พระยะโฮวาทรงรู้จักเราดี!
พระยะโฮวาทรงรู้จักเราอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราเป็นผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์. เพื่อนสนิท ญาติพี่น้อง แม้กระทั่งบิดามารดา ก็ไม่รู้จักเราดีอย่างที่พระองค์ทรงรู้จักเรา. เอาละ พระเจ้าทรงรู้จักเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเองด้วยซ้ำ!
ความรู้อันบริบูรณ์ของพระยะโฮวาเกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์นั้นได้รับการพรรณนาไว้อย่างเหมาะสมในเพลงสรรเสริญบท 139. ดาวิดได้กล่าวไว้อย่างไรในเพลงสรรเสริญบทนั้น? และความรู้ของพระเจ้าเกี่ยวกับตัวเราควรมีผลกระทบอย่างไรต่อคำพูดและการกระทำของเรา?
พระยะโฮวาทรงรู้จักมากสักเพียงไร!
เนื่องจากพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างของเรา เราควรคาดว่า พระองค์ทรงมีความรู้เกี่ยวกับเราอย่างครบถ้วน. (กิจการ 17:24-28) เนื่องจากเหตุนี้ ดาวิดจึงกล่าวได้ว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา พระองค์ได้ทรงพินิจพิเคราะห์ดูข้าพเจ้า และพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:1, ล.ม.) ความรู้ของพระเจ้าเกี่ยวกับดาวิดเป็นประหนึ่งว่าได้รับมาโดยการสอบสวนอย่างละเอียด. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญยินดีที่มีพระยะโฮวาพินิจพิเคราะห์ดูท่าน ท่านจึงยินยอมอย่างเต็มที่ต่อการควบคุมและการนำทางของพระเจ้า. ในทำนองเดียวกัน พยานพระยะโฮวา ‘มอบทางประพฤติของเขาไว้กับพระยะโฮวา วางใจในพระองค์’ ด้วยการอธิษฐาน มั่นใจว่าพระองค์จะกระทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ. (บทเพลงสรรเสริญ 37:5) มีความสำนึกในความปลอดภัยทางด้านวิญญาณในหัวใจของเรา เพราะเราแสวงหาเพื่อให้สติปัญญาของพระเจ้านำเรา และเรายินยอมด้วยความเต็มใจต่อการทรงนำของพระเจ้า. (สุภาษิต 3:19-26) เช่นเดียวกับดาวิด เราอาจรับเอาการปลอบประโลมใจจากความรู้ที่ว่า พระเจ้าทรงสังเกตดูเรา ทรงเข้าใจปัญหาของเรา และอยู่พร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเรา.
ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้ยอมรับว่า “พระองค์เองทรงทราบเมื่อข้าพเจ้านั่งลงและลุกขึ้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:2 ก, ล.ม.) พระยะโฮวาทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับกิจกรรมของดาวิด เช่นการนั่งลงของท่านในตอนจบลงของวันทำงานและการลุกขึ้นของท่านภายหลังการหลับนอนในยามราตรี. หากเราเป็นพยานพระยะโฮวา ก็จงแน่ใจว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราดีเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน.
ดาวิดได้ยอมรับว่า “พระองค์ได้ทรงพิจารณาดูความคิดของข้าพเจ้าจากที่ห่างไกล.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:2 ข, ล.ม.) ถึงแม้พระเจ้าสถิตอยู่ในสวรรค์ห่างไกลจากฉากเหตุการณ์ทางภาคพื้นโลกนี้มากนัก พระองค์ทรงทราบว่าดาวิดคิดอะไรอยู่. (1 กษัตริย์ 8:43) การหยั่งเห็นเข้าใจดังกล่าวไม่น่าทำให้เราแปลกใจ เพราะพระยะโฮวา “ทรงทอดพระเนตรดวงจิต [หัวใจ, ล.ม. ].” (1 ซามูเอล 16:7; สุภาษิต 21:2) ข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงพิจารณาความคิดของเรา ควรกระตุ้นเราให้คิดในสิ่งต่าง ๆ ที่บริสุทธิ์ มีคุณความดีน่าสรรเสริญ. และนับว่าเหมาะสมสักเพียงไรที่เราแสดงความคิดของเราออกมาเป็นประจำในคำอธิษฐานด้วยน้ำใสใจจริงของเราเพื่อว่า เราอาจได้รับการทรงนำของพระเจ้า และ “สันติสุขแห่งพระเจ้า”!—ฟิลิปปอย 4:6-9.
ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้เสริมว่า “การเดินทางของข้าพเจ้า และการเหยียดตัวนอนของข้าพเจ้า พระองค์ได้ทรงวัดแล้ว และพระองค์ทรงคุ้นเคยแม้กระทั่งวิถีทางทั้งปวงของข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:3, ล.ม.) การวัดระยะเดินทางของดาวิดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง และการเหยียดตัวนอนของท่านขณะพักผ่อนนั้น ปรากฏชัดว่าหมายถึงการที่พระยะโฮวาทรงพินิจพิเคราะห์ดูทุกสิ่งที่ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กระทำ. พระผู้สูงสุดทรงพิจารณาการกระทำทั้งสิ้นของดาวิดเพื่อตัดสินลักษณะที่แน่นอนแห่งความประพฤติของท่าน. พระเจ้าทรงมีความรู้อย่างครบถ้วนเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติของดาวิด แนวทางที่ท่านดำเนินชีวิต. เมื่อพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราตรวจสอบดูเราเช่นเดียวกัน ขอให้พระองค์พบว่า เรากำลังรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ และยังคงดำรงอยู่บน “วิถีของความชอบธรรม” ซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร.—สุภาษิต 12:28, ฉบับแปลใหม่.
เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่ท่านอาจพูดนั้นจะปิดบังไว้จากพระเจ้าได้ ดาวิดจึงกล่าวว่า “ด้วยว่าไม่มีสักคำบนลิ้นของข้าพเจ้า แต่ดูซิ! ข้าแต่พระยะโฮวา พระองค์ทรงทราบคำนั้นทั้งสิ้นอยู่แล้ว. (บทเพลงสรรเสริญ 139:4, ล.ม.) หากเราระทมทุกข์จนถึงกับเราไม่รู้จะพูดอะไรในคำอธิษฐาน พระวิญญาณของพระยะโฮวา “ช่วยขอแทนเราด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่จะอธิบายได้.” (โรม 8:26) ในการสนทนาของเรา พระเจ้าทรงหยั่งเห็นเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ที่ปลายลิ้นแต่ทว่าปล่อยไว้โดยไม่ได้พูดออกมา เพราะพระองค์ทรงทราบความรู้สึกแท้ของเรา. และถ้าเรามีความรักที่เกิดจาก “ความเชื่อโดยปราศจากความหน้าซื่อใจคด” เราจะไม่พยายามหลอกลวงคนอื่น ๆ ด้วย “การพูดที่รื่นหู.”—1 ติโมเธียว 1:5; โรม 16:17, 18, ล.ม.
ดาวิดได้เสริมอีกว่า “ทั้งข้างหน้าข้างหลัง พระองค์ได้ทรงล้อมข้าพเจ้าไว้; และพระองค์ทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์ไว้บนข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:5, ล.ม.) ที่แท้แล้ว พระยะโฮวาทรงโอบล้อมดาวิดไว้เสมือนเมืองที่ถูกล้อมในสงคราม. ปรากฏชัดว่าผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญทราบว่า มีขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่ท่านจะทำได้ในชั่วชีวิตของท่าน. ท่านทราบด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะพ้นจากพระเนตรที่เฝ้าดู และพระหัตถ์หรือการควบคุมของพระเจ้า. แน่ละ ดาวิดมิได้พยายามจะหนีอย่างนั้น ทั้งพวกเราก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น. แต่ขอให้เราประพฤติตัวด้วยความสำนึกที่ว่า พระหัตถ์ของพระยะโฮวาอยู่เหนือเราฐานะพยานของพระองค์เสมอ.
ความรู้ของพระเจ้าเกี่ยวกับดาวิดทำให้ท่านเต็มด้วยความเกรงขาม. ด้วยเหตุนี้ ท่านได้แถลงว่า “ความรู้ดังกล่าวอัศจรรย์เกินไปสำหรับข้าพเจ้า. ความรู้นั้นสูงเกินกว่าที่ข้าพเจ้าเอื้อมถึง.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:6, ล.ม.) ความรู้ของพระเจ้าเกี่ยวกับตัวเราฐานะปัจเจกบุคคลละเอียดจนกระทั่งเราหยั่งไม่ถึง โดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์หรือการฝึกอบรม. เนื่องจากความรู้นั้นเหลือความเข้าใจของมนุษย์ เราแน่ใจได้ว่า พระยะโฮวาทรงทราบว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา. เนื่องจากเหตุนี้ หากเราอธิษฐานขออะไรบางอย่าง และคำตอบของพระองค์คือไม่ ก็ขอให้เรายินยอมต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า. ดังที่อัครสาวกโยฮันเขียนว่า “ถ้าเราทูลขอสิ่งใดตามชอบพระทัยของพระองค์ พระองค์จะทรงโปรดฟังเรา.”—1 โยฮัน 5:14.
ไม่พ้นจากพระวิญญาณของพระเจ้า
พระยะโฮวาไม่เพียงแต่ตอบคำอธิษฐานของผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์เท่านั้น หากแต่พระวิญญาณของพระองค์ดำเนินงานเพื่อเขาและช่วยเขาในการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์. ที่จริง ดาวิดได้ถามว่า “ข้าพเจ้าจะไปที่ไหนให้พ้นจากพระวิญญาณของพระองค์ได้ และข้าพเจ้าจะหนีไปแห่งใดให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ได้?” (บทเพลงสรรเสริญ 139:7, ล.ม.) ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญทราบว่า ท่านไม่อาจหนีพ้นพระวิญญาณของพระยะโฮวา หรือพลังปฏิบัติการของพระองค์ไปได้ ซึ่งอาจจะไปถึงแม้แต่ส่วนไกลที่สุดแห่งเอกภพด้วยซ้ำ. และไม่มีใครหนีไปจากพระพักตร์ของพระเจ้าได้ กล่าวคือ พ้นจากการสังเกตของพระองค์. จริงอยู่ “โยนาได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองธารซิศเพื่อให้พ้นจากพระพักตร์พระยะโฮวา” แต่ผู้พยากรณ์ไม่สามารถหลบเลี่ยงทั้งปลาใหญ่ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้กลืนท่านลงไป หรือความรับผิดชอบต่อหน้าที่มอบหมายจากพระเจ้าสำหรับท่าน. (โยนา 1:3, 17; 2:10–3:4) ดังนั้น ขอให้เราพึ่งอาศัยพระวิญญาณของพระยะโฮวาเพื่อทำให้เราสามารถปฏิบัติหน้าที่มอบหมายที่พระเจ้าประทานนั้นลุล่วงไป.—ซะคาระยา 4:6.
เนื่องจากดาวิดทราบว่า คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกพ้นจากพระเจ้า ท่านจึงกล่าวว่า “ถ้าแม้นข้าพเจ้าจะขึ้นไปถึงสวรรค์ พระองค์ก็จะสถิตอยู่ที่นั่น; และถ้าข้าพเจ้าจะปูที่นอนไว้ในเชโอละ ดูเถิด! พระองค์ก็จะอยู่ที่นั่น.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:8, ล.ม.) ในสมัยของผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญ การขึ้นไปถึงสวรรค์หมายถึงการขึ้นไปยังภูเขาสูง ซึ่งยอดภูเขามักถูกเมฆบดบังอยู่เนือง ๆ. กระนั้น หากเราอยู่บนยอดภูเขาที่สูงที่สุด เราก็จะไม่พ้นจากการที่พระวิญญาณของพระเจ้าไปถึง. นอกจากนั้น เราก็ไม่พ้นการสังเกตของพระองค์ไปได้หากเราได้มีที่นอนของเราในเชโอละ โดยอุปมาหมายถึงส่วนที่ต่ำสุดของแผ่นดินโลก.—เปรียบเทียบพระบัญญัติ 30:11-14; อาโมศ 9:2, 3.
ดาวิดกล่าวว่า “ถ้าข้าพเจ้าจะใช้ปีกของแสงอรุณ เพื่อข้าพเจ้าจะอาศัยในทะเลอันไกลโพ้น ณ ที่นั้นพระหัตถ์ของพระองค์เองจะทรงนำข้าพเจ้า และพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์จะทรงกุมข้าพเจ้าไว้.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:9, 10, ล.ม.) “ปีกของแสงอรุณ” นั้นหมายความว่ากระไร? ถ้อยคำเหล่านี้เป็นการพรรณนาเชิงกวีเกี่ยวกับการที่แสงอรุณสาดส่องจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกอย่างฉับพลัน ประหนึ่งว่ามีปีก. แต่จะว่าอย่างไรถ้าหากดาวิดจะเอาปีกแห่งแสงอรุณไปได้และไปถึงทะเลอันไกลโพ้นหรือเกาะในทิศตะวันตก? ท่านก็จะยังคงอยู่ใต้พระหัตถ์ หรือการควบคุมและการชี้นำของพระเจ้าอยู่. โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ พระยะโฮวาจะสถิตอยู่ ณ ที่นั่นเพื่อนำทางผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญด้วยความเมตตาสงสาร.—บทเพลงสรรเสริญ 51:11.
ความมืดไม่เป็นปัญหาสำหรับพระเจ้า
ไม่ว่าระยะไกลหรือความมืดก็ไม่ได้ทำให้คนเราอยู่นอกขอบเขตที่พระเจ้าจะไปถึงได้. ดังนั้น ดาวิดจึงเสริมว่า “และถ้าข้าพเจ้าจะกล่าวว่า ‘แน่นอน ความมืดเองจะเร่งรั้งข้าพเจ้าไว้!’ แล้วกลางคืนจะเป็นแสงสว่างรอบข้าพเจ้า. แม้ความมืดเองจะปรากฏว่าไม่มืดเกินไปสำหรับพระองค์ แต่กลางคืนเองจะส่องสว่างดุจกลางวัน; ความมืดอาจเป็นราวกับความสว่างทีเดียว.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:11, 12, ล.ม.) คนเราอาจถูกปกคลุมไว้ในความมืดโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่าถูกความมืดยึดไว้. แต่สำหรับพระยะโฮวาแล้ว เขาจะเป็นที่ประจักษ์ได้เสมือนหนึ่งยืนอยู่ในแสงตะวันอันเจิดจ้า. ไม่มีใครจะปิดซ่อนความบาปใด ๆ ที่กระทำในความมืดนั้นไว้จากพระเจ้าได้.—ยะซายา 29:15, 16.
การปิดบังมิได้ขัดขวางการสังเกตโดยพระผู้สร้างของเรา. ในเรื่องนี้ดาวิดได้กล่าวว่า “เพราะพระองค์เองได้สร้างไตของข้าพเจ้า; พระองค์ทรงดูแลให้ข้าพเจ้าปิดคลุมไว้ในครรภ์มารดาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างอย่างน่าพิศวงในวิธีที่น่าเกรงขาม. พระราชกิจของพระองค์เป็นที่น่าพิศวง ดังที่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าตระหนักทีเดียว. กระดูกของข้าพเจ้ามิได้ถูกซ่อนไว้จากพระองค์ เมื่อข้าพเจ้าถูกสร้างในที่ลับ เมื่อข้าพเจ้าถูกสานในที่ต่ำสุดแห่งแผ่นดินโลก. พระเนตรของพระองค์เห็นกระทั่งตัวอ่อนของข้าพเจ้าด้วยซ้ำ และทุกส่วนของตัวอ่อนนั้นถูกเขียนลงในสมุดของพระองค์ เกี่ยวกับวันทั้งหลายเมื่อส่วนเหล่านั้น [ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย] ถูกก่อรูปขึ้น และเมื่อยังไม่มีสักอัน [ส่วนของร่างกายที่แตกต่างออกไป] ในส่วนเหล่านั้น.”—บทเพลงสรรเสริญ 139:13-16, ล.ม.
พระยะโฮวาเจ้า ผู้ทรงทราบความรู้สึกที่อยู่ลึกที่สุดของเรา ได้ทรงสร้างไตของดาวิด. เนื่องจากอยู่ลึกภายในร่างกาย ไตจึงอยู่ในท่ามกลางอวัยวะที่ถูกซ่อนเร้นไว้มากที่สุดและเข้าไม่ถึง แต่พระเจ้าทรงเห็นอวัยวะเหล่านั้น. พระองค์ทรงสามารถมองเข้าไปในครรภ์ หรือมดลูกของมารดาได้ด้วยซ้ำ. ใช่แล้ว พระยะโฮวาทรงสามารถมองเห็นตัวอ่อนที่กำลังเติบโตได้! เพียงแค่การคิดถึงวิธีที่น่าอัศจรรย์ซึ่งท่านถูกก่อขึ้นในครรภ์เท่านั้นได้กระตุ้นดาวิดให้สรรเสริญพระผู้สร้างของท่าน. ดูเหมือนว่าผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญกล่าวพาดพิงถึงครรภ์มารดาว่าเป็น “ที่ต่ำสุดแห่งแผ่นดินโลก.” ณ ที่นั่น กระดูก เอ็น กล้ามเนื้อ เส้นประสาท และเส้นโลหิตของทารกได้สานต่อเข้าด้วยกัน มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ประจักษ์ได้สำหรับพระเจ้า.
ก่อนที่ส่วนต่าง ๆ แห่งร่างกายของดาวิดแบ่งแยกในครรภ์มารดาของท่าน ลักษณะท่าทางของท่านก็เป็นที่รู้จักสำหรับพระเจ้าอยู่แล้ว. ทำไม? เพราะพัฒนาการของตัวอ่อนเป็นไปตามรูปแบบที่ได้กำหนดไว้ ประหนึ่งว่าเชื่อฟังคำสั่งที่บันทึกไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง. เรื่องนี้แสดงให้เห็นสติปัญญาและพระปรีชาสามารถของพระยะโฮวาสักเพียงไรที่จะแลเห็นกระทั่งสิ่งที่ถูกปิดบังไว้นั้น! นั่นควรทำให้เราหยั่งรู้เข้าใจด้วยว่า พระเจ้าทรงสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ และทรงรับผิดชอบต่อกระบวนการสืบพันธุ์อันน่าพิศวงซึ่งได้ยังผลให้เราดำรงชีวิตอยู่ในฐานะปัจเจกบุคคล.
ความคิดของพระเจ้าประเสริฐเพียงไร!
การคิดถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ทำให้ดาวิดไตร่ตรองดูพระปัญญาของพระเจ้า. ด้วยเหตุนี้ ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญจึงอุทานว่า “ฉะนั้น ความคิดของพระองค์ช่างประเสริฐสักเพียงไรสำหรับข้าพเจ้า! ข้าแต่พระเจ้า รวมยอดของความคิดเหล่านั้นก็มากสักเท่าไร! (บทเพลงสรรเสริญ 139:17, ล.ม.) ดาวิดทะนุถนอมความคิดของพระเจ้า และความคิดเหล่านั้นมากมายจนกระทั่งท่านรู้สึกประทับใจจาก “รวมยอดของความคิดเหล่านั้น.” หากความคิดของพระเจ้าประเสริฐสำหรับเรา เราจะเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ที่ขยันขันแข็ง. (1 ติโมเธียว 4:15, 16) ความคิดของพระองค์ที่บันทึกไว้ “เป็นประโยชน์สำหรับสั่งสอน สำหรับตักเตือน สำหรับดัดแปลงคนให้ดีขึ้น และสำหรับสอนให้รู้ในความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะได้เป็นผู้รอบคอบ คือเป็นผู้ที่ได้ถูกเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับการดีทุกอย่าง.”—2 ติโมเธียว 3:16, 17.
เกี่ยวกับความคิดของพระยะโฮวาดาวิดกล่าวว่า “ถ้าหากข้าพเจ้าพยายามจะนับความคิดเหล่านั้น นั้นก็มากกว่าเม็ดทรายด้วยซ้ำ. ข้าพเจ้าตื่นแล้ว และกระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังอยู่กับพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:18, ล.ม.) เนื่องจากความคิดของพระเจ้ามีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายด้วยซ้ำ ถ้าหากดาวิดเริ่มนับความคิดนั้นในตอนรุ่งอรุณ ท่านก็จะนับไม่เสร็จเมื่อถึงเวลาเข้านอน. เมื่อตื่นขึ้นในยามเช้า ท่านก็คงยังอยู่กับพระยะโฮวา. กล่าวคือ ท่านคงจะยังนับความคิดของพระเจ้าอยู่. ที่จริง เนื่องจากเราจำเป็นต้องได้รับการชี้นำจากพระยะโฮวา การคิดรำพึงด้วยการอธิษฐานถึงความคิดและพระประสงค์ของพระองค์อาจครอบงำจิตใจของเราอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสุดท้ายในยามค่ำคืน และเป็นสิ่งแรกในยามเช้า.—บทเพลงสรรเสริญ 25:8-10.
การสนองโทษสำหรับคนชั่ว
เนื่องจากพระเจ้าประทานการชี้นำอันฉลาดสุขุมให้ ดาวิดรู้สึกอย่างไรต่อคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธการชี้นำของพระเจ้า? ท่านได้ทูลอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์จะประหารคนชั่ว! ถ้าเช่นนั้น แม้แต่เหล่าผู้ที่มีความผิดฐานทำให้โลหิตตกก็จะไปจากข้าพเจ้าเป็นแน่ ผู้ซึ่งกล่าวสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับพระองค์ตามความคิดเห็นของเขา; พวกเขาใช้พระนามของพระองค์ในทางที่ไร้ค่า—พวกปรปักษ์ของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:19, 20, ล.ม.) ดาวิดมิได้พยายามสังหารคนชั่ว หากแต่อธิษฐานเพื่อพวกเขาจะประสบการสนองโทษโดยพระหัตถ์ของพระยะโฮวา. เราควรมีเจตคติอย่างเดียวกัน. ตัวอย่างเช่น เราอาจอธิษฐานเพื่อจะมีความกล้าที่จะกล่าวคำของพระเจ้าเมื่อพวกศัตรูข่มเหงเรา. (กิจการ 4:18-31) แต่เราไม่พยายามจะกำจัดศัตรูของเรา เพราะเราทราบว่าพระยะโฮวาได้ตรัสว่า “การแก้แค้นเป็นพนักงานของเรา เราเองจะตอบแทน.”—เฮ็บราย 10:30; พระบัญญัติ 32:35.
หากพระเจ้าจะสังหารคนชั่ว บรรดาคนที่มีความผิดฐานทำให้โลหิตตกดังกล่าวคงจะไปจากดาวิด. พวกเขามีประวัติเกี่ยวกับความผิดในการทำให้เลือดตกยางออกและได้พูดสิ่งต่าง ๆ ในเรื่องพระยะโฮวาตามความคิดเห็นของตน ไม่ใช่ประสานกับความคิดของพระองค์. นอกจากนั้น พวกเขาสมควรจะตายเพราะเขานำคำติเตียนมาสู่พระนามของพระเจ้าโดยการใช้พระนามนั้นในทางที่ไร้ค่า บางทีอาจจะโดยการใช้พระนามนั้นขณะที่พวกเขาส่งเสริมแผนการชั่วร้ายของเขา. (เอ็กโซโด 20:7) ขอให้เราอย่าได้มีความผิดฐานทำบาปอย่างเดียวกันนั้นเลย.
เพราะคนชั่วมีความผิดฐานทำให้เลือดตก และนำคำติเตียนมาสู่พระนามของพระเจ้า ดาวิดจึงแถลงว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา ข้าพเจ้าเกลียดคนเหล่านั้นที่เกลียดพระองค์อย่างยิ่งมิใช่หรือ และข้าพเจ้ารู้สึกสะอิดสะเอียนคนเหล่านั้นที่กบฏต่อพระองค์มิใช่หรือ? ข้าพเจ้าเกลียดพวกเขาด้วยความเกลียดเต็มที่. พวกเขากลายเป็นศัตรูจริง ๆ สำหรับข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:21, 22, ล.ม.) ดาวิดรู้สึกจงเกลียดจงชังต่อคนเหล่านี้เพราะพวกเขาเกลียดชังพระยะโฮวาอย่างรุนแรง และกบฏต่อพระองค์. พวกเขาเป็นศัตรูของผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญเพราะท่านเกลียดชังความชั่วของเขา การที่เขาไม่มีพระเจ้าและการกบฏต่อพระผู้สูงสุด.
จงให้พระเจ้าพินิจพิเคราะห์ดูคุณ
ดาวิดไม่ต้องการเป็นเหมือนคนชั่ว แต่ท่านทราบว่า ท่านไม่ควรรู้สึกเคืองแค้นเขา. ดังนั้น ท่านจึงทูลอ้อนวอนว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดพินิจพิเคราะห์ดูข้าพเจ้า และทรงทราบหัวใจของข้าพเจ้า. ขอโปรดตรวจสอบดูข้าพเจ้า และทรงทราบความคิดที่ปั่นป่วนของข้าพเจ้า และทอดพระเนตรดูว่า มีวิถีที่ก่อความปวดร้าวใด ๆ ในตัวข้าพเจ้าหรือไม่ และโปรดนำข้าพเจ้าไปในหนทางที่ดำเนินสืบไปโดยไม่มีเวลากำหนด.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:23, 24, ล.ม.) เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญ เราควรต้องการให้พระเจ้าพินิจพิเคราะห์ดูหัวใจของเรา และวินิจฉัยออกมาว่า เรามีเจตนาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่. (1 โครนิกา 28:9) เราควรขอพระยะโฮวาให้ตรวจสอบดูเรา ทรงทราบความคิดที่ไม่สงบของเรา และดูว่ามีทางที่ทำให้เจ็บปวดใด ๆ ในตัวเราหรือไม่. หากเราถูกรุมล้อมด้วยความกังวลเกี่ยวกับความผิดพลาดของเรา หรือมีอะไรบางอย่างที่เป็นผลเสียหายภายในตัวเรา หรือมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับเจตนาของเรา ขอให้เราทูลอธิษฐานด้วยใจถ่อม และยินยอมอย่างเต็มที่ต่อการชี้นำแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า และคำแนะนำจากพระวจนะของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 40:11-13) โดยวิถีทางดังกล่าว พระยะโฮวา มิตรดีที่สุด จะทรงนำเราไปในทางที่ดำรงอยู่โดยไม่มีเวลากำหนดได้ ทรงช่วยเราให้ติดตามแนวทางชอบธรรมซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร.
ฉะนั้น เพลงสรรเสริญบท 139 จัดให้มีการหนุนกำลังใจอันแท้จริง. บทเพลงนั้นชี้ให้เห็นว่า เนื่องจากไม่มีสิ่งใดพ้นจากการสังเกตแห่งพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเรา พระองค์ทรงสามารถช่วยเราในทุกวาระที่มีความจำเป็น. (เฮ็บราย 4:16) นอกจากนั้น เพราะพระยะโฮวาทรงรู้จักเราดียิ่งกว่าเรารู้จักตัวเอง เรารู้สึกปลอดภัยในความใฝ่พระทัยด้วยความรักของพระองค์. (พระบัญญัติ 33:27) หากเราทูลของพระองค์ด้วยใจถ่อมให้พินิจพิเคราะห์เรา และชี้ให้เราเอาใจใส่ความอ่อนแอเฉพาะตัว เราสามารถแก้ไขเรื่องต่าง ๆ โดยความช่วยเหลือจากพระองค์. ดังนั้นแล้ว แน่นอน ความรู้ของพระเจ้าเกี่ยวกับเราฐานะปัจเจกบุคคลควรมีผลกระทบต่อชีวิตของเราในทางดี. นั่นควรกระตุ้นเราให้เป็นผู้สนับสนุนที่ซื่อสัตย์ต่อการนมัสการแท้ และดำเนินอย่างถ่อมใจจำเพาะพระยะโฮวา ผู้ทรงรู้จักเราดีจริง ๆ.