จงเลียนแบบความเชื่อของเขา | โนอาห์
พระเจ้าคุ้มครองเขา “กับคนอื่นอีกเจ็ดคนให้ปลอดภัย”
โนอาห์กับครอบครัวนั่งอยู่รวมกันขณะที่ฝนเริ่มเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย. ขอให้นึกภาพว่า ท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันอันริบหรี่ พวกเขาเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงห่าฝนกระหน่ำลงมาบนหลังคาและเสียงน้ำซัดกระแทกข้างลำเรือ. เสียงนั้นคงต้องดังสนั่นน่ากลัวมาก.
เมื่อโนอาห์มองหน้าสมาชิกทุกคนในครอบครัวที่เขารัก ทั้งภรรยาผู้ภักดีและลูกชายสามคนที่ขยันขันแข็งกับภรรยาของพวกเขา หัวใจของโนอาห์ก็เปี่ยมล้นด้วยความซาบซึ้ง. แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่มืดมนเช่นนี้ เขาคงจะรู้สึกมีกำลังใจเมื่อเห็นคนในครอบครัวที่เขารักมากที่สุดอยู่เคียงข้างเสมอ. ตอนนี้ทุกคนปลอดภัยและไม่มีใครได้รับอันตรายใด ๆ. โนอาห์คงต้องนำครอบครัวอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าด้วยเสียงดังยิ่งกว่าเสียงห่าฝนที่ตกลงมาเพื่อทุกคนจะได้ยินคำอธิษฐานนั้น.
โนอาห์เป็นคนที่มีความเชื่อมาก. เนื่องจากความเชื่อของโนอาห์นั่นเองพระเจ้ายะโฮวาจึงปกป้องเขาและครอบครัว. (ฮีบรู 11:7) พวกเขายังต้องมีความเชื่อต่อไปอีกไหมหลังจากฝนตกลงมาแล้ว? แน่นอน พวกเขาจำเป็นต้องมีความเชื่อมากทีเดียวเพื่อจะเผชิญกับปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า. เราทุกคนซึ่งอยู่ในยุคที่สับสนวุ่นวายนี้ก็ต้องมีความเชื่อเข้มแข็งเช่นเดียวกัน. ดังนั้น ให้เรามาดูว่าเราจะเลียนแบบความเชื่อของโนอาห์ได้อย่างไร.
“สี่สิบวันสี่สิบคืน”
ภายนอกเรือ ฝนเทลงมาตลอด “สี่สิบวันสี่สิบคืน.” (เยเนซิศ 7:4, 11, 12) น้ำเริ่มท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ. โนอาห์ได้เห็นพระยะโฮวาพระเจ้าของเขาปกป้องคนชอบธรรมและลงโทษคนชั่วในเวลาเดียวกัน.
อุทกภัยครั้งนี้หยุดยั้งการกบฏในหมู่ทูตสวรรค์. ทูตสวรรค์หลายองค์ถูกชักจูงให้มีความคิดที่เห็นแก่ตัวแบบซาตานและได้ทิ้ง “ที่อยู่อันควร” ของตนมาอยู่กินกับผู้หญิงบนโลก ทำให้เกิดลูกผสมที่เรียกว่าเนฟิลิม. (ยูดา 6; เยเนซิศ 6:4) ซาตานคงดีใจมากที่ชักชวนทูตสวรรค์ให้ก่อกบฏได้สำเร็จ เพราะการกบฏครั้งนี้ทำให้มนุษย์ ผลงานชิ้นเอกของพระยะโฮวายิ่งตกต่ำลงไปอีก.
แต่เมื่อระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ทูตสวรรค์ที่กบฏก็จำต้องทิ้งร่างมนุษย์กลับสู่แดนวิญญาณ และไม่ได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกเลย. ทูตสวรรค์เหล่านี้ทิ้งภรรยาและลูกไว้ข้างหลัง ปล่อยให้พวกเขาจมน้ำตายพร้อมกับมนุษย์คนอื่น ๆ.
เกือบเจ็ดร้อยปีก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาได้เตือนไว้ในสมัยของฮะโนคแล้วว่าพระองค์จะทำลายคนชั่วที่ดูหมิ่นพระเจ้า. (เยเนซิศ 5:24; ยูดา 14, 15) ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนก็ยิ่งชั่วช้าเลวทรามลงเรื่อย ๆ. พวกเขาทำลายแผ่นดินโลกและทำให้โลกเต็มไปด้วยความรุนแรง. ตอนนี้คนเหล่านั้นได้รับโทษของพวกเขาแล้ว. โนอาห์กับครอบครัวดีใจไหมที่เห็นคนชั่วถูกทำลาย?
ไม่เลย! พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาก็ไม่ยินดีเช่นกัน. (ยะเอศเคล 33:11) พระยะโฮวาทรงทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้. พระองค์มอบหมายให้ฮะโนคประกาศคำเตือนและสั่งให้โนอาห์สร้างเรือ. โนอาห์กับครอบครัวทำงานหนักตลอดหลายสิบปีสำหรับโครงการที่ใหญ่โตนี้ซึ่งใคร ๆ ก็เห็น. นอกจากนั้น พระยะโฮวายังให้โนอาห์ทำหน้าที่ “ผู้ประกาศความชอบธรรม.” (2 เปโตร 2:5) เช่นเดียวกับฮะโนคบรรพบุรุษของเขา โนอาห์ได้เตือนประชาชนว่าพระเจ้ากำลังจะพิพากษาโลก. แล้วผู้คนมีปฏิกิริยาอย่างไร? พระเยซูผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสวรรค์ได้ตรัสถึงคนในสมัยโนอาห์ว่า “พวกเขาไม่แยแสจนกระทั่งน้ำมาท่วมและกวาดพวกเขาไปเสียสิ้น.”—มัดธาย 24:39
ลองนึกดูสิว่า โนอาห์กับครอบครัวของเขาจะเป็นอย่างไรในช่วง 40 วันหลังจากที่พระเจ้าปิดประตูเรือ. ขณะที่ฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายวันแล้ววันเล่า แปดคนที่อยู่ในเรือนั้นคงมีงานที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ทั้งดูแลเอาใจใส่กันและกัน ดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในเรือ และดูแลสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในคอก. แต่เมื่อน้ำเริ่มท่วม เรือลำใหญ่นี้ก็สั่นสะเทือนและลอยขึ้น. เรือเริ่มเคลื่อนที่! เรือใหญ่ลอยอยู่กลางน้ำที่สูงขึ้นและสูงขึ้นเรื่อย ๆ จน “ลอยขึ้นจากแผ่นดิน.” (เยเนซิศ 7:17) เหตุการณ์นี้แสดงถึงฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวาพระเจ้าได้อย่างน่าทึ่งจริง ๆ!
โนอาห์คงต้องสำนึกถึงบุญคุณของพระยะโฮวา เพราะไม่เพียงเขากับครอบครัวได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัย แต่พระองค์ยังแสดงความเมตตาโดยใช้พวกเขาไปเตือนผู้คนก่อนที่อุทกภัยครั้งนี้จะทำลายทุกชีวิตที่อยู่นอกเรือ. ตลอดหลายปีที่ทำงานมอบหมายสำคัญนี้ด้วยความยากลำบาก โนอาห์กับครอบครัวอาจคิดว่าพวกเขาทำงานเสียแรงเปล่า. ผู้คนไม่ฟังพวกเขาเลย! คิดดูสิ ก่อนน้ำท่วม โนอาห์คงมีพี่น้องชายหญิงหลายคนรวมทั้งหลานชายและหลานสาว. กระนั้น ไม่มีใครฟังคำเตือนของเขา นอกจากภรรยา ลูกชาย และลูกสะใภ้เท่านั้น. (เยเนซิศ 5:30) ตอนนี้ทั้งแปดคนที่รอดชีวิตอยู่ในเรือคงโล่งอกที่ก่อนหน้านี้พวกเขาได้พยายามประกาศข่าวแห่งความรอดแก่ประชาชนเหล่านั้นอย่างเต็มที่แล้ว.
ตั้งแต่สมัยของโนอาห์ พระยะโฮวาไม่ทรงแปรเปลี่ยน. (มาลาคี 3:6) พระเยซูคริสต์อธิบายว่าสมัยของเราเหมือน “สมัยของโนอาห์” มาก. (มัดธาย 24:37) เราอยู่ในยุคที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะความทุกข์ยากของมนุษย์กำลังจะสิ้นสุดลงเมื่อระบบโลกอันเสื่อมทรามนี้ถูกทำลาย. เช่นเดียวกับโนอาห์และครอบครัว ประชาชนของพระเจ้าในทุกวันนี้พยายามประกาศคำเตือนแก่ทุกคนที่รับฟัง. คุณจะรับฟังไหม? ถ้าคุณตอบรับข่าวสารนี้แล้ว คุณจะบอกข่าวสารที่ช่วยชีวิตนี้แก่คนอื่นด้วยไหม? โนอาห์กับครอบครัวเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเราทุกคน.
“ได้รับการช่วยให้รอดจากน้ำโดยปลอดภัย”
ขณะที่เรือลอยเคว้งอยู่บนผืนน้ำกว้างใหญ่ที่กระเพื่อมไปมา ทุกคนบนเรือใหญ่ลำนี้คงได้ยินเสียงเสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าดของโครงเรือที่ทำด้วยไม้ท่อนใหญ่. โนอาห์กังวลไหมว่าเรือจะทนแรงกระแทกของคลื่นไม่ไหวและแตกเป็นเสี่ยง ๆ? ไม่เลย. คนช่างสงสัยในสมัยนี้อาจรู้สึกอย่างนั้น แต่โนอาห์ไม่ใช่คนที่ช่างสงสัย. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า ‘โดยความเชื่อ โนอาห์ได้สร้างเรือ.’ (ฮีบรู 11:7) ความเชื่อในเรื่องอะไร? พระยะโฮวาได้ทำสัญญากับโนอาห์ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะคุ้มครองเขาและทุกคนในครอบครัวของเขาให้รอดชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่. (เยเนซิศ 6:18, 19) ผู้ที่สร้างเอกภพ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนโลกจะปกป้องเรือลำนี้ไม่ได้หรือ? พระองค์ทำได้แน่! โนอาห์เชื่อมั่นเต็มที่ว่าพระยะโฮวาจะทำตามคำสัญญาของพระองค์. และเขากับครอบครัวก็ “ได้รับการช่วยให้รอดจากน้ำโดยปลอดภัย” จริง ๆ.—1 เปโตร 3:20
หลังจากผ่านไป 40 วัน 40 คืน ในที่สุดฝนก็หยุดตก ซึ่งตามปฏิทินของเราในปัจจุบันอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2370 ก่อนสากลศักราช. แต่การผจญภัยของทั้งครอบครัวในเรือใหญ่ยังไม่จบเพียงเท่านี้. เรือที่เต็มไปด้วยคนและสัตว์ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางผืนน้ำที่ปกคลุมทั่วทั้งโลก ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ยอดเขาที่เคยสูงเสียดฟ้าจมมิดอยู่ใต้น้ำ. (เยเนซิศ 7:19, 20) เราคงนึกภาพว่าโนอาห์อาจมอบหมายงานที่ต้องใช้กำลังมากให้ลูกชายสามคนคือเซม ฮาม และยาเฟ็ธทำด้วยเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของเขา. พวกเขาคงจะให้อาหาร ทำความสะอาด และดูแลสุขภาพสัตว์ทุกตัว. พระเจ้าผู้สามารถทำให้สัตว์ป่าเชื่องพอที่จะยอมเข้าไปในเรือแต่โดยดีก็ย่อมดูแลพวกมันให้อยู่กันอย่างสงบได้ตลอดช่วงที่น้ำท่วมโลก.a
เห็นได้ชัดว่าโนอาห์ได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้อย่างละเอียด. บันทึกนั้นบอกว่าฝนเริ่มตกและหยุดตกเมื่อไร. และยังบอกด้วยว่าน้ำท่วมแผ่นดินโลกนานถึง 150 วัน. ในที่สุด น้ำก็เริ่มลด. แล้ววันสำคัญก็มาถึง เมื่อเรือค่อย ๆ ลดระดับลงมาค้างอยู่ “ที่ยอดภูเขาอะราราด.” ภูเขานี้ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศตุรกี. วันนั้นคงจะตกราว ๆ เดือนเมษายน ปี 2369 ก่อน ส.ศ. หลังจากนั้น 73 วัน คือในเดือนมิถุนายน น้ำก็ลดลงจนกระทั่งมองเห็นยอดภูเขาได้. อีกสามเดือนต่อมา ในเดือนกันยายน โนอาห์ก็ตัดสินใจรื้อหลังคาเรือออกบางส่วน. งานหนักนี้คุ้มค่ากับความพยายามจริง ๆ เพราะทำให้แสงสว่างและอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทเข้ามาในเรือได้. นอกจากนี้ โนอาห์ยังเริ่มทดสอบดูว่าสภาพแวดล้อมภายนอกปลอดภัยพอที่จะอาศัยอยู่ได้หรือไม่. โนอาห์ปล่อยอีกาออกไปตัวหนึ่ง มันบินวนเวียนไปมาแล้วก็กลับมาเกาะบนหลังคาเรือ. จากนั้น เขาได้ปล่อยนกเขาออกไปตัวหนึ่งซึ่งมันก็บินกลับมาหาเขาอีก. แต่ในที่สุดเมื่อมันพบที่ที่สามารถเกาะได้ มันก็ไม่กลับมาอีกเลย.—เยเนซิศ 7:24–8:13
หน้าที่รับผิดชอบหลักของโนอาห์คงเกี่ยวข้องกับการดูแลครอบครัวให้มีความเชื่อเข้มแข็งในพระเจ้า. เรานึกภาพออกว่าทั้งครอบครัวคงจะอธิษฐานด้วยกันเป็นประจำและพูดคุยกันถึงเรื่องที่พวกเขาได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระบิดาฝ่ายสวรรค์. โนอาห์หมายพึ่งพระยะโฮวาเสมอเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ทุกเรื่อง. แม้แต่เมื่อโนอาห์รู้ว่าแผ่นดิน “แห้งแล้ว” หลังจากอยู่ในเรือนานกว่าหนึ่งปี เขาก็ยังไม่เปิดประตูและพาครอบครัวกับฝูงสัตว์ออกไปจากเรือ. (เยเนซิศ 8:14) เขารอคำสั่งจากพระยะโฮวา!
ชายผู้ซื่อสัตย์คนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ สำหรับหัวหน้าครอบครัวในสมัยปัจจุบัน. เขาเป็นคนที่มีระเบียบวินัย ขยันขันแข็ง อดทน และพยายามปกป้องทุกคนที่อยู่ในความดูแลของตน. แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาคิดถึงพระประสงค์ของพระยะโฮวาเป็นอันดับแรก. ถ้าเราเลียนแบบความเชื่อของโนอาห์ในแง่มุมเหล่านี้ เราจะช่วยทุกคนที่เรารักให้ได้รับพระพรมากมาย.
“จงออกจากเรือ”
ในที่สุด พระยะโฮวาก็มีคำสั่งมาถึงโนอาห์. พระองค์ตรัสกับโนอาห์ว่า “เจ้า ภรรยาของเจ้า บรรดาบุตรชายและบุตรสะใภ้ของเจ้า จงออกจากเรือ.” ทั้งครอบครัวทำตามคำสั่งของพระเจ้า. พวกเขาเดินออกจากเรือ แล้วฝูงสัตว์ทั้งหลายก็ตามออกมา. สัตว์ต่าง ๆ วิ่งกรูออกมาอย่างโกลาหลไหม? ไม่เลย! บันทึกกล่าวว่าสัตว์เหล่านั้น “ต่างทยอยออกจากเรือทีละชนิด.” (เยเนซิศ 8:15-19, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) เมื่อออกมานอกเรือ โนอาห์กับครอบครัวสูดอากาศบริสุทธิ์ มองไปรอบ ๆ ภูเขาอะราราดที่สูงตระหง่าน และเห็นแผ่นดินโลกที่สะอาดอยู่เบื้องหน้า. พวกเนฟิลิมที่ชอบใช้ความรุนแรง ทูตสวรรค์ที่ขืนอำนาจ และสังคมมนุษย์ที่ชั่วช้าได้ถูกขจัดออกไปหมดแล้ว!b มนุษย์มีโอกาสเริ่มต้นทุกอย่างใหม่.
โนอาห์รู้ว่าเขาควรทำอะไร. เขานมัสการพระเจ้าเป็นอันดับแรก. เขาสร้างแท่นบูชาและเลือกสัตว์บางตัวที่พระเจ้าถือว่าสะอาด คือสัตว์ชนิดที่เขาได้นำเข้าไปในเรืออย่างละ “เจ็ดคู่” มาเผาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระยะโฮวา. (เยเนซิศ 7:2; 8:20) พระยะโฮวาพอพระทัยเครื่องบูชาของโนอาห์ไหม?
คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามนี้ด้วยคำรับรองที่น่าประทับใจว่า “พระยะโฮวาทรงดมกลิ่นหอมหวาน.” ความเจ็บปวดในพระทัยของพระเจ้าที่เห็นโลกมนุษย์เต็มไปด้วยความรุนแรงถูกแทนที่ด้วยความยินดีและปลาบปลื้มใจเมื่อเห็นว่าบนแผ่นดินโลกยังมีมนุษย์ครอบครัวหนึ่งที่ซื่อสัตย์และตั้งใจทำตามพระประสงค์ของพระองค์จนสำเร็จ. พระยะโฮวาไม่ได้คาดหมายว่าพวกเขาต้องสมบูรณ์พร้อม. ข้อคัมภีร์นั้นกล่าวต่อไปว่า “ความคิดในใจของมนุษย์นั้นล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา.” (เยเนซิศ 8:21) ขอพิจารณาว่าพระยะโฮวาแสดงความเมตตาและความอดทนอย่างไรอีกต่อมวลมนุษย์.
พระเจ้าทรงถอนคำสาปแช่งไปจากแผ่นดินโลก. ย้อนไปในสมัยที่อาดามกับฮาวาขัดขืนอำนาจพระเจ้า พระองค์ได้สาปแช่งแผ่นดินโลกไม่ให้เกิดผลอุดมสมบูรณ์เหมือนในตอนแรก. ลาเม็คพ่อของโนอาห์ได้ตั้งชื่อลูกชายว่า โนอาห์ ซึ่งอาจหมายความว่า “การหยุดพัก” หรือ “การปลอบโยน” และพยากรณ์ว่าลูกชายของเขาจะนำมนุษย์เข้าสู่การหยุดพักและหลุดพ้นจากคำสาปแช่ง. โนอาห์คงดีใจมากที่รู้ว่าเขากำลังจะได้เห็นคำพยากรณ์นี้สำเร็จและแผ่นดินจะให้พืชผลอุดมสมบูรณ์คุ้มค่ากับความพยายามของพวกเขา. ไม่แปลกที่หลังจากนั้นไม่นาน โนอาห์ก็เริ่มทำไร่ไถนา!—เยเนซิศ 3:17, 18; 5:28, 29; 9:20
ในตอนนั้น พระยะโฮวาได้ประทานกฎหมายที่ชัดเจนเข้าใจง่ายเป็นเครื่องนำทางในการดำเนินชีวิตแก่ลูกหลานทุกคนของโนอาห์. กฎหมายนี้รวมถึงบัญญัติที่ห้ามฆ่าคนและใช้เลือดอย่างผิด ๆ. นอกจากนี้ พระเจ้ายังทำสัญญากับมนุษย์ว่าพระองค์จะไม่บันดาลให้น้ำมาท่วมทำลายทุกชีวิตบนแผ่นดินโลกอีก. เพื่อยืนยันคำสัญญานั้น พระยะโฮวาให้มีรุ้งกินน้ำที่สวยงามปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเป็นครั้งแรก. จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เห็นรุ้งกินน้ำบนท้องฟ้า เราก็ได้เห็นเครื่องเตือนใจที่ทำให้นึกถึงคำสัญญาและความรักของพระยะโฮวาซึ่งทำให้เราอบอุ่นใจ.—เยเนซิศ 9:1-17
ถ้าเรื่องราวของโนอาห์เป็นเพียงนิยาย เรื่องก็คงจบลงตรงที่รุ้งกินน้ำปรากฏขึ้น. แต่โนอาห์เป็นบุคคลที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ๆ และชีวิตของเขาก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป. เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นมีอายุยืนกว่าปัจจุบัน โนอาห์จึงต้องรักษาความซื่อสัตย์ต่อไปอีก 350 ปี และคงมีหลายเรื่องที่ทำให้เขาทุกข์ใจมาก. ครั้งหนึ่งโนอาห์ทำผิดร้ายแรงโดยดื่มเหล้าจนเมามาย แต่ความผิดนั้นยังถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความผิดของคะนาอันผู้เป็นหลานชาย. ความผิดของคะนาอันได้ทำให้ตัวเขาและลูกหลานถูกพระเจ้าแช่งสาป. โนอาห์มีชีวิตอยู่นานพอที่จะเห็นลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาทำบาป เช่น การไหว้รูปเคารพและการใช้ความรุนแรงในสมัยของนิมโรด. ขณะเดียวกัน โนอาห์คงยินดีที่ได้เห็นเซม ลูกชายของเขาวางตัวอย่างที่ดีในเรื่องความเชื่อแก่ลูกหลานของตน.—เยเนซิศ 9:21-28; 10:8-11; 11:1-11
เช่นเดียวกับโนอาห์ เราควรรักษาความเชื่อไว้เสมอแม้เผชิญกับปัญหา. เมื่อคนรอบข้างไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้หรือถึงกับเลิกรับใช้พระองค์ เราก็ยังต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเหมือนกับโนอาห์. พระยะโฮวาทรงถือว่าความอดทนอย่างซื่อสัตย์เช่นนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามาก. ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ว่า “ผู้ที่เพียรอดทนจนถึงที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอด.”—มัดธาย 24:13
a บางคนบอกว่าอาจเป็นไปได้ที่พระเจ้าทรงทำให้สัตว์อยู่ในสภาพค่อนข้างนิ่งคล้ายกับการจำศีล ทำให้สัตว์เหล่านั้นไม่ต้องการอาหารมากนัก. ไม่ว่าพระองค์จะทำเช่นนั้นหรือไม่ พระองค์ได้รักษาคำสัญญาที่ว่าจะปกป้องคุ้มครองทุกชีวิตในเรือให้รอดปลอดภัย.
b ร่องรอยทุกอย่างของสวนเอเดนที่มนุษย์คู่แรกเคยอาศัยอยู่คงสูญหายไปกับน้ำด้วย. ถ้าเป็นเช่นนั้น เครูบที่เฝ้าทางเข้าสวนก็คงได้กลับสู่สวรรค์เพราะงานมอบหมายของพวกเขาที่ยาวนานถึง 1,600 ปีสิ้นสุดลงแล้ว.—เยเนซิศ 3:22-24