บท 19
“สติปัญญาของพระเจ้าที่ซ่อนอยู่ในความลับศักดิ์สิทธิ์”
1, 2. มีความลับอะไรที่น่าสนใจสำหรับเรา และเพราะอะไร?
ถ้าเรารู้อะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้หรือไม่เข้าใจก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะเก็บความลับนั้นไว้ แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเจ้าได้รับเกียรติเมื่อปิดซ่อนสิ่งต่าง ๆ” (สุภาษิต 25:2) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าองค์สูงสุด พระองค์มีสิทธิ์ที่จะเก็บบางเรื่องไว้เป็นความลับจนกว่าจะถึงเวลากำหนดของพระองค์ที่จะเปิดเผยเรื่องนั้นกับมนุษย์
2 แต่มีความลับที่น่าสนใจซึ่งพระยะโฮวาเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ความลับนั้นถูกเรียกว่า “ความลับศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ตั้งใจจะทำ” (เอเฟซัส 1:9) การเรียนรู้เกี่ยวกับความลับนั้นไม่ใช่แค่รู้เรื่องที่น่าสนใจเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะจะทำให้เราได้รับความรอดและเข้าใจสติปัญญาของพระยะโฮวามากขึ้น
พระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยความลับ
3, 4. คำพยากรณ์ที่ปฐมกาล 3:15 ให้ความหวังยังไง และคำพยากรณ์นี้พูดถึง “ความลับศักดิ์สิทธิ์” อะไร?
3 เมื่ออาดัมกับเอวาทำบาป นี่อาจดูเหมือนว่าความประสงค์ของพระยะโฮวาที่จะให้มนุษย์สมบูรณ์แบบอยู่ในโลกที่เป็นอุทยานไม่ได้เป็นจริงตามที่พระองค์ต้องการ แต่พระเจ้าบอกทันทีว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น พระองค์พูดว่า “เราจะให้เจ้า [งู] กับผู้หญิงเป็นศัตรูกัน และให้ลูกหลานของเจ้ากับลูกหลานของเธอเป็นศัตรูกัน เขาจะบดขยี้หัวเจ้าและเจ้าจะทำให้ส้นเท้าเขาฟกช้ำ”—ปฐมกาล 3:15
4 สิ่งที่พระยะโฮวาพูดหมายถึงอะไร? ใครคือผู้หญิง? ใครคืองู? ใครคือ “ลูกหลาน” ที่จะบดขยี้หัวงู? อาดัมกับเอวาไม่รู้เรื่องนี้ แต่สิ่งที่พระเจ้าพูดก็ให้ความหวังกับลูกหลานของพวกเขาที่ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา ลูกหลานที่ซื่อสัตย์เหล่านี้มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะทำให้ความชั่ว บาป และความตายหมดไป และความประสงค์ของพระองค์ก็จะเป็นจริง แต่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไง? ในตอนนั้นเรื่องนี้ยังเป็นความลับอยู่ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “สติปัญญาของพระเจ้า . . . ซ่อนอยู่ในความลับศักดิ์สิทธิ์”—1 โครินธ์ 2:7
5. ทำไมพระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยความลับของพระองค์? ขอยกตัวอย่าง
5 พระยะโฮวาเป็น ‘พระเจ้าที่เปิดเผยเรื่องลึกลับได้’ และในที่สุดพระองค์จะเปิดเผยความลับนี้ให้ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าใจมากขึ้น (ดาเนียล 2:28) แต่พระองค์จะค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องนี้ เพื่อเป็นตัวอย่าง เราอาจคิดถึงตอนที่พ่อตอบคำถามลูก เมื่อลูกถามว่า “พ่อครับ ผมเกิดมาจากไหนครับ?” พ่อจะตอบลูกในแบบที่ลูกจะเข้าใจได้ และเมื่อลูกโตขึ้นพ่อก็จะบอกเขามากขึ้น คล้ายกัน พระยะโฮวาคิดไว้แล้วว่าตอนไหนดีที่สุดที่พระองค์จะเปิดเผยความประสงค์ให้คนของพระองค์ฟัง—สุภาษิต 4:18; ดาเนียล 12:4
6. (ก) ทำไมต้องมีการทำสัญญาหรือข้อตกลงต่าง ๆ? (ข) ทำไมพระยะโฮวาทำสัญญากับมนุษย์?
6 พระยะโฮวาบอกความลับให้ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าใจมากขึ้นยังไง? พระองค์ทำสัญญาหลายอย่างที่เป็นเหมือนข้อตกลงทางกฎหมาย บางทีคุณอาจเคยทำสัญญาบางอย่าง เช่น ตอนซื้อที่ดิน ซื้อรถ หรืออย่างอื่น สัญญาแบบนั้นรับประกันตามกฎหมายว่าจะมีการทำตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ทำไมพระยะโฮวาจะต้องทำสัญญาหรือข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับมนุษย์ล่ะ? ก็เพราะพระองค์อยากช่วยให้เราที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบมั่นใจว่าพระองค์จะทำตามทุกอย่างที่สัญญาไว้ พระองค์เลยทำสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับประกันว่าพระองค์จะทำตามที่บอก—ฮีบรู 6:16-18
สัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม
7, 8. (ก) พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับอับราฮัม และสัญญานี้บอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์? (ข) พระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยยังไงว่าใครเป็นลูกหลานที่สัญญาไว้?
7 มากกว่า 2,000 ปีหลังจากที่พระยะโฮวาไล่อาดัมกับเอวาออกจากสวนเอเดน พระองค์บอกกับอับราฮัมผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ว่า “เราจะอวยพรเจ้าแน่ ๆ และเราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า . . . และทุกชาติในโลกจะได้รับพรเพราะลูกหลานของเจ้า และเพราะเจ้าเชื่อฟังเรา” (ปฐมกาล 22:17, 18) นี่ไม่ได้เป็นแค่คำสัญญาเท่านั้น พระยะโฮวาทำสัญญาที่มีผลตามกฎหมายกับอับราฮัมและสาบานโดยอ้างชื่อของพระองค์เอง (ปฐมกาล 17:1, 2; ฮีบรู 6:13-15) นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริง ๆ ที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดทำสัญญาว่าจะอวยพรมนุษย์
“เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า”
8 ต่อมาพระยะโฮวาบอกให้อับราฮัมรู้ว่าลูกหลานที่สัญญาไว้จะมาทางอิสอัคลูกชายของเขาและทางยาโคบหลานของเขา (ปฐมกาล 21:12; 28:13, 14) พระยะโฮวาดลใจให้ยาโคบพยากรณ์เรื่องนี้เกี่ยวกับลูกชายคนหนึ่งของเขาว่า “คทาจะเป็นของยูดาห์เสมอ และไม้เท้าของผู้ปกครองจะอยู่ระหว่างเท้าของเขาจนกว่าชิโลห์ [หรือ “ผู้เป็นเจ้าของ”, เชิงอรรถ] จะมา และชนชาติต่าง ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา” (ปฐมกาล 49:10) ในตอนนั้น ผู้คนเข้าใจกันว่าลูกหลานที่จะมาเป็นกษัตริย์นั้นต้องมาจากตระกูลยูดาห์
สัญญาที่พระเจ้าทำกับชาติอิสราเอล
9, 10. (ก) พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับชาติอิสราเอล และสัญญานั้นช่วยปกป้องพวกเขายังไง? (ข) กฎหมายของโมเสสแสดงให้เห็นยังไงว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีค่าไถ่?
9 ในปี 1513 ก่อน ค.ศ. พระยะโฮวาค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์โดยทำสัญญากับชาติอิสราเอลลูกหลานของอับราฮัม ถึงแม้สัญญานี้จะไม่มีผลบังคับใช้แล้วในทุกวันนี้ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่พระยะโฮวาใช้เพื่อบอกว่าใครเป็นลูกหลานที่สัญญาไว้ เรารู้เรื่องนี้ได้ยังไง? มาดูเหตุผล 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรก กฎหมายเป็นเหมือนกำแพงที่กั้นระหว่างคนยิวกับคนต่างชาติที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา (เอเฟซัส 2:14) ด้วยวิธีนี้ กฎหมายของโมเสสได้ช่วยปกป้องชาติอิสราเอลเพื่อทำให้เมสสิยาห์ซึ่งเป็นลูกหลานที่พระเจ้าสัญญาจะได้มาเกิดในตระกูลยูดาห์
10 อย่างที่สอง กฎหมายของโมเสสแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีค่าไถ่ เพราะเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์แบบ นี่เลยทำให้ชาวอิสราเอลเห็นว่ามนุษย์ผิดบาปไม่สามารถทำตามกฎหมายนั้นได้อย่างครบถ้วน กฎหมายนั้นมีไว้ “เพื่อให้เห็นชัดว่าคนเราทำผิด และกฎหมายนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราวจนกว่าลูกหลานคนนั้นที่ได้รับคำสัญญาจะมา” (กาลาเทีย 3:19) เครื่องบูชาที่เป็นสัตว์ที่ชาวอิสราเอลถวายให้กับพระเจ้าไม่สามารถไถ่บาปได้อย่างครบถ้วน อัครเปาโลเขียนไว้ว่า “เลือดวัวตัวผู้และเลือดแพะขจัดบาปไม่ได้” เครื่องบูชาเหล่านี้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าต้องมีค่าไถ่ที่สมบูรณ์แบบเพื่อบาปของพวกเขาจะได้รับการให้อภัยได้อย่างครบถ้วน (ฮีบรู 10:1-4) ดังนั้น กฎหมายนั้นจึงเป็นเหมือน “พี่เลี้ยง” ที่พาชาวยิวที่ซื่อสัตย์ไปหาพระคริสต์—กาลาเทีย 3:24
11. สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายให้ความหวังที่ยอดเยี่ยมอะไรกับชาติอิสราเอล แต่ทำไมพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีส่วนในความหวังนี้?
11 อย่างที่สาม สัญญานั้นทำให้ชาติอิสราเอลมีความหวังที่ยอดเยี่ยม พระยะโฮวาบอกว่าถ้าพวกเขาเชื่อฟังและทำตามสัญญานี้ พวกเขาจะเป็น “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์ และเป็นชาติบริสุทธิ์” (อพยพ 19:5, 6) คนกลุ่มแรกที่พระยะโฮวาเลือกให้มาเป็นสมาชิกของรัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์มาจากชาติอิสราเอล แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ทำตามกฎหมายของพระยะโฮวาและปฏิเสธเมสสิยาห์ พระยะโฮวาเลยปฏิเสธพวกเขา ถ้าอย่างนั้น พระยะโฮวาจะเลือกใครให้มาเป็นรัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์แทนพวกเขา? และคนที่พระเจ้าเลือกจะเกี่ยวข้องยังไงกับลูกหลานที่สัญญาไว้? พระเจ้าจะบอกให้รู้คำตอบในภายหลัง
สัญญาที่พระเจ้าทำกับดาวิด
12. พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับดาวิด และนั่นบอกให้รู้อะไรมากขึ้นเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า?
12 ในศตวรรษที่ 11 ก่อน ค.ศ. พระยะโฮวาบอกให้รู้มากขึ้นเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ตอนที่ทำสัญญากับดาวิด พระองค์สัญญากับกษัตริย์ดาวิดผู้ซื่อสัตย์ว่า ‘เราจะยกลูกหลานของเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากเจ้า และเราจะช่วยให้อาณาจักรของเขามั่นคง และเราจะให้เขาครองบัลลังก์อาณาจักรอย่างมั่นคงตลอดไป’ (2 ซามูเอล 7:12, 13; สดุดี 89:3) คำพูดนี้บอกให้รู้ว่าลูกหลานที่สัญญาจะมาจากตระกูลของดาวิด แต่มนุษย์ธรรมดาจะปกครองตลอดไปได้ยังไง? (สดุดี 89:20, 29, 34-36) และกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์จะช่วยคนอื่นให้พ้นจากบาปและความตายได้ไหม?
13, 14. (ก) ในสดุดี 110 พระยะโฮวาทำสัญญาอะไรกับกษัตริย์ที่พระองค์เจิม? (ข) พระยะโฮวาให้ผู้พยากรณ์ของพระองค์บอกเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพิ่มมากขึ้นยังไง?
13 ดาวิดได้รับการดลใจให้เขียนว่า “พระยะโฮวาพูดกับผู้เป็นนายของผมว่า ‘นั่งข้างขวามือของเราไปก่อน จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าเป็นที่วางเท้าของเจ้า’ พระยะโฮวาสาบานไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจ พระองค์พูดว่า ‘เจ้าจะเป็นปุโรหิตตลอดไปตามอย่างเมลคีเซเดค’” (สดุดี 110:1, 4) ในข้อนี้ดาวิดกำลังพูดถึงลูกหลานที่พระเจ้าสัญญาไว้หรือเมสสิยาห์ (กิจการ 2:35, 36) กษัตริย์องค์นี้ไม่ได้ปกครองจากกรุงเยรูซาเล็มแต่จะปกครองจากสวรรค์และ “นั่งข้างขวามือ” ของพระยะโฮวา พระยะโฮวาจะให้ท่านมีอำนาจปกครองไม่เพียงแค่ประเทศอิสราเอลเท่านั้นแต่จะปกครองทั่วทั้งโลก (สดุดี 2:6-8) ข้อนี้ยังบอกให้รู้ว่าพระยะโฮวาสาบานว่าเมสสิยาห์จะเป็น “ปุโรหิต . . . ตามอย่างเมลคีเซเดค” เหมือนเมลคีเซเดคที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของอับราฮัม ลูกหลานที่สัญญาไว้จะได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าให้เป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิต—ปฐมกาล 14:17-20
14 ตลอดเวลาหลายปี พระยะโฮวาให้ผู้พยากรณ์ของพระองค์บอกเรื่องความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น อิสยาห์ได้บอกว่าลูกหลานจะต้องมาสละชีวิตเป็นเครื่องบูชา (อิสยาห์ 53:3-12) มีคาห์ได้บอกล่วงหน้าว่าเมสสิยาห์จะมาเกิดที่ไหน (มีคาห์ 5:2) ดาเนียลพยากรณ์ชัดเจนว่าเมสสิยาห์จะมาเมื่อไหร่และท่านจะเสียชีวิตตอนไหน—ดาเนียล 9:24-27
ความลับศักดิ์สิทธิ์ได้รับการเปิดเผย
15, 16. (ก) ลูกของพระยะโฮวา “เกิดจากผู้หญิง” ได้ยังไง? (ข) พระเยซูได้สิทธิ์อะไรจากมารีย์กับโยเซฟ และท่านมาในฐานะลูกหลานที่สัญญาไว้เมื่อไหร่?
15 คำพยากรณ์เกี่ยวกับเมสสิยาห์ยังคงเป็นความลับจนกว่าลูกหลานที่สัญญาไว้จะมา กาลาเทีย 4:4 บอกว่า “เมื่อถึงเวลา พระเจ้าก็ใช้ลูกของพระองค์มา ท่านเกิดจากผู้หญิง” ในปี 2 ก่อน ค.ศ. ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้บอกสาวบริสุทธิ์ชาวยิวชื่อมารีย์ว่า “คุณจะตั้งท้องและคลอดลูกชาย ให้ตั้งชื่อเด็กว่าเยซู ท่านผู้นี้จะยิ่งใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าองค์สูงสุด พระยะโฮวาพระเจ้าจะยกบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้กับท่าน . . . คุณจะได้รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าองค์สูงสุดจะปกคลุมคุณไว้ ดังนั้น เด็กที่เกิดมาจะได้ชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นลูกของพระเจ้า”—ลูกา 1:31, 32, 35
16 ต่อมาพระยะโฮวาย้ายชีวิตลูกของพระองค์จากสวรรค์ให้มาอยู่ในท้องของมารีย์เพื่อให้ท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ ถึงมารีย์จะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่พระเยซูก็ไม่ได้รับความไม่สมบูรณ์แบบจากเธอเพราะท่านเป็น “ลูกของพระเจ้า” แต่เพราะมารีย์กับโยเซฟเป็นลูกหลานของดาวิด พระเยซูเลยมีสิทธิ์ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของดาวิดและปกครองเป็นกษัตริย์ (กิจการ 13:22, 23) ตอนที่ท่านรับบัพติศมาในปี ค.ศ. 29 พระยะโฮวาเจิมท่านด้วยพลังบริสุทธิ์และบอกว่า “นี่คือลูกรักของเรา” (มัทธิว 3:16, 17) ในที่สุด ลูกหลานที่สัญญาไว้ก็ได้มาถึง (กาลาเทีย 3:16) และนั่นก็ถึงเวลาที่พระยะโฮวาจะเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์—2 ทิโมธี 1:10
17. มีการบอกให้รู้อะไรเกี่ยวกับคำพยากรณ์ในปฐมกาล 3:15?
17 ตอนที่พระเยซูรับใช้บนโลก ท่านบอกให้รู้ว่างูในปฐมกาล 3:15 คือซาตานและลูกหลานของงูคือผู้ที่ติดตามซาตาน (มัทธิว 23:33; ยอห์น 8:44) ต่อมาคัมภีร์ไบเบิลก็บอกให้รู้ว่าพวกเขาจะถูกทำลายตลอดไป (วิวรณ์ 20:1-3, 10, 15) และยังบอกอีกด้วยว่าผู้หญิงที่พูดถึงในปฐมกาล 3:15 เป็น “เยรูซาเล็มที่อยู่เบื้องบน” หรือภรรยาของพระเจ้าซึ่งก็คือองค์การของพระยะโฮวาส่วนที่อยู่ในสวรรค์ที่มีทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์a—กาลาเทีย 4:26; วิวรณ์ 12:1-6
สัญญาใหม่
18. จุดประสงค์ของ “สัญญาใหม่” คืออะไร?
18 ในคืนก่อนที่พระเยซูจะเสียชีวิต ท่านเปิดเผยเรื่องที่ตื่นเต้นที่สุดเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ ท่านบอกสาวกที่ซื่อสัตย์ของท่านเรื่อง “สัญญาใหม่” (ลูกา 22:20) เหมือนกับสัญญาที่พระเจ้าทำกับชาติอิสราเอลผ่านทางโมเสส สัญญาใหม่นี้ก็มีจุดประสงค์คล้ายกันคือทำให้มี “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์” (อพยพ 19:6; 1 เปโตร 2:9) สัญญาใหม่นี้ไม่ได้ทำกับชาติอิสราเอลจริง ๆ แต่ทำกับ “อิสราเอลของพระเจ้า” ที่มีแต่ผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์ (กาลาเทีย 6:16) พวกเขาจะมีส่วนร่วมกับพระเยซูเพื่อทำให้มนุษย์ที่ซื่อสัตย์บนโลกได้รับพร
19. (ก) ทำไมสัญญาใหม่ถึงทำให้มี “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์” ได้? (ข) ทำไมคริสเตียนผู้ถูกเจิมถูกเรียกว่า “เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่” และมีกี่คนที่จะไปปกครองในสวรรค์กับพระคริสต์?
19 แต่สัญญาใหม่ที่มี “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์” จะทำให้มนุษย์ได้รับพรยังไง? สัญญาใหม่นี้ไม่ได้เน้นความคิดที่ว่าสาวกของพระเยซูเป็นคนบาป แทนที่จะเป็นอย่างนั้น สัญญานี้เน้นว่าพวกเขาจะได้รับการอภัยบาปโดยทางเครื่องบูชาของพระเยซู (เยเรมีย์ 31:31-34) พระยะโฮวามองว่าพวกเขาเป็นคนดี ไม่มีบาป พระองค์รับพวกเขาเข้ามาในครอบครัวฝ่ายสวรรค์ของพระองค์และเจิมพวกเขาด้วยพลังบริสุทธิ์ (โรม 8:15-17; 2 โครินธ์ 1:21) โดยวิธีนี้พวกเขาได้ ‘เกิดใหม่เพื่อให้มีความหวังในสวรรค์’ (1 เปโตร 1:3, 4) เพราะมนุษย์ถูกสร้างให้มีชีวิตอยู่บนโลก คริสเตียนผู้ถูกเจิมเลยถูกเรียกว่า “เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่” (2 โครินธ์ 5:17) คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่า 144,000 คนจะเป็นกษัตริย์ด้วยกันกับพระเยซูในสวรรค์และพวกเขาจะปกครองมนุษย์ที่ได้รับการไถ่บาป—วิวรณ์ 5:9, 10; 14:1-4
20. (ก) มีการเปิดเผยอะไรอีกเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 36? (ข) ใครบ้างจะได้รับพรจากสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม?
20 คริสเตียนผู้ถูกเจิมกับพระเยซูเป็น “ลูกหลานของอับราฮัม”b (กาลาเทีย 3:29) กลุ่มแรกที่ถูกเลือกเป็นคนยิวตามสายเลือด แต่ในปี ค.ศ. 36 พระยะโฮวาบอกให้รู้บางอย่างมากขึ้นอีกเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ พระองค์เลือกคนที่ไม่ใช่ชาวยิวให้ปกครองกับพระเยซูในสวรรค์ด้วย (โรม 9:6-8; 11:25, 26; เอเฟซัส 3:5, 6) คริสเตียนผู้ถูกเจิมเป็นกลุ่มเดียวไหมที่ได้รับพรจากสัญญาที่พระเจ้าทำกับอับราฮัม? ไม่ เพราะเครื่องบูชาของพระเยซูเป็นประโยชน์กับผู้คนทั้งโลก (1 ยอห์น 2:2) ต่อมาพระยะโฮวาบอกให้รู้ว่า “ชนฝูงใหญ่” ที่ไม่มีใครนับจำนวนได้จะรอดผ่านโลกชั่วของซาตาน (วิวรณ์ 7:9, 14) และคนอีกมากมายจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายและมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในอุทยาน—ลูกา 23:43; ยอห์น 5:28, 29; วิวรณ์ 20:11-15; 21:3, 4
สติปัญญาของพระเจ้าและความลับศักดิ์สิทธิ์
21, 22. ความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวาแสดงให้เห็นสติปัญญาของพระองค์ยังไงบ้าง?
21 ความลับศักดิ์สิทธิ์นี้ทำให้เรา “ได้รู้จักสติปัญญาของพระองค์ซึ่งแสดงให้เห็นในหลาย ๆ วิธี” (เอเฟซัส 3:8-10) เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์และวิธีที่พระองค์ค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องนี้ พระองค์มีสติปัญญามากและรู้ว่ามนุษย์ไม่สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้ทันที พระองค์เลยค่อย ๆ บอกให้เรารู้มากขึ้น และเปิดโอกาสให้เราได้แสดงว่าเราไว้วางใจพระองค์—สดุดี 103:14
22 การที่พระยะโฮวาเลือกพระเยซูให้เป็นกษัตริย์แสดงให้เห็นว่าพระองค์มีสติปัญญามากกว่าใคร พระเยซูเป็นผู้ที่พระเจ้าสร้างที่น่าไว้วางใจมากที่สุดในเอกภพ ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลก พระเยซูต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากหลายอย่าง ท่านเลยเข้าใจได้ดีเกี่ยวกับปัญหาที่มนุษย์ต้องเจอ (ฮีบรู 5:7-9) ผู้ที่จะปกครองกับพระเยซูก็เหมือนกัน ตลอดหลายศตวรรษ พระยะโฮวาได้เลือกผู้ถูกเจิมทั้งชายและหญิงจากทุกเชื้อชาติ ทุกภาษา และทุกภูมิหลัง ดังนั้น ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับปัญหาอะไร เราก็มั่นใจได้ว่าพวกผู้ถูกเจิมก็เคยเจอกับปัญหาเหล่านั้นด้วย และพวกเขาก็รับมือได้ (เอเฟซัส 4:22-24) ดีจริง ๆ ที่เราจะได้อยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์และปุโรหิตเหล่านี้ที่เข้าใจและอยากจะช่วยเรา
23. คริสเตียนมีสิทธิพิเศษอะไรเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา?
23 อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ความลับศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปกปิดไว้จากคนรุ่นก่อน ๆ ตลอดหลายยุคหลายสมัย . . . ถูกเปิดเผยกับพวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์แล้ว” (โคโลสี 1:26) คริสเตียนผู้ถูกเจิมของพระยะโฮวาได้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความลับศักดิ์สิทธิ์ และได้บอกเรื่องนี้กับหลายล้านคน เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่พระยะโฮวา “ให้เรารู้ความลับศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ตั้งใจจะทำ” (เอเฟซัส 1:9) ขอให้เราบอกความลับที่น่าตื่นเต้นนี้กับคนอื่นเพื่อพวกเขาจะมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับความลับที่น่าตื่นเต้นนี้ด้วยเหมือนกัน
a มีการเปิดเผย “ความลับศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับความเลื่อมใสพระเจ้า” ในตัวพระเยซูด้วย (1 ทิโมธี 3:16) คำถามที่ว่ามีใครสักคนไหมที่จะซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องนี้เป็นความลับมานานหลายปีแล้ว พระเยซูแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ แม้ท่านจะถูกซาตานทดสอบหลายครั้ง แต่ท่านก็ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาเสมอ—มัทธิว 4:1-11; 27:26-50
b พระเยซูยังทำ ‘สัญญากับพวกเขาว่าจะให้พวกเขาปกครองในรัฐบาล’ ของท่าน (ลูกา 22:29, 30) พระเยซูสัญญากับทุกคนที่เป็นแกะ “ฝูงเล็ก” ว่าพวกเขาจะปกครองกับท่านในสวรรค์ฐานะเป็นลูกหลานที่สำคัญรองลงมาของอับราฮัม—ลูกา 12:32