บท 8
ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์?
1, 2. บ่อยครั้งผู้คนมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความทุกข์ของมนุษย์?
เมื่อภัยพิบัติจู่โจม ทำลายทรัพย์สินและทำให้เสียชีวิต หลายคนไม่อาจเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนั้นจึงเกิดขึ้น. คนอื่นรู้สึกเป็นทุกข์เนื่องจากปริมาณ, ความเหี้ยมโหด, และความป่าเถื่อนของอาชญากรรมและความรุนแรง. คุณอาจสงสัยด้วยเช่นกันว่า ‘ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์?’
2 เนื่องจากไม่พบคำตอบที่จุใจสำหรับคำถามนี้ หลายคนจึงหมดศรัทธาในพระเจ้า. พวกเขารู้สึกว่า พระองค์ไม่ใฝ่พระทัยในมนุษยชาติ. คนอื่นซึ่งยอมรับว่า ความทุกข์คือสภาพความเป็นจริงของชีวิตกลับรู้สึกแค้นเคืองและโทษพระเจ้าเนื่องด้วยความชั่วร้ายทั้งสิ้นในสังคมมนุษย์. หากคุณเคยมีความรู้สึกเช่นนั้น คุณคงจะสนใจทีเดียวในคำแถลงของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้.
ความทุกข์มิได้มาจากพระเจ้า
3, 4. เพราะเหตุใดเราแน่ใจได้ว่า ความชั่วและความทุกข์มิได้มาจากพระยะโฮวา?
3 คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่า ความทุกข์ที่เห็นอยู่รอบตัวเรานั้นมิได้มาจากพระเจ้ายะโฮวา. เพื่อเป็นตัวอย่าง คริสเตียนสาวกยาโกโบเขียนว่า “เมื่อถูกทดลอง อย่าให้ผู้ใดว่า ‘พระเจ้าทดลองข้าพเจ้า.’ เพราะพระเจ้าจะถูกทดลองด้วยสิ่งที่ชั่วไม่ได้ หรือพระองค์เองก็ไม่ทดลองผู้ใดเลย.” (ยาโกโบ 1:13, ล.ม.) เมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าคงไม่ได้ก่อความยากลำบากมากมายที่ทำให้มนุษยชาติเดือดร้อน. พระองค์มิได้ทดสอบความทรหดของคนเราเพื่อทำให้เขาเหมาะกับชีวิตในสวรรค์ และพระองค์ก็มิได้ทำให้คนทนทุกข์เนื่องจากการกระทำชั่วที่คิดเอาเองว่าเขาได้กระทำในชาติก่อน.—โรม 6:7.
4 นอกจากนี้ ถึงแม้มีการทำสิ่งที่เลวร้ายหลายอย่างในนามของพระเจ้าหรือพระคริสต์ก็ตาม ไม่มีข้อใดในคัมภีร์ไบเบิลที่ชวนให้คิดว่า พระองค์ทั้งสองเคยพอพระทัยกับการปฏิบัติเช่นนั้น. พระเจ้าและพระคริสต์ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนเหล่านั้นที่อ้างว่ารับใช้พระองค์ ทว่าเป็นผู้ที่ฉ้อโกงและหลอกลวง, ฆ่าและปล้น, และทำสิ่งอื่นหลายอย่างที่ก่อความทุกข์แก่มนุษย์. ที่จริง “ทางของคนชั่วเป็นที่สะอิดสะเอียนแด่พระยะโฮวา.” พระเจ้า “ทรงอยู่ห่างไกลจากคนชั่ว.”—สุภาษิต 15:9, 29.
5. พระยะโฮวาทรงมีคุณลักษณะอะไรบ้าง และพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง?
5 คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงพระยะโฮวาว่า “ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อันอ่อนละมุนและเมตตา.” (ยาโกโบ 5:11, ล.ม.) พระคัมภีร์แถลงว่า “พระยะโฮวาทรงรักความยุตติธรรม.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:28; ยะซายา 61:8) พระองค์ไม่ทรงอาฆาตแค้น. พระองค์เอาพระทัยใส่ด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่พระองค์ทรงสร้างมาและประทานสิ่งดีที่สุดแก่ทุกคนเพื่อสวัสดิภาพของเขา. (กิจการ 14:16, 17) พระยะโฮวาได้กระทำเช่นนั้นตั้งแต่การเริ่มมีชีวิตบนแผ่นดินโลก.
การเริ่มต้นที่สมบูรณ์พร้อม
6. ตำนานบางเรื่องกล่าวพาดพิงถึงสภาพการณ์ในประวัติศาสตร์ต้น ๆ ของมนุษยชาติอย่างไร?
6 เราทุกคนล้วนเคยชินกับการพบเห็นและรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทุกข์. เพราะฉะนั้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะนึกภาพสมัยที่ไม่มีความทุกข์ แต่สภาพการณ์เคยเป็นเช่นนั้นในตอนเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์. แม้แต่ตำนานของบางชนชาติก็ยังพูดพาดพิงถึงการเริ่มต้นที่มีความสุขดังกล่าว. ในเทพนิยายกรีก ยุคแรกใน “ห้ายุคของมนุษย์” ถูกเรียกว่า “ยุคทอง.” ในยุคนั้น มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข, ปราศจากงานตรากตรำ, ความเจ็บปวด, และผลเสียหายจากวัยชรา. ชาวจีนบอกว่า ระหว่างการปกครองของจักรพรรดิเหลือง (หวังตี) ตามเทพนิยายนั้น ผู้คนมีชีวิตอยู่ด้วยสันติสุข, มีความปรองดองกันแม้แต่กับสภาพดินฟ้าอากาศและพวกสัตว์ป่า. ชาวเปอร์เซีย, อียิปต์, ทิเบต, เปรู, และเม็กซิกันล้วนแต่มีตำนานเรื่องสมัยแห่งความสุขและความสมบูรณ์ในตอนเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ.
7. ทำไมพระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินโลกและมนุษยชาติ?
7 เทพนิยายของชาติต่าง ๆ เพียงแต่ลอกเลียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเก่าแก่ที่สุดแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คือคัมภีร์ไบเบิล. บันทึกนั้นแจ้งให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงจัดให้อาดามและฮาวา มนุษย์คู่แรก อยู่ในอุทยานที่เรียกว่าสวนเอเดนและทรงมีรับสั่งแก่เขาทั้งสองว่า “จงบังเกิดทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน; จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน.” (เยเนซิศ 1:28) บิดามารดาคู่แรกมีความสมบูรณ์และมีโอกาสที่จะเห็นแผ่นดินโลกทั้งสิ้นกลายเป็นอุทยานที่ครอบครัวมนุษย์สมบูรณ์อาศัยอยู่ด้วยสันติภาพและความสุขถาวร. นั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าในการสร้างแผ่นดินโลกและมนุษยชาติ.—ยะซายา 45:18.
การท้าทายแบบมีเจตนาร้าย
8. มีการคาดหมายให้อาดามและฮาวาเชื่อฟังพระบัญชาอะไร แต่เกิดอะไรขึ้น?
8 เพื่อคงไว้ซึ่งความโปรดปรานของพระเจ้าต่อไป อาดามและฮาวาจะต้องละเว้นการรับประทานผลจาก “ต้นไม้เกี่ยวกับความรู้เรื่องความดีและความชั่ว.” (เยเนซิศ 2:16, 17, ล.ม.) หากเขาทั้งสองเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวา ก็จะไม่มีความทุกข์มาทำลายชีวิตมนุษย์. โดยการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า เขาคงได้แสดงให้เห็นความรักต่อพระยะโฮวาและความภักดีต่อพระองค์. (1 โยฮัน 5:3) แต่ดังที่เราได้เรียนรู้ในบท 6 สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ออกมาในรูปนั้น. โดยได้รับการกระตุ้นจากซาตาน ฮาวาได้กินผลไม้จากต้นนั้น. ภายหลัง อาดามก็ร่วมกินผลไม้ต้องห้ามนั้นด้วย.
9. ซาตานยกประเด็นอะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา?
9 คุณเห็นความร้ายแรงของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไหม? ซาตานโจมตีตำแหน่งของพระยะโฮวาฐานะผู้สูงสุด. โดยการบอกว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก” พญามารแย้งคำตรัสของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าจะตาย . . . เป็นแน่.” คำพูดต่อไปของซาตานบอกเป็นนัยว่า พระยะโฮวาทรงกีดกันมิให้อาดามและฮาวารู้ถึงความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเหมือนพระเจ้า ซึ่งโดยวิธีนี้จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพระองค์เพื่อจะตัดสินว่าอะไรดีและอะไรชั่ว. เพราะฉะนั้น การท้าทายของซาตานเป็นการแสดงความสงสัยต่อความถูกต้องแห่งตำแหน่งของพระยะโฮวาฐานะองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ.—เยเนซิศ 2:17; 3:1-6.
10. ซาตานได้บอกเป็นนัยอะไรเกี่ยวกับมนุษย์?
10 ซาตานพญามารยังบอกเป็นนัยด้วยว่า คนเราจะยังคงเชื่อฟังพระยะโฮวาตราบใดที่การเชื่อฟังพระเจ้านำผลประโยชน์มาให้เขาเท่านั้น. กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีการแสดงความสงสัยต่อความซื่อสัตย์มั่นคงของมนุษย์. ซาตานกล่าวหาว่า ไม่มีมนุษย์คนใดจะคงไว้ซึ่งความภักดีต่อพระเจ้าด้วยใจสมัคร. การกล่าวอ้างแบบเจตนาร้ายโดยซาตานเช่นนี้ปรากฏชัดในเรื่องราวของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับโยบ ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา ผู้ซึ่งผ่านการทดลองครั้งใหญ่ในช่วงใดช่วงหนึ่งก่อนปี 1600 ก.ส.ศ. เมื่อคุณอ่านสองบทแรกในพระธรรมโยบ คุณจะหยั่งเห็นเข้าใจเหตุผลที่มนุษย์ทนทุกข์ และสาเหตุที่พระเจ้ายอมให้มีความทุกข์.
11. โยบเป็นคนชนิดใด แต่ซาตานได้ตั้งข้อกล่าวหาอะไร?
11 โยบ “คนดีรอบคอบและชอบธรรม” ได้รับการโจมตีจากซาตาน. ทีแรก ซาตานปัดเจตนาที่ผิดไปให้โยบโดยการตั้งคำถามว่า “โยบนั้นยำเกรงพระเจ้าด้วยเปล่าประโยชน์หรือ?” ครั้นแล้วพญามารได้ใส่ร้ายป้ายสีทั้งพระเจ้าและโยบอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมโดยกล่าวหาว่า พระยะโฮวาได้ซื้อความภักดีของโยบโดยการปกป้องและอวยพระพรเขา. ซาตานได้ท้าพระยะโฮวาว่า “แต่ถ้าหากบัดนี้พระองค์จะยื่นพระหัตถ์ออกแตะต้องให้เป็นอันตรายแก่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่นั้น เขาจะเลิกนับถือพระองค์ทีเดียว.”—โยบ 1:8-11.
12. (ก) อาจตอบคำถามอะไรได้เพียงแต่ถ้าพระเจ้ายอมให้ซาตานทดลองโยบ? (ข) การทดลองโยบก่อผลอะไร?
12 โยบรับใช้พระยะโฮวาเพียงเพราะผลประโยชน์ทั้งสิ้นที่ท่านได้รับจากพระเจ้าไหม? ความซื่อสัตย์มั่นคงของโยบสามารถทนทานต่อไปภายใต้การทดลองไหม? ในทางกลับกัน พระยะโฮวามีความเชื่อมั่นในผู้รับใช้ของพระองค์มากพอที่จะปล่อยให้เขาถูกทดลองไหม? คำถามเหล่านี้สามารถตอบได้หากพระยะโฮวาจะยอมให้ซาตานนำการทดลองแสนสาหัสมาสู่โยบ. แนวทางอันซื่อสัตย์ของโยบภายใต้การทดลองซึ่งพระเจ้าทรงยอมให้มีตามที่บรรยายไว้ในพระธรรมโยบนั้น ปรากฏว่าเป็นการพิสูจน์ความชอบธรรมของพระยะโฮวาและความซื่อสัตย์มั่นคงของมนุษย์อย่างเต็มที่.—โยบ 42:1, 2, 12.
13. เรามีส่วนพัวพันด้วยอย่างไรในสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนเอเดนและที่เกิดขึ้นกับโยบ?
13 อย่างไรก็ดี สิ่งที่ได้เกิดขึ้นในสวนเอเดนและเกิดขึ้นกับบุรุษชื่อโยบมีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น. ประเด็นที่ซาตานยกขึ้นมานั้นเกี่ยวข้องกับมวลมนุษยชาติ รวมทั้งพวกเราในทุกวันนี้ด้วย. พระนามของพระเจ้าถูกใส่ร้ายป้ายสี และมีการตั้งข้อกังขาต่อพระบรมเดชานุภาพของพระองค์. มีการแสดงความสงสัยต่อความซื่อตรงของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างมา. ประเด็นเหล่านี้ต้องจัดการให้ยุติลง.
วิธีจัดการกับประเด็น
14. เมื่อเผชิญการท้าทายแบบเจตนาร้าย บุคคลที่ถูกกล่าวหาอาจทำประการใด?
14 เพื่อเป็นการยกตัวอย่าง ให้เราสมมุติว่า คุณเป็นบิดาหรือมารดาผู้เปี่ยมด้วยความรักซึ่งมีลูกหลายคนในครอบครัวที่มีความสุข. สมมุติว่าเพื่อนบ้านคนหนึ่งแพร่คำโกหก กล่าวหาคุณว่าเป็นบิดาหรือมารดาที่ไม่ดี. จะว่าอย่างไรหากเพื่อนบ้านคนนั้นกล่าวว่าลูก ๆ ไม่รักคุณ ที่พวกเขาอยู่กับคุณก็เพียงเพราะเขาไม่รู้ว่ามีที่ไหนที่ดีไปกว่านี้ และเขาคงจะออกจากบ้านไปหากมีใครชี้ทางให้. คุณอาจพูดว่า ‘ไร้สาระ!’ ถูกแล้ว แต่คุณจะพิสูจน์เรื่องนั้นอย่างไร? บิดามารดาบางคนอาจแสดงปฏิกิริยาด้วยการเดือดดาล. นอกจากก่อปัญหามากขึ้นแล้ว การตอบโต้เช่นนั้นคงจะสนับสนุนคำโกหกนั้น. วิธีน่าพอใจที่จะจัดการปัญหานั้นก็คือ ให้โอกาสผู้กล่าวหาคุณพิสูจน์คำกล่าวอ้างของเขาและให้ลูก ๆ ของคุณยืนยันว่าพวกเขารักคุณอย่างจริงใจ.
15. พระยะโฮวาทรงเลือกที่จะจัดการกับการท้าทายของซาตานอย่างไร?
15 พระยะโฮวาเป็นดุจบิดาที่เปี่ยมด้วยความรักคนนั้น. อาดามและฮาวาอาจเทียบได้กับลูก ๆ และซาตานก็เหมาะกับบทบาทของเพื่อนบ้านที่โกหก. ด้วยความฉลาดสุขุม พระเจ้ามิได้ทำลายซาตาน, อาดาม, และฮาวาทันที แต่ทรงยอมให้ผู้กระทำผิดเหล่านี้มีชีวิตอยู่ต่อไปชั่วระยะหนึ่ง. ทั้งนี้เปิดโอกาสให้บิดามารดาคู่แรกของเรามีบุตรและจึงเริ่มต้นครอบครัวมนุษย์ และนั่นให้โอกาสพญามารที่จะพิสูจน์ว่า คำกล่าวอ้างของมันเป็นจริงหรือไม่ เพื่อจัดการกับประเด็นนั้นได้. อย่างไรก็ดี พระเจ้าทรงทราบตั้งแต่ต้นว่า มนุษย์บางคนจะภักดีต่อพระองค์ และโดยวิธีนี้จะพิสูจน์ว่าซาตานเป็นตัวมุสา. เรารู้สึกขอบพระคุณสักเพียงไรที่พระยะโฮวายังคงอวยพระพรและสงเคราะห์คนเหล่านั้นที่รักพระองค์อยู่ต่อไป!—2 โครนิกา 16:9; สุภาษิต 15:3.
ได้มีการพิสูจน์อะไร?
16. โลกได้ตกอยู่ในอำนาจของซาตานอย่างไร?
16 เกือบตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซาตานมีเสรีภาพเต็มที่ที่จะวางแผนการในการปกครองเหนือมนุษยชาติ. นอกจากสิ่งอื่น ๆ แล้ว มันได้ใช้อิทธิพลเหนืออำนาจทางการเมืองและได้ส่งเสริมศาสนาต่าง ๆ ที่นำการนมัสการมาสู่ตัวมันเองอย่างแฝงเร้นแทนที่จะนำไปสู่พระยะโฮวา. ด้วยเหตุนี้ พญามารได้กลายเป็น “พระเจ้าของระบบนี้” และถูกเรียกว่า “ผู้ครองโลก.” (2 โกรินโธ 4:4, ล.ม.; โยฮัน 12:31) ที่จริง “มนุษย์โลกทั้งสิ้นทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย.” (1 โยฮัน 5:19) นี่หมายความไหมว่า ซาตานได้พิสูจน์คำกล่าวอ้างของมันที่ว่า มันสามารถชักจูงมวลมนุษยชาติให้หันเหไปจากพระเจ้ายะโฮวา? ไม่ใช่อย่างแน่นอน! ขณะที่ทรงยอมให้ซาตานดำรงอยู่ต่อไป พระยะโฮวาได้ดำเนินการเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์เองบรรลุผลสำเร็จ. ถ้าเช่นนั้น คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับการที่พระเจ้ายอมให้มีความชั่ว?
17. เราควรจดจำอะไรไว้เกี่ยวกับมูลเหตุของความชั่วและความทุกข์?
17 ความชั่วและความทุกข์มิได้เกิดขึ้นเนื่องจากพระยะโฮวา. เนื่องจากซาตานเป็นผู้ครองโลกและเป็นพระเจ้าของระบบนี้ มันและคนเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายมันจึงต้องรับผิดชอบต่อสภาพการณ์ปัจจุบันแห่งสังคมมนุษย์และความทุกขเวทนาทั้งสิ้นที่มนุษยชาติประสบอยู่นั้น. ไม่มีใครอาจกล่าวได้อย่างถูกต้องว่า พระเจ้าเป็นสาเหตุของความทุกข์ยากเช่นนั้น.—โรม 9:14.
18. การที่พระยะโฮวายอมให้ความชั่วและความทุกข์มีอยู่นั้นพิสูจน์อะไรเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการเป็นเอกเทศจากพระเจ้า?
18 การที่พระยะโฮวายอมให้มีความชั่วและความทุกข์นั้นได้พิสูจน์ว่า การเป็นเอกเทศจากพระเจ้ามิได้นำมาซึ่งโลกที่ดีกว่า. เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานของพระยะโฮวา มนุษยชาติโดยทั่วไปจึงกลายเป็นเหมือนเรือที่ปราศจากหางเสือ โคลงเคลงไปมาอยู่ในทะเลที่บ้าคลั่ง. ปฏิเสธไม่ได้ที่ความหายนะครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นลักษณะเด่นของประวัติศาสตร์. เหตุผลในเรื่องนี้คือการที่มนุษย์ได้เลือกติดตามแนวทางเอกเทศของเขาเองและไม่ได้แสดงความนับถืออย่างแท้จริงต่อพระคำและพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. เมื่อไพร่พลของพระยะโฮวาในสมัยโบราณและผู้นำของพวกเขาได้ติดตาม “ทางของตัว [ทางอันเป็นที่นิยม, ล.ม.]” และปฏิเสธพระคำของพระองค์อย่างไม่ซื่อสัตย์ ผลก็คือความหายนะ. พระเจ้าตรัสกับพวกเขาผ่านทางยิระมะยาผู้พยากรณ์ของพระองค์ว่า “จำพวกคนมีปัญญาก็ละอายอยู่, เขาตกตะลึง แลต้องจับเอาไปแล้ว, นี่แน่ะ, เขาทั้งหลายได้ทิ้งคำโอวาทของพระยะโฮวา, และมีความปัญญาอย่างใดในพวกเขา.”—ยิระมะยา 8:5, 6, 9.
19. มีข้อพิสูจน์อะไรที่ว่า ซาตานไม่สามารถทำให้มนุษย์ทุกคนหันหลังให้พระเจ้า?
19 การที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความชั่วและความทุกข์นั้นยังพิสูจน์ด้วยว่า ซาตานไม่สามารถทำให้มนุษยชาติทั้งหมดหันเหไปจากพระยะโฮวา. ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามีบุคคลที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเสมอมาไม่ว่ามีการล่อใจหรือความยากลำบากใด ๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา. ตลอดหลายศตวรรษ มีการสำแดงอำนาจของพระยะโฮวาเพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และพระนามของพระองค์ได้รับการประกาศไปตลอดทั่วแผ่นดินโลก. (เอ็กโซโด 9:16; 1 ซามูเอล 12:22) เฮ็บรายบท 11 บอกเราถึงผู้ซื่อสัตย์หลายคน รวมทั้งเฮเบล, ฮะโนค, โนฮา, อับราฮาม, และโมเซ. เฮ็บราย 12:1 (ล.ม.) เรียกพวกเขาว่า ‘พยานกลุ่มใหญ่เสมือนเมฆ.’ พวกเขาเป็นแบบอย่างของความเชื่อในพระยะโฮวาอย่างไม่คลอนแคลน. ในสมัยปัจจุบันด้วยเช่นกัน หลายคนได้สละชีวิตของตนด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย. โดยความเชื่อและความรัก บุคคลดังกล่าวได้พิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่า ซาตานไม่สามารถทำให้มนุษย์ทุกคนหันหลังให้พระเจ้าได้.
20. การที่พระยะโฮวาทรงยอมให้ความชั่วและความทุกข์มีอยู่ต่อไปนั้นได้พิสูจน์อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าและมนุษยชาติ?
20 ในที่สุด การที่พระยะโฮวาทรงยอมให้ความชั่วและความทุกข์มีอยู่ต่อไปได้จัดให้มีข้อพิสูจน์ว่า พระยะโฮวา พระผู้สร้างเท่านั้นมีพระปรีชาสามารถและสิทธิที่จะปกครองเหนือมนุษยชาติ เพื่อสวัสดิภาพและความสุขถาวรของพวกเขา. เป็นเวลาหลายศตวรรษ มนุษยชาติได้ทดลองรัฐบาลหลายรูปแบบมาแล้ว. แต่ผลเป็นประการใด? ปัญหาและวิกฤตการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนซึ่งประชาชาติเผชิญอยู่ในทุกวันนี้เป็นหลักฐานที่ประจักษ์ชัดแจ้ง ตามที่คัมภีร์ไบเบิลระบุไว้ว่า “มนุษย์ครอบงำมนุษย์ด้วยกันเป็นผลเสียหายแก่เขา.” (ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.) เฉพาะพระยะโฮวาเท่านั้นสามารถดำเนินการเพื่อช่วยเหลือเราและทำให้พระประสงค์เดิมของพระองค์สำเร็จ. พระองค์จะทำเช่นนี้โดยวิธีใด และเมื่อไร?
21. จะมีการทำประการใดกับซาตาน และจะมีการใช้ผู้ใดเพื่อให้การนี้สัมฤทธิผล?
21 ทันทีภายหลังอาดามและฮาวายอมจำนนต่ออุบายของซาตาน พระเจ้าทรงประกาศพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับวิถีทางแห่งความรอด. พระยะโฮวาได้แถลงเกี่ยวกับซาตานดังนี้: “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก [ฟกช้ำ, ล.ม.] และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ.” (เยเนซิศ 3:15, ฉบับแปลใหม่) คำแถลงนั้นรับประกันว่า พญามารจะไม่ถูกปล่อยให้ทำการชั่วร้ายตลอดกาล. ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมาซีฮา พงศ์พันธุ์ที่สัญญาไว้ พระเยซูคริสต์จะ ‘ทำให้หัวของซาตานฟกช้ำ.’ ถูกแล้ว “ไม่ช้าไม่นาน” พระเยซูจะบดขยี้ซาตานตัวกบฏนั้น!—โรม 16:20.
คุณจะทำประการใด?
22. (ก) คุณต้องเผชิญกับคำถามอะไร? (ข) ถึงแม้ซาตานระบายความโกรธของมันแก่คนเหล่านั้นที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าก็ตาม พวกเขาสามารถมั่นใจได้ในเรื่องใด?
22 เมื่อรู้ถึงประเด็นที่พัวพันอยู่ด้วย คุณจะยืนหยัดอยู่ฝ่ายไหน? คุณจะพิสูจน์โดยการกระทำไหมว่า คุณเป็นผู้สนับสนุนที่ภักดีของพระยะโฮวา? เนื่องจากซาตานรู้ว่ามันมีเวลาน้อย มันจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อระบายความโกรธของมันออกมาใส่คนเหล่านั้นที่ต้องการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้า. (วิวรณ์ 12:12) แต่คุณสามารถหมายพึ่งพระเจ้าเพื่อความช่วยเหลือได้ เพราะ “พระยะโฮวาทรงทราบวิธีที่จะช่วยคนที่เลื่อมใสในพระเจ้าให้รอดพ้นจากการทดลอง.” (2 เปโตร 2:9, ล.ม.) พระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณถูกล่อใจเกินที่คุณจะทนได้ และพระองค์จะจัดทางออกให้เพื่อคุณจะสามารถอดทนการล่อใจต่าง ๆ ได้.—1 โกรินโธ 10:13, ล.ม.
23. เราสามารถคอยท่าอะไรด้วยความมั่นใจ?
23 ด้วยความมั่นใจ ขอให้เราคอยท่าสมัยที่พระมหากษัตริย์เยซูคริสต์จะทรงจัดการกับซาตานและทุกคนซึ่งติดตามมัน. (วิวรณ์ 20:1-3) พระเยซูจะกำจัดบรรดาบุคคลเหล่านั้นที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อภัยวิบัติและความปั่นป่วนวุ่นวายที่มนุษยชาติประสบอยู่. กว่าจะถึงเวลานั้น ความทุกข์ที่ทำให้เจ็บปวดเป็นพิเศษรูปแบบหนึ่งก็คือ การสูญเสียคนที่เรารักเนื่องด้วยความตาย. ขออ่านบทต่อไปเพื่อทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา.
ทดสอบความรู้ของคุณ
เราทราบอย่างไรว่า พระยะโฮวามิได้เป็นต้นเหตุความทุกข์ของมนุษย์?
ซาตานได้ยกประเด็นอะไรขึ้นมาในสวนเอเดนซึ่งเป็นที่ชัดแจ้งในสมัยของโยบ?
การที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์ได้พิสูจน์ถึงอะไร?