บทเจ็ด
เขา “วัฒนาขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา”
1, 2. สถานการณ์เป็นเช่นไรตอนที่ซามูเอลพูดต่อหน้าชาวอิสราเอล และทำไมเขาต้องการให้คนเหล่านี้กลับใจ?
ซามูเอลมองดูชนร่วมชาติ. ชายผู้มีความเชื่อคนนี้ซึ่งทำหน้าที่ผู้พยากรณ์และผู้พิพากษามาหลายสิบปีได้เรียกชนทั้งชาติให้มารวมกันที่เมืองกิลกาล. ตอนนั้นเป็นเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนตามปฏิทินสมัยปัจจุบัน และเข้าฤดูแล้งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว. ทุ่งข้าวสาลีเหลืองอร่ามพร้อมจะเก็บเกี่ยว. ฝูงชนทั้งหมดต่างเงียบเสียง. ซามูเอลจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เปลี่ยนใจ?
2 ประชาชนเหล่านี้ไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่พวกเขาทำร้ายแรงเพียงใด. พวกเขายืนกรานว่าต้องมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์. พวกเขาไม่เข้าใจว่าได้ดูหมิ่นพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขาและผู้พยากรณ์ของพระองค์. พวกเขาไม่ต้องการให้พระยะโฮวาเป็นกษัตริย์ของพวกเขาอีกต่อไป. ซามูเอลจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้กลับใจ?
ตัวอย่างของซามูเอลตอนเป็นเด็กสอนเรามากทีเดียวเกี่ยวกับการสร้างความเชื่อในพระยะโฮวาแม้มีอิทธิพลที่ไม่ดีอยู่รอบข้าง
3, 4. (ก) ทำไมซามูเอลพูดถึงชีวิตในวัยเยาว์? (ข) เหตุใดตัวอย่างของซามูเอลในเรื่องความเชื่อเป็นประโยชน์ต่อเราในทุกวันนี้?
3 แล้วซามูเอลก็พูดออกมา. เขาพูดกับฝูงชนว่า “ข้าพเจ้าก็ชราไป, ผมก็หงอก.” ผมสีดอกเลายืนยันคำพูดของเขาได้เป็นอย่างดี. เขาพูดต่อว่า “ข้าพเจ้าเคยอาศัยอยู่กับท่าน; แต่เด็กมาจนทุกวันนี้.” (1 ซามู. 11:14, 15; 12:2) แม้ซามูเอลจะชราแล้วแต่ก็ไม่ลืมชีวิตในวัยเยาว์. ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตในช่วงนั้นยังแจ่มชัดในความคิดเขา. การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ขณะที่เติบโตขึ้นทำให้เขามีความเชื่อมั่นคงและทุ่มเทตัวในการรับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าของเขา.
4 มีหลายครั้งหลายหนที่ซามูเอลต้องพยายามรักษาความเชื่อให้เข้มแข็งเนื่องจากอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ขาดความเชื่อและไม่ภักดี. ทุกวันนี้ การรักษาความเชื่อให้เข้มแข็งก็ไม่ง่ายเช่นกัน เพราะเราอยู่ในโลกที่ขาดความเชื่อและเสื่อมทราม. (อ่านลูกา 18:8 ) ให้เรามาดูว่าเราจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของซามูเอล โดยเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก.
‘เมื่อยังเป็นกุมารอยู่ได้ปฏิบัติเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา’
5, 6. ชีวิตในวัยเด็กของซามูเอลต่างไปจากเด็กคนอื่นอย่างไร แต่ทำไมพ่อแม่ของเขามั่นใจว่าลูกชายจะได้รับการดูแลอย่างดี?
5 ซามูเอลมีชีวิตในวัยเด็กต่างไปจากเด็กคนอื่น. เมื่ออายุ 3 ขวบหรือราว ๆ นั้นหลังจากหย่านมได้ไม่นาน เขาเริ่มทำงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ที่พลับพลาของพระยะโฮวาในชีโลห์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านในรามาห์มากกว่า 30 กิโลเมตร. เอ็ลคานาและฮันนาพ่อแม่ของซามูเอลได้ถวายลูกชายให้พระยะโฮวาเพื่อทำงานรับใช้แบบพิเศษ เขาจึงเป็นนาษารีษตลอดชีวิต.a นี่หมายความว่าซามูเอลถูกพ่อแม่ทอดทิ้งอย่างไม่ไยดีไหม?
6 ไม่เลย! พ่อแม่ของซามูเอลรู้ว่าลูกชายจะได้รับการดูแลอย่างดีที่ชีโลห์. มหาปุโรหิตเอลีคงได้เอาใจใส่ดูแลซามูเอลในทุกเรื่องเพราะซามูเอลทำงานใกล้ชิดกับเขา และมีพวกผู้หญิงทำงานรับใช้อยู่ที่พลับพลาด้วย.—เอ็ก. 38:8; วินิจ. 11:34-40
7, 8. (ก) พ่อแม่ของซามูเอลแสดงความรักและให้กำลังใจเขาอย่างไร? (ข) พ่อแม่ของซามูเอลเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างไรสำหรับพ่อแม่ในทุกวันนี้?
7 ฮันนาและเอ็ลคานายังคิดถึงซามูเอลเสมอ. ซามูเอลเป็นลูกชายคนแรกที่พวกเขารักมากและเป็นลูกที่พระเจ้าประทานให้ตามคำอธิษฐาน. ฮันนาได้ทูลขอลูกชายจากพระเจ้าและสัญญาว่าจะถวายเขาให้ทำงานรับใช้พระองค์ตลอดชีวิต. ทุกปีเมื่อไปเยี่ยมซามูเอล ฮันนาจะนำเสื้อชุดไม่มีแขนตัวใหม่ที่นางเย็บไปให้เขาสำหรับใส่รับใช้ที่พลับพลา. เด็กน้อยคงจะมีความสุขมากและไม่ลืมช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพ่อแม่. ความรักและกำลังใจรวมทั้งคำแนะนำสั่งสอนที่ได้รับจากพ่อแม่คงช่วยให้เขาเห็นคุณค่าสถานที่พิเศษแห่งนี้และสามารถรับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุข.
8 ฮันนาและเอ็ลคานาเป็นตัวอย่างที่ดีมากสำหรับพ่อแม่ในทุกวันนี้. พ่อแม่ส่วนใหญ่มักเป็นห่วงเรื่องการเอาใจใส่ดูแลลูกด้านวัตถุจนละเลยการสอนลูกให้เห็นคุณค่าการรับใช้พระเจ้า. แต่พ่อแม่ของซามูเอลให้ความสำคัญอันดับแรกกับการรับใช้พระเจ้า สิ่งนี้เองมีส่วนหล่อหลอมให้ซามูเอลเติบโตขึ้นเป็นผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้า.—อ่านสุภาษิต 22:6
9, 10. (ก) จงพรรณนาว่าพลับพลาเป็นอย่างไร และเด็กน้อยซามูเอลรู้สึกอย่างไรต่อสถานศักดิ์สิทธิ์นี้? (ดูเชิงอรรถด้วย) (ข) ซามูเอลอาจมีหน้าที่อะไรบ้าง และเยาวชนในทุกวันนี้จะเลียนแบบตัวอย่างของเขาได้ในทางใดบ้าง?
9 เราคงนึกภาพได้ว่าเด็กน้อยซามูเอลค่อย ๆ เติบโตขึ้นและมักออกไปสำรวจเนินเขารอบ ๆ ชีโลห์. เมื่อมองลงมา เขาเห็นเมืองชีโลห์และหุบเขากว้างใหญ่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเมือง หัวใจเขาคงเปี่ยมด้วยความยินดีและภูมิใจเมื่อเห็นพลับพลาของพระยะโฮวา. พลับพลาแห่งนี้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่มีใดเหมือน.b พลับพลานี้เป็นศูนย์กลางการนมัสการอันบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาเพียงแห่งเดียวในโลก ซึ่งสร้างขึ้นเกือบ 400 ปีมาแล้วโดยมีโมเซเป็นผู้ควบคุมดูแล.
10 ขณะที่เด็กน้อยซามูเอลเติบโตขึ้น เขารักพลับพลาแห่งนี้มากขึ้น. เราอ่านบันทึกที่เขาเขียนในเวลาต่อมาว่า “ซามูเอลเมื่อยังเป็นกุมารอยู่, ใช้เสื้อเอโฟดผ้าป่านคาดเอวไว้, ได้ปฏิบัติเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา.” (1 ซามู. 2:18) เสื้อชุดไม่มีแขนแบบเรียบ ๆ ที่ซามูเอลใส่อาจบอกให้รู้ว่าเขามีหน้าที่ช่วยงานปุโรหิตที่พลับพลา. แม้ว่าซามูเอลไม่ได้อยู่ในชนชั้นปุโรหิต แต่เขามีหน้าที่หลายอย่างรวมทั้งการเปิดประตูที่ออกไปยังลานพลับพลาในตอนเช้าและคอยรับใช้เอลีซึ่งชราแล้ว. ถึงแม้เขาจะยินดีอย่างยิ่งที่ได้ทำงานพิเศษนี้ แต่ต่อมาใจที่ใสบริสุทธิ์ของเด็กน้อยก็เริ่มหม่นหมอง. มีสิ่งที่เลวร้ายมากเกิดขึ้นในสถานนมัสการพระยะโฮวา.
รักษาความสะอาดบริสุทธิ์แม้อยู่ท่ามกลางความเสื่อมทราม
11, 12. (ก) ฮฟนีกับฟีนะฮาศมีความคิดผิด ๆ เช่นไร? (ข) ฮฟนีกับฟีนะฮาศทำเรื่องชั่วช้าและเสื่อมทรามอะไรบ้างที่พลับพลา? (ดูเชิงอรรถด้วย)
11 ตอนที่ยังเด็ก ซามูเอลได้รู้เห็นความชั่วช้าและความเสื่อมทรามที่เลวร้ายอย่างยิ่ง. เอลีมีบุตรชายสองคนคือฮฟนีกับฟีนะฮาศ. บันทึกของซามูเอลกล่าวว่า “บุตรชายของเอลีเป็นคนชั่วช้า, หารู้จักพระยะโฮวาไม่.” (1 ซามู. 2:12) คำพรรณนาสองอย่างในข้อนี้เกี่ยวข้องกัน. ฮฟนีกับฟีนะฮาศเป็น “คนชั่วช้า” ซึ่งตามตัวอักษรหมายถึง “ลูกแห่งความไร้ค่า” เนื่องจากพวกเขาไม่นับถือพระยะโฮวา. พวกเขาถือว่ามาตรฐานและข้อกฎหมายต่าง ๆ ของพระองค์ไม่มีค่าอะไรเลย. เพราะความคิดผิด ๆ เช่นนั้น พวกเขาจึงทำสิ่งชั่วช้าได้สารพัด.
12 พระบัญญัติของพระเจ้าบอกไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับหน้าที่ของปุโรหิตและสิ่งที่เขาต้องปฏิบัติเมื่อถวายเครื่องบูชาที่พลับพลา. ข้อกำหนดที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเครื่องบูชาเหล่านั้นหมายถึงการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับการอภัยบาป เพื่อชาวอิสราเอลจะอยู่ในฐานะที่พระเจ้ายอมรับได้ และมีโอกาสที่จะได้รับพระพรและการชี้นำจากพระองค์. แต่ฮฟนีกับฟีนะฮาศไม่ได้แสดงความนับถือต่อเครื่องบูชาแม้แต่น้อยทำให้ปุโรหิตหลายคนพลอยทำเช่นนั้นด้วย.c
13, 14. (ก) ผู้คนส่วนใหญ่อาจได้รับผลกระทบอย่างไรจากการกระทำที่ชั่วช้าในพลับพลา? (ข) เอลีบกพร่องในหน้าที่อย่างไรทั้งในฐานะพ่อและมหาปุโรหิต?
13 ลองนึกภาพเด็กน้อยซามูเอลกำลังมองดูอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ขณะที่มีการทำผิดร้ายแรงเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีใครจัดการแก้ไข. กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เขาได้เห็นทั้งคนยากจน คนต่ำต้อย คนที่ถูกกดขี่ เข้ามาที่พลับพลาศักดิ์สิทธิ์นี้โดยหวังว่าจะได้รับกำลังและการปลอบโยนฝ่ายวิญญาณ แต่แล้วก็ต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง เจ็บปวด หรือถูกเหยียดหยาม? และซามูเอลจะรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าฮฟนีกับฟีนะฮาศได้ดูหมิ่นกฎหมายของพระเจ้าในเรื่องศีลธรรมทางเพศโดยหลับนอนกับผู้หญิงที่รับใช้ในพลับพลา? (1 ซามู. 2:22) เขาคงหวังว่าเอลีจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้.
ซามูเอลคงทุกข์ใจยิ่งนักเมื่อรู้เห็นความชั่วช้าของบุตรชายสองคนของเอลี
14 เอลีเหมาะที่สุดที่จะจัดการกับสถานการณ์เลวร้ายซึ่งกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ. ในฐานะมหาปุโรหิต เขาต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในพลับพลา. ในฐานะพ่อ เขามีพันธะที่จะว่ากล่าวสั่งสอนลูก. ที่จริง ลูกทั้งสองคนของเอลีกำลังทำให้ตัวเองและประชาชนอีกมากมายเดือดร้อน. แต่เอลีก็บกพร่องในหน้าที่ทั้งในฐานะพ่อและมหาปุโรหิต. เขาดุว่าลูกเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น. (อ่าน 1 ซามูเอล 2:23-25 ) ที่จริง ลูกทั้งสองคนของเอลีสมควรถูกว่ากล่าวอย่างรุนแรง. พวกเขาทำบาปที่สมควรได้รับโทษถึงตาย!
15. เอลีได้รับคำพิพากษาอันรุนแรงอะไรจากพระยะโฮวา และครอบครัวของเอลีมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำเตือน?
15 เหตุการณ์มาถึงจุดที่พระยะโฮวาส่ง “คนของพระเจ้า” ซึ่งเป็นผู้พยากรณ์ที่พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อให้มาหาเอลีเพื่อประกาศคำพิพากษาอันรุนแรงแก่เขา. พระยะโฮวาตรัสกับเอลีว่า “[เจ้า] ให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา.” แล้วพระองค์ก็บอกล่วงหน้าว่าบุตรชายที่ชั่วช้าของเอลีจะตายในวันเดียวกันและครอบครัวของเอลีจะประสบความทุกข์อย่างหนักถึงขนาดที่จะไม่มีใครในครอบครัวเขาได้เป็นมหาปุโรหิตอีก. คำเตือนที่รุนแรงนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในครอบครัวนี้ไหม? บันทึกเปิดเผยว่าไม่มีใครในพวกเขากลับใจ.—1 ซามู. 2:27–3:1, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971
16. (ก) มีการกล่าวถึงความก้าวหน้าของซามูเอลอย่างไร? (ข) เมื่ออ่านถ้อยคำใน 1 ซามูเอล 2:18, 21 คุณรู้สึกอย่างไรและทำไม?
16 สภาพที่เสื่อมทรามเหล่านี้มีผลอย่างไรต่อซามูเอลผู้เยาว์วัย? แม้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมน แต่ก็ยังมีข่าวดีที่น่าชื่นใจเกี่ยวกับการเติบโตและความก้าวหน้าของซามูเอลซึ่งเปรียบเหมือนแสงแห่งความหวัง. เราคงจำได้ว่าที่ 1 ซามูเอล 2:18 กล่าวว่า ‘เมื่อซามูเอลยังเป็นกุมารอยู่ ได้ปฏิบัติเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา’ อย่างซื่อสัตย์. แม้ยังเป็นเด็ก แต่ซามูเอลทุ่มเทชีวิตให้กับการรับใช้พระเจ้า. ในข้อ 21 ของบทเดียวกันเราพบถ้อยคำที่ทำให้ยินดีมากขึ้นไปอีกว่า “กุมารซามูเอลนั้นก็วัฒนาขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา.” ขณะที่เติบโตขึ้น เขาก็ยิ่งใกล้ชิดกับพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์มากขึ้น. การมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเป็นส่วนตัวจะช่วยปกป้องเราไว้จากอิทธิพลที่เสื่อมทรามทุกรูปแบบ.
17, 18. (ก) เยาวชนคริสเตียนจะเลียนแบบตัวอย่างของซามูเอลได้อย่างไรเมื่อคนรอบข้างประพฤติเสื่อมทราม? (ข) อะไรแสดงว่าซามูเอลดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์?
17 เป็นเรื่องง่ายที่ซามูเอลจะคิดว่า ถ้ามหาปุโรหิตและลูกชายทั้งสองยังทำบาปได้เขาก็น่าจะทำตามใจตัวเองได้. แต่ความประพฤติที่เสื่อมทรามของคนอื่นแม้แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งสูงไม่ใช่ข้ออ้างที่ฟังขึ้นสำหรับการทำบาป. ทุกวันนี้ เยาวชนคริสเตียนหลายคนเลียนแบบตัวอย่างของซามูเอลและ “วัฒนาขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา” แม้ว่าคนรอบข้างบางคนไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเขา.
18 การดำเนินชีวิตเช่นนั้นส่งผลเช่นไรต่อซามูเอล? เราอ่านว่า “ฝ่ายกุมารซามูเอลก็วัฒนาขึ้น, ได้มีความชอบต่อพระยะโฮวา, และต่อมนุษย์ด้วย.” (1 ซามู. 2:26) เราเห็นจากข้อนี้ว่าซามูเอลเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ในสายตาของบุคคลที่มีความสำคัญต่อเขา. พระยะโฮวาเองทรงรักเด็กชายคนนี้มากเพราะเขาดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์. และซามูเอลมั่นใจว่าพระเจ้าจะลงมือจัดการกับความชั่วที่กำลังเกิดขึ้นในชีโลห์ แต่เขาอาจสงสัยว่าพระองค์จะจัดการเมื่อไร. แล้วคืนหนึ่งซามูเอลก็รู้คำตอบ.
“ขอทรงตรัสเถิด, ผู้ทาสของพระองค์คอยฟังอยู่”
19, 20. (ก) จงพรรณนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับซามูเอลในคืนหนึ่ง ณ พระวิหาร. (ข) ซามูเอลปฏิบัติต่อเอลีอย่างไร? (ค) ซามูเอลรู้ได้อย่างไรว่าเสียงเรียกนั้นเป็นเสียงใคร?
19 ตอนนั้นใกล้เช้าแล้วแต่ฟ้ายังมืดอยู่ แสงจากตะเกียงใหญ่ในพลับพลายังไม่ดับ. ในความเงียบสงบ ซามูเอลได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกเขา. เขาคิดว่าเป็นเสียงของเอลีซึ่งตอนนี้ชรามากแล้วและแทบจะมองไม่เห็น. ซามูเอลลุกขึ้นและ “วิ่ง” ไปหาเอลี. คุณนึกภาพเด็กน้อยคนนี้ออกไหมตอนที่เขารีบวิ่งเท้าเปล่าไปดูว่าเอลีต้องการอะไร? น่าประทับใจจริง ๆ ที่เห็นว่าซามูเอลนับถือและเป็นห่วงเอลีมากเพียงไร. แม้ว่าเอลีทำผิดร้ายแรง แต่เขาก็ยังเป็นมหาปุโรหิตของพระยะโฮวา.—1 ซามู. 3:2-5
20 ซามูเอลปลุกเอลีแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่นี่, ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า.” แต่เอลีบอกว่าไม่ได้เรียกและบอกให้เขากลับไปนอน. แต่แล้วก็มีเสียงเรียกเช่นนั้นอีกสองครั้ง. ในที่สุดเอลีก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น. พระยะโฮวาไม่ได้ให้นิมิตหรือข่าวสารเชิงพยากรณ์แก่ประชาชนของพระองค์มานานแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระยะโฮวาไม่พอพระทัยการกระทำของเหล่าปุโรหิต. แต่เอลีรู้ว่าพระยะโฮวากำลังจะตรัสกับชาติอิสราเอลอีกครั้ง แต่คราวนี้จะตรัสผ่านเด็กชายคนนี้. เอลีบอกให้ซามูเอลกลับไปนอนและสอนว่าควรจะตอบเสียงเรียกนั้นอย่างไร. ซามูเอลทำตามที่เอลีบอก. ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงเรียกอีกว่า “ซามูเอล ๆ.” เขาตอบว่า “ขอทรงตรัสเถิด, ผู้ทาสของพระองค์คอยฟังอยู่.”—1 ซามู. 3:1, 5-10
21. ในทุกวันนี้ เราจะฟังพระยะโฮวาตรัสโดยวิธีใด และทำไมการฟังจึงคุ้มค่า?
21 ในที่สุด พระยะโฮวาก็มีผู้รับใช้คนหนึ่งในชีโลห์ที่ฟังพระองค์. ซามูเอลฟังพระยะโฮวาตรัสเสมอ. จะว่าอย่างไรสำหรับคุณ? เราไม่จำเป็นต้องรอให้มีเสียงจากสวรรค์พูดกับเราตอนกลางคืน. ทุกวันนี้ กล่าวได้ว่ามีเสียงตรัสจากพระเจ้ามาถึงเราเสมอ. เสียงตรัสนั้นมีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลครบชุดซึ่งเป็นพระคำของพระองค์. ยิ่งเราฟังพระเจ้าและทำตามคำตรัสของพระองค์ เราก็จะยิ่งมีความเชื่อมากขึ้น. นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับซามูเอล.
22, 23. (ก) ข่าวสารที่ซามูเอลไม่กล้าบอกเอลีได้สำเร็จเป็นจริงอย่างไร? (ข) ซามูเอลมีชื่อเสียงดีได้อย่างไร?
22 เหตุการณ์สำคัญในคืนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของซามูเอล เพราะนับแต่นั้นมาเขาก็มีสายสัมพันธ์พิเศษกับพระยะโฮวา คือได้เป็นผู้พยากรณ์และโฆษกของพระองค์. ในตอนแรก ซามูเอลไม่กล้าบอกเอลีว่าพระยะโฮวาตรัสอะไรเพราะพระองค์ได้พิพากษาว่าคำพยากรณ์เกี่ยวกับครอบครัวของเอลีจะเป็นจริงในไม่ช้า. แต่ซามูเอลก็รวบรวมความกล้าและไปบอกเอลี. เอลียอมรับคำพิพากษานั้นแต่โดยดี. ไม่นาน ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาตรัสไว้ก็เป็นจริง. ชาวอิสราเอลทำสงครามกับชาวฟิลิสติน ฮฟนีกับฟีนะฮาศถูกฆ่าในวันเดียวกัน และเอลีก็ล้มลงตายเมื่อรู้ว่าหีบสัญญาศักดิ์สิทธิ์ถูกชิงไป.—1 ซามู. 3:10-18; 4:1-18
23 อย่างไรก็ตาม ขณะที่ซามูเอลเติบโตขึ้น เขากลับมีชื่อเสียงดีในฐานะผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์. พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระยะโฮวาได้ทรงสถิตอยู่” กับซามูเอล และกล่าวด้วยว่าพระยะโฮวาทรงทำให้คำพยากรณ์ทั้งสิ้นของเขาสำเร็จเป็นจริง.—อ่าน 1 ซามูเอล 3:19
“ซามูเอลกราบทูลพระยะโฮวา”
24. ชาวอิสราเอลร้องขออะไร และเหตุใดคำขอนั้นถือเป็นบาปร้ายแรงมาก?
24 ชาวอิสราเอลได้ติดตามตัวอย่างของซามูเอลและเป็นชาติที่มีความเชื่อในพระเจ้าและซื่อสัตย์ต่อพระองค์ไหม? ไม่เลย. พวกเขาต้องการเป็นเหมือนชาติอื่น ๆ ซึ่งมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ปกครอง. พวกเขาไม่ต้องการจะมีแค่ผู้พยากรณ์ที่ทำหน้าที่พิพากษาพวกเขา. ซามูเอลยอมฟังคำขอนั้นตามที่พระยะโฮวาชี้นำ. แต่เขาต้องบอกชาวอิสราเอลว่าการร้องขอเช่นนั้นเป็นบาปร้ายแรงเพียงไร. พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์เท่านั้น แต่พวกเขาปฏิเสธพระยะโฮวา! ดังนั้น ซามูเอลจึงเรียกประชาชนมารวมกันที่กิลกาล.
25, 26. ที่กิลกาล ซามูเอลช่วยประชาชนอย่างไรให้สำนึกว่าพวกเขาได้ทำบาปร้ายแรงต่อพระยะโฮวา?
25 ให้เรากลับไปดูเหตุการณ์ตอนที่ซามูเอลกำลังจะพูดกับชาวอิสราเอลที่กิลกาล. ซามูเอลผู้ชราได้เตือนชาวอิสราเอลให้ระลึกว่าเขาได้รับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์จงรักภักดีมานาน. จากนั้น เราอ่านว่า “ซามูเอลกราบทูลพระยะโฮวา.” เขาขอพระยะโฮวาบันดาลให้มีฟ้าร้องและฝนตก.—1 ซามู. 12:17, 18
26 ฟ้าร้องและฝนตกในฤดูแล้งหรือ? เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย! หากมีใครคิดสงสัยหรือดูหมิ่น เขาจะคิดอย่างนั้นได้ไม่นาน เพราะทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดครึ้มไปด้วยเมฆ. ข้าวสาลีในทุ่งเอนไปมาตามแรงลม. ฟ้าคำรามเสียงดังสนั่น แล้วฝนก็ตกลงมา. ประชาชนมีปฏิกิริยาอย่างไร? “ประชาชนทั้งปวงจึงพากันเกรงกลัวพระยะโฮวาและซามูเอลเป็นอันมาก.” ในที่สุด พวกเขาก็สำนึกว่าได้ทำบาปร้ายแรงมาก.—1 ซามู. 12:18, 19
27. พระยะโฮวารู้สึกอย่างไรต่อคนที่เลียนแบบความเชื่อของซามูเอล?
27 ผู้ที่ทำให้ประชาชนที่ดื้อดึงเหล่านี้เปลี่ยนใจไม่ใช่ซามูเอลแต่เป็นพระยะโฮวาพระเจ้า. ตั้งแต่เด็กจนชรา ซามูเอลมีความเชื่อในพระยะโฮวาเสมอและพระองค์ก็อวยพรเขา. จวบจนทุกวันนี้ พระยะโฮวาไม่เคยเปลี่ยน. พระองค์ยังคอยช่วยเหลือคนที่เลียนแบบความเชื่อของซามูเอล.
a นาษารีษคือผู้ที่ได้ปฏิญาณตัวไว้กับพระเจ้า คำปฏิญาณนั้นรวมถึงการละเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่ตัดผม. นาษารีษส่วนใหญ่จะทำตามคำปฏิญาณนั้นอยู่เพียงช่วงเวลาหนึ่ง มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นนาษารีษตลอดชีวิต เช่น ซิมโซน ซามูเอล และโยฮันผู้ให้บัพติสมา.
b สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นกระโจมขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งมีโครงเป็นไม้. อย่างไรก็ตาม สถานแห่งนี้สร้างขึ้นโดยใช้วัสดุที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนังปลาโลมา ผ้าที่เย็บปักอย่างงดงาม และไม้ที่หุ้มด้วยเงินและทองคำซึ่งมีราคาแพง. พลับพลาตั้งอยู่บนลานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในลานยังมีแท่นบูชาขนาดใหญ่สำหรับถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ. ดูเหมือนว่าในเวลาต่อมาได้มีการสร้างห้องสำหรับพวกปุโรหิตเพิ่มด้านข้างพลับพลา. ซามูเอลคงนอนในห้องใดห้องหนึ่งที่สร้างขึ้นใหม่นี้.
c บันทึกในพระคัมภีร์พูดถึงสองตัวอย่าง. อย่างแรกพระบัญญัติกำหนดไว้ชัดเจนว่าส่วนใดของเครื่องบูชาที่ปุโรหิตจะนำไปกินได้. (บัญ. 18:3) แต่ที่พลับพลานี้ ปุโรหิตชั่วทั้งหลายได้ทำสิ่งที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง. พวกเขาสั่งให้ผู้ช่วยเอาสามง่ามจิ้มลงไปในหม้อต้มและไม่ว่าเนื้อที่ดีที่น่ากินส่วนใดติดขึ้นมาพวกปุโรหิตก็จะเอาไป. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อประชาชนนำเครื่องบูชามาให้เผาถวายที่แท่น พวกปุโรหิตชั่วก็จะสั่งให้ผู้ช่วยไปขู่บังคับเอาเนื้อที่ยังดิบอยู่ ก่อนจะมีการเผามันสัตว์ถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระยะโฮวา.—เลวี. 3:3-5; 1 ซามู. 2:13-17