดจริงเพราะเวลานี้เขาเองมีชีวิตที่จะพิสูจน์เรื่องนี้. ที่จริง ชีวิตทุกชนิดและเอกภพทั้งสิ้นเป็นประหนึ่งการอัศจรรย์ที่มีอยู่ตลอดเวลา. ฉะนั้น เรายังจะสงสัยอีกหรือในเมื่อพระคัมภีร์พระคำของพระเจ้าแจ้งว่าพระองค์ได้ทรงทำการอัศจรรย์เฉพาะอย่างเฉพาะกาล ถึงแม้ในทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องมีการอัศจรรย์อย่างเดียวกันก็ตาม?
22. จงพรรณนาสิ่งแรกสุดที่พระเจ้าทรงสร้าง.
22 ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาได้สร้างขึ้นนั้นน่าอัศจรรย์และวิเศษจริง ๆ! แต่สิ่งแรกสุดที่พระองค์ทรงสร้างนั้นแหละนับว่าน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง. นั่นคือ การทรงสร้างพระบุตรองค์หนึ่งในสภาพเป็นวิญญาณ ได้แก่ “บุตรหัวปี” ของพระองค์. (โกโลซาย 1:15, ฉบับแปลใหม่) บุตรฝ่ายสวรรค์องค์นี้มีพระนามว่า “พระวาทะ.” หลังจากได้สร้างแล้วเป็นเวลานานเหลือคณานับ พระวาทะนั้นได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกนี้และถูกขนานนามว่า “มนุษย์เยซูคริสต์.” (1 ติโมเธียว 2:5, ล.ม.) ตอนนั้นมีคำกล่าวถึงพระองค์ว่า “พระวาทะนั้นได้บังเกิดเป็นเนื้อหนัง และได้อาศัยอยู่กับเรา และเราได้เห็นสง่าราศีของพระองค์เหมือนสง่าราศีซึ่งพระบุตรองค์เดียวได้จากพระบิดา บริบูรณ์ไปด้วยคุณและความจริง.”—โยฮัน 1:14.
23. (ก) ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระบุตรนั้นอาจอธิบายได้โดยวิธีใด? (ข) พระยะโฮวาทรงสร้างอะไรโดยทางพระบุตรของพระองค์?
23 ความสัมพันธ์ระหว่างพระยะโฮวากับพระบุตรนั้นอาจเปรียบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของ-ผู้จัดการโรงงานกับบุตรของเขา ซึ่งบุตรนั้นช่วยทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่บิดาได้ออกแบบ. โดยทางพระบุตรหัวปี และเป็นทั้งผู้ร่วมงาน พระยะโฮวาจึงได้ทรงสร้างบุตรกายวิญญาณอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก. ต่อมา บุตรกายวิญญาณเหล่านี้พากันชื่นชมยินดีที่ได้เห็นพระบุตรของพระยะโฮวาซึ่งเป็นนายช่างชำนาญงานของพระองค์ได้สร้างสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาในท้องฟ้า รวมทั้งแผ่นดินโลกซึ่งเราอาศัยอยู่นี้. ท่านข้องใจไหมที่สิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้น? หลายพันปีต่อมา พระยะโฮวาได้ตรัสถามชายผู้ซื่อสัตย์คนหนึ่งว่า “เจ้านะอยู่ที่ไหนเมื่อเราได้วางรากแห่งพิภพโลก? บรรยายไปเถิดถ้าเจ้ามีความรู้. ขณะเมื่อหมู่ดาวประจำรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และเหล่าบุตรของพระเจ้าส่งเสียงแสดงความยินดี?”—โยบ 38:4, 7; โยฮัน 1:3.
24. (ก) พระยะโฮวาได้สร้างอะไรทางแผ่นดินโลกที่นับว่าเด่นจริง ๆ และเด่นในแง่ใด? (ข) ทำไมไม่มีเหตุผลที่จะบอกว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์?
24 เมื่อเวลาผ่านไป พระยะโฮวาได้ทรงสร้างสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินโลกนี้ เช่น พืช ต้นไม้ ดอกไม้ ปลา นก และสัตว์ทั้งปวง. (เยเนซิศ 1:11-13, 20-25) ครั้นแล้ว พระเจ้าตรัสกับนายช่างชำนาญงานของพระองค์ว่า “จงให้เราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ใช้ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น. พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบฉายาของพระองค์ และตามแบบฉายาของพระองค์นั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นและได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง.” (เยเนซิศ 1:26, 27) ด้วยเหตุที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามแบบฉายาของพระเจ้าพร้อมด้วยคุณลักษณะเด่นของพระองค์ คือ ความรัก สติปัญญา ความยุติธรรมและอำนาจเช่นนั้น มนุษย์คนแรกจึงอยู่ในฐานะที่ดีกว่าสัตว์มากนัก. มนุษย์จัดอยู่ในประเภทหนึ่งต่างไปจากสัตว์ เนื่องจากเขาสามารถคิดหาเหตุผล สามารถวางแผนสำหรับอนาคต และมีคุณสมบัติที่จะนมัสการพระเจ้าได้ด้วย. สัตว์ไม่มีเชาวน์ฉลาดคิดหาเหตุผล แต่มันอยู่ด้วยสัญชาตญาณ. ช่างไร้เหตุผลเสียนี่กระไรที่จะพูดว่าไม่มี พระผู้สร้าง ครั้นแล้ว ก็พูดว่ามนุษย์ที่มีเชาวน์ฉลาดและความสามารถพิเศษหลายอย่างนั้นวิวัฒนาการจากสัตว์ชั้นต่ำไม่มีสติ!—บทเพลงสรรเสริญ 92:6, 7; 139:14.
25, 26. (ก) ความหวังอันยอดเยี่ยมอะไรอยู่เบื้องหน้ามนุษย์คู่แรก? (ข) เหตุใดจะไม่เกิดปัญหาเรื่องประชากรล้นโลก?
25 พระเจ้าทรงจัดให้มนุษย์อยู่ใน “สวนแห่งหนึ่งในตำบลเอเดนทางทิศตะวันออก” ที่นั่นเป็นสวนที่มีแต่ความสุขสำราญเช่นเดียวกับภาพสวนที่ปรากฏบนหน้าปกจุลสารเล่มนี้ ถึงแม้ว่าตอนนั้นมีมนุษย์อยู่กันเพียงสองคน คืออาดามกับภรรยา. อุทยานแรกเดิมแห่งนี้ไม่ได้มีหลงเหลืออยู่เลย เพราะถูกทำลายล้างไปคราวน้ำท่วมในสมัยโนฮา. แต่เราก็พอจะทราบถิ่นที่ตั้งของอุทยานแห่งนี้เพียงเลา ๆ ว่าอยู่ในย่านตะวันออกกลาง เพราะแม่น้ำบางสายซึ่งมีชื่อระบุอยู่ในพระคัมภีร์ที่ไหลผ่านสวนนั้นยังคงมีอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้. (เยเนซิศ 2:7-14) มนุษย์ได้รับโอกาสอันดีวิเศษที่จะใช้สวนนี้เป็นศูนย์กลางขยายและพัฒนาแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยานไปตลอดทั่วโลก. “พระยะโฮวาผู้ได้ทรงสร้างฟ้า พระองค์นั้น เป็นพระเจ้าผู้ได้ทรงสร้างและประดิษฐานโลกนี้ไว้ ผู้ได้ทรงแต่งตั้งและสร้างโลกไว้มิใช่ให้สับสนอลหม่านแต่เพื่อให้เป็นที่อาศัย.”—ยะซายา 45:12, 18.
26 เนื่องด้วยพระเจ้าและพระบุตรทั้งสองพระองค์เป็นผู้ทำงาน ฉะนั้น พระเจ้าได้ทรงมอบงานให้มนุษย์ทำบนแผ่นดินโลกนี้ด้วย. (โยฮัน 5:17) พระองค์ตรัสกับอาดามและฮาวาชายหญิงคู่แรกดังนี้: “จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเลและฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน” (เยเนซิศ 1:28, ฉบับแปลใหม่) ทั้งนี้หมายความว่ามนุษย์จะทวีจำนวนมาก ๆ จนกระทั่งเต็มแผ่นดินโลกแล้วล้นโลกไหม? ไม่ใช่เช่นนั้น. ถ้ามีใครบอกให้ท่านรินน้ำเต็มแก้ว ท่านคงไม่รินจนล้นแก้วและไหลเปรอะทั่วโต๊ะ. ท่านคงจะรินให้พอดีแล้วก็หยุด. ในทำนองเดียวกัน การที่พระยะโฮวาทรงบัญชาให้มนุษย์ “ทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน” แสดงว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้มนุษย์อยู่เต็มแผ่นดินโลกอย่างสบาย ๆ ครั้นแล้วการให้กำเนิดมนุษย์บนแผ่นดินโลกจะยุติ. ทั้งนี้จะไม่ก่อปัญหาในสังคมมนุษย์ที่สมบูรณ์. ปัญหาเกี่ยวด้วยการมีประชากรล้นโลกมีแต่ในโลกมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์สมัยปัจจุบันเท่านั้น.
สิ่งเลวร้าย—เหตุใดพระเจ้าทรงยอมให้มีอยู่?
27. บัดนี้ ปัญหาอะไรบ้างที่จำต้องได้รับคำตอบ?
27 ถ้าพระเจ้าทรงประสงค์จะสร้างแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยานแล้ว เหตุไฉนแผ่นดินโลกทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ความทุกข์ และความเศร้าโศก? ถ้าพระเจ้าทรงไว้ซึ่งอานุภาพ เหตุใดพระองค์จึงทรงยอมให้สภาพเช่นนี้มีอยู่เป็นเวลานาน? เรามีหวังจะเห็นความทุกข์ทุกอย่างหมดสิ้นไปไหม? พระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร?
28. การกบฏได้เกิดขึ้นในสวนอันสงบสุขนั้นอย่างไร?
28 พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่าความทุกข์ลำบากของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นเมื่อบุตรฝ่ายวิญญาณตนหนึ่งของพระเจ้าขัดขืนพระบรมเดชานุภาพหรืออำนาจครอบครองของพระยะโฮวา. (โรม 1:20; บทเพลงสรรเสริญ 103:22, ฉบับแปลใหม่) ไม่ต้องสงสัยทูตสวรรค์ตนนี้อยู่ในหมู่ทูตสวรรค์ซึ่งชื่นชมยินดีเมื่อได้เห็นการสร้างมนุษย์. แต่ครั้นความโลภและความหยิ่งก่อตัวหยั่งรากลงในหัวใจของเขา และเขาได้ถูกตัณหาชักนำอยากให้อาดามกับฮาวานมัสการตนเสียเอง แทนที่จะนมัสการพระยะโฮวาพระผู้สร้าง. ทูตสวรรค์ตนนี้ได้พูดผ่านงู ทำคล้ายนักแปลงเสียงพูดผ่านรูปหุ่นแล้วจึงได้ล่อลวงฮาวาให้ขัดขืนพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์. หลังจากนั้น อาดามสามีก็ทำตามเธอและไม่เชื่อฟังเช่นกัน.—เยเนซิศ 2:15-17; 3:1-6; ยาโกโบ 1:14, 15.
29. (ก) มีประเด็นอะไรบ้างเกิดขึ้นซึ่งจะต้องตัดสิน? (ข) พระเจ้าทรงรับการท้าทายนั้นอย่างไร? (ค) ท่านมีส่วนจะตอบการเยาะเย้ยของซาตานได้โดยวิธีใด?
29 ทูตสวรรค์ที่กบฏนั้นจึงเป็นที่รู้จักกันว่า “งูตัวแรกเดิม.” (วิวรณ์ 12:9, ล.ม.; 2 โกรินโธ 11:3) นอกจากนั้น มันถูกขนานนามว่าซาตาน หมายความว่า “ผู้ต่อต้าน” และอีกชื่อหนึ่งว่าพญามารซึ่งคำนี้ในภาษาของพระคัมภีร์แปลว่า “ผู้หมิ่นประมาท.” ซาตานได้ตั้งข้อสงสัยในความถูกต้องและชอบธรรมเกี่ยวด้วยการปกครองของพระยะโฮวาเหนือแผ่นดินโลก ทั้งยังได้ท้าทายพระเจ้าว่า บัดนี้มันสามารถดึงมนุษย์ทุกคนให้ออกหากจากการนมัสการแท้. พระเจ้าทรงยอมให้เวลาซาตานพิสูจน์คำท้าทายของมันมานานกว่า 6,000 ปีแล้ว เพื่อประเด็นเกี่ยวด้วยพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาจะได้ลงเอยโดยเรียบร้อยตลอดกาล. การปกครองของมนุษย์ที่ไม่หมายพึ่งพระเจ้าเป็นอันล้มเหลวอย่างน่าอนาถ. แต่บรรดาชายหญิงผู้มีความเชื่อ โดยเฉพาะพระเยซูซึ่งเป็นตัวอย่างเด่นที่สุด ต่างก็ได้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าภายใต้การทดลองอันรุนแรงอย่างยิ่ง ทั้งนี้เป็นการเชิดชูพระยะโฮวาและพิสูจน์ว่าพญามารเป็นตัวโกหก. (ลูกา 4:1-13; โยบ 1:7-12; 2:1-6; 27:5) ท่านอาจจะเป็นผู้ที่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงได้เช่นเดียวกัน. (สุภาษิต 27:11) แต่ไม่มีแต่ซาตานเท่านั้นที่ก่อความทุกข์ลำบากแก่เรา. มีศัตรูอื่น ๆ อีกไหม?
ศัตรูนั้นได้แก่ความตาย
30. พระคัมภีร์แจ้งไว้อย่างไรเกี่ยวกับการลงโทษที่มนุษย์ได้รับเพราะเหตุไม่เชื่อฟัง?
30 พระเจ้าได้ทรงแถลงว่าโทษของการไม่เชื่อฟังคือความตาย. เมื่อพิพากษาหญิงคนแรกนั้นพระยะโฮวาตรัสว่า “เราจะเพิ่มความทุกข์ลำบากขึ้นมากมายในเมื่อเจ้ามีครรภ์และคลอดบุตร ถึงกระนั้นเจ้ายังปรารถนาสามีและเขาจะปกครองเจ้า.” ส่วนอาดามนั้น พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจะต้องหากินด้วยเหงื่ออาบหน้าจนเจ้ากลับเป็นดินไป เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน. เจ้าเป็นผงคลีดินและจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” (เยเนซิศ 3:16-19, ฉบับแปลใหม่) สามีภรรยาคู่นี้ที่ไม่เชื่อฟังถูกขับไล่ออกจากอุทยานแห่งความสุขไปสู่แผ่นดินที่ยังมิได้มีการเพาะปลูก. เมื่อเวลาผ่านไป เขาทั้งสองก็ได้ตายไป.—เยเนซิศ 5:5.
31. บาปคืออะไร และยังผลอะไรต่อมนุษยชาติ?
31 อาดามกับฮาวาได้เริ่มให้กำเนิดบุตรหลานภายหลังที่เขาทั้งสองพลาดเป้าความสมบูรณ์ไปแล้ว. มนุษย์ทุกคนในทุกวันนี้ล้วนเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเขาในสภาพไม่สมบูรณ์ และด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงต้องตาย. ผู้จารึกพระคัมภีร์คนหนึ่งได้อธิบายเรื่องนี้ว่า “บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว และความตายก็ได้แผ่มาถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป.” “บาป” คืออะไร? คือการพลาดเป้าความสมบูรณ์หรือความครบถ้วน. พระยะโฮวาพระเจ้าไม่พอพระทัยกับสิ่งใด ๆ ที่บกพร่องไม่ครบถ้วน ทั้งไม่ทรงประสงค์จะให้สิ่งนั้น ๆ ดำรงคงอยู่. คนทั้งปวงได้สืบทอดบาปและความไม่สมบูรณ์จากอาดามมนุษย์คนแรก ความตายจึงได้ “ครอบงำ” พวกเขาตลอดมา. (โรม 5:12, 14, ฉบับแปลใหม่) มนุษย์ซึ่งเสื่อมความสมบูรณ์ไป จึงต้องตายเช่นเดียวกับสัตว์.—ท่านผู้ประกาศ 3:19-21.
32. พระคัมภีร์พรรณนาไว้อย่างไรถึงความตายที่เราได้รับเป็นมรดก?
32 “ความตาย” คืออะไร? ความตายคือสิ่งตรงกันข้ามกับชีวิต. พระเจ้าได้เสนอความหวังให้มนุษย์ที่ว่า ถ้าแม้เขาเชื่อฟัง เขาจะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก. อย่างไรก็ดี มนุษย์ไม่ได้เชื่อฟัง จึงได้รับโทษคือความตาย ปราศจากความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น. พระเจ้าไม่ได้ตรัสเลยว่า พระองค์จะทรงโยกย้ายชีวิตของเขาไปไว้ในแดนวิญญาณ หรือใน “นรก” อันร้อนไหม้ถ้ามนุษย์ไม่เชื่อฟังแล้วตายไป. พระองค์ทรงเตือนมนุษย์ไว้ว่า “เจ้าจะตาย . . . เป็นแน่.” แต่พญามารผู้ฆ่าคนต่างหากที่ได้โกหกว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก.” (เยเนซิศ 2:17; 3:4; โยฮัน 8:44) สิ่งที่ทุกคนได้รับเป็นมรดกจากอาดามคือความตายที่ต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.—ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; บทเพลงสรรเสริญ 115:17; 146:4.
33. (ก) มีอนาคตที่สดใสเช่นไรสำหรับมนุษยชาติและแผ่นดินโลก? (ข) สิ่งสำคัญสามประการอะไรบ้างที่พระยะโฮวาจะให้สัมฤทธิ์ผลโดยทางพระบุตรของพระองค์?
33 ถ้าเช่นนั้น ไม่มีอนาคตเสียเลยหรือสำหรับคนตาย? มีซี เป็นอนาคตที่วิเศษเสียด้วย! พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าพระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวด้วยอุทยานบนแผ่นดินโลกสำหรับมวลมนุษย์ รวมทั้งคนทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วนั้นจะไม่ล้มเหลวเลย. พระยะโฮวาตรัสดังนี้ “สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเราและแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา.” “เราจะกระทำให้ที่แห่งเท้าของเรารุ่งโรจน์.” (ยะซายา 66:1; 60:13, ฉบับแปลใหม่) เนื่องด้วยพระองค์ทรงเปี่ยมล้นด้วยความรัก พระยะโฮวาจึงได้ส่งพระวาทะ พระบุตรของพระองค์ลงมาอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ เพื่อมนุษย์โลกจะได้ชีวิตโดยทางพระองค์นั้น. (โยฮัน 3:16; 1 โยฮัน 4:9) มีสามสิ่งที่สำคัญซึ่งเราจำต้องพิจารณาในตอนนี้และซึ่งพระยะโฮวาทรงทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยทางพระบุตรคือ (1) จัดให้มีการปลดปล่อยพ้นจากอำนาจความตาย (2) ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาสู่ชีวิตอีก (3) จัดตั้งรัฐบาลที่ดีพร้อมปกครองมนุษย์ทั้งมวล.
การปลดปล่อยให้พ้นความตาย
34, 35. (ก) มนุษย์จะถูกไถ่ถอนให้พ้นความตายได้โดยวิธีใดเท่านั้น? (ข) ค่าไถ่คืออะไร?
34 ตั้งแต่กาลโบราณ ผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้สำแดงความมั่นใจด้วยความหวังว่าพระเจ้าจะทรง “ไถ่เขาออกจากอำนาจแห่งความตาย” หาใช่หวังในความไม่รู้ตายของมนุษย์ไม่. (โฮเซอา 13:14) แต่มนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยให้พ้นพันธนาการแห่งความตายโดยวิธีใด? หลักความยุติธรรมครบถ้วนของพระยะโฮวานั้นได้กำหนดไว้ว่า “ชีวิตแทนชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน.” (พระบัญญัติ 19:21) ดังนั้น ด้วยเหตุที่อาดามได้สืบทอดความตายมาถึงมนุษยชาติด้วยเจตนาขัดขืนพระเจ้า และการกระทำดังกล่าวทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตมนุษย์สมบูรณ์จึงต้องมีมนุษย์สมบูรณ์อีกคนหนึ่งมาแทนอาดาม ด้วยการสละชีวิตสมบูรณ์ของตนเองเพื่อซื้อคืนสิ่งที่อาดามทำให้เสียไป.
35 หลักการอันยุติธรรมว่าด้วยการชดใช้ด้วย “ค่าเท่าเทียมกัน” นั้นเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางตลอดประวัติศาสตร์. “จ่ายค่าไถ่” จึงเป็นสำนวนที่ใช้กันบ่อย. ค่าไถ่คืออะไร? คือ “ราคาที่จ่ายเพื่อจะได้คนหรือสิ่งของคืนจากผู้ที่กักคนหรือของไว้ในครอบครอง. ด้วยเหตุนี้จึงมีการพูดกันว่า ตัวเชลยศึกหรือทาสถูกไถ่ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับการปลดปล่อยโดยแลกกับสิ่งที่มีค่าจำนวนหนึ่ง. . . . อะไรก็ตามที่ใช้ทดแทนหรือแลกเปลี่ยนตัวเขาเรียกได้ว่าเป็นค่าไถ่สำหรับเขา.”d ตั้งแต่อาดามได้ทำบาป มนุษย์ทุกคนเป็นเหมือนเชลยศึกหรือทาสที่ถูกผูกมัดไว้ด้วยความไม่สมบูรณ์และความตาย. ที่จะปลดปล่อยเขาก็ต้องมีค่าไถ่. เพื่อจะไม่ได้มีการโต้แย้งกันเกี่ยวด้วยความเที่ยงตรงของค่าไถ่ไม่ว่าตอนนั้นหรือทีหลัง จึงจำเป็นต้องมีการสละชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ มนุษย์ที่เท่าเทียมกับอาดามทุกประการ.
36. พระยะโฮวาได้ทรงจัดเตรียมชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นค่าไถ่โดยวิธีใด?
36 แต่จะหาชีวิตมนุษย์สมบูรณ์อย่างนั้นได้ที่ไหน? มนุษย์ทุกคนซึ่งสืบเชื้อสายจากอาดามผู้ไม่สมบูรณ์ต่างก็เกิดมาในสภาพไม่สมบูรณ์. “ไม่มีสักคนเดียว ไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใด ๆ ก็ไถ่ชีวิตน้องชายของเขาไม่ได้ หรือจะเอาทรัพย์ถวายพระเจ้าเพื่อไถ่ชีวิตน้องก็ไม่ได้.” (บทเพลงสรรเสริญ 49:7) เพื่อสนองความจำเป็นในเรื่องนี้ พระยะโฮวาทรงสำแดงความรักอันล้ำลึกต่อมวลมนุษย์โดยได้ประทานพระบุตร “หัวปี” สุดที่รักของพระองค์เป็นเครื่องบูชาตามที่จำเป็น. พระองค์ได้ย้ายชีวิตสมบูรณ์ของพระคำ พระบุตรกายวิญญาณองค์นี้สู่ครรภ์ของมาเรียหญิงพรหมจารีชาวยิว. หญิงสาวผู้นี้ได้ตั้งครรภ์ ครั้นครบกำหนดก็ให้กำเนิดบุตรชายที่ได้ชื่อว่า “เยซู.” (มัดธาย 1:18-25) ตามเหตุผลแล้ว พระผู้สร้างชีวิตย่อมสามารถกระทำสิ่งมหัศจรรย์อันน่าพิศวงเช่นนี้ได้.
37. พระเยซูได้สำแดงความรักต่อมนุษย์ทุกคนที่ปรารถนาชีวิตโดยวิธีใด?
37 พระเยซูเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่ ได้เสนอตัวแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมา. ครั้นแล้ว พระยะโฮวาทรงมอบงานให้ เพื่อที่พระเยซูจะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์. (มัดธาย 3:13, 16, 17) เนื่องด้วยชีวิตทางโลกนี้ของพระเยซูได้มาจากสวรรค์และพระองค์ทรงเป็นองค์สมบูรณ์พร้อม พระองค์จึงสามารถพลีชีวิตมนุษย์สมบูรณ์นั้นเป็นเครื่องบูชาเพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติจากความตาย. (โรม 6:23; 5:18, 19) ดังที่พระองค์ตรัสว่า “เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต, และจะได้ชีวิตนั้นครบบริบูรณ์.” “ความรักใหญ่กว่านี้ไม่มี คือว่าซึ่งผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตัวเพื่อมิตรสหายของตน.” (โยฮัน 10:10; 15:13) เมื่อซาตานเป็นตัวการทำให้พระเยซูถูกประหารบนหลักทรมาน พระเยซูทรงยอมตายอย่างทารุณโดยทราบว่ามนุษย์ทั้งหลายที่สำแดงความเชื่อคงจะได้ชีวิตโดยวิธีการจัดเตรียมค่าไถ่เช่นนี้.—มัดธาย 20:28; 1 ติโมเธียว 2:5, 6.
การให้มีชีวิตอีก
38. พระบุตรของพระเจ้าได้รับชีวิตอีกโดยวิธีใด มีข้อพิสูจน์อะไรสำหรับเรื่องนี้?
38 ถึงแม้เหล่าศัตรูได้ประหารพระบุตรของพระเจ้าก็ตาม พระองค์หาได้เสียสิทธิการมีชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ไม่ เพราะพระองค์ได้ทรงรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้า. แต่เนื่องจากพระเยซูได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระองค์จะใช้สิ่งมีค่านี้คือสิทธิที่จะมีชีวิตมนุษย์เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติได้อย่างไร? ตอนนี้แหละที่พระยะโฮวาทรงกระทำการอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยมีมาก่อน. ในวันที่สามที่พระเยซูอยู่ในหลุมฝังศพนั้น พระยะโฮวาได้ทรงปลุกพระองค์เป็นขึ้นมาจากตายให้เป็นกายวิญญาณอมตะ. (โรม 6:9; 1 เปโตร 3:18) เพื่อวางรากฐานสำหรับความเชื่อเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย พระเยซูจึงได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ แล้วปรากฏตัวต่อพวกสาวกในโอกาสต่าง ๆ กัน ครั้งหนึ่งแก่สาวกกว่า 500 คน. ไม่มีแม้แต่คนเดียวจะมีเหตุผลสงสัยการอัศจรรย์เกี่ยวด้วยการกลับเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู อัครสาวกเปาโลก็เช่นกัน ตาของท่านถึงกับบอดเนื่องจากพระเยซูผู้ทรงสง่าราศีได้ทรงสำแดงให้ปรากฏแก่ท่านในเวลาต่อมา.—1 โกรินโธ 15:3-8; กิจการ 9:1-9.
39. (ก) พระเยซูทรงใช้คุณค่าแห่งเครื่องบูชาของพระองค์อย่างไร และตอนแรกเพื่อใคร? (ข) พระเยซูได้ตรัสถึงการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่อะไรอีก?
39 สี่สิบวันหลังจากพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ได้เสด็จสู่สวรรค์ ณ ที่ประทับของพระเจ้า. ที่นั่นพระเยซูได้เสนอคุณค่าแห่งเครื่องบูชาคือชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ของพระองค์เพื่อปลดปล่อยมนุษยชาติ. “ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นทรงกระทำบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์, ก็เสด็จนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ตั้งแต่นี้ไปพระองค์คอยอยู่จนถึงบรรดาศัตรูของพระองค์จะถูกปราบลงเป็นที่รองพระบาทของพระองค์.” (เฮ็บราย 10:12, 13) พวกแรกที่จะได้รับการปลดปล่อยโดยค่าไถ่นี้คือ “แกะฝูงน้อย” แห่งคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ “ที่เป็นของพระคริสต์.” (ลูกา 12:32; 1 โกรินโธ 15:22, 23) ชนเหล่านี้ “ถูกไถ่ถอนออกจากท่ามกลางมนุษย์” และด้วยเหตุนี้ เมื่อถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย เขาจึงกลายเป็นกายวิญญาณร่วมสมทบกับพระคริสต์ในสวรรค์. (วิวรณ์ 14:1-5) แล้วมวลมนุษย์ทั้งหลายซึ่งเวลานี้แน่นิ่งอยู่ในหลุมฝังศพล่ะจะเป็นอย่างไร? เมื่อพระเยซูอยู่ในโลกนี้พระองค์ตรัสว่า พระบิดาได้ทรงมอบอำนาจให้พระองค์ดำเนินการพิพากษาและประทานชีวิตแก่ผู้อื่น. และได้ตรัสอีกว่า “อย่าประหลาดใจในข้อนี้ เพราะเวลาจะมาเมื่อบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์อันเป็นที่ระลึกจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และ . . . จะเป็นขึ้นมาจากตาย.” (โยฮัน 5:26-29, ล.ม.) พระองค์จะทรงให้คนเหล่านั้นมีชีวิตอีกบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน.
40, 41. (ก) จงอธิบายความหมายของ “การกลับเป็นขึ้นจากตาย.” (ข) เหตุใดเราสามารถจะเชื่อคำสัญญาของพระเจ้าเกี่ยวด้วยการกลับเป็นขึ้นจากตายได้?
40โปรดสังเกตคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “อย่าประหลาดใจในข้อนี้.” กระนั้นก็ดี คนที่ตายไปนานแล้วจะรับการช่วยให้พ้นจากความตายแล้วกลับมีชีวิตอีกได้อย่างไร? ร่างกายของเขากลายเป็นดินไปแล้วไม่ใช่หรือ? อนุภาคบางส่วนที่เคยเป็นร่างกายนั้นอาจสลายและถูกดูดซึมเข้าเป็นส่วนของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น พืชและสัตว์ เป็นต้น. อย่างไรก็ดี การกลับเป็นขึ้นจากตายไม่ได้หมายถึงการนำเอาธาตุอันเดิมมารวมกันอีก แต่หมายความว่าพระเจ้าจะทรงสร้างบุคคลเดิมนั้นขึ้นใหม่ พร้อมด้วยบุคลิกเดิม. พระองค์จะทรงสร้างสรรค์ร่างใหม่โดยการใช้ธาตุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกและในร่างใหม่นี้เอง พระองค์จะสร้างให้มีอุปนิสัยใจคอเดิม ลักษณะเฉพาะตัวและความทรงจำแบบเดิม รวมทั้งรูปแบบของชีวิตเดิมที่ผู้นั้นได้สร้างสมไว้ก่อนตาย.
41 สมมุติว่าท่านเคยมีบ้าน เป็นบ้านที่ท่านรักมาก แล้วบ้านหลังนั้นถูกไฟไหม้. แต่ท่านจะปลูกบ้านแบบเดียวกันขึ้นใหม่ได้ไม่ยาก เพราะว่าท่านจำบ้านที่ท่านรักได้ชัดเจนทุกซอกทุกมุม. ถ้าเช่นนั้นก็เป็นที่แน่นอนว่า พระเจ้าผู้เป็นต้นกำเนิดความทรงจำย่อมสามารถสร้างคนเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ ซึ่งพระองค์ทรงมีอยู่ในความทรงจำเพราะพระองค์รักพวกเขา. (ยะซายา 64:8) นี่แหละคือเหตุผลที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อุโมงค์อันเป็นที่ระลึก.” ครั้นถึงเวลากำหนดของพระเจ้าที่จะให้คนตายกลับมีชีวิตอีก พระองค์ก็จะทรงกระทำการอัศจรรย์นั้น เหมือนที่ได้ทรงกระทำเมื่อสร้างมนุษย์คนแรก เพียงแต่ว่าคราวนี้พระองค์จะทรงกระทำหลายครั้งหลายหน.—เยเนซิศ 2:7; กิจการ 24:15.
42. เหตุใดชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกจึงเป็นไปได้ และเป็นสิ่งแน่นอน?
42 พระเจ้าจะทรงนำมนุษย์มาสู่ชีวิตอีกพร้อมด้วยความหวังว่าเขาจะไม่ตายละโลกนี้ไป. แต่ว่าชีวิตชั่วนิรันดร์บนแผ่นดินโลกจะมีทางเป็นไปได้อย่างไร? มีทางเป็นไปได้และเป็นสิ่งแน่นอน เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า. (โยฮัน 6:37-40; มัดธาย 6:10) เหตุผลเดียวที่มนุษย์ต้องตายจากโลกทุกวันนี้ก็คือ เขาได้รับความตายเป็นมรดกจากอาดาม. แต่ถ้าเราคิดถึงสิ่งอันน่าพิศวงหลายหลากแตกต่างกันนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินโลกซึ่งพระเจ้าทรงมุ่งหมายให้มนุษย์ชื่นชมการมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีก็นับว่าสั้นเหลือเกิน! เมื่อพระเจ้าได้มอบแผ่นดินโลกนี้แก่มนุษย์ พระเจ้าทรงประสงค์ให้เขาดำรงชีวิตอยู่ต่อ ๆ ไปเพื่อจะชื่นชมกับความงดงามแห่งสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ไม่ใช่แค่ร้อยปีหรือแม้แต่พันปี แต่ว่าตลอดไปเป็นนิตย์!—บทเพลงสรรเสริญ 115:16; 133:3.
การปกครองที่สมบูรณ์นำมาซึ่งสันติภาพ
43. (ก) เหตุใดรัฐบาลที่ดีพร้อมทุกอย่างจึงเป็นสิ่งจำเป็น? (ข) พระยะโฮวาทรงมีวัตถุประสงค์เช่นไรในเรื่องนี้?
43 เนื่องจากบิดามารดาแรกเดิมของเราละเมิดกฎหมายของพระเจ้า การปกครองของมนุษย์จึงตกอยู่ในอำนาจควบคุมของซาตาน. พระคัมภีร์ให้ชื่อซาตานอย่างเหมาะเจาะว่า “พระเจ้าแห่งระบบนี้.” (2 โกรินโธ 4:4, ล.ม.) สงคราม ความโหดร้ายทารุณ การทุจริตกินสินบน และการขาดเสรีภาพของรัฐบาลที่ดำเนินการโดยมนุษย์ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริง. สันนิบาตชาติและสหประชาชาติไม่สามารถสร้างสันติภาพจากความสับสนวุ่นวายได้เลย. มนุษยชาติเรียกร้องต้องการรัฐบาลที่อำนวยสันติภาพ. ดังนั้น จึงมีเหตุผลมิใช่หรือที่พระผู้สร้างผู้ทรงประสงค์จะให้แผ่นดินโลกเป็นอุทยานจะทรงจัดเตรียมรัฐบาลที่สมบูรณ์ไว้สำหรับอุทยานนั้น? พระยะโฮวาทรงตั้งพระทัยจะทำเช่นนี้ทีเดียว. กษัตริย์ที่จะปกครองรัฐบาลนี้แทนพระองค์ได้แก่ พระเยซูคริสต์ “องค์สันติราช” และ “ความจำเริญรุ่งเรืองแห่งรัฐบาลของท่านและสันติสุขจะไม่รู้สิ้นสุด.”—ยะซายา 9:6, 7.
44. (ก) รัฐบาลนี้จะตั้งอยู่ที่ไหน? (ข) ใครบ้างประกอบกันเป็นรัฐบาลนี้?
44 พระคัมภีร์เผยให้ทราบว่ารัฐบาลที่ดีพร้อมทุกประการนี้ตั้งอยู่ในสวรรค์. จากที่สูงเช่นนี้ กษัตริย์เยซูคริสต์จะทรงบริหารการปกครองทั่วทั้งแผ่นดินโลกด้วยความชอบธรรมและอย่างมีประสิทธิภาพ. นอกจากนั้น พระองค์จะมีผู้ร่วมปกครองในรัฐบาลฝ่ายสวรรค์นี้ซึ่งไม่เห็นประจักษ์. เขาเหล่านั้นถูกเลือกสรรจากท่ามกลางมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ เขาเป็นผู้ติดตามพระเยซู ซึ่งยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระองค์ในคราวที่มีการทดลองและพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราทำคำสัญญาไมตรีกับท่านทั้งหลายเช่นเดียวกับที่พระบิดาของเราได้ทำสัญญาไมตรีกับเราในเรื่องราชอาณาจักร.” (ลูกา 22:28, 29, ล.ม.) ผู้ที่ถูกรับไปสวรรค์เพื่อปกครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นั้นมีจำนวนน้อย เช่นเดียวกับประเทศชาติต่าง ๆ สมัยนี้ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนถูกเลือกให้ปกครองในรัฐสภา. พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์จะมีผู้ร่วมปกครอง 144,000 คน. ดังนั้น ราชอาณาจักรหรือรัฐบาลฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้า ประกอบด้วยพระเยซูคริสต์และ 144,000 คนที่ถูกรับไปจากแผ่นดินโลก. (วิวรณ์ 14:1-4; 5:9, 10) แล้วทางแผ่นดินโลกนี้ล่ะจะเป็นประการใด? บทเพลงสรรเสริญ 45:16 (ล.ม.) บอกว่าพระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้ง “เจ้านายทั่วแผ่นดินโลก.” “เจ้านาย” ผู้บริหารฝ่ายปกครองที่เป็นมนุษย์จะได้รับการแต่งตั้งจากสวรรค์เนื่องจากพวกเขาเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้งต่อหลักการแห่งความชอบธรรม.—เปรียบเทียบยะซายา 32:1.
45, 46. (ก) อะไรเป็นใจความของงานเทศนาสั่งสอนของพระเยซูบนแผ่นดินโลก? (ข) เหตุใดไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลที่สมบูรณ์แบบขึ้นทันที? (ค) เหตุใดปี 1914 เป็นปีที่เด่นทั้งในคำพยากรณ์และด้านสถานการณ์ของโลก?
45 รัฐบาลที่ดีพร้อมเช่นนี้รับการสถาปนาขึ้นเมื่อไรและอย่างไร? เมื่อพระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก ราชอาณาจักรเป็นสาระสำคัญในงานเทศนาประกาศของพระองค์. (มัดธาย 4:17; ลูกา 8:1) อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ตั้งราชอาณาจักรขึ้นในตอนนั้น หรือในตอนที่พระองค์คืนพระชนม์. (กิจการ 1:6-8) แม้กระทั่ง เมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรค์ พระองค์ก็ยังต้องคอยจนกว่าจะถึงเวลากำหนดของพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 110:1, 2; เฮ็บราย 1:13) คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เผยให้ทราบว่าเวลากำหนดนั้นคือปีสากลศักราช 1914. แต่บางคนอาจถามว่า “แทนที่จะมีรัฐบาลสมบูรณ์แบบ แต่ปี 1914 เป็นจุดเริ่มต้นแห่งวิบัติที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นทั่วโลกมิใช่หรือ?” นั่นนับว่าถูกต้องทีเดียว! การตั้งราชอาณาจักรมีส่วนพัวพันอย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์เลวร้ายต่าง ๆ เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ดังที่เราจะดูกันต่อไป.
46 ประมาณ 35 ปีก่อนปี 1914 เดอะ วอชเทาเวอร์ (หอสังเกตการณ์ ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นวารสารทางศาสนาที่จำหน่ายไปอย่างกว้างขวางที่สุดในโลก) ได้ชี้ว่าปี 1914 มีความหมายตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์. คำพยากรณ์เหล่านั้นเริ่มสำเร็จสมจริงอย่างน่าสังเกตในปี 1914. คำพยากรณ์ข้อหนึ่งเป็นคำพยากรณ์ที่พระเยซูเองตรัสไว้ 1,900 ปีมาแล้วเกี่ยวกับ “สัญลักษณ์” ซึ่งจะปรากฏในช่วงอวสานแห่งระบบนี้ และสัญลักษณ์นี้จะยืนยันว่าพระองค์ประทับอยู่แล้วในฐานะเป็นกษัตริย์ แม้ผู้คนจะมองไม่เห็นพระองค์. เมื่อพระองค์ทรงตอบคำถามของพวกสาวกในเรื่อง “สัญลักษณ์” นี้ พระองค์ตรัสว่า “ชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ชาติและอาณาจักรต่อสู้อาณาจักร และจะมีการขาดแคลนอาหาร และแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ หลายแห่ง. สิ่งทั้งปวงเหล่านี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์ปวดร้าว.” (มัดธาย 24:3, 7, 8, ล.ม.) สมจริงตามคำพยากรณ์ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มในปี 1914 และก่อความเสียหายมากกว่าสงคราม 900 รายที่เกิดขึ้นตลอดช่วง 2,500 ปีก่อนหน้านั้นถึงเจ็ดเท่า! ความทุกข์ปวดร้าวได้สืบเนื่องติดต่อเรื่อยมาตั้งแต่ตอนนั้น. ท่านเคยประสบภัยสงคราม การขาดแคลนอาหารหรือแผ่นดินไหวใหญ่ที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1914 ไหม? ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับ “สัญลักษณ์” แห่ง “ช่วงอวสาน” ของระบบนี้ทีเดียว.—ดานิเอล 12:4.
47. ยิ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้เหตุการณ์ซึ่งสมจริงตาม “สัญลักษณ์” ยิ่งรุนแรงมากขึ้นอย่างไร?
47 “ความทุกข์ปวดร้าว” ยิ่งรุนแรงมากขึ้นด้วยสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งก่อความเสียหายมากกว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่งถึงสี่เท่า และเรื่อยมาจนถึงยุคนิวเคลียร์ซึ่งสำเร็จตามคำพยากรณ์ข้อถัดไปของพระเยซูที่ว่า “บนแผ่นดินโลกจะมีความทุกข์เดือดร้อนของนานาชาติซึ่งไม่รู้ทางออก . . . ขณะที่มนุษย์จะสลบเนื่องด้วยความกลัวและการคอยท่าเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่.” (ลูกา 21:25, 26, ล.ม.) การเพิ่มทวีด้านอาชญากรรมและความชั่วช้าเลวทราม การดื้อดึงขัดขืนและความเหลวไหลเสเพลของเด็ก รวมทั้งการไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า และการประพฤติผิดศีลธรรมที่แพร่หลายยิ่งขึ้น—เหตุการณ์ที่น่าเป็นห่วงเช่นนี้ได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง “ยุคสุดท้าย” แห่งระบบชั่วนี้.—2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.; มัดธาย 24:12.
48. ใครเป็นผู้ก่อเหตุวิบัติในโลกนี้ และทำไมวิบัติจึงเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 1914?
48 แต่ถ้าได้ตั้งรัฐบาลทางภาคสวรรค์ขึ้นตั้งแต่ปี 1914 เหตุไฉนจึงมีความทุกข์ลำบากดังกล่าวบนแผ่นดินโลก? ซาตานพญามารนั่นแหละเป็นตัวการ. ครั้นพระคริสต์ได้รับขัตติยอำนาจแล้ว สิ่งแรกที่พระองค์ทรงกระทำคือ ทำสงครามกับซาตานในสวรรค์อันไม่ประจักษ์แก่ตา. ผลก็คือ ซาตาน “ผู้ลวงมนุษย์โลกทั้งปวง” พร้อมทั้งบริวารของมันถูกผลักลงมายังบริเวณแผ่นดินโลก. เนื่องจากซาตานรู้ว่าความหายนะกำลังรออยู่ มันจึงก่อกวนให้เกิดความยุ่งยากลำบากมากมายบนแผ่นดินโลก. กล่าวได้เลยว่า “วิบัติ . . . แก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่ามารได้ลงมาถึงเจ้ามีความโกรธยิ่งนัก ด้วยมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย.”—วิวรณ์ 12:7-9, 12.
49. (ก) อะไรจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ “ทำลายแผ่นดินโลก”? (ข) พระยะโฮวาจะทรงสำเร็จโทษนานาชาติตามที่พระองค์ทรง “ตั้งพระทัยไว้” อย่างไร?
49 วิบัติเหล่านี้จะยุติไหม? แน่ทีเดียว!—เมื่อรัฐบาลฝ่ายสวรรค์ อันได้แก่ ราชอาณาจักรของพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์จะปฏิบัติการเพื่อ “ทรงทำลายคนที่ทำลายแผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 11:18, ฉบับแปลใหม่; ดานิเอล 2:44) พระเจ้าจะไม่ยอมให้อำนาจการเมือง คริสเตียนปลอม หรือผู้หนึ่งผู้ใดใช้อาวุธนิวเคลียร์ทำลายฝีพระหัตถ์ของพระองค์คือ แผ่นดินโลกเป็นอันขาด. พระองค์ทรงแถลงว่า “เพราะการตกลงใจของเราก็คือจะรวมประชาชาติ ให้ราชอาณาจักรชุมนุมกันเพื่อเทความกริ้วของเราบนเขาทั้งหลาย คือความร้อนแรงแห่งความโกรธของเรา.” (ซะฟันยา 3:8, ฉบับแปลใหม่) พระยะโฮวาโดยทางพระคริสต์จะทรงใช้พลังอันมหาศาลในเอกภพซึ่งพระองค์ทรงควบคุมอยู่นั้นทำลายล้างทุกคนในโลกนี้ที่ติดตามซาตาน. ทั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว คล้ายกับในคราวมหาอุทกภัยสมัยโนฮา.—ยิระมะยา 25:31-34; 2 เปโตร 3:5-7, 10.
50. (ก) “อาร์มาเก็ดดอน” คืออะไร? (ข) ใครจะรอดผ่านอาร์มาเก็ดดอนได้?
50 พระคัมภีร์เรียกการทำลายนานาชาติที่ชั่วช้านี้ว่า สงครามอาร์มาเก็ดดอนของพระเจ้า. (วิวรณ์ 16:14-16) เฉพาะชนผู้ถ่อมใจซึ่งแสวงหาพระยะโฮวาและความชอบธรรมเท่านั้นจะรอดผ่านอาร์มาเก็ดดอนเข้าสู่ระบบใหม่ของพระเจ้าซึ่งมีสันติสุข. (ซะฟันยา 2:3; ยะซายา 26:20, 21) พระคัมภีร์พูดเกี่ยวด้วยชนเหล่านี้ว่า “แต่คนทั้งหลายที่มีใจถ่อมลงจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก และเขาจะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:11) ตอนนั้นแหละงานใหญ่โตเกี่ยวกับการฟื้นฟูทำให้โลกเป็นอุทยานจะเริ่มต้น!
การศึกษาเพื่อเข้าอุทยาน
51. เหตุใดจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ท่านพึงลงมือปฏิบัติเสียเดี๋ยวนี้?
51 ท่านอยากจะอยู่ในอุทยานไหม? ถ้าท่านตอบว่า ‘อยากอยู่’ ท่านคงตื่นเต้นที่รู้ว่าเมื่อพระเยซูตรัสพยากรณ์ถึงระบบปัจจุบันอันมีแต่ความยุ่งยากลำบากและ “สัญลักษณ์” แสดงถึงความพินาศที่คืบใกล้เข้ามานั้น พระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า “คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นจะบังเกิดขึ้น.” อย่างน้อยบางคนในชั่วอายุที่เห็น “การเริ่มต้นของความทุกข์ปวดร้าว” ในปี 1914 จะมีชีวิตอยู่จนกระทั่งได้เห็นการฟื้นฟูแผ่นดินโลกเป็นอุทยาน. (มัดธาย 24:3-8, 34) แต่น่าเศร้าจริง ๆ คนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้อยู่บนทางกว้างไปสู่ความพินาศ. (มัดธาย 7:13, 14) มีเวลาเหลืออยู่น้อยมากเพื่อที่เขาจะเปลี่ยนใจ. ท่านคงขอบพระคุณพระยะโฮวาสักเพียงไรที่พระองค์ทรงให้คำเตือนล่วงหน้า! เนื่องด้วยพระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ท่านได้ชีวิต พระองค์จะทรงช่วยท่านเพื่อจะเดินในทางที่ถูกต้อง.—2 เปโตร 3:9; ยะเอศเคล 18:23.
52. ท่านจำต้องมีอะไรเพื่อจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในเรื่องศาสนา?
52 บัดนี้ ความจำเป็นอันเร่งด่วนสำหรับท่านคือ ความรู้อันถ่องแท้. (1 ติโมเธียว 2:4; โยฮัน 17:3) ท่านจะได้ความรู้เช่นนี้จากที่ไหน? จะหาได้ในศาสนาไหนก็ได้เช่นนั้นไหม? บางคนบอกว่าทุกศาสนาไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน เหมือนกับเส้นทางขึ้นเขาทุกทางนำไปถึงยอดเขา. พวกเขาสำคัญผิดจริง ๆ! เพื่อจะพบเส้นทางที่ถูก นักปีนเขาจะใช้แผนที่ และจ้างคนนำทาง. ในทำนองเดียวกัน มีศาสนาเดียวเท่านั้นที่สอนความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร และเราต้องมีเครื่องนำทางเพื่อสืบค้นหาศาสนานั้นให้ได้.—กิจการ 8:26-31.
53. (ก) เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์ ท่านจำต้องทำอะไรอยู่เรื่อยไป? (ข) การทดลองอะไรที่มาจากซาตานซึ่งท่านต้องเอาชนะ?
53 พยานพระยะโฮวาได้จัดพิมพ์จุลสารเล่มนี้เพื่อช่วยท่าน. และท่านก็ได้รับความเข้าใจเรื่องความจริงขั้นพื้นฐานในพระคัมภีร์มาบ้างแล้วใช่ไหม? ท่านคงเปิดข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่มีอ้างอิงถึงแทบทุกวรรคในจุลสารนี้และเห็นแล้วว่าแต่ละเรื่องนั้นยึดเอาพระคำของพระเจ้าเป็นหลัก. บัดนี้ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายของท่าน ท่านจำต้องเรียนต่อ ๆ ไป. การศึกษาที่เหมาะที่ควรจำเป็นต่อการมีชีวิตในสังคมปัจจุบันฉันใด การศึกษาทางพระคัมภีร์อย่างถูกต้องก็จำเป็นฉันนั้น เพื่อที่เราจะสามารถเข้าอยู่ในสังคมซึ่งจะรอดพ้น และมีชีวิตบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. (2 ติโมเธียว 3:16, 17) ซาตานอาจจะพยายามทำให้ท่านไขว้เขว โดยให้เพื่อนสนิทต่อต้านท่านหรือล่อใจท่านให้เลือกทางชีวิตที่หมกมุ่นใส่ใจอย่างเห็นแก่ตัวอยู่กับวัตถุสิ่งของ หรือล่อให้ประพฤติผิดศีลธรรม. อย่ายอมแพ้ซาตานเลย. ความปลอดภัยของท่านและอนาคตของท่าน และของครอบครัวของท่านขึ้นอยู่กับการที่ท่านจะศึกษาพระคัมภีร์ต่อ ๆ ไป.—มัดธาย 10:36; 1 โยฮัน 2:15-17.
54. นอกจากนั้น พระยะโฮวาทรงจัดให้มีระบบการศึกษาแบบไหนในชุมชนของท่าน?
54 นอกจากการศึกษาพระคัมภีร์ต่อไปเรื่อย ๆ แล้ว ยังมีวิธีเรียนอีกอย่างหนึ่ง. ผู้คนในละแวกบ้านของท่านซึ่งสนใจศึกษาพระคัมภีร์ก็ได้เข้าร่วมประชุมเป็นประจำที่หอประชุมราชอาณาจักรซึ่งจัดขึ้นในท้องถิ่น. ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมต่างก็ได้รับคำแนะนำจากพระคัมภีร์และเขาพยายามอย่างจริงใจเพื่อที่จะเป็นคนดีขึ้นกว่าเดิม. เขาอยู่พร้อมที่จะต้อนรับคนใหม่ เหมือนพูดทำนองนี้ “มาเถิดพวกเรา ให้เราขึ้นไปยังภูเขาแห่งพระยะโฮวา [สถานที่นมัสการพระองค์] . . . พระองค์จะได้ทรงสอนเราให้รู้จักวิถีทางของพระองค์ และเราจะได้เดินไปตามทางของพระองค์นั้น.” (ยะซายา 2:3) เหตุผลที่ดีที่เกี่ยวกับการเข้าร่วมประชุมศึกษาพระคัมภีร์มีอธิบายไว้ในเฮ็บราย 10:24, 25 ซึ่งอ่านว่า “ให้เราพิจารณาดูกันและกัน เพื่อเป็นเหตุให้บังเกิดใจรักซึ่งกันและกันและกระทำการดี ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้น อย่าให้หยุด เหมือนบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกันและให้มากยิ่งขึ้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว.”
55. (ก) องค์การของพระยะโฮวาต่างไปจากองค์การอื่น ๆ ในทางใดบ้าง? (ข) พยานพระยะโฮวาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไร ซึ่งต่างจากกลุ่มชนอื่น ๆ?
55 เมื่อท่านคบหาสมาคมกับองค์การของพระยะโฮวา ท่านจะรู้สึกว่าบรรยากาศแตกต่างไปมากจากวัดหรือโบสถ์. ไม่มีการเรี่ยไร ไม่มีการนินทาลับหลังหรือทะเลาะเถียงกัน และไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังเนื่องจากภูมิหลังของครอบครัว หรือฐานะทางการเงินต่างกัน. คุณลักษณะที่เด่นสุดท่ามกลางพยานพระยะโฮวาคือ ความรัก. ประการแรก พวกเขารักพระยะโฮวา และประการที่สอง พวกเขารักเพื่อนมนุษย์. นี่แหละเป็นเครื่องหมายของคริสเตียนแท้. (มัดธาย 22:37-39; โยฮัน 13:35) ท่านน่าจะเข้าร่วมประชุมกับพวกเขาและเห็นด้วยตาของตนเอง. ท่านคงรู้สึกประทับใจแน่ที่พวกเขาสามัคคีกัน. มีพยานฯมากกว่าสามล้านคนตลอดทั่วโลกอยู่ใน 200 กว่าดินแดน. แต่กระนั้น พยานฯทั่วโลกมีระเบียบวาระการประชุมอย่างเดียวกัน. และเนื่องด้วยมีการพิมพ์หนังสือออกพร้อมกันหลายภาษา พยานพระยะโฮวาทั่วโลกส่วนใหญ่จะศึกษาเรื่องราวเดียวกันจากพระคัมภีร์ ภายในเวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมง ณ การประชุมประจำสัปดาห์ของพวกเขา. เอกภาพขององค์การของพระยะโฮวานับว่าเป็นการอัศจรรย์อย่างหนึ่งในสมัยปัจจุบัน ในโลกนี้ที่แบ่งแยก.
56. (ก) ท่านจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง สืบเนื่องจากความสัมพันธ์กับองค์การของพระยะโฮวา? (ข) เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ท่านควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? (ค) เหตุใดเป็นสิ่งสำคัญที่ท่านจะอุทิศชีวิตของท่านแด่พระยะโฮวา?
56 ขณะที่ท่านคบหากับประชาชนของพระยะโฮวาเป็นประจำ ท่านจะต้องใส่ “บุคลิกลักษณะใหม่” และปลูกฝังผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าคือ “ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้นทนนาน ความกรุณา ความดี ความเชื่อ ความอ่อนสุภาพ การรู้จักบังคับตน.” (โกโลซาย 3:10, 12-14; ฆะลาเตีย 5:22, 23, ล.ม.) การทำเช่นนี้ย่อมยังความอิ่มอกอิ่มใจอย่างสุดซึ้งแก่ตัวท่าน. ท่านอาจจะต้องสู้ปัญหาเป็นครั้งคราว เนื่องจากท่านอยู่ในโลกที่เสื่อมทรามและอีกอย่างหนึ่งท่านเองเป็นคนไม่สมบูรณ์. แต่พระยะโฮวาจะทรงช่วยท่าน. พระคำของพระองค์รับรองผู้ที่พยายามด้วยใจจริงเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยว่า “อย่ากระวนกระวายด้วยสิ่งใดเลย แต่จงเสนอความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานกับการขอบพระคุณ และสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเหลือที่จะเข้าใจได้จะคุ้มครองใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์.” (ฟิลิปปอย 4:6, 7) ท่านจะรู้สึกประทับใจลึกซึ้งในความรักของพระยะโฮวา แล้วท่านคงอยากรับใช้พระองค์. พยานพระยะโฮวามีความยินดีที่จะช่วยท่านให้ทราบถึงวิธีที่ท่านจะอุทิศชีวิตของท่านแด่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก แล้วเข้ามาเป็นพยานของพระองค์ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษ. (บทเพลงสรรเสริญ 104:33; ลูกา 9:23) ถูกแล้ว ถือได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ. คิดดูซิ! ในฐานะที่ท่านเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา ท่านสามารถจะเอื้อมแขนออกไปยังเป้าหมายคือ ชีวิตนิรันดร์อยู่ในอุทยานบนแผ่นดินโลกนี้.—ซะฟันยา 2:3; ยะซายา 25:6, 8.
57. (ก) ในระบบใหม่จะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดแบบไหน ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์? (ข) ตอนนั้นท่านจะได้รับพระพรอะไรบ้าง?
57 ฉะนั้น จงศึกษาต่อ ๆ ไป และเติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นในความรักและความหยั่งรู้ค่าต่อพระยะโฮวาพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์ รวมทั้งรัฐบาลอันชอบธรรมฝ่ายสวรรค์นั้น. คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์พรรณนาถึงรัฐบาลของพระเจ้าและพระพรต่าง ๆ ที่จะหลั่งเทลงมาเหนือมนุษยชาติดังนี้ “จงดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าก็อยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่กับเขา เขาจะเป็นพลเมืองของพระองค์. พระเจ้าเองจะดำรงอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา.” “พระเจ้าเอง” ผู้ทรงสูงส่งกว่าการปกครองของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและก่อความเสียหายในทุกวันนี้ พระองค์ก็จะทรงอยู่ใกล้ชิดเหมือนบิดาผู้ซึ่งกรุณาต่อทุกคนที่รักและนมัสการพระองค์ในระบบใหม่นั้น. ที่จริง จะมีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น คือการนมัสการแท้ของพระยะโฮวาพระเจ้า และผู้นมัสการพระองค์จะชื่นชมกับความสัมพันธ์อันสนิทสนมอย่างบุตรพึงมีต่อบิดา. พระองค์จะทรงสำแดงให้เห็นว่าเป็นพระบิดาที่เปี่ยมด้วยความรักสักเพียงไร! “และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย. เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:3, 4.
58. เหตุใดท่านจึงมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะทรง “สร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่”?
58 โดยวิธีนี้ การอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการจัดเตรียมแผ่นดินโลกให้เป็นอุทยาน ภายใต้รัฐบาลฝ่ายสวรรค์ที่ดีพร้อมทุกประการก็จะบรรลุผล. มันเป็นสิ่งแน่นอนเช่นเดียวกันกับที่ว่าพรุ่งนี้จะมีดวงอาทิตย์ขึ้นและตกจริง ๆ. เพราะคำสัญญาของพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกนั้น “สุจริตและสัตย์จริง” อยู่เสมอ. พระองค์เองทรงประกาศิตจากพระที่นั่งในสวรรค์ที่ว่า “นี่แน่ะ! เรากำลังสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่.”—วิวรณ์ 21:5, ล.ม.
เพื่อเป็นการทบทวนจุลสารเล่มนี้ท่านจะตอบคำถามต่อไปนี้อย่างไร?
พระคัมภีร์เด่นในทางใดบ้าง?
ท่านได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้า?
พระเยซูคริสต์คือใคร?
ซาตานพญามารคือใคร?
เหตุใดพระเจ้าทรงยอมให้ความชั่วมีอยู่?
เหตุใดมนุษย์ตาย?
สภาพของคนตายเป็นเช่นไร?
ค่าไถ่คืออะไร?
การกลับเป็นขึ้นจากตายจะเกิดขึ้นที่ไหนและอย่างไร?
ราชอาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร และจะสัมฤทธิ์ผลในเรื่องใด?
“สัญลักษณ์” แห่ง “ช่วงอวสานของระบบนี้” คืออะไร?
ท่านจะเตรียมตัวเพื่อจะมีชีวิตตลอดไปในอุทยานได้อย่างไร?
[เชิงอรรถ]
a ข้ออ้างอิงในพระคัมภีร์ที่สนับสนุนเรื่องราวในข้อ 1 ถึง 4. (1) กิจการ 17:26; บทเพลงสรรเสริญ 46:9; มีคา 4:3, 4; ยะซายา 65:21-23; (2) ยะซายา 65:25; 11:6-9; 55:12, 13; บทเพลงสรรเสริญ 67:6, 7; (3) โยบ 33:25; ยะซายา 35:5, 6; 33:24; บทเพลงสรรเสริญ 104:24; (4) ยะซายา 55:11.
b ถ้าไม่ระบุเป็นอย่างอื่น ข้อคัมภีร์ที่ยกมากล่าวโดยตรงนั้นมาจากพระคัมภีร์ไทยหมายเลข 85. ตัวย่อ ล.ม. ตามหลังข้อคัมภีร์หมายความว่า ข้อความนั้นยกมาจาก นิว เวิลด์ แทรนซเลชัน อ็อฟ ดะ โฮลี สกรีพเจอร์ (ฉบับภาษาอังกฤษ) พิมพ์ปี 1984.
c Monarchs and Tombs and Peoples—The Dawn of the Orient, page 25. (หนังสือ กษัตริย์ อุโมงค์ฝังศพ และชนชาติต่าง ๆ—รุ่งอรุณของประเทศทางตะวันออก (ภาษาอังกฤษ) หน้า 25)
d สารานุกรมวรรณคดีพระคัมภีร์ ศาสนศาสตร์และคริสต์จักร โดย เจ. แมคลินท็อกและเจ. สตรองก์ เล่ม 8 หน้า 908.
[รูปภาพหน้า 13]
มนุษย์อยู่ในระดับสูงกว่าสัตว์ทั้งปวง
[รูปภาพหน้า 18]
พระเยซูเท่าเทียมกับอาดามมนุษย์สมบูรณ์