สวนเอเดนมีจริงไหม?
คุณเคยได้ยินเรื่องอาดามกับฮาวาและสวนเอเดนไหม? ผู้คนทั่วโลกรู้จักเรื่องนี้. ดีไหมที่คุณจะอ่านเรื่องราวนี้ด้วยตัวคุณเอง? บันทึกนั้นอยู่ในเยเนซิศ 1:26–3:24. ใจความของเรื่องมีดังนี้:
พระยะโฮวาพระเจ้าa ทรงสร้างชายคนหนึ่งจากผงคลีดิน. พระองค์ตั้งชื่อเขาว่าอาดามและให้เขาอยู่ในสวนแห่งหนึ่งในแคว้นที่เรียกว่าเอเดน. พระเจ้าทรงสร้างสวนนั้นด้วยพระองค์เอง. สวนนี้มีแม่น้ำไหลผ่านและอุดมด้วยต้นไม้ที่งอกงามและออกดอกออกผลมากมาย. ตรงกลางสวนมี “ต้นไม้ที่ให้รู้ความดีและชั่ว.” พระเจ้าห้ามไม่ให้มนุษย์กินผลของต้นไม้นี้และตรัสว่าถ้าไม่เชื่อฟัง พวกเขาจะตาย. ต่อมา พระยะโฮวาได้สร้างผู้หญิงคนหนึ่งชื่อฮาวาจากกระดูกซี่โครงของอาดามเพื่อให้เป็นเพื่อนเขา. พระเจ้าให้พวกเขาทำงานดูแลรักษาสวนและบอกให้พวกเขามีลูกหลานเต็มแผ่นดินโลก.
เมื่อฮาวาอยู่ตามลำพัง งูได้เข้ามาพูดกับเธอและล่อลวงให้กินผลไม้ที่พระเจ้าสั่งห้าม. มันอ้างว่าพระเจ้าโกหกและกีดกันเธอไว้จากสิ่งดีซึ่งจะทำให้เธอเป็นเหมือนพระเจ้าได้. ฮาวาหลงเชื่อและกินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม. ต่อมา อาดามก็ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้าโดยกินผลไม้นั้นด้วย. พระยะโฮวาจึงประกาศคำพิพากษาแก่อาดาม ฮาวา และงู. หลังจากพระเจ้าขับไล่มนุษย์ทั้งสองออกจากสวนอุทยานแล้ว ทูตสวรรค์ก็มาเฝ้าทางเข้าสวนไว้.
นักวิชาการ ผู้มีการศึกษา และนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ในอดีตเคยเห็นพ้องกันว่าเหตุการณ์ที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลที่หนังสือเยเนซิศเป็นความจริงและถูกต้องตามประวัติศาสตร์. แต่ปัจจุบันมีการตั้งข้อสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น. พวกเขาสงสัยอะไรล่ะเกี่ยวกับอาดาม ฮาวา และสวนเอเดนที่บันทึกในหนังสือเยเนซิศ? ให้เรามาพิจารณาสี่ประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัยกัน.
1. สวนเอเดนเป็นสถานที่จริงไหม?
ทำไมจึงมีการตั้งข้อสงสัยเช่นนั้น? สาเหตุอย่างหนึ่งคือคำสอนของนักปรัชญา. เป็นเวลาหลายศตวรรษ พวกนักเทววิทยาคิดกันว่าสวนของพระเจ้ายังมีอยู่ที่ไหนสักแห่ง. อย่างไรก็ตาม คริสตจักรได้รับผลกระทบจากแนวคิดของนักปรัชญาชาวกรีก เช่น เพลโตและอาริสโตเติลซึ่งเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่สมบูรณ์จนไร้ที่ติ. ความสมบูรณ์มีอยู่แต่ในสวรรค์เท่านั้น. ดังนั้น นักเทววิทยาจึงคิดว่าสวนอุทยานแรกเดิมจะต้องอยู่ใกล้สวรรค์มากกว่านี้.b บางคนบอกว่าสวนนี้อยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นที่ที่ความเสื่อมทรามของโลกไม่อาจกล้ำกรายได้. บางคนก็เชื่อว่าสวนนี้อยู่ที่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ ส่วนคนอื่นก็บอกว่าสวนนี้อยู่บนดวงจันทร์หรืออยู่ใกล้ดวงจันทร์. ไม่แปลกเลยที่แนวคิดเรื่องสวนเอเดนจะกลายเป็นเรื่องในจินตนาการมากกว่าเรื่องจริง. นักวิชาการสมัยปัจจุบันบางคนคิดว่าที่ตั้งของสวนเอเดนตามบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องเหลวไหล และยืนยันว่าไม่เคยมีสถานที่เช่นนั้นบนโลก.
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ให้ภาพสวนเอเดนอย่างที่คนเหล่านั้นคิดกัน. เยเนซิศ 2:8-14 บอกให้เรารู้ว่าสวนนี้มีลักษณะเฉพาะหลายอย่าง. สวนนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแคว้นเอเดน. แม่น้ำที่ไหลผ่านสวนเอเดนแยกออกเป็นสี่สาย. แต่ละสายมีชื่อเรียกและมีการบอกเส้นทางที่แม่น้ำเหล่านี้ไหลผ่าน. รายละเอียดเหล่านี้กระตุ้นความสนใจของนักวิชาการ และพวกเขาหลายคนพยายามจะตีความบันทึกในเยเนซิศเพื่อแกะรอยดูว่าสวนเอเดนในยุคโบราณตั้งอยู่ที่ไหนในแผนที่สมัยปัจจุบัน. แต่พวกเขาก็มีความคิดเห็นขัดแย้งกัน. นี่หมายความว่ารายละเอียดที่บอกไว้ในเยเนซิศเกี่ยวกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของสวนเอเดนและแม่น้ำเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องโกหกหรือนิทานไหม?
คิดดูสิว่า เหตุการณ์ในสวนเอเดนเกิดขึ้นประมาณ 6,000 ปีแล้ว. ดูเหมือนว่า โมเซเป็นผู้บันทึกเรื่องราวนี้ซึ่งท่านอาจรู้มาจากคำบอกเล่าหรือข้อเขียนที่มีอยู่ก่อนสมัยของท่าน. แต่โมเซเริ่มเขียนเรื่องราวเหล่านี้ภายหลังเหตุการณ์นั้นประมาณ 2,500 ปี. ตอนนั้นเรื่องสวนเอเดนก็เป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นมานมนานแล้ว. เป็นไปได้ไหมว่าสถานที่ซึ่งเป็นจุดสังเกตต่าง ๆ อย่างเช่น แม่น้ำ ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหลังจากเวลาล่วงเลยมานานหลายศตวรรษ? เนื่องจากเปลือกโลกมีการเคลื่อนตัวอยู่เสมอ และบริเวณที่คิดกันว่าน่าจะเป็นที่ตั้งของสวนเอเดนก็อยู่ตรงแนวแผ่นดินไหว ซึ่งประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ของแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดในโลกเคยเกิดขึ้นในบริเวณนี้. ดังนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่สภาพผิวโลกบริเวณนี้จะเปลี่ยนแปลงไป. นอกจากนั้น น้ำท่วมใหญ่ในสมัยโนอาห์อาจทำให้ลักษณะภูมิประเทศของดินแดนแถบนั้นเปลี่ยนไปซึ่งพวกเราในทุกวันนี้ไม่อาจรู้ได้.c
แต่มีข้อเท็จจริงบางอย่างที่เรารู้. บันทึกในเยเนซิศพูดถึงสวนเอเดนว่าเป็นสถานที่จริง. แม่น้ำสองในสี่สายที่กล่าวถึงคือยูเฟรทิส (ฟะราธ) และไทกริส (ฮิเดะเค็ล) ยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ และต้นน้ำของแม่น้ำสองสายนี้ก็อยู่ใกล้กันมาก. บันทึกนั้นถึงกับบอกชื่อดินแดนที่แม่น้ำเหล่านี้ไหลผ่านและพูดถึงทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณนั้น. สำหรับชาวอิสราเอลโบราณซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่อ่านบันทึกนี้ รายละเอียดดังกล่าวให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากทีเดียว.
ตำนานหรือเทพนิยายจะให้รายละเอียดอย่างนี้ไหม? หรือว่าตำนานเหล่านั้นมักจะไม่ให้รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงซึ่งทำให้ผู้อ่านรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก? เทพนิยายมักจะขึ้นต้นว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในดินแดนอันไกลโพ้น.” แต่บันทึกทางประวัติศาสตร์มักจะให้รายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังที่เห็นได้ในบันทึกเรื่องสวนเอเดน.
2. เรื่องที่ว่าพระเจ้าสร้างอาดามจากผงคลีดินและสร้างฮาวาจากกระดูกซี่โครงของเขาเชื่อถือได้จริง ๆ ไหม?
นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันยืนยันว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุหลายชนิด เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน และคาร์บอนซึ่งทั้งหมดพบได้บนพื้นโลก. แต่ธาตุเหล่านี้มารวมตัวกันแล้วเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตได้อย่างไร?
นักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ตั้งทฤษฎีที่ว่าชีวิตเกิดขึ้นมาเอง โดยเริ่มจากสิ่งมีชีวิตรูปแบบง่าย ๆ แล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้นตลอดช่วงเวลานับล้านปีจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ. อย่างไรก็ตาม คำว่า “ง่าย ๆ” อาจทำให้เข้าใจไขว้เขวได้ เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดแม้แต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ยังมีความซับซ้อนจนแทบไม่น่าเชื่อ. ไม่มีหลักฐานแสดงว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดเกิดขึ้นเองหรือมีทางเป็นไปได้ว่าจะเป็นเช่นนั้น. ตรงกันข้าม สิ่งมีชีวิตทุกชนิดให้หลักฐานชัดเจนว่าจะต้องมีผู้หนึ่งซึ่งมีเชาวน์ปัญญาล้ำเลิศกว่ามนุษย์เป็นผู้ออกแบบ.d—โรม 1:20
ลองนึกภาพว่า คุณกำลังฟังการบรรเลงดนตรีของวงออร์เคสตรา หรือชื่นชมกับภาพวาดที่วิจิตรงดงาม หรือมองดูนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่น่าทึ่ง คุณจะบอกไหมว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีผู้สร้างสรรค์? คุณคงไม่ลงความเห็นอย่างนั้นแน่! แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นเทียบไม่ได้เลยกับร่างกายมนุษย์ที่ถูกออกแบบอย่างงดงามและสลับซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง. เราคงไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีผู้สร้างมิใช่หรือ? นอกจากนั้น บันทึกในเยเนซิศยังอธิบายด้วยว่าในบรรดาสิ่งมีชีวิตบนโลก มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นตามแบบฉายาของพระเจ้า. (เยเนซิศ 1:26) เพราะเหตุนี้ จึงมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ปรารถนาจะสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกับพระเจ้า และหลายครั้งพวกเขาก็สร้างผลงานอันน่าทึ่งในด้านดนตรี ศิลปะ และเทคโนโลยี. แล้วถ้าพระเจ้าจะสร้างสรรค์ผลงานได้ล้ำเลิศกว่ามนุษย์ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกมิใช่หรือ?
ถ้าพระเจ้าจะสร้างผู้หญิงโดยใช้กระดูกซี่โครงของผู้ชายจะเป็นเรื่องยากสำหรับพระองค์ไหม?e พระเจ้าอาจสร้างผู้หญิงโดยวิธีอื่นก็ได้ แต่วิธีที่พระองค์เลือกนี้แฝงความหมายที่ลึกซึ้ง. พระองค์ต้องการให้ผู้ชายและผู้หญิงแต่งงานกันและพัฒนาสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเหมือนเป็น “เนื้อหนังอันเดียวกัน.” (เยเนซิศ 2:24) การที่ชายและหญิงสามารถเสริมส่วนที่อีกฝ่ายหนึ่งขาดไปและพัฒนาสายสัมพันธ์ที่มั่นคงใกล้ชิดต่อกันเป็นหลักฐานหนักแน่นที่แสดงว่ามีพระผู้สร้างที่เปี่ยมด้วยความรักและมีสติปัญญาล้ำเลิศมิใช่หรือ?
นอกจากนั้น นักพันธุศาสตร์ในปัจจุบันยอมรับว่ามีความเป็นไปได้มากที่มนุษย์ทุกคนจะสืบเชื้อสายมาจากชายและหญิงเพียงคู่เดียว. ถ้าอย่างนั้น บันทึกในเยเนซิศยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกหรือ?
3. ต้นไม้แห่งความรู้และต้นไม้แห่งชีวิตเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานไหม?
ที่จริง บันทึกในเยเนซิศไม่ได้บอกว่าต้นไม้เหล่านี้เป็นต้นไม้วิเศษหรือมีพลังอำนาจใด ๆ. ตรงกันข้าม ต้นไม้สองต้นนี้เป็นต้นไม้จริงที่พระยะโฮวาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนบางสิ่ง.
บางครั้งมนุษย์เองก็นำสิ่งต่าง ๆ มาใช้เป็นสัญลักษณ์ด้วยมิใช่หรือ? ตัวอย่างเช่น ผู้พิพากษาอาจเตือนให้ระวังโทษฐานหมิ่นศาล. สิ่งที่ผู้พิพากษาต้องการปกป้องไม่ใช่ห้องพิจารณาคดี ผนังห้อง หรือข้าวของเครื่องใช้ในห้องนั้น แต่เขาต้องการปกป้องระบบยุติธรรมซึ่งมีศาลเป็นสัญลักษณ์. กษัตริย์หลายองค์ก็ใช้คทาและมงกุฎเป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจการปกครองของตน.
แล้วต้นไม้สองต้นนั้นจะเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งใด? มีการตั้งทฤษฎีที่ซับซ้อนขึ้นมามากมาย. ทว่า คำตอบที่แท้จริงนั้นเรียบง่ายแต่มีความหมายลึกซึ้ง. ต้นไม้ที่ให้รู้ความดีและชั่วเป็นสิ่งที่แสดงถึงสิทธิในการตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว ซึ่งเป็นสิทธิของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น. (ยิระมะยา 10:23) ไม่แปลกที่การขโมยผลของต้นไม้นี้ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง! ส่วนต้นไม้แห่งชีวิตเป็นสิ่งที่แสดงถึงของประทานที่พระเจ้าเท่านั้นจะให้แก่มนุษย์ได้ คือชีวิตนิรันดร์.—โรม 6:23
4. งูที่พูดได้มีแค่ในนิทานปรัมปราไหม?
จริงอยู่ เรื่องราวตอนนี้ของเยเนซิศอาจทำให้ผู้อ่านสงสัย โดยเฉพาะถ้าอ่านแค่ส่วนนี้เท่านั้นและไม่ได้เอาเรื่องอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลมาพิจารณาด้วย. อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ค่อย ๆ ไขความลับของเรื่องที่แปลกประหลาดนี้.
ใครหรืออะไรทำให้งูดูเหมือนพูดได้? ชาวอิสราเอลในสมัยโบราณรู้เรื่องราวอื่น ๆ ที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจบทบาทของงูตัวนั้นมากขึ้น. ตัวอย่างเช่น พวกเขารู้ว่าแม้สัตว์จะพูดไม่ได้แต่ทูตสวรรค์สามารถทำให้มันพูดได้. โมเซเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบีละอัมและบอกว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าถูกส่งไปเพื่อทำให้ลาของบีละอัมพูดได้.—อาฤธโม 22:26-31; 2 เปโตร 2:15, 16
ทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ รวมทั้งทูตสวรรค์ชั่วที่ต่อต้านพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์เช่นนั้นได้ไหม? โมเซเคยเห็นนักบวชชาวอียิปต์ทำเวทมนตร์เลียนแบบการอัศจรรย์ของพระเจ้า เช่น ทำให้ไม้เท้ากลายเป็นงู. ความสามารถในการทำเล่ห์กลเหล่านี้ต้องมาจากศัตรูของพระเจ้าที่อยู่ในแดนวิญญาณอย่างแน่นอน.—เอ็กโซโด 7:8-12
นอกจากนั้น ดูเหมือนว่าโมเซได้รับการดลใจให้เขียนหนังสือโยบด้วย. หนังสือเล่มนั้นบอกให้เรารู้หลายอย่างเกี่ยวกับซาตานศัตรูตัวสำคัญของพระเจ้าซึ่งตั้งข้อกล่าวหาเท็จในเรื่องความซื่อสัตย์ภักดีของผู้รับใช้ทุกคนของพระยะโฮวา. (โยบ 1:6-11; 2:4, 5) ชาวอิสราเอลในสมัยโบราณจะหาเหตุผลเชื่อมโยงกันได้ไหมว่า ซาตานคือผู้ที่ทำให้งูในสวนเอเดนดูเหมือนพูดได้และหลอกลวงฮาวาให้เลิกภักดีต่อพระเจ้า? ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น.
ซาตานคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังงูตัวนั้นไหม? ภายหลังพระเยซูตรัสว่าซาตานเป็น “ผู้พูดมุสาและเป็นพ่อของการพูดมุสา.” (โยฮัน 8:44) “พ่อของการพูดมุสา” คงต้องหมายถึงผู้แรกที่พูดโกหกมิใช่หรือ? คำโกหกแรกก็คือคำพูดที่งูพูดกับฮาวา. งูได้บอกฮาวาว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก” ซึ่งขัดกับคำเตือนของพระเจ้าที่ว่าพวกเขาจะตายถ้ากินผลไม้ที่พระองค์ห้าม. (เยเนซิศ 3:4) เห็นได้ชัดว่า พระเยซูรู้ว่าซาตานอยู่เบื้องหลังงูนั้น. วิวรณ์ซึ่งพระเยซูประทานแก่อัครสาวกโยฮันให้ความกระจ่างในเรื่องนี้โดยเรียกซาตานว่า “งูตัวแรกเดิม.”—วิวรณ์ 1:1; 12:9
เรื่องที่ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์สามารถทำให้งูดูเหมือนพูดได้นั้นเชื่อได้จริง ๆ หรือ? แม้แต่มนุษย์ธรรมดาซึ่งไม่มีอำนาจเหมือนทูตสวรรค์ก็ยังทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้โดยใช้วิธีแปลงเสียงหรือใช้เทคนิคพิเศษต่าง ๆ ที่ทำให้ดูเหมือนจริง.
หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุด
คุณคงเห็นด้วยมิใช่หรือว่าข้อสงสัยเกี่ยวกับบันทึกในเยเนซิศไม่มีหลักฐานสนับสนุนมากพอ? ตรงกันข้าม มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าบันทึกนั้นเป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์.
ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลเรียกพระเยซูคริสต์ว่า “พยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง.” (วิวรณ์ 3:14) เนื่องจากพระเยซูเป็นมนุษย์สมบูรณ์ พระองค์ไม่เคยโกหก และไม่เคยพูดบิดเบือนความจริงเลย. นอกจากนั้น พระเยซูสอนว่าพระองค์เคยมีชีวิตอยู่นานก่อนที่จะมาเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลก. ที่จริง พระองค์เคยอยู่เคียงข้างพระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์ “ก่อนมีโลกนี้.” (โยฮัน 17:5) ดังนั้น พระเยซูทรงมีพระชนม์อยู่แล้วตอนที่พระเจ้าเริ่มสร้างสิ่งต่าง ๆ บนโลก. อะไรคือหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดในบรรดาพยานหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่?
พระเยซูตรัสถึงอาดามและฮาวาว่าเป็นบุคคลจริง ๆ. พระองค์อ้างถึงการสมรสของพวกเขาเมื่ออธิบายเรื่องมาตรฐานการสมรสของพระยะโฮวาซึ่งกำหนดให้มีสามีและภรรยาเพียงคนเดียว. (มัดธาย 19:3-6) ถ้าพวกเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่จริงและสวนเอเดนที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นแค่นิทานปรัมปรา พระเยซูก็คงถูกหลอกหรือไม่ก็พูดโกหก ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งสองกรณี! ที่จริง ขณะที่เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าในสวนเอเดน พระเยซูทรงอยู่ในสวรรค์และทรงเฝ้าดูอยู่. จะมีใครให้พยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มากไปกว่านี้อีกหรือ?
ที่จริง การไม่เชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับสวนเอเดนที่บันทึกในเยเนซิศทำให้ยากที่จะเชื่อเรื่องพระเยซู. และถ้าไม่เชื่อเรื่องสวนเอเดนก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจสาระสำคัญและคำสัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในคัมภีร์ไบเบิล. ให้เรามาดูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น.
[เชิงอรรถ]
a ยะโฮวาคือพระนามของพระเจ้าตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิล.
b ความคิดเช่นนี้ไม่ตรงตามพระคัมภีร์. คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าผลงานทุกอย่างของพระเจ้าสมบูรณ์ไร้ที่ติ และความเสื่อมไม่ได้มาจากพระองค์. (พระบัญญัติ 32:4, 5) หลังจากสร้างสิ่งต่าง ๆ บนโลกเสร็จแล้ว พระยะโฮวาตรัสว่าทุกสิ่งที่ทรงสร้างนั้น “ดีนัก.”—เยเนซิศ 1:31
c เห็นได้ชัดว่า น้ำท่วมใหญ่ครั้งนั้นซึ่งเป็นปฏิบัติการของพระเจ้าได้ทำให้ร่องรอยทั้งหมดของสวนเอเดนลบเลือนไปจนหมดสิ้น. ยะเอศเคล 31:18 ทำให้รู้ว่า “ต้นไม้ทั้งหลายในเอเดน” สูญหายไปนานแล้วก่อนถึงศตวรรษที่เจ็ดก่อนสากลศักราช. ดังนั้น ใครก็ตามที่พยายามจะเสาะหาสวนเอเดนในเวลาต่อมาจึงไม่มีทางหาพบได้.
d ดูจุลสารต้นกำเนิดชีวิต—ห้าคำถามที่น่าคิด จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
e น่าสนใจ วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่พบว่ากระดูกซี่โครงของมนุษย์สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง. ต่างจากกระดูกส่วนอื่น ๆ กระดูกซี่โครงจะงอกขึ้นใหม่ได้ถ้าเนื้อเยื่อยึดต่อยังอยู่ในสภาพดี.