สรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างพากันกล่าวว่า “เขาจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้”
“คุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์อันไม่ประจักษ์แก่ตาก็เห็นได้ชัด ตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา เพราะว่าคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้โดยสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้างขึ้น กระทั่งฤทธานุภาพอันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เหตุฉะนั้น เขาจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้.”—โรม 1:20, ล.ม.
1, 2. (ก)โยบได้รำพันอย่างขมขื่นอย่างไรต่อพระยะโฮวา? (ข) แล้วโยบก็ได้ถอนคำพูดของตัวเองอย่างไร?
โยบ บุรุษสมัยโบราณผู้จงรักภักดีต่อพระเจ้ายะโฮวาอย่างไม่เสื่อมสลาย ได้ถูกซาตานทดลองอย่างร้ายกาจ. พญามารทำให้โยบสูญเสียทรัพย์จนสิ้นเนื้อประดาตัว ได้นำความตายมาสู่บุตรชายหญิงของท่าน แถมได้ทำให้ท่านเกิดเป็นโรคร้ายน่ารังเกียจ. โยบคิดว่าพระเจ้านำความทุกข์ยากต่าง ๆ มาให้ท่าน และท่านได้รำพันอย่างขมขื่นต่อพระยะโฮวาว่า “เป็นการชอบหรือที่พระองค์ทรงข่มเหง . . . พระองค์จึงทรงสนใจคอยจับผิดข้าฯ, และทรงค้นคว้าหาความผิดของข้าฯ. พระองค์ทรงทราบแล้วว่าข้าฯไม่ใช่คนชั่วร้าย?”—โยบ 1:12-19; 2:5-8; 10:3, 6, 7.
2 หลังจากนั้นไม่นาน คำพูดซึ่งโยบกล่าวต่อพระเจ้าสะท้อนให้เห็นในทางกลับกันโดยสิ้นเชิง ที่ว่า “ข้าพเจ้านี่เองแหละซึ่งได้พูดสิ่งซึ่งข้าฯไม่เข้าใจเลย, สิ่งอันน่ามหัศจรรย์เกินไปซึ่งข้าฯเองก็ไม่รู้ได้. แต่ก่อนข้าฯได้ยินถึงเรื่องพระองค์ด้วยหูฟังเรื่องราวมา, แต่บัดนี้ข้าฯเห็นพระองค์ด้วยตาของข้าฯแล้ว. เพราะฉะนั้น ข้าฯจึงชังตัวของข้าฯเองอย่างยิ่ง, และกลับใจรับผิดด้วยอาการเกลือกลงในฝุ่นและขี้เถ้า.” (โยบ 42:3, 5, 6) เกิดอะไรขึ้นจนโยบได้เปลี่ยนแง่คิดของตน?
3. โยบได้รับแนวคิดใหม่อะไรเกี่ยวด้วยสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น?
3 ในระหว่างเหตุการณ์นั้น พระยะโฮวาได้ตรัสแก่โยบจากกลุ่มพายุ. (โยบ 38:1) พระองค์ทรงซักถามโยบหลายข้อ. อาทิ ‘เจ้าอยู่ที่ไหนเมื่อเราได้วางรากพิภพโลก? ใครปิดประตูกั้นน้ำทะเลไว้และจำกัดเขตไว้ให้คลื่นมาได้แค่นั้นแค่นี้? เจ้าร้องสั่งเมฆให้หยาดเม็ดฝนรดแผ่นดินหรือ? เจ้าตกแต่งต้นหญ้าให้งอกขึ้นหรือ? เจ้าจะรวบรวมกลุ่มดาวต่าง ๆ และนำมันไปตามทางหรือ?’ ตลอดบท 38 ถึงบท 41 ของพระธรรมโยบ พระยะโฮวาทรงถามโยบด้วยคำถามทำนองนี้มากมาย และอะไรอื่นอีกมากเกี่ยวโยงกับการสร้างสรรค์ของพระองค์. พระองค์ทรงทำให้โยบเห็นช่องกว้างมหึมาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เตือนโยบอย่างจริงจังเกี่ยวกับพระปัญญาและพลังอำนาจซึ่งสะท้อนในสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้าง สิ่งซึ่งเกินอำนาจของโยบจะประดิษฐ์สร้าง หรือแม้แต่จะเข้าใจ. โยบซึ่งเกิดความรู้สึกเต็มตื้นเนื่องด้วยอำนาจอันน่าเกรงขามและพระปัญญาอันเหลือล้นของพระเจ้าองค์ทรงฤทธิ์ทุกประการ ตามที่เปิดเผยทางสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้น รู้สึกตกใจกลัวยิ่งนักเมื่อคิดถึงว่าท่านได้อาจหาญโต้แย้งกับพระยะโฮวา. ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า “แต่ก่อนข้าฯได้ยินถึงเรื่องพระองค์ด้วยหูฟังเรื่องราวมา, แต่บัดนี้ข้าฯเห็นพระองค์ด้วยตาของข้าฯแล้ว.”—โยบ 42:5.
4. พวกเราน่าจะเห็นอะไรได้ชัดจากสิ่งที่พระยะโฮวาได้สร้างขึ้นมา และสภาพการณ์เป็นเช่นไรกับคนเหล่านั้นที่ไม่สามารถเข้าใจได้?
4 หลายศตวรรษต่อมาผู้ได้รับการดลใจเขียนคัมภีร์ไบเบิลจึงยืนยันว่าเราสามารถมองเห็นคุณลักษณะของพระยะโฮวาโดยทางสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างขึ้นมา. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ที่พระธรรมโรม 1:19, 20, (ล.ม.) ดังนี้: “ด้วยว่าที่รู้ได้เกี่ยวกับพระเจ้าก็ปรากฏแจ้งท่ามกลางพวกเขา เพราะพระเจ้าทรงสำแดงให้ประจักษ์แจ้งแก่เขา. เพราะคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์อันไม่ประจักษ์แก่ตาก็เห็นได้ชัด ตั้งแต่การสร้างโลกเป็นต้นมา เพราะว่าคุณลักษณะเหล่านั้นเป็นที่เข้าใจได้โดยสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้างขึ้น กระทั่งฤทธานุภาพอันถาวรและความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น เหตุฉะนั้น เขาจึงไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้.”
5. (ก) มนุษย์มีความต้องการอะไรติดตัวตั้งแต่กำเนิด และบางคนสนองความต้องการนั้นอย่างไม่เหมาะสมอย่างไร? (ข) คำแนะนำของเปาโลแก่ชาวกรีกในกรุงเอเธนส์คืออย่างไร?
5 มนุษย์ถูกสร้างขึ้นพร้อมด้วยความต้องการติดตัวมาแต่กำเนิดที่จะนมัสการอำนาจอันสูงกว่า. นายแพทย์ เค. จี. ยุง กล่าวในหนังสือของเขาชื่อ ตัวเองที่ยังไม่ได้ค้นพบ (ภาษาอังกฤษ) พาดพิงถึงความต้องการนี้ว่าเป็น “เจตคติตามสัญชาตญาณที่มีเฉพาะในมนุษย์ และการสำแดงผลของสิ่งนั้นสามารถติดตามดูได้ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์.” อัครสาวกเปาโลได้กล่าวถึงสัญชาตญาณของมนุษย์ที่รุกเร้าให้นมัสการ ซึ่งให้คำอธิบายว่าทำไมชาวกรีกในเมืองเอเธนส์ได้ทำรูปเคารพและแท่นบูชาถวายพระเจ้ามากมาย ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก. อนึ่ง เปาโลได้ระบุคุณลักษณะพระเจ้าแท้แก่พวกเขาและแสดงให้เขาเห็นว่าเขาน่าจะทำให้สมความปรารถนาภายในตัวเองที่อยากนมัสการอย่างถูกต้อง โดยการแสวงหาพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ “ถ้าเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์, ด้วยว่าพระองค์มิทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย.” (กิจการ 17:22-30) เราอยู่ใกล้สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเท่าใด เราก็อยู่ใกล้พอจะรับรู้คุณลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของพระองค์เท่านั้น.
วัฏจักรของน้ำที่น่าพิศวง
6. เราเห็นคุณสมบัติประการต่าง ๆ อะไรบ้างของพระยะโฮวาเกี่ยวด้วยวัฏจักรของน้ำ?
6 เพื่อเป็นตัวอย่าง พวกเราสังเกตเห็นคุณลักษณะประการต่าง ๆ อะไรบ้างของพระยะโฮวา เมื่อเราสังเกตความสามารถของปุยเมฆที่จะอุ้มน้ำที่หนักเป็นตัน ๆ ได้? เราแลเห็นความรักและสติปัญญาของพระองค์ เพราะโดยวิธีนี้พระองค์บันดาลให้ฝนตกยังความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดินโลก. พระองค์ทรงทำเช่นนี้โดยได้ทรงออกแบบอย่างน่าทึ่งเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ ที่กล่าวถึงในท่านผู้ประกาศ 1:7 ว่า “บรรดาแม่น้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่ทะเล, ถึงกระนั้นทะเลก็ไม่รู้จักเต็ม; ถึงแม้ว่าแม่น้ำทั้งหลายจะไหลลงไปแล้วไหลลงไปอีก.” พระธรรมโยบระบุไว้อย่างเฉพาะเจาะจงว่ามันอุบัติขึ้นมาอย่างไร.
7. น้ำจากมหาสมุทรได้ขึ้นไปเป็นเมฆได้อย่างไร และปุยเมฆสามารถอุ้มน้ำไว้เป็นตัน ๆ ได้อย่างไร?
7 เมื่อสายธารแห่งฤดูหนาวไหลลงสู่ทะเล มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น. พระยะโฮวา “ทรงดึงดูดหยาดน้ำขึ้นไปซึ่งถูกกลับให้เป็นฝนจากไอน้ำอันนั้น.” เนื่องจากน้ำอยู่ในสถานะเป็นไอน้ำและในที่สุดก็กลายเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ “เมฆทั้งหลายก็เลื่อนลอยอยู่ . . . เป็นราชกิจมหัศจรรย์แห่งพระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งสัพพัญญู.” (โยบ 36:27; 37:16) ก้อนเมฆลอยล่องตราบใดที่ยังเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ: “พระองค์ทรงห่อน้ำทั้งหลายไว้ในเมฆอันหนาของพระองค์,—และเมฆก็ไม่ขาดปล่อยให้น้ำรั่วลงมา.” หรืออย่างที่ฉบับแปลอีกฉบับหนึ่งกล่าวว่า: “พระองค์ทรงมัดน้ำไว้ในเมฆทึบของพระองค์ และเมฆนั้นก็ไม่ขาดวิ่นไป.”—โยบ 26:8, ฉบับแปลใหม่.
8. โดยอาศัยขั้นตอนต่าง ๆ อะไรบ้าง ที่ “ขวดแห่งท้องฟ้า” ได้เอียงคว่ำลง และวัฏจักรของน้ำก็ครบวงจร?
8 “ใครสามารถเอียงขวดแห่งท้องฟ้า” เหล่านี้ให้เป็นฝนตกลงมาที่แผ่นดินโลก? (โยบ 38:37) พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่ง “สัพพัญญู” ได้จัดมันไว้ตั้งแต่แรก พระองค์ ‘ทรงกลั่นละอองน้ำให้เป็นฝน.’ และอะไรเป็นสิ่งจำเป็นที่จะกลั่นละอองน้ำเป็นเม็ดฝน? จะต้องมีวัตถุเล็ก ๆ เห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้ เช่น อนุภาคของฝุ่นละอองหรือเกลือ—จำนวนนับหมื่นนับแสนในอากาศแต่ละลูกบาศก์นิ้ว—ทำหน้าที่เป็นจุดรวมให้น้ำเกาะเป็นหยด. ประมาณกันว่าต้องมีหยดน้ำเล็ก ๆ เหล่านี้นับล้านรวมตัวกันเป็นเม็ดฝนเม็ดเดียวขนาดทั่ว ๆ ไป. เฉพาะหลังจากขั้นตอนเหล่านี้ทั้งหมดเท่านั้นที่ก้อนเมฆสามารถพรั่งพรูห่าฝนลงมาบังเกิดเป็นห้วยน้ำลำธารไหลกลับลงสู่ทะเล. โดยวิธีนี้ วัฏจักรของน้ำก็ครบถ้วน. และทั้งหมดนี้เป็นโดยบังเอิญกระนั้นหรือ? หากคิดอย่างนั้นก็ “ไม่มีข้อที่จะแก้ตัวได้” ทีเดียว!
ที่มาแห่งสติปัญญาของซะโลโม
9. กษัตริย์ซะโลโมได้พบสิ่งน่าทึ่งอะไรเกี่ยวกับมดชนิดหนึ่ง?
9 ในโลกสมัยโบราณ สติปัญญาของซะโลโมไม่มีใครเทียบได้. ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญานั้นเป็นเรื่องการสร้างของพระยะโฮวา: “พระองค์ [ซะโลโม] ทรงกล่าวถึงเรื่องต้นไม้ทั้งปวง, ตั้งแต่ต้นสนซึ่งอยู่ ณ ภูเขาละบาโนนจนถึงต้นหุสบซึ่งงอกบนกำแพง: พระองค์ทรงตรัสถึงสัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย, นกและสัตว์เลื้อยคลานและปลาด้วย.” (1 กษัตริย์ 4:33) กษัตริย์ซะโลโมองค์นี้แหละที่ทรงเขียนว่า “ไปดูมดซิ, เจ้าขี้เกียจ; จงพิจารณาทางทั้งหลายของมัน, และจงฉลาดขึ้น; มันไม่มีหัวหน้า, ผู้กำกับการ, หรือผู้ปกครอง. ถึงกระนั้น มันยังสะสมอาหารไว้เมื่อฤดูร้อน, และรวบรวมเสบียงของมันไว้เมื่อฤดูเกี่ยวข้าว.”—สุภาษิต 6:6-8.
10. ตัวอย่างที่ซะโลโมได้ยกมาเรื่องมดที่เก็บอาหารนั้นได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องนั้นอย่างไร?
10 ใครได้สอนมดให้เก็บอาหารในฤดูร้อนสำหรับไว้กินตลอดฤดูหนาว? ความกังขามีมาตลอดหลายศตวรรษในเรื่องความแม่นยำแห่งบันทึกของซะโลโมที่ว่าในเวลาเก็บเกี่ยวมดได้สะสมเมล็ดพืชไว้เผื่อฤดูหนาว. ไม่มีใครได้พบหลักฐานของการเป็นอยู่ของมันแต่อย่างใด. อย่างไรก็ดี ในปี 1871 นักศึกษาสัตว์และต้นไม้ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้ค้นพบยุ้งเมล็ดพืชใต้ดินของมด และความถูกต้องแม่นยำของคัมภีร์ไบเบิลด้านการให้เรื่องราวจึงได้มีการยอมรับ. ทว่ามดเหล่านั้นล่วงรู้ได้อย่างไรตั้งแต่หน้าร้อนว่าต่อไปจะเป็นหน้าหนาว แถมรู้ด้วยว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้? ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นเองมีอรรถาธิบายไว้ว่าสรรพสิ่งที่พระยะโฮวาทรงสร้างขึ้นมาได้ถูกกำหนดพฤติกรรมเพื่อความอยู่รอดของสิ่งเหล่านั้นไว้เรียบร้อยแล้ว. มดที่เก็บอาหารก็เป็นพวกที่ได้รับพระพรนี้จากพระเจ้าผู้ซึ่งสร้างพวกมันขึ้นมา. สุภาษิต 30:24 (ล.ม.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “มันมีปัญญาโดยสัญชาตญาณ.” ที่จะว่าปัญญาดังกล่าวเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญนั้นไม่มีเหตุผล การไม่สังเกตว่ามีพระผู้สร้างผู้มีเชาวน์ปัญญาอยู่เบื้องหลังนั้นจึงไม่อาจแก้ตัวได้.
11. (ก) ทำไมต้นสนยักษ์ซีโคยาจึงเป็นที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง? (ข) อะไรเกี่ยวกับปฏิกิริยาแรกในการสังเคราะห์แสงยังความประหลาดใจอย่างยิ่ง?
11 เมื่อคนเรายืนอยู่ตรงโคนต้นสนยักษ์ซีโคยาอันสูงตระหง่าน ทึ่งในความสูงใหญ่งามสง่าของมัน ก็พอเข้าใจได้ว่าตัวเองรู้สึกเหมือนกับมดเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง. ขนาดของต้นไม้น่าครั่นคร้าม: สูง 90 เมตร วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ 11 เมตร เปลือกไม้หนากว่าครึ่งเมตร รากชอนไชไปไกลในเนื้อที่ระหว่างเจ็ดถึงสิบไร่. แต่ที่น่าครั่นคร้ามมากกว่าคือขั้นตอนด้านเคมีและฟิสิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมัน. ใบไม้ได้น้ำจากราก ได้คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ และได้พลังงานจากแสงแดดเพื่อผลิตน้ำตาลและคายออกซิเจน—กระบวนการที่เรียกว่าการสังเคราะห์แสงซึ่งมีปฏิกิริยาทางเคมีกว่าเจ็ดสิบอย่างเกี่ยวข้องอยู่ด้วย และยังไม่เป็นที่เข้าใจทั้งหมด. ที่น่าทึ่งก็คือปฏิกิริยาแรกอาศัยแสงแดดเฉพาะแสงที่ให้สีถูกต้อง ความยาวคลื่นแสงที่พอเหมาะพอดี มิฉะนั้น มันจะไม่ถูกดูดซึมโดยโมเลกุลคลอโรฟิลล์เพื่อเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสง.
12. (ก) อะไรเป็นเรื่องน่าพิศวงเกี่ยวกับการใช้น้ำของต้นสนซีโคยา? (ข) ทำไมไนโตรเจนเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตของพืช และวัฏจักรของไนโตรเจนครบวงจรอย่างไร?
12 สิ่งน่าทึ่งอีกอย่างหนึ่งคือข้อเท็จจริงที่ว่าต้นไม้สามารถดันลำน้ำจากรากขึ้นไปถึงยอดไม้สูงลิบถึง 90 เมตรนี้ได้. น้ำที่ถูกดูดขึ้นไปนี้มากเกินกว่าจะใช้สำหรับสังเคราะห์แสง. ส่วนที่เหลือก็ถูกปล่อยออกทางใบโดยการระเหยเข้าไปในอากาศ. ทั้งนี้ทำให้ต้นไม้ได้น้ำช่วยคลายร้อน คล้าย ๆ กับร่างกายของเราคลายร้อนโดยมีเหงื่อออก. ที่จะมีโปรตีนเพื่อการเติบโต จำต้องมีธาตุไนโตรเจนเพิ่มเข้ากับน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต. ใบไม้ไม่สามารถใช้ไนโตรเจนในลักษณะเป็นอากาศธาตุจากอากาศ แต่สิ่งมีชีวิตในดินสามารถเปลี่ยนไนโตรเจนในลักษณะเป็นอากาศธาตุในดินให้กลายเป็นไนเตรต และไนไตรต์ซึ่งละลายในน้ำได้ซึ่งจะเข้าไปในรากและถูกดูดขึ้นไปถึงใบ. เมื่อพืชและสัตว์ที่ได้ใช้ประโยชน์ไนโตรเจนนี้ในการสร้างโปรตีนตายหรือเปื่อยเน่าไปก็จะปล่อยไนโตรเจนออกมา วัฏจักรไนโตรเจนก็ครบรอบ. ขั้นตอนทั้งหมดนี้ล้วนสลับซับซ้อน เป็นเรื่องใหญ่ทำให้งงงัน คงไม่ใช่งานซึ่งสำเร็จได้โดยบังเอิญ โดยไม่มีการออกแบบ.
แม้ไม่มีคำพูดหรือสำเนียง สิ่งเหล่านั้นก็เปล่งวาจา!
13. ท้องฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงดาวประกาศให้ดาวิดทราบถึงสิ่งใด และดาวเหล่านั้นยังคงบอกอะไรแก่พวกเราอยู่เรื่อยมา?
13 ช่างเป็นการสะท้อนอย่างน่าครั่นคร้ามสักเพียงไรในเรื่องพระผู้สร้างซึ่งมาจากท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่มีดาวส่องแสงระยิบระยับ. ซึ่งทำให้ผู้ที่จ้องดูเกิดความเคารพยำเกรง! ที่บทเพลงสรรเสริญ 8:3, 4, (ล.ม.) ดาวิดแสดงความรู้สึกพรั่นพรึงเป็นคำพูดดังนี้: “ขณะที่ข้าพเจ้าแลเห็นฟ้าสวรรค์ของพระองค์ บรรดาราชกิจแห่งนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดทำขึ้นไว้นั้นแล้ว มนุษย์ที่ต้องตายนั้นเป็นผู้ใดเล่าที่พระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เดินดินที่พระองค์จะทรงดูแลเขา?” ท้องฟ้าที่ดารดาษด้วยหมู่ดาวเปล่งวาจาแก่คนเหล่านั้นซึ่งมีตามองเห็น มีหูฟังได้ และมีหัวใจรับความรู้สึกอย่างที่ได้กล่าวกับดาวิดว่า “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระรัศมีของพระเจ้า.”—บทเพลงสรรเสริญ 19:1-4, ล.ม.
14. ทำไมพลังที่เคลื่อนไหวของดาวดวงหนึ่งในหมู่ดาวทั้งปวงจึงสำคัญมากต่อพวกเรา?
14 ยิ่งเรารู้เรื่องดวงดาวต่าง ๆ มากขึ้น ดาวเหล่านั้นก็ยิ่งบอกเราด้วยเสียงดังกว่าเดิม. ที่ยะซายา 40:26 มีการเชิญชวนเราให้สังเกตพลังมหาศาลของมัน ดังนี้: “จงเงยหน้ามองขึ้นไปดูท้องฟ้า, และพิจารณาดูว่าใครได้สร้างสิ่งเหล่านี้? พระองค์ผู้ทรงนำดาวออกมาเป็นหมวดหมู่, และทรงเรียกมันออกมาตามชื่อ; ด้วยอานุภาพอันใหญ่ยิ่ง, และฤทธิ์เดชอันแรงกล้าของพระองค์ไม่มีสักดวงเดียวที่ขาดไป.” แรงโน้มถ่วงและพลังมหาศาลที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่ดาวที่ทำให้โลกของเราอยู่ในวงโคจรของมัน ทำให้พืชเจริญเติบโตและทำให้อบอุ่น และจึงเป็นไปได้ที่สรรพสิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่บนแผ่นดินโลกนี้. โดยได้รับการดลใจ อัครสาวกเปาโลได้กล่าวว่า “สง่าราศีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับสง่าราศีของดาวดวงอื่น ๆ.” (1 โกรินโธ 15:41) นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องดาวเหลืองคล้ายดวงอาทิตย์ของเรา และดาวน้ำเงิน, ดาวยักษ์แดง, ดาวแคระขาว, ดาวนิวตรอน, และซูเปอร์โนวาที่ระเบิดและปล่อยพลังงานออกมาอย่างรุนแรงอันยากที่จะเข้าใจได้.
15. นักประดิษฐ์หลายคนได้เรียนรู้และพยายามเลียนอะไรจากสิ่งธรรมชาติที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา?
15 นักประดิษฐ์หลายคนได้เรียนรู้จากสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้สร้างและเขาพยายามลอกเลียนแบบความสามารถนานาประการของบรรดาสิ่งมีชีวิต. (โยบ 12:7-10) โปรดสังเกตแง่มุมบางอย่างอันโดดเด่นแห่งรูปแบบที่พระเจ้าทรงสร้าง. นกทะเลใช้ต่อมที่หัวของมันขจัดเกลือส่วนเกินในน้ำเค็ม; ปลาและปลาไหลให้กำเนิดกระแสไฟฟ้า; ปลา, ไส้เดือนและแมลงซึ่งเปล่งแสงเรือง; ค้างคาว ปลาโลมาที่ใช้ระบบคลื่นเสียงสะท้อน; ตัวต่อผลิตกระดาษ; มดสร้างสะพาน; ตัวบีเวอร์ สร้างทำนบกั้นน้ำ; งูมีเครื่องวัดอุณหภูมิอยู่ในตัว; แมลงในน้ำใช้ท่อหายใจและเครื่องดำน้ำ; ปลาหมึกยักษ์ซึ่งเคลื่อนด้วยไอพ่น; แมงมุมซึ่งชักใยได้ถึงเจ็ดชนิดและทำประตู, ตาข่าย, และบ่วง แถมมีลูกซึ่งเป็นนักขึ้นบัลลูนที่สามารถเดินทางในระดับความสูงเป็นทางไกลหลายพันกิโลเมตร; ปลาและสัตว์ประเภทมีกระดองหรือเปลือกใช้ถังสำหรับลอยตัวเหมือนเรือดำน้ำ; และนก, แมลง, เต่าทะเลชนิดต่าง ๆ, ปลา, รวมทั้งสัตว์จำพวกเลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งอพยพย้ายถิ่นอย่างน่าอัศจรรย์—สมรรถนะเกินที่วิทยาศาสตร์จะอธิบายได้.
16. ความจริงต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์มีอะไรบ้างซึ่งบันทึกอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลหลายพันปีก่อนนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ?
16 คัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกความจริงอันถูกต้องในทางวิทยาศาสตร์ไว้แล้วหลายพันปีก่อนวิทยาศาสตร์รู้เรื่องเหล่านี้. พระบัญญัติของโมเซ (ศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช) ส่อให้เห็นถึงการรับรู้เรื่องเชื้อโรคนานนับพัน ๆ ปีก่อนการเรียนรู้ของปาสเตอร์ด้วยซ้ำ. (เลวีติโกบท 13, 14) ศตวรรษที่ 17 ก่อนสากลศักราช โยบระบุว่า “พระองค์ทรงให้โลกห้อยอยู่โดยมิได้ติดอยู่กับอะไร.” (โยบ 26:7) หนึ่งพันปีก่อนการกำเนิดของพระคริสต์ ซะโลโมเขียนไว้แล้วเรื่องการไหลเวียนของโลหิต. วิทยาศาสตร์การแพทย์ต้องคอยอยู่จนกระทั่งศตวรรษที่ 17 ถึงได้มาเรียนรู้เรื่องนี้. (ท่านผู้ประกาศ 12:6) ก่อนหน้านั้น บทเพลงสรรเสริญ 139:16, (ล.ม.) ก็สะท้อนความรู้ทางด้านรหัสพันธุกรรมดังนี้: “พระเนตรของพระองค์เห็นกระทั่งตัวอ่อนของข้าพเจ้าด้วยซ้ำ และทุกส่วนของตัวอ่อนนั้นถูกเขียนลงในสมุดของพระองค์ เกี่ยวกับวันทั้งหลายเมื่อส่วนเหล่านั้นถูกก่อรูปขึ้น และเมื่อยังไม่มีสักอันในส่วนเหล่านั้น.” ศตวรรษที่ 7 ก่อนสากลศักราช ก่อนผู้ชำนาญในทางชีววิทยาเข้าใจเรื่องการอพยพย้ายถิ่นของสัตว์ ยิระมะยาได้เขียน ดังได้บันทึกไว้ที่ยิระมะยา 8:7 ว่า “นกกะทุงบนฟ้ารู้จักเวลากำหนดสำหรับตัว, แลนกเขาแลนกยางแลนกอีแอ่นได้มาตามเวลาสำหรับตัว.”
“ผู้สร้าง” ที่นักวิวัฒนาการกำลังเลือกเอา
17. (ก) พระธรรมโรม 1:21-23 กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับบางคนที่ไม่ยอมเข้าใจว่ามีพระผู้สร้างอยู่เบื้องหลังความมหัศจรรย์ของสรรพสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ? (ข) ในแง่หนึ่ง ผู้ที่เห็นพ้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการเลือกอะไรเป็น “ผู้สร้าง” ของตน?
17 คัมภีร์ข้อหนึ่งกล่าวถึงบางคนซึ่งไม่ยอมเข้าใจว่ามีพระผู้สร้างอยู่เบื้องหลังความน่าพิศวงของสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง ดังนี้: “เขาได้คิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาร, และใจโง่ของเขาก็มืดไป. เขาถือตัวว่าเป็นนักปราชญ์, เขาจึงเป็นคนโง่เขลาไป, และเขาเอาสง่าราศีของพระเจ้าที่จะศูนย์เสียไปไม่ได้มาแปลงเป็นรูปมนุษย์ที่จะเปื่อยเน่าไป, เป็นรูปนก, เป็นรูปสัตว์จตุบาท, และเป็นรูปสัตว์เลื้อยคลาน.” เขา “ได้เอาความจริงของพระเจ้ามาแลกเปลี่ยนกับความเท็จ, และได้นมัสการปฏิบัติสิ่งที่ทรงสร้างไว้นั้นแทนที่จะปฏิบัติพระองค์ผู้ทรงสร้าง.” (โรม 1:21-23, 25) เป็นอย่างนั้นด้วยกับพวกนักวิทยาศาสตร์ที่เชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งโดยแท้แล้วเขายกย่องลูกโซ่สมมติที่วิวัฒนาการจากสัตว์เซลล์เดียว-หนอน-ปลา-สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ-สัตว์เลื้อยคลาน-สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม-“มนุษย์วานร” เป็น “ผู้สร้าง” ตัวเขา. แต่เขาก็รู้ว่า ตามจริงแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่เริ่มต้นโซ่ห่วงแรก. สิ่งมีชีวิตที่ธรรมดาที่สุดซึ่งเป็นที่รู้จักก็ยังประกอบด้วยอะตอมแสนล้านอะตอม ซึ่งมีปฏิกิริยาทางเคมีนับพันเกิดขึ้นภายในตัวมันในเวลาเดียวกัน.
18, 19. (ก) ใครสมควรได้รับเกียรติในการให้กำเนิดชีวิต? (ข) พวกเราสามารถเห็นสิ่งที่พระยะโฮวาสร้างขึ้นนั้นได้สักกี่มากน้อย?
18 พระเจ้ายะโฮวาเป็นผู้สร้างชีวิต. (บทเพลงสรรเสริญ 36:9) พระองค์ทรงเป็นต้นเหตุที่ใหญ่ยิ่งองค์แรก. ยะโฮวา นามของพระองค์หมายความว่า “พระองค์ทรงบันดาลให้เป็น.” สารพัดสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมีมากมายเหลือคณานับ. แน่นอน มีหลายล้านอย่างมากกว่าที่มนุษย์นับได้. บทเพลงสรรเสริญ 104:24, 25 บอกนัยดังนี้: “ข้าแต่พระยะโฮวา ราชกิจของพระองค์มีเป็นอเนกประการจริง พระองค์ได้ทรงกระทำการนั้นทั้งสิ้นโดยพระสติปัญญา.” โยบ 26:14 บอกชัดเจนในเรื่องนี้ว่า “ดูเถิด กิจการเหล่านี้เป็นแต่เพียงผิวนอกแห่งราชกิจของพระองค์. เรารู้ถึงเรื่องของพระองค์จากเสียงกระซิบที่แผ่วเบาเท่านั้น. ส่วนเดชานุภาพอันกึกก้องของพระองค์นั้นใครจะเข้าใจได้?” เรารู้เพียงเปลือกนอก ได้ยินแค่เสียงกระซิบนิดหน่อย แต่การจะเข้าใจถึงที่มาแห่งเสียงกึกก้องสำแดงพลานุภาพของพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ย่อมเป็นไปไม่ได้.
19 อย่างไรก็ดี เพื่อจะเข้าใจพระองค์เรามีแหล่งที่ดีกว่าการเข้าใจโดยทางสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติที่พระเจ้าสร้าง. แหล่งที่ดีกว่านี้คือคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระองค์. บทความต่อจากนี้จะพาเราไปยังแหล่งนั้น.
คุณจำได้ไหม?
▫ โยบเรียนรู้อะไรเมื่อพระยะโฮวาตรัสกับท่านจากกลุ่มพายุ?
▫ เหตุใดเปาโลจึงพูดว่าบางคนไม่มีข้อแก้ตัวได้?
▫ วัฏจักรของน้ำทำงานอย่างไร?
▫ แสงอาทิตย์ก่อให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญอะไรบ้างให้พวกเรา?
▫ คัมภีร์ไบเบิลเผยความจริงอะไรด้านวิทยาศาสตร์ ก่อนที่วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านั้น?