จงเลียนแบบความเชื่อของเขา
ท่านรับการชูใจจากพระเจ้าของท่าน
เอลียาห์วิ่งฝ่าสายฝนขณะที่ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ. ท่านยังต้องวิ่งไปอีกไกลกว่าจะถึงเมืองยิศเรล และท่านก็ไม่ใช่คนหนุ่มแล้ว. แต่เอลียาห์ก็วิ่งไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะ “พระหัตถ์แห่งพระยะโฮวา” อยู่กับท่าน. ท่านรู้สึกว่าร่างกายมีกำลังเรี่ยวแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน. ท่านถึงกับวิ่งแซงราชรถเทียมม้าของกษัตริย์อาฮาบด้วยซ้ำ!—1 กษัตริย์ 18:46
ตอนนี้กษัตริย์อาฮาบถูกทิ้งห่างอยู่ข้างหลัง แต่หนทางข้างหน้ายังอีกไกล. ลองนึกภาพว่าขณะที่วิ่งไปนั้น เอลียาห์ต้องคอยกระพริบตาไล่น้ำฝนที่ตกลงมาปะทะใบหน้าของท่าน. ท่านนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ซึ่งเป็นวันที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของท่าน. ไม่ต้องสงสัยว่าวันนี้เป็นวันแห่งชัยชนะอันสง่างามสำหรับพระยะโฮวาพระเจ้าของเอลียาห์และสำหรับการนมัสการแท้. ไกลออกไปข้างหลังท่านคือภูเขาคาร์เมลอันสูงตระหง่านซึ่งมีลมพัดกล้า. บัดนี้ท้องฟ้ามืดมัวไปด้วยเมฆหมอกแห่งพายุจนมองไม่เห็นภูเขาลูกนั้นแล้ว. ณ ที่นั่นพระยะโฮวาได้ใช้เอลียาห์ให้กำราบผู้นมัสการพระบาอัลด้วยวิธีที่เฉียบขาดและน่าอัศจรรย์. ผู้พยากรณ์บาอัลหลายร้อยคนถูกเปิดโปงความชั่วช้าและถูกลงโทษอย่างสาสม. จากนั้น เอลียาห์ได้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาเพื่อขอให้ความแห้งแล้งซึ่งยืดเยื้อมานานถึงสามปีครึ่งสิ้นสุดลง. แล้วฝนก็เทลงมา!a—1 กษัตริย์ 18:18-45
ขณะที่เอลียาห์วิ่งฝ่าสายฝนตลอดระยะทาง 30 กิโลเมตรไปยังเมืองยิศเรล ท่านอาจรู้สึกว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว. อาฮาบคงจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าอาฮาบคงต้องเลิกนมัสการบาอัล ยับยั้งราชินีอีซาเบล และไม่ข่มเหงผู้รับใช้ของพระยะโฮวาอีก.
เมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามที่เราคาดไว้ ก็เป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกมีความหวัง. เราอาจนึกภาพว่าอะไร ๆ ในชีวิตน่าจะดีขึ้น หรืออาจถึงกับคิดว่าปัญหาที่เลวร้ายที่สุดคงผ่านพ้นไปแล้ว. ถ้าเอลียาห์คิดอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะท่าน “เป็นมนุษย์เหมือนเรา.” (ยาโกโบ 5:17) แต่ปัญหาของเอลียาห์ยังไม่จบเพียงเท่านี้. ที่จริง ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เอลียาห์จะต้องเผชิญกับความหวาดกลัวและความท้อแท้สิ้นหวังถึงขนาดที่ทำให้ท่านอยากตาย. เกิดอะไรขึ้น? และพระยะโฮวาทรงช่วยผู้พยากรณ์ของพระองค์อย่างไรให้มีความกล้าและมีความเชื่อที่เข้มแข็งอีกครั้ง? ให้เรามาดูด้วยกัน.
สถานการณ์พลิกผันอย่างไม่คาดคิด
เมื่ออาฮาบกลับไปถึงราชวังในเมืองยิศเรล เขาแสดงให้เห็นไหมว่าเขาได้เปลี่ยนเป็นคนที่มีความยำเกรงพระเจ้า? พระคัมภีร์บอกว่า “อาฮาบจึงบอกอีซาเบ็ลตามการทั้งสิ้น, ซึ่งเอลียาได้กระทำนั้น, และการที่ท่านได้ฆ่าผู้ทำนายทั้งหมดด้วยดาบ.” (1 กษัตริย์ 19:1) สังเกตว่าเมื่ออาฮาบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้อีซาเบลฟัง เขาไม่ได้พูดถึงพระยะโฮวาพระเจ้าของเอลียาห์เลย. อาฮาบผู้ไม่เกรงกลัวพระเจ้ามองเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ในวันนั้นแบบมนุษย์ปุถุชน คือมองว่าเป็นสิ่งที่ “เอลียาได้กระทำ.” เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะยำเกรงพระยะโฮวาพระเจ้าเลย. แล้วนางอีซาเบลผู้อาฆาตแค้นมีปฏิกิริยาเช่นไร?
นางโกรธมาก! ด้วยความเดือดดาล นางใช้คนไปบอกเอลียาห์ว่า “ถ้าพรุ่งนี้เวลานี้เรามิได้ทำชีวิตของเจ้าให้เหมือนอย่างชีวิตของคนเหล่านั้นแล้วก็ให้พระทั้งหลายทำดังนั้นแก่เรา, และให้ยิ่งกว่าท่าน.” (1 กษัตริย์ 19:2) นี่เป็นการขู่ฆ่าที่น่าพรั่นพรึงที่สุด. การที่นางพูดเช่นนั้นเท่ากับได้สาบานว่า นางขอยอมตายหากไม่ได้ฆ่าเอลียาห์เพื่อล้างแค้นแทนพวกผู้พยากรณ์ของบาอัล. ขอให้นึกภาพว่าเอลียาห์กำลังนอนหลบพายุฝนอยู่ในเพิงพักอาศัยแห่งหนึ่งในเมืองยิศเรล แต่แล้วก็ถูกผู้ส่งข่าวปลุกขึ้นมาฟังคำขู่ฆ่าของราชินีอีซาเบล. เอลียาห์จะรู้สึกอย่างไร?
พ่ายแพ้ต่อความท้อแท้และหวาดกลัว
ถ้าเอลียาห์คิดว่าสงครามต่อต้านการนมัสการบาอัลกำลังจะยุติลงแล้ว ข่าวนี้คงทำให้ความหวังของท่านพังทลาย. อีซาเบลไม่ยอมเลิกรา. เพื่อนผู้พยากรณ์ของเอลียาห์ถูกนางสั่งฆ่าไปหลายร้อยคนแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นรายต่อไป. คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “เอลียาห์กลัว.” เอลียาห์นึกภาพว่าท่านคงต้องตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของอีซาเบลอย่างนั้นไหม? ถ้าท่านมัวแต่คิดเช่นนั้น ความกล้าหาญของท่านก็คงหมดสิ้นไปอย่างไม่ต้องสงสัย. ไม่ว่าจะอย่างไร เอลียาห์ก็ “หนีเอาชีวิตรอด.”—1 กษัตริย์ 18:4; 19:3, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย
เอลียาห์ไม่ใช่ผู้มีความเชื่อเพียงคนเดียวที่เคยพ่ายแพ้ต่อความกลัว. นานหลังจากสมัยของท่าน อัครสาวกเปโตรก็พ่ายแพ้เช่นกัน. ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งพระเยซูช่วยให้เปโตรสามารถเดินบนน้ำกับพระองค์ แต่เมื่อ “เห็นพายุเขาก็กลัว.” ความกล้าของเขาหายไปในทันทีและเขาก็เริ่มจมน้ำ. (มัดธาย 14:30) ตัวอย่างของเปโตรและเอลียาห์จึงสอนบทเรียนสำคัญแก่เรา. ถ้าเราอยากมีความกล้าอยู่เสมอ เราต้องไม่ปล่อยให้ใจของเราครุ่นคิดถึงอันตรายใด ๆ ที่อาจทำให้เราหวาดกลัว. เราต้องเพ่งความคิดจิตใจของเราไปที่พระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งความหวังและกำลังของเรา.
“พอแล้วพระองค์เจ้าข้า”
ด้วยความกลัว เอลียาห์หนีไปไกลถึง 150 กิโลเมตร. ท่านมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้จนถึงเมืองเบเออร์-เชบาซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนทางใต้ของยูดาห์. ท่านทิ้งคนรับใช้ไว้ที่นั่น แล้วหนีเข้าป่าตามลำพัง. บันทึกในพระคัมภีร์กล่าวว่าท่านเดินไปเป็น “ระยะทางวันหนึ่ง.” เราคงนึกภาพได้ว่าพอดวงอาทิตย์ขึ้นท่านก็รีบออกเดินทางแต่เช้าโดยไม่ได้นำเสบียงติดตัวไปเลย. ด้วยความหดหู่สิ้นหวังและความหวาดกลัวจนตัวสั่น ท่านหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ดั้นด้นไปตามเส้นทางที่แห้งแล้งและยากลำบากท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ. เมื่อดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงและคล้อยต่ำลงจนลับขอบฟ้าไป เอลียาห์ก็หมดแรง. ด้วยความอ่อนเปลี้ย ท่านนั่งลงใต้ต้นระเห็ม ต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดที่พอจะพักพิงได้ในป่ากันดารนั้น.—1 กษัตริย์ 19:4
เอลียาห์อธิษฐานด้วยความท้อแท้สิ้นหวังอย่างยิ่ง. ท่านขอให้ตัวเองตายไปเสีย. ท่านทูลพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าไม่ดีกว่าปู่ย่าตายายของข้าพเจ้า.” เอลียาห์รู้ว่าตอนนี้ปู่ย่าตายายของท่านเหลือแต่เถ้าธุลีและกระดูกอยู่ในหลุมศพ ไม่สามารถทำประโยชน์ให้ใครได้อีก. (ท่านผู้ประกาศ 9:10) เอลียาห์รู้สึกไร้ค่าเหลือเกิน. ท่านจึงร้องออกมาว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า.” ท่านไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปเพื่ออะไร.
เราควรรู้สึกตกใจไหมที่รู้ว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าอาจกลายเป็นคนท้อแท้สิ้นหวังได้ถึงเพียงนี้? ไม่จำเป็นเสมอไป. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงชายหญิงที่ซื่อสัตย์หลายคนซึ่งรู้สึกทุกข์ใจมากถึงขนาดที่อยากตาย เช่น ริบะคาห์ ยาโคบ โมเซ และโยบ.—เยเนซิศ 25:22, ฉบับ R73; เย. 37:35; อาฤธโม 11:13-15; โยบ 14:13
ทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่เกิด “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนมากมายแม้แต่ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าจะรู้สึกท้อแท้หดหู่เป็นครั้งคราว. (2 ติโมเธียว 3:1) ถ้าคุณเคยรู้สึกเช่นนั้น ขอให้คุณทำตามตัวอย่างของเอลียาห์โดยระบายความรู้สึกในใจกับพระเจ้า. ที่จริง พระยะโฮวาทรงเป็น “พระเจ้าแห่งการชูใจทุกอย่าง.” (2 โครินท์ 1:3) แล้วพระองค์ทรงชูใจเอลียาห์ไหม?
พระยะโฮวาทรงค้ำจุนผู้พยากรณ์ของพระองค์
คุณคิดว่าพระยะโฮวาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อทอดพระเนตรลงมาจากสวรรค์และเห็นผู้พยากรณ์ที่พระองค์ทรงรักนอนอยู่ในป่ากันดารและขอให้ตัวเองตายไปเสีย? พระคัมภีร์กล่าวต่อไปว่าหลังจากเอลียาห์หลับไป พระยะโฮวาได้ส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาหาท่าน. ทูตองค์นั้นแตะตัวท่านเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่นแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นรับประทานอาหารเถิด.” เอลียาห์ก็ลุกขึ้นเพราะทูตองค์นั้นได้เตรียมอาหารง่าย ๆ ไว้ให้ท่านซึ่งมีขนมปังปิ้งร้อน ๆ กับน้ำดื่ม. ท่านขอบคุณทูตองค์นั้นไหม? พระคัมภีร์บอกเพียงว่า ผู้พยากรณ์เอลียาห์ลุกขึ้นกินอาหารแล้วก็นอนต่อ. ท่านเป็นทุกข์มากจนพูดอะไรไม่ออกเลยหรือ? ไม่ว่าจะอย่างไร ทูตองค์นั้นก็ปลุกท่านเป็นครั้งที่สอง ซึ่งอาจเป็นช่วงรุ่งสาง. ทูตสวรรค์บอกเอลียาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นและรับประทานเถิด” และทูตนั้นก็กล่าวถ้อยคำสำคัญที่ว่า “เพราะทางเดินนั้นเหลือกำลังท่าน.”—1 กษัตริย์ 19:5-7
เนื่องจากได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า ทูตสวรรค์จึงรู้ว่าเอลียาห์จะต้องไปที่ไหน. ทูตนั้นยังรู้ด้วยว่าหนทางที่เอลียาห์จะไปนั้นยาวไกลยิ่งนักและเอลียาห์ไม่อาจจะไปถึงได้ด้วยกำลังของท่านเอง. เรารู้สึกมีกำลังใจสักเพียงไรที่ได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงทราบเป้าหมายและข้อจำกัดของเราดียิ่งกว่าตัวเราเอง! (บทเพลงสรรเสริญ 103:13, 14) อาหารมื้อนั้นช่วยเอลียาห์อย่างไร?
เราอ่านว่า “ท่านก็ลุกขึ้นกินและดื่ม, และด้วยกำลังซึ่งได้จากอาหารนั้น, ท่านก็เดินสี่สิบวันสี่สิบคืนไปถึงโฮเร็บภูเขาแห่งพระเจ้า.” (1 กษัตริย์ 19:8) เอลียาห์ไม่ได้กินอะไรมา 40 วัน 40 คืนแล้ว. ก่อนสมัยของท่านประมาณหกร้อยปีโมเซก็เคยอดอาหารนานถึงสี่สิบวัน และเกือบหนึ่งพันปีหลังจากนั้นพระเยซูก็ทรงทำเช่นเดียวกัน. (เอ็กโซโด 34:28; ลูกา 4:1, 2) อาหารมื้อนั้นไม่ได้ทำให้ปัญหาทั้งสิ้นของท่านหมดไป แต่ได้ช่วยค้ำจุนชีวิตของท่านในวิธีที่น่าอัศจรรย์. คิดดูสิชายสูงอายุคนนี้ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงไปด้วยความยากลำบากวันแล้ววันเล่า สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า นานเกือบเดือนครึ่ง!
พระยะโฮวาทรงค้ำจุนผู้รับใช้ของพระองค์ในทุกวันนี้เช่นกัน ไม่ใช่ด้วยอาหารที่ทำให้อิ่มท้อง แต่ด้วยสิ่งที่สำคัญกว่านั้น. พระองค์ทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อช่วยพวกเขาให้มีสัมพันธภาพที่ดีกับพระองค์. (มัดธาย 4:4) การเรียนรู้เรื่องพระเจ้าจากพระคำของพระองค์และจากหนังสืออื่น ๆ ที่อธิบายคัมภีร์ไบเบิลอย่างถูกต้องจะช่วยค้ำจุนเราให้มีสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับพระเจ้า. การรับความรู้เหล่านี้อาจไม่ได้ช่วยให้ปัญหาทุกอย่างของเราหมดไป แต่จะช่วยให้เราอดทนกับปัญหาที่หนักเกินกำลังของเราได้. นอกจากนั้น ความรู้นี้จะทำให้เรามี “ชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 17:3
เอลียาห์เดินบุกป่าฝ่าดงไปเกือบ 320 กิโลเมตรจนมาถึงภูเขาโฮเรบ. นานมาแล้วที่ภูเขาลูกนี้ พระยะโฮวาพระเจ้าเคยปรากฏแก่โมเซโดยทางทูตสวรรค์องค์หนึ่งในพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโชน และต่อมาพระยะโฮวาได้ทำสัญญาแห่งพระบัญญัติกับชาวอิสราเอลที่นี่ด้วย. เอลียาห์ได้เข้าไปพักในถ้ำแห่งหนึ่งบนภูเขานี้.
วิธีที่พระยะโฮวาชูใจและเสริมกำลังผู้พยากรณ์ของพระองค์
ที่ภูเขาโฮเรบ ดูเหมือนว่าทูตผู้ส่งข่าวองค์หนึ่งได้เป็นผู้ถ่ายทอด “คำ” แห่งพระยะโฮวาแก่เอลียาห์ โดยถามว่า “เอลียาเอ๋ย, เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” ทูตองค์นั้นคงได้ถามคำถามท่านอย่างอ่อนโยนเพราะเมื่อเอลียาห์ได้ยินดังนั้นท่านก็รู้สึกอยากจะพูด แล้วท่านก็พรั่งพรูความรู้สึกในใจออกมา! ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้หวงแหนพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพลโยธายิ่งนัก: ด้วยชาติยิศราเอลได้ละทิ้งคำสัญญาไมตรีซึ่งมีอยู่กับพระองค์, ทำลายแท่นของพระองค์เสีย, และฆ่าผู้พยากรณ์ด้วยดาบ; ยังเหลือเฉพาะแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น; และเขาก็แสวงหาข้าพเจ้าเพื่อจะฆ่าเสียด้วย.” (1 กษัตริย์ 19:9, 10) คำพูดของเอลียาห์เผยให้รู้ว่ามีเหตุผลอย่างน้อยสามข้อที่ทำให้ท่านรู้สึกท้อแท้.
ข้อแรก เอลียาห์รู้สึกว่างานที่ท่านทำไปทั้งหมดนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย. แม้ว่าท่านจะทุ่มเทรับใช้พระยะโฮวามานานหลายปีและยกย่องพระนามและการนมัสการอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด แต่เอลียาห์กลับรู้สึกว่าสภาพการณ์ยิ่งเลวร้ายลงทุกที. ชาวอิสราเอลยังคงขาดความเชื่อและดื้อรั้น ในขณะที่การนมัสการเท็จก็ยิ่งแพร่หลายมากขึ้น. ข้อที่สอง เอลียาห์รู้สึกโดดเดี่ยว. ท่านบอกว่า “เหลือเฉพาะแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น.” เอลียาห์พูดราวกับว่าท่านเป็นคนสุดท้ายแล้วในชาติอิสราเอลที่ยังรับใช้พระยะโฮวาอยู่. ข้อที่สาม เอลียาห์กลัว. เพื่อนผู้พยากรณ์ของท่านถูกฆ่าตายไปหลายคนแล้ว และท่านคิดว่าตัวเองจะเป็นรายต่อไปแน่ ๆ. คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เอลียาห์จะยอมรับว่าท่านมีความรู้สึกเช่นนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกนั้นไว้เพราะความหยิ่งหรือเพราะกลัวจะขายหน้า. การที่ท่านอธิษฐานเผยความในใจต่อพระเจ้าเป็นการวางตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ทุกคน.—บทเพลงสรรเสริญ 62:8
พระยะโฮวาทรงทำอย่างไรเพื่อขจัดความกลัวและความกังวลของเอลียาห์? ทูตองค์นั้นบอกให้เอลียาห์ออกไปยืนที่ปากถ้ำ. ท่านก็ออกไปโดยไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น. ทันใดนั้นก็มีพายุกล้าพัดมา! เสียงพายุคงต้องดังอื้ออึงไปทั่วเพราะความแรงของพายุทำให้ภูเขาและหินแตกเป็นเสี่ยง ๆ. ขอให้นึกภาพเอลียาห์ยกแขนขึ้นมาป้องตาและพยายามจับชุดขนสัตว์ที่หนักและหนาไว้แน่นเพื่อไม่ให้พายุที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรงตีชุดของท่านจนปลิวไป. แล้วท่านก็ต้องพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มเมื่อพื้นดินเคลื่อนตัวและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วบริเวณนั้น! ขณะที่เอลียาห์ยังไม่ทันตั้งตัว ก็มีเปลวไฟใหญ่พวยพุ่งมาทำให้ท่านต้องถอยหลบเข้าไปในถ้ำเพื่อจะพ้นจากความร้อนแรงของไฟนั้น.—1 กษัตริย์ 19:11, 12
ทั้งสามเหตุการณ์ที่กล่าวมานี้ บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลย้ำให้เห็นว่าพระยะโฮวาไม่ได้สถิตอยู่ในพลังธรรมชาติเหล่านั้น. เอลียาห์รู้ว่าพระยะโฮวาไม่ใช่เทพแห่งธรรมชาติที่ผู้คนอุปโลกน์ขึ้นอย่างพระบาอัลซึ่งคนในสมัยนั้นยกย่องว่าเป็น “ผู้ขี่เมฆ” หรือผู้บันดาลให้เกิดฝน. พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ก่อกำเนิดพลังอันน่าเกรงขามทั้งมวลที่มีอยู่ในธรรมชาติ และพระองค์ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใด ๆ ที่ทรงสร้างขึ้นหลายเท่านัก. แม้แต่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ก็ไม่อาจรองรับพระองค์ได้! (1 กษัตริย์ 8:27) แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ช่วยเอลียาห์อย่างไร? อย่าลืมว่าตอนนั้นเอลียาห์กลัวมาก. เมื่อมีพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพลังอำนาจมหาศาลอย่างพระยะโฮวาอยู่เคียงข้าง เอลียาห์ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอาฮาบและอีซาเบลอีกต่อไป!—บทเพลงสรรเสริญ 118:6
หลังจากเปลวไฟพัดผ่านไปก็เกิดความเงียบสงัด และเอลียาห์ได้ยิน “เสียงเบา ๆ.” เสียงนั้นทำให้เอลียาห์รู้สึกอยากพูด แล้วท่านก็ระบายความทุกข์ในใจออกมาเป็นครั้งที่สอง.b การได้พูดออกมาอีกครั้งคงทำให้ท่านรู้สึกสบายใจขึ้น. แต่เรื่องที่ “เสียงเบา ๆ” ได้บอกเอลียาห์ต่อจากนั้นคงทำให้ท่านมีกำลังใจมากขึ้นไปอีก. พระยะโฮวาทรงรับรองกับเอลียาห์ว่าท่านไม่ไร้ค่าเลย. พระองค์ทำเช่นไร? พระเจ้าได้เปิดเผยให้รู้ว่าพระองค์มีพระประสงค์ที่จะขจัดการนมัสการพระบาอัลให้หมดไปจากแผ่นดินอิสราเอลในอนาคต. เห็นได้ชัดว่างานที่เอลียาห์ทำมาตลอดนั้นไม่ไร้ประโยชน์ เพราะพระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องสำเร็จอย่างที่ไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้. นอกจากนั้น เอลียาห์ยังคงมีบทบาทในพระประสงค์ของพระยะโฮวา เพราะพระองค์กำลังจะส่งท่านกลับไปทำงานตามคำบัญชาของพระองค์.—1 กษัตริย์ 19:12-17
แต่จะว่าอย่างไรกับความรู้สึกโดดเดี่ยวของเอลียาห์? พระยะโฮวาทรงทำสองสิ่งเพื่อช่วยท่าน. ประการแรก พระองค์บอกเอลียาห์ให้ไปเจิมเอลีชา (อะลีซา) ให้ทำหน้าที่ผู้พยากรณ์ต่อจากท่าน. เอลีชาซึ่งอายุน้อยกว่าจะเป็นเพื่อนและผู้ช่วยของท่านไปอีกหลายปี. ช่างเป็นการชูใจที่มีค่าจริง ๆ! ประการที่สอง พระยะโฮวาทรงแจ้งข่าวที่น่าตื่นเต้นแก่ท่านว่า “เรายังมีเหลืออยู่เจ็ดพันคนในยิศราเอล, คือทุกเข่าซึ่งมิได้คุกลงแก่บาละ, และทุกปากซึ่งมิได้จุบรูปนั้น.” (1 กษัตริย์ 19:18) เอลียาห์ไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิดเลย. ท่านคงต้องรู้สึกอุ่นใจที่ได้ยินว่ามีผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์อีกหลายพันคนที่ไม่ยอมก้มกราบพระบาอัล. เอลียาห์ต้องรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนเหล่านั้นในเรื่องความภักดีอย่างไม่สั่นคลอนในยุคที่เต็มไปด้วยการนมัสการเท็จ. เอลียาห์คงต้องรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากผู้ส่งข่าวของพระยะโฮวาซึ่งเป็น “เสียงเบา ๆ” จากพระเจ้า.
เช่นเดียวกับเอลียาห์ เราอาจรู้สึกครั่นคร้ามเมื่อเห็นพลังอันยิ่งใหญ่ในธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และเราก็ควรรู้สึกเช่นนั้น. สิ่งต่าง ๆ ที่พระเจ้าสร้างสะท้อนให้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระผู้สร้างอย่างชัดเจน. (โรม 1:20) พระยะโฮวายังเต็มพระทัยที่จะใช้ฤทธิ์อำนาจอันไร้ขีดจำกัดเพื่อช่วยผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์. (2 โครนิกา 16:9) แต่ในทุกวันนี้พระเจ้าตรัสกับเรามากมายหลายเรื่องโดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์. (ยะซายา 30:21) ในแง่หนึ่งคัมภีร์ไบเบิลเปรียบเหมือน “เสียงเบา ๆ” จากพระเจ้าที่คอยชี้แนะแนวทาง ว่ากล่าวแก้ไข ให้การชูใจ และรับรองแก่เราว่าพระองค์ทรงรักเรา.
เอลียาห์ตอบรับการชูใจที่พระยะโฮวาประทานแก่ท่านบนภูเขาโฮเรบไหม? แน่นอน! หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็กลับไปปฏิบัติหน้าที่ผู้พยากรณ์ด้วยความกล้าหาญและซื่อสัตย์อีกครั้งเพื่อต่อต้านการนมัสการเท็จที่ชั่วช้า. ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราเอาใจใส่สิ่งที่เขียนไว้ในพระคำที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้าหรือรับ “การชูใจจากพระคัมภีร์” เราก็จะสามารถเลียนแบบความเชื่อของเอลียาห์ได้.—โรม 15:4
[เชิงอรรถ]
a ดูบทความ “จงเลียนแบบความเชื่อของเขา” เรื่อง “ท่านปกป้องการนมัสการอันบริสุทธิ์” กับ “ท่านเฝ้าดูและเฝ้าคอย” ในวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มกราคมและ 1 เมษายน 2008.
b ดูเหมือนว่า “เสียงเบา ๆ” นี้คือทูตองค์เดียวกับที่พระเจ้าใช้ให้ถ่ายทอด “คำแห่งพระยะโฮวา” ตามที่กล่าวใน 1 กษัตริย์ 19:9. อย่างไรก็ตาม ในข้อ 15 เพียงแต่ใช้คำว่า “พระยะโฮวา.” นี่อาจทำให้เรานึกถึงทูตสวรรค์ที่พระยะโฮวาใช้ให้นำหน้าชาวอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร และพระองค์ได้ตรัสถึงผู้นั้นว่า “พระนามของเราอยู่กับท่าน.” (เอ็กโซโด 23:21) จริงอยู่ เราไม่อาจลงความเห็นได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ แต่น่าสังเกตว่าก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระองค์เคยเป็น “พระวาทะ” หรือโฆษกพิเศษที่พระยะโฮวาทรงใช้ให้ถ่ายทอดพระคำของพระองค์แก่บรรดาผู้รับใช้ทั้งหลาย.—โยฮัน 1:1
[ภาพหน้า 19]
พระยะโฮวาทรงอวยพรเอลียาห์อย่างเหลือล้นไม่ว่าในยามสุขหรือยามทุกข์
[ภาพหน้า 20]
เมื่อท้อแท้สิ้นหวัง เอลียาห์ระบายความรู้สึกในใจต่อพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 21]
พระยะโฮวาทรงใช้พลังอันน่าเกรงขามของพระองค์เพื่อชูใจและเสริมกำลังเอลียาห์