จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
นางลงมือทำอย่างสุขุมรอบคอบ
อะบีฆายิลมองเห็นความหวาดกลัวในแววตาของชายหนุ่มผู้นี้. เขากลัวมาก ซึ่งก็เป็นความกลัวที่มีเหตุผล. ภัยร้ายกำลังใกล้เข้ามา. ขณะนั้น นักรบราว 400 คนกำลังจะมาฆ่าผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของนาบาลผู้เป็นสามีของอะบีฆายิล. เพราะเหตุใด?
เรื่องทั้งหมดเกิดจากนาบาล. เขาได้แสดงความชั่วร้ายและดูหมิ่นเหยียดหยามตามนิสัยของเขา. แต่คราวนี้เขาพลาดไป เขาทำเช่นนั้นต่อแม่ทัพผู้เป็นที่รักของเหล่านักรบที่ภักดีและฝึกมาอย่างดี. ตอนนี้ คนงานหนุ่มคนหนึ่งของนาบาลซึ่งอาจทำหน้าที่ดูแลฝูงแกะได้มาหาอะบีฆายิล เพราะเขาเชื่อว่านางจะหาทางช่วยพวกเขาให้รอดได้. แต่ผู้หญิงคนเดียวจะสู้กับทหารทั้งกองได้อย่างไร?
ก่อนอื่น ให้เรามารู้จักผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนี้ให้มากขึ้นสักหน่อย. อะบีฆายิลเป็นใคร? เหตุการณ์วิกฤตินี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? และเราจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างความเชื่อของเธอ?
“มีความรอบคอบและหน้าตาสวยงาม”
อะบีฆายิลกับนาบาลเป็นคู่ที่ไม่เหมาะสมกันเลย. นาบาลคงไม่อาจจะหาภรรยาที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว ส่วนอะบีฆายิลก็ได้แต่งงานกับคนที่ไม่มีใครเลวกว่าเขาอีกแล้ว. จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนร่ำรวย. เขาจึงคิดว่าตัวเองสำคัญมาก แต่คนอื่นมองเขาอย่างไร? แทบไม่มีบุคคลใดที่คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวถึงด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเท่ากับนาบาล. ชื่อของเขามีความหมายว่า “โฉดเขลา” หรือ “โง่.” นี่เป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เมื่อเขาเกิดไหม หรือเป็นฉายาที่เขาได้มาในภายหลัง? ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ประพฤติตัวสมกับชื่อนั้นจริง ๆ. นาบาลเป็นคน “สามานย์และประพฤติตัวเลวทราม.” และเนื่องจากเขาเป็นคนพาลและขี้เมา ผู้คนจึงทั้งกลัวและเกลียดเขา.—1 ซามูเอล 25:2, 3, 17, 21, 25, ฉบับ R73
อะบีฆายิลต่างจากนาบาลอย่างสิ้นเชิง. ชื่อของนางมีความหมายว่า “บิดาของข้าพเจ้าทำให้ตัวท่านมีความยินดี.” บิดาหลายคนรู้สึกภูมิใจที่มีลูกสาวสวย แต่บิดาที่ฉลาดสุขุมจะมีความสุขยิ่งกว่านั้นมากเมื่อลูกของตนมีความงามภายใน. บ่อยครั้งทีเดียว คนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมักไม่เห็นความจำเป็นที่จะพัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความสุขุมรอบคอบ, สติปัญญา, ความกล้า, หรือความเชื่อ. แต่อะบีฆายิลไม่เป็นเช่นนั้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า นาง “มีความรอบคอบและหน้าตาสวยงาม.”—1 ซามูเอล 25:3
บางคนในทุกวันนี้อาจสงสัยว่าทำไมหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดอย่างนางจึงไปแต่งงานกับคนไร้ค่าเช่นนั้นได้. อย่าลืมว่า หลายคู่ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลแต่งงานกันโดยมีผู้ใหญ่จัดการให้. หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น ความพึงพอใจของพ่อแม่ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก. พ่อแม่ของอะบีฆายิลต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับนาบาล หรือถึงกับจัดการให้เพราะชอบใจที่เขาเป็นคนมั่งคั่งและมีชื่อเสียงไหม? พวกเขาจำเป็นต้องให้ลูกแต่งงานกับนาบาลเพราะความยากจนไหม? ไม่ว่าจะอย่างไร เงินของนาบาลก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นสามีที่ดี.
พ่อแม่ที่ฉลาดสุขุมจะพยายามสอนลูกให้มองการแต่งงานว่าเป็นสิ่งที่มีเกียรติ. พวกเขาจะไม่สนับสนุนให้ลูกแต่งงานเพื่อเงินและไม่กดดันให้ลูกเริ่มคบหากับเพศตรงข้ามตั้งแต่อายุยังน้อยและไม่พร้อมที่จะรับเอาบทบาทและหน้าที่รับผิดชอบแบบผู้ใหญ่. (1 โครินท์ 7:36) แต่สายเกินไปแล้วสำหรับอะบีฆายิลที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้. ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นางก็ได้แต่งงานกับนาบาลแล้ว และนางตั้งใจจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดในสภาพการณ์ที่ต้องอดทนเช่นนั้น.
“นายกลับดุเอาคนเหล่านั้น”
นาบาลเพิ่งทำให้อะบีฆายิลต้องอดทนมากกว่าครั้งใด ๆ. คนที่เขาดูหมิ่นนั้นไม่ใช่ใครอื่น ดาวิดนั่นเอง. ดาวิดเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาซึ่งผู้พยากรณ์ซามูเอลได้เจิมไว้ ซึ่งเป็นการเปิดเผยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าได้เลือกให้เป็นกษัตริย์ต่อจากซาอูล. (1 ซามูเอล 16:1, 2, 11-13) ระหว่างที่ต้องหลบหนีจากกษัตริย์ซาอูลที่อิจฉาและพยายามจะฆ่าท่าน ดาวิดอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารพร้อมกับทหารที่ภักดี 600 นาย.
นาบาลอาศัยอยู่ในเมืองมาโอนแต่ทำงานอยู่ใกล้กับเมืองคาร์เมลและดูเหมือนว่ามีที่ดินอยู่ที่นั่น.a ทั้งสองเมืองเป็นทางผ่านไปสู่ที่ราบสูงซึ่งมีหญ้าเขียวชอุ่มเหมาะกับการเลี้ยงแกะซึ่งนาบาลมีอยู่ 3,000 ตัว. แต่บริเวณโดยรอบเป็นป่ารก. ด้านใต้คือป่าพารานที่กว้างใหญ่. ด้านตะวันออกซึ่งเป็นทิศทางไปสู่ทะเลเค็มเป็นที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยหุบเหวและถ้ำ. ในภูมิประเทศเช่นนี้เอง ดาวิดกับคนของท่านอาศัยอยู่อย่างยากลำบาก ซึ่งก็คงต้องพยายามเสาะหาอาหารและเผชิญความลำบากหลายอย่าง. บ่อยครั้งพวกเขาจะเจอพวกคนหนุ่มที่ดูแลฝูงแกะของนาบาลผู้มั่งคั่ง.
ทหารที่กำลังลำบากเหล่านี้ปฏิบัติกับคนเลี้ยงแกะอย่างไร? คงไม่ยากถ้าพวกเขาจะขโมยแกะบ้างเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น. ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นเหมือนกำแพงที่ปกป้องฝูงสัตว์และคนใช้ของนาบาล. (1 ซามูเอล 25:15, 16) ฝูงแกะและคนเลี้ยงเผชิญอันตรายมากมาย. ในสมัยนั้นมีสัตว์นักล่าอยู่ทั่วไป. และชายแดนทางใต้ของอิสราเอลก็อยู่ไม่ไกล บ่อยครั้งพวกเขาจึงมักถูกโจมตีจากบรรดากองโจรของชาติอื่น.b
การเลี้ยงดูทหารทั้งหมดในป่ากันดารคงเป็นงานหนักทีเดียว. ดังนั้น วันหนึ่งดาวิดจึงส่งตัวแทนสิบคนไปขอความช่วยเหลือจากนาบาล. ดาวิดเลือกเวลาอย่างรอบคอบ. ขณะนั้นเป็นช่วงเทศกาลตัดขนแกะ ซึ่งตามปกติแล้วจะมีการเลี้ยงรื่นเริงและการแจกปัน. ดาวิดยังได้เลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง โดยใช้คำและวิธีเรียกที่สุภาพ. ท่านถึงกับเรียกตนเองว่า “ดาวิดบุตรของท่าน” ซึ่งคงจะเป็นการให้เกียรตินาบาลผู้สูงวัยกว่า. นาบาลตอบอย่างไร?—1 ซามูเอล 25:5-8
เขาโกรธมาก! ชายหนุ่มที่กล่าวถึงในตอนต้นเรื่องได้เล่าเหตุการณ์ให้อะบีฆายิลฟังว่า “นายกลับดุเอาคนเหล่านั้น.” นาบาลผู้ตระหนี่ได้บ่นเสียงดังว่าขนมปัง, น้ำ, และเนื้อสัตว์ที่เขาได้ฆ่านั้นมีค่ามาก. เขาเยาะเย้ยดาวิดว่าเป็นคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรและเปรียบท่านว่าเป็นเหมือนบ่าวที่หนีจากนายของตน. ทัศนะของนาบาลอาจคล้ายกันกับทัศนะของซาอูลผู้เกลียดชังดาวิด. ทั้งสองคนไม่มีทัศนะแบบพระยะโฮวา. พระเจ้าทรงรักดาวิดและทรงมองว่าดาวิดคือผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลในอนาคต ไม่ใช่บ่าวที่กบฏต่อนาย.—1 ซามูเอล 25:10, 11, 14
เมื่อตัวแทนที่ส่งไปกลับมารายงานดาวิด ท่านเดือดดาลมาก. ท่านสั่งว่า “ให้ทุกคนสะพายกระบี่ของตนไว้!” ดาวิดเตรียมอาวุธแล้วก็นำคนของท่าน 400 คนบุกไปหานาบาล. ท่านสาบานว่าจะสังหารผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของนาบาล. (1 ซามูเอล 25:12, 13, 21, 22) ดาวิดมีเหตุผลที่จะรู้สึกโกรธ แต่วิธีแสดงออกของท่านนั้นไม่ถูกต้อง. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความโกรธของมนุษย์ไม่ได้ทำให้เกิดความชอบธรรมตามที่พระเจ้าประสงค์.” (ยาโกโบ 1:20) แต่อะบีฆายิลจะช่วยชีวิตคนที่อยู่ในครัวเรือนของนางได้อย่างไร?
“ขอบคุณสติปัญญาของเจ้า”
ในแง่หนึ่ง เราได้เห็นว่าอะบีฆายิลได้เริ่มขั้นตอนแรกแล้วเพื่อจะแก้ไขความผิดพลาดร้ายแรงนี้. ต่างจากนาบาลผู้เป็นสามี อะบีฆายิลเป็นคนที่เต็มใจรับฟัง. คนใช้หนุ่มพูดถึงนาบาลว่า “เป็นคนพาล ไม่มีใครพูดกับเขาได้.”c (1 ซามูเอล 25:17) ช่างน่าเศร้าที่ความรู้สึกว่าตนเองสำคัญทำให้เขาไม่ยอมฟังใคร. ความทะนงตัวเช่นนั้นก็ยังมีให้เห็นมากมายในทุกวันนี้. แต่ชายหนุ่มคนนี้รู้ว่าอะบีฆายิลต่างจากนาบาล และคงเป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงมาบอกให้นางทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น.
อะบีฆายิลคิดและลงมือทำอย่างรวดเร็ว. เราอ่านว่า “นางอะบีฆายิลก็รีบจัดแจง.” ในบันทึกเรื่องนี้เรื่องเดียวเราพบว่ามีการใช้คำกริยาเดียวกันถึงสี่ครั้งกับหญิงคนนี้ คือคำว่า “รีบ.” นางได้จัดเตรียมสิ่งของมากมายเพื่อนำไปให้ดาวิดและคนของท่าน. ของเหล่านั้นก็มีขนมปัง, เหล้าองุ่น, แกะ, ข้าวคั่ว, ขนมลูกองุ่น, และขนมมะเดื่อเทศ. เห็นได้ชัดว่า อะบีฆายิลรู้ดีว่านางมีสิ่งของอะไรอยู่บ้างและนางเอาใจใส่หน้าที่ในครัวเรือนอย่างดี เช่นเดียวกับภรรยาที่มีความสามารถดังที่มีพรรณนาไว้ในหนังสือสุภาษิตในเวลาต่อมา. (สุภาษิต 31:10-31) นางส่งสิ่งของล่วงหน้าไปก่อนพร้อมกับคนรับใช้ แล้วได้ตามไปภายหลังคนเดียว. เราอ่านว่า “แต่นางไม่บอกให้นาบาลสามีรู้.”—1 ซามูเอล 25:18, 19
นี่จะหมายความว่าอะบีฆายิลกำลังขัดขืนต่อตำแหน่งประมุขของสามีซึ่งเป็นอำนาจที่ถูกต้องไหม? ไม่เลย. นาบาลได้ปฏิบัติอย่างเลวร้ายต่อผู้รับใช้ที่พระยะโฮวาทรงเจิมไว้ ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่จะยังผลเป็นความตายสำหรับผู้บริสุทธิ์หลายคนในครัวเรือนของนาบาล. หากอะบีฆายิลไม่ลงมือทำอะไร เป็นไปได้ไหมที่นางอาจกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในความผิดของสามี? ไม่ว่าจะอย่างไร นางต้องยอมอยู่ใต้อำนาจพระเจ้ามากกว่ายอมอยู่ใต้อำนาจสามี.
ไม่นาน อะบีฆายิลก็ได้พบกับดาวิดและคนของท่าน. อีกครั้งหนึ่งที่นางเร่งรีบ แต่คราวนี้รีบลงจากหลังลาและทรุดตัวลงต่อหน้าดาวิด. (1 ซามูเอล 25:20, 23) แล้วนางก็พูดกับดาวิดด้วยความรู้สึกจากหัวใจ วิงวอนขออย่างหนักแน่นให้ดาวิดเมตตาสามีและคนในครัวเรือนของนาง. อะไรทำให้คำพูดของนางได้ผล?
นางแสดงความรับผิดชอบในปัญหาที่เกิดขึ้นและขอดาวิดอภัยให้นาง. นางยอมรับอย่างที่ตรงกับความเป็นจริงว่า สามีนางเป็นคนโง่เขลาตามความหมายของชื่อเขา บางทีนี่อาจเป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า ถ้าดาวิดลงโทษคนแบบนั้นก็จะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติของท่าน. นางแสดงให้เห็นว่านางไว้วางใจดาวิดในฐานะตัวแทนของพระยะโฮวา และตระหนักว่าท่านกำลังต่อสู้ใน “สงครามของพระองค์.” นางได้แสดงให้เห็นอีกด้วยว่านางรู้เรื่องคำสัญญาของพระยะโฮวาเกี่ยวกับดาวิดและฐานะกษัตริย์ของท่าน เพราะนางกล่าวว่า “พระยะโฮวา . . . จะตั้งท่านให้ปกครองประเทศยิศราเอล.” ยิ่งกว่านั้น นางกระตุ้นเตือนดาวิดว่าอย่าลงมือกระทำการใด ๆ อันอาจจะทำให้ท่านมีความผิดฐานทำให้โลหิตตก หรืออาจ “เป็นเหตุให้ท่านเป็นทุกข์เสียใจ” ในภายหลัง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหมายถึงการที่ดาวิดถูกสติรู้สึกผิดชอบรบกวน. (1 ซามูเอล 25:24-31) นับว่าเป็นถ้อยคำที่กระตุ้นใจและกรุณาจริง ๆ!
แล้วดาวิดตอบสนองอย่างไร? ท่านยอมรับสิ่งของที่อะบีฆายิลนำมาให้และกล่าวว่า “สาธุการแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกยิศราเอลที่ทรงโปรดให้เจ้ามาพบเราวันนี้. ขอบคุณสติปัญญาของเจ้าและขอบคุณซึ่งเจ้าได้หน่วงเหนี่ยวเราไว้ วันนี้ให้พ้นจากบาปฆ่าคน.” ดาวิดยกย่องนางที่รีบมาพบท่านด้วยความกล้าหาญ และยอมรับว่านางได้หน่วงเหนี่ยวท่านไว้จากการทำผิดฐานทำให้โลหิตตก. ท่านบอกนางว่า “เชิญกลับไปบ้านเป็นสุขเถิด” และกล่าวด้วยความถ่อมใจอีกว่า “เราได้เชื่อคำของเจ้า . . . แล้ว.”—1 ซามูเอล 25:32-35
“ข้าพเจ้าเป็นเสมอทาสี”
เมื่อแยกจากดาวิดมาแล้ว อะบีฆายิลคงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องที่ได้พบกับดาวิด และนางอาจได้สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างดาวิดผู้ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าและมีความกรุณา กับชายผู้โหดร้ายซึ่งนางได้แต่งงานด้วย. แต่นางก็ไม่ได้ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องเหล่านั้น. เราอ่านว่า อะบีฆายิล “ก็กลับไปหานาบาล.” ใช่แล้ว นางได้กลับไปหาสามีและตั้งใจเหมือนเช่นเคยว่าจะทำหน้าที่ภรรยาของเขาให้ดีที่สุด. นางต้องบอกเขาเรื่องสิ่งของที่นางได้นำไปให้ดาวิดและคนของท่าน. เขามีสิทธิที่จะรู้. และนางต้องบอกเขาด้วยว่านางได้ทำอะไรไปเพื่อปกป้องครอบครัวจากภัยอันตรายก่อนที่เขาจะรู้จากคนอื่น ซึ่งจะยิ่งเป็นเรื่องน่าอาย. แต่นางไม่สามารถจะบอกตอนนี้ได้. เขากำลังกินเลี้ยงราวกับพระราชาและกำลังเมามาก.—1 ซามูเอล 25:36
อีกครั้งหนึ่ง อะบีฆายิลได้แสดงให้เห็นทั้งความกล้าและความสุขุมรอบคอบ โดยที่นางคอยจนถึงรุ่งเช้าให้สามีสร่างเมา. เมื่อถึงตอนนั้นเขาคงมีสติพอที่จะเข้าใจนาง แต่อารมณ์ที่ร้ายกาจของเขาก็อาจจะเป็นอันตรายมากขึ้นสำหรับนาง. ถึงกระนั้น นางก็เข้าไปหาเขาและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง. นางคาดหมายว่าเขาต้องโกรธ และอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง. แต่เขากลับนั่งนิ่งไม่ไหวติง.—1 ซามูเอล 25:37, ฉบับ R73
เกิดอะไรขึ้นกับนาบาล? “จิตใจของเขาก็ตายเสียภายในและเขากลายเป็นดังก้อนหิน.” เป็นไปได้ว่าเขามีอาการของโรคเส้นเลือดสมองชนิดหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม เขาเสียชีวิตหลังจากนั้นสิบวัน และไม่ได้มีสาเหตุจากความเจ็บป่วยเท่านั้น. “พระยะโฮวาทรงลงโทษนาบาลจนถึงแก่ชีวิต.” (1 ซามูเอล 25:38) ด้วยการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า ชีวิตสมรสที่เหมือนฝันร้ายอันยาวนานของอะบีฆายิลก็สิ้นสุดลง. ถึงแม้ว่าทุกวันนี้พระยะโฮวาจะไม่ได้เข้าแทรกแซงโดยการลงโทษอย่างอัศจรรย์ แต่เรื่องราวนี้ก็เป็นข้อเตือนใจที่ดีว่าไม่มีการกดขี่หรือความรุนแรงใด ๆ ในครอบครัวที่จะพ้นจากการสังเกตของพระองค์. พระองค์จะจัดการอย่างยุติธรรมเสมอเมื่อถึงเวลาของพระองค์.
นอกจากจะหลุดพ้นจากชีวิตสมรสอันขมขื่นแล้ว อะบีฆายิลยังจะได้พระพรอีกอย่างหนึ่งด้วย. เมื่อดาวิดทราบว่านาบาลตายแล้ว ท่านก็ส่งคนไปขอแต่งงานกับนาง. นางตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสมอทาสีสำหรับจะได้ล้างเท้าคนใช้ของนาย.” เห็นได้ชัดว่า การจะได้เป็นภรรยาของดาวิดไม่ได้ทำให้นางเปลี่ยนไป นางถึงกับเสนอตัวที่จะรับใช้คนใช้ของดาวิดด้วยซ้ำ! จากนั้น เราได้อ่านอีกครั้งหนึ่งว่านางเร่งรีบ ซึ่งครั้งนี้เพื่อจะไปพบดาวิด.—1 ซามูเอล 25:39-42
นี่ไม่ใช่การจบแบบนิยายรัก ชีวิตของอะบีฆายิลหลังจากแต่งงานกับดาวิดไม่ได้ราบรื่นเสมอไป. ดาวิดแต่งงานแล้วกับอะฮีโนอำ และแน่นอนว่าการอยู่ในครอบครัวที่มีภรรยาหลายคนคงเป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับผู้หญิงที่นมัสการพระเจ้าในสมัยโน้น.d ดาวิดยังไม่ได้เป็นกษัตริย์ ท่านยังจะต้องเผชิญอุปสรรคและความยากลำบากอีกมากมายก่อนที่จะได้รับใช้พระยะโฮวาในฐานะนั้น. แต่เมื่ออะบีฆายิลได้ช่วยเหลือและสนับสนุนดาวิดตลอดชีวิตและในที่สุดได้มีบุตรชายคนหนึ่งกับท่าน นางก็ได้รู้ว่านางมีสามีที่เห็นคุณค่านางและคอยปกป้องนางเสมอ. ครั้งหนึ่งท่านถึงกับช่วยชีวิตนางเมื่อถูกลักพาตัวไปด้วยซ้ำ! (1 ซามูเอล 30:1-19) โดยทำเช่นนี้ ดาวิดได้เลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ทรงรักและเห็นคุณค่าเหล่าผู้หญิงที่สุขุม, กล้าหาญ, และซื่อสัตย์ต่อพระองค์เช่นนางอะบีฆายิล.
[เชิงอรรถ]
a นี่ไม่ใช่ภูเขาคาร์เมลที่มีชื่อเสียงซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือ แต่เป็นเมืองที่อยู่ติดกับป่ากันดารทางตอนใต้.
b ดาวิดคงรู้สึกว่าการปกป้องเจ้าของที่ดินในบริเวณนั้นและฝูงสัตว์ของพวกเขาเป็นการรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าอย่างหนึ่ง. ในสมัยนั้น พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ลูกหลานของอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น. ดังนั้น การปกป้องดินแดนนั้นให้รอดพ้นจากผู้รุกรานและบรรดากองโจรจากชาติอื่นจึงเป็นการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง.
c วลีที่ชายหนุ่มคนนี้ใช้มีความหมายตรงตัวว่า “ลูกแห่งเบลิอาล (ความไร้ค่า).” คัมภีร์ไบเบิลฉบับอื่นแปลประโยคนี้โดยรวมเอาคำอธิบายลักษณะของนาบาลไว้ด้วยว่าเป็นคนที่ “ไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น” และกล่าวสรุปว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกับเขา.”
d ดูบทความเรื่อง “พระเจ้าทรงเห็นชอบกับการมีภรรยาหลายคนไหม?” ในหน้า 30.
[ภาพหน้า 19]
ต่างจากสามีของนาง อะบีฆายิลเป็นผู้ฟังที่ดี
[ภาพหน้า 20]
อะบีฆายิลแสดงความถ่อม ความกล้าหาญ และความสุขุมรอบคอบเมื่อพูดกับดาวิด