จงให้ “คำตรัส” ของพระยะโฮวาปกป้องคุณไว้
ในปี 490 ก่อนสากลศักราช ณ การสู้รบครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์ ณ ที่ราบมาราทอน กองทัพของเอเธนส์จำนวนตั้งแต่ 10,000 ถึง 20,000 คนได้เผชิญหน้ากับกองทัพเปอร์เซียที่มีพลทหารมากกว่าหลายเท่า. ปัจจัยสำคัญในกลยุทธ์ของกรีกคือขบวนรบแบบที่กองทหารเคลื่อนขบวนอย่างหนาแน่นในลักษณะรูปสี่เหลี่ยม. โล่ของพวกเขาที่ซ้อนทับกันดูคล้ายกับกำแพงอาวุธที่ไม่ใครจะฝ่าทะลุได้ เป็นกำแพงที่แน่นขนัดไปด้วยหอก. ขบวนรบแบบสี่เหลี่ยมนี้ทำให้ชาวเอเธนส์ได้รับชัยชนะที่โด่งดังเหนือกองทัพของเปอร์เซียซึ่งมีจำนวนทหารมากกว่านัก.
คริสเตียนแท้เข้าร่วมในการสู้รบฝ่ายวิญญาณ. พวกเขาต่อสู้กับเหล่าศัตรูที่มีอำนาจมาก นั่นคือเหล่าผู้ปกครองที่ไม่ประจักษ์แก่ตาของระบบชั่วในปัจจุบัน ผู้ซึ่งได้รับการพรรณนาในคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็น “ผู้ครอบครองโลกแห่งความมืดนี้ . . . อำนาจวิญญาณชั่วในสวรรค์สถาน.” (เอเฟโซ 6:12, ล.ม.; 1 โยฮัน 5:19) ประชาชนของพระเจ้ายังคงมีชัยชนะอยู่ต่อไป—แต่ไม่ใช่โดยพละกำลังของพวกเขาเอง. เกียรติยศทั้งสิ้นย่อมเป็นของพระยะโฮวา ผู้ทรงปกปักรักษาและสั่งสอนพวกเขา ดังที่กล่าวในบทเพลงสรรเสริญ 18:30 (ล.ม.) ว่า “คำตรัสของพระยะโฮวาเป็นคำตรัสที่กลั่นกรองแล้ว. พระองค์เป็นโล่สำหรับทุกคนที่พึ่งในพระองค์.”
ใช่แล้ว โดย “คำตรัส” ที่กลั่นกรองแล้วของพระองค์ซึ่งมีอยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระยะโฮวาทรงปกป้องผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์ไว้จากความเสียหายทางฝ่ายวิญญาณ. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-11; 119:93) ซะโลโมได้เขียนเกี่ยวกับสติปัญญาที่ปรากฏชัดในพระคำของพระเจ้าว่า “อย่าละทิ้งพระปัญญา, และพระปัญญาก็จะพิทักษ์รักษาเจ้าไว้; จงรักพระปัญญา, และพระปัญญาจะบำรุงรักษาเจ้าไว้.” (สุภาษิต 4:6; ท่านผู้ประกาศ 7:12) สติปัญญาของพระเจ้าปกป้องเราไว้จากความเสียหายโดยวิธีใด? ขอพิจารณาตัวอย่างของชาติอิสราเอลโบราณ.
ผู้คนที่ได้รับการปกป้องโดยสติปัญญาของพระเจ้า
พระบัญญัติของพระยะโฮวาได้ปกป้องและชี้นำชาวอิสราเอลในทุกแง่มุมของชีวิต. ตัวอย่างเช่น ข้อบังคับว่าด้วยอาหาร, สุขอนามัย, และการกักตัวคนที่เป็นโรคติดต่อได้ป้องกันพวกเขาไว้จากโรคหลายอย่างซึ่งก่อความเสียหายแก่ชาติอื่น ๆ. เฉพาะแต่หลังจากการค้นพบแบคทีเรียในศตวรรษที่ 19 แล้วเท่านั้นที่วิทยาศาสตร์เริ่มจะตามทันพระบัญญัติของพระเจ้า. กฎหมายว่าด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน, การซื้อคืน, การยกเลิกหนี้สิน, และการกู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย ก่อประโยชน์ต่อสังคมในอิสราเอลโดยส่งเสริมความมั่นคงและระบบเศรษฐกิจที่ยุติธรรม. (พระบัญญัติ 7:12, 15; 15:4, 5) พระบัญญัติของพระยะโฮวาถึงกับช่วยรักษาสภาพดินในอิสราเอลด้วยซ้ำ! (เอ็กโซโด 23:10,11) พระบัญญัติที่ห้ามการนมัสการเท็จได้ปกป้องประชาชนไว้ทางด้านศาสนา, คุ้มครองพวกเขาไว้จากการกดขี่ของผีปิศาจ, การบูชายัญเด็ก, และความชั่วร้ายอีกหลายอย่าง นอกเหนือจากกิจปฏิบัติที่มนุษย์ลดตัวให้ต่ำลงโดยการก้มลงกราบรูปเคารพที่ไร้ชีวิต.—เอ็กโซโด 20:3-5; บทเพลงสรรเสริญ 115:4-8.
เห็นได้ชัด “คำตรัส” ของพระยะโฮวาปรากฏว่า ‘หาเป็นการเปล่าไม่’ สำหรับชาติอิสราเอล; แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นั่นหมายถึงชีวิตและอายุยืนนานสำหรับทุกคนที่เอาใจใส่คำตรัสนั้น. (พระบัญญัติ 32:47) เป็นเช่นเดียวกันนั้นกับผู้ที่ปฏิบัติตามคำตรัสอันฉลาดสุขุมของพระยะโฮวาในทุกวันนี้ ถึงแม้คริสเตียนไม่ได้อยู่ภายใต้สัญญาไมตรีแห่งพระบัญญัติอีกต่อไปก็ตาม. (ฆะลาเตีย 3:24, 25; เฮ็บราย 8:8) ที่จริง แทนที่จะมีประมวลกฎหมาย คริสเตียนใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีขอบเขตกว้างเพื่อชี้นำและปกป้องพวกเขา.
ผู้คนที่ได้รับการปกป้องโดยหลักการ
กฎหมายต่าง ๆ อาจนำมาใช้ได้อย่างจำกัดและอาจใช้ได้เพียงชั่วคราว. อย่างไรก็ดี หลักการในคัมภีร์ไบเบิล เนื่องจากเป็นความจริงพื้นฐาน ตามปกติแล้วนำมาใช้ได้อย่างกว้างขวางและใช้ได้ตลอดไป. ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาหลักการที่กล่าวในยาโกโบ 3:17 (ล.ม.) ซึ่งส่วนหนึ่งกล่าวว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้นประการแรกบริสุทธิ์, แล้วก่อให้เกิดสันติสุข.” ความจริงพื้นฐานข้อนี้เป็นเหมือนโล่ที่ปกป้องประชาชนของพระเจ้าในทุกวันนี้ได้อย่างไร?
บริสุทธิ์หมายถึงสะอาดทางด้านศีลธรรม. ดังนั้น คนที่ถือว่าความบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่สำคัญจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่เพียงการผิดศีลธรรม แต่หลีกเลี่ยงกระทั่งสิ่งที่นำไปสู่การผิดศีลธรรมด้วยซ้ำ ซึ่งก็รวมไปถึงการคิดเพ้อฝันในเรื่องเพศและสื่อลามก. (มัดธาย 5:28) เช่นเดียวกัน ชายหญิงที่เป็นคู่รักกันซึ่งได้เอาใจใส่หลักการในยาโกโบ 3:17 หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดสนิทสนมที่อาจทำให้สูญเสียการบังคับตน. เนื่องจากได้รับการชี้นำโดยหลักการ เขาทั้งสองไม่ถูกล่อใจให้ละทิ้งความบริสุทธิ์ บางทีโดยคิดว่าตราบใดที่เขาไม่ละเมิดตัวบทกฎหมายของพระเจ้าจริง ๆ ความประพฤติของเขาก็ยังเป็นที่พระยะโฮวาทรงยอมรับ. เขาทราบว่าพระยะโฮวา “ทรงทอดพระเนตรดวงจิตต์ [“หัวใจ,” ล.ม.]” และทรงตอบสนองตามที่พระองค์ทรงเห็น. (1 ซามูเอล 16:7; 2 โครนิกา 16:9) คนที่ฉลาดเช่นนั้นป้องกันตัวไว้จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายอย่างที่แพร่ระบาดในทุกวันนี้ อีกทั้งรักษาสวัสดิภาพด้านจิตใจและด้านความรู้สึกของตนไว้ด้วย.
ยาโกโบ 3:17 กล่าวว่า สติปัญญาจากพระเจ้ายัง “ก่อให้เกิดสันติสุข” ด้วย. เรารู้ว่าซาตานพยายามทำให้เราเหินห่างจากพระยะโฮวาโดยการเพาะน้ำใจที่ชอบความรุนแรงขึ้นในหัวใจของเรา ส่วนหนึ่งโดยทางสิ่งพิมพ์, ภาพยนตร์, ดนตรี, และเกมคอมพิวเตอร์ที่น่าสงสัย ซึ่งบางเกมปลุกเร้าผู้เล่นให้เลียนแบบความเหี้ยมโหดและการสังหารแบบที่ยากจะนึกภาพออกได้! (บทเพลงสรรเสริญ 11:5) ความสำเร็จของซาตานปรากฏชัดในคลื่นของอาชญากรรมที่รุนแรงซึ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. เกี่ยวกับอาชญากรรมดังกล่าว หลายปีมาแล้วหนังสือพิมพ์ออสเตรเลียชื่อเดอะ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮรัลด์ ได้อ้างถึงคำพูดของโรเบิร์ต เรสเลอร์ซึ่งคิดคำ “ฆาตกรต่อเนื่อง” ขึ้นมา. เรสเลอร์ได้กล่าวว่าบรรดาฆาตกรที่เขาได้สัมภาษณ์ในทศวรรษ 1970 ได้รับการกระตุ้นจากสื่อลามกแบบที่ไม่โจ่งแจ้งซึ่ง “ต่ำทรามน้อยกว่าสื่อลามกในปัจจุบัน.” ดังนั้น เรสเลอร์ได้แสดง “มุมมองที่มืดมนในเรื่องอนาคต ซึ่งเป็นศตวรรษใหม่ที่จำนวนฆาตกรซึ่งได้ฆ่าคนจำนวนมากในช่วงเวลาหนึ่งจะเพิ่มขึ้น.”
ที่จริง เพียงไม่กี่เดือนหลังจากข่าวนั้นปรากฏออกมา มือปืนคนหนึ่งได้ฆ่าเด็กเล็ก ๆ 16 คนกับครูที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในเมืองดันเบลน สกอตแลนด์ แล้วฆ่าตัวตาย. เดือนต่อมา มือปืนที่บ้าคลั่งอีกคนหนึ่งได้สังหารหมู่ 32 คนในเมืองพอร์ตอาเทอร์ที่สงบบนเกาะแทสเมเนีย ออสเตรเลีย. ไม่กี่ปีมานี้ สหรัฐตกตะลึงเนื่องจากการสังหารหมู่ที่โรงเรียนหลายราย เป็นเหตุให้ชาวอเมริกันถามว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้? ในเดือนมิถุนายน 2001 ญี่ปุ่นได้กลายเป็นพาดหัวข่าวไปทั่วโลกเมื่อชายสติฟั่นเฟือนคนหนึ่งได้เข้าไปในโรงเรียนแล้วใช้มีดแทงเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งและสอง 8 คนถึงแก่ความตายและอีก 15 คนถูกแทงเป็นแผลเหวอะหวะ. แน่นอน เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความชั่วร้ายดังกล่าวเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ภาพความรุนแรงที่ปรากฏมากขึ้นบนสื่อถือกันว่าเป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง. ฟิลลิป แอดัมส์ นักเขียนคอลัมน์ชาวออสเตรเลียได้เขียนว่า “หากการโฆษณาทางโทรทัศน์หรือวิทยุที่ใช้เวลา 60 วินาทีสามารถเพิ่มการขายอย่างมหาศาลแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพยนตร์เงินล้านที่ยาวสองชั่วโมงจะมีผลกระทบต่อเจตคติอย่างแน่นอน.” เป็นที่น่าสนใจ ในบ้านของมือปืนที่พอร์ตอาเทอร์ ตำรวจยึดได้วิดีโอ 2,000 ม้วนที่มีเนื้อหาเน้นความรุนแรงและเป็นเรื่องลามก.
คนเหล่านั้นที่ยึดมั่นกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลปกป้องจิตใจและหัวใจของเขาไว้จากความบันเทิงทุกรูปแบบที่ส่งเสริมความเพลิดเพลินในความรุนแรง. ด้วยเหตุนี้ เขาไม่ยอมให้ “วิญญาณของโลก” ส่งผลกระทบต่อความคิดและความปรารถนาของเขา. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาได้ “รับการสอนจากพระวิญญาณ [ของพระเจ้า]” และเขาพยายามปลูกฝังความรักต่อผลของพระวิญญาณ ซึ่งรวมถึงสันติสุขด้วย. (1 โกรินโธ 2:12, 13 ล.ม.; ฆะลาเตีย 5:22, 23) เขาทำเช่นนี้โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ, อธิษฐาน, และคิดรำพึงในแบบที่เสริมสร้าง. เขายังหลีกเลี่ยงการคบหากับคนที่มีแนวโน้มชอบความรุนแรง แต่เลือกคบหากับคนเหล่านั้นที่ปรารถนาจะอยู่ในโลกใหม่ที่สงบสุขของพระยะโฮวา เช่นเดียวกับเขา. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3; สุภาษิต 16:29) ใช่แล้ว สติปัญญาของพระเจ้าให้การปกป้องเสียนี่กระไร!
ให้ “คำตรัส” ของพระยะโฮวาป้องกันรักษาหัวใจคุณ
เมื่อถูกล่อใจขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเยซูทรงโต้แย้งกับซาตานโดยยกพระคำของพระเจ้าขึ้นมากล่าวอย่างถูกต้อง. (ลูกา 4:1-13) อย่างไรก็ดี พระองค์ไม่ได้สนทนากับพญามารเพื่อแสดงว่าใครมีปัญญาเหนือกว่ากัน. โดยใช้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานในการต่อสู้ของพระองค์ พระเยซูทรงพูดจากหัวใจ และเพราะเหตุนั้น อุบายของพญามารซึ่งใช้ได้ผลดีทีเดียวในสวนเอเดน จึงใช้ไม่ได้ผลในกรณีของพระเยซู. กลอุบายของซาตานจะใช้ไม่ได้ผลกับเราด้วยหากเราให้หัวใจเปี่ยมด้วยคำตรัสของพระยะโฮวา. ไม่มีอะไรจะสำคัญยิ่งไปกว่านี้ เพราะ “แหล่งแห่งชีวิตเกิดจากหัวใจ.”—สุภาษิต 4:23, ล.ม.
นอกจากนี้ เราต้องป้องกันรักษาหัวใจของเราไว้ต่อ ๆ ไปไม่หยุดหย่อน. ถึงแม้ล้มเหลวในป่าทุรกันดาร ซาตานก็ไม่ได้เลิกทดลองพระเยซู. (ลูกา 4:13) มันจะมุ่งหน้าไม่ละลดในการเล่นงานเราด้วย พยายามใช้อุบายหลากหลายเพื่อทำลายความซื่อสัตย์มั่นคงของเรา. (วิวรณ์ 12:17) เพราะฉะนั้น ขอให้เราเลียนแบบพระเยซูโดยการปลูกฝังความรักที่ลึกซึ้งต่อพระคำของพระเจ้า เวลาเดียวกันก็อธิษฐานอย่างไม่ละลดเพื่อได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา. (1 เธซะโลนิเก 5:17; เฮ็บราย 5:7) ส่วนพระยะโฮวาทรงสัญญาว่าทุกคนที่พึ่งพำนักในพระองค์จะไม่ประสบความเสียหายทางฝ่ายวิญญาณ.—บทเพลงสรรเสริญ 91:1-10; สุภาษิต 1:33.
พระคำของพระเจ้าปกปักรักษาประชาคม
ซาตานไม่สามารถขัดขวาง “ชนฝูงใหญ่” ที่บอกไว้ล่วงหน้าไม่ให้รอดผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่. (วิวรณ์ 7:9, 14, ล.ม.) ถึงกระนั้น มันยังคงพยายามอย่างดุเดือดที่จะทำให้คริสเตียนเสื่อมเสียเพื่อที่อย่างน้อยก็บางคนจะสูญเสียความโปรดปรานของพระยะโฮวา. อุบายนั้นใช้ได้ผลในอิสราเอลโบราณและทำให้ 24,000 คนเสียชีวิตก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่แผ่นดินตามคำสัญญาทีเดียว. (อาฤธโม 25:1-9) แน่นอน คริสเตียนที่ทำผิดซึ่งแสดงการกลับใจอย่างแท้จริงได้รับการช่วยเหลือด้วยความรักเพื่อจะฟื้นตัวทางฝ่ายวิญญาณ. แต่คนบาปที่ไม่กลับใจ เช่นเดียวกับซิมรีในสมัยก่อนโน้น เป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพด้านศีลธรรมและด้านวิญญาณของคนอื่น. (อาฤธโม 25:14) เช่นเดียวกับทหารในขบวนรบแบบสี่เหลี่ยมซึ่งได้โยนโล่ของตนทิ้งไป พวกเขาไม่เพียงทำให้ตัวเองเป็นอันตราย แต่ทำให้เพื่อน ๆ ของเขาเป็นอันตรายด้วยเช่นกัน.
ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์ไบเบิลจึงมีคำสั่งว่า “ถ้าผู้ใดที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว, แต่ยังเป็นคนผิดประเวณี, เป็นคนโลภ, เป็นคนไหว้รูปเคารพ, เป็นคนปากร้าย, เป็นคนขี้เมา, หรือเป็นคนฉ้อโกง, อย่าคบให้สนิทกับคนอย่างนั้น แม้จะกินด้วยกันก็อย่าเลย. . . . จงขับไล่คนชั่วนั้นออกเสียจากพวกท่าน.” (1 โกรินโธ 5:11, 13) คุณเห็นด้วยมิใช่หรือว่า “คำตรัส” ที่ฉลาดสุขุมนี้ช่วยรักษาความบริสุทธิ์ด้านศีลธรรมและด้านวิญญาณของประชาคมคริสเตียน?
ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หลายคริสตจักรในคริสต์ศาสนจักรรวมทั้งผู้ออกหากด้วยถือว่าข้อความดังกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งขัดแย้งกับทัศนะเกี่ยวกับศีลธรรมแบบเสรีในปัจจุบันนั้นล้าสมัย. ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงหาข้ออ้างสนับสนุนบาปร้ายแรงทุกรูปแบบ แม้แต่ในท่ามกลางนักเทศน์นักบวช. (2 ติโมเธียว 4:3, 4) อย่างไรก็ดี โปรดสังเกตว่าหลังจากที่สุภาษิต 30:5 กล่าวถึง “คำโอวาท” ของพระยะโฮวาที่เป็นเหมือนโล่ด้วยแล้ว ข้อ 6 สั่งว่า “อย่าเพิ่มคำในโอวาทของ [พระเจ้า] เลย, เกรงว่าพระองค์จะทรงต่อว่าเจ้า, และเจ้าจะปรากฏเป็นคนมุสา.” ใช่แล้ว คนเหล่านั้นที่พยายามเปลี่ยนแปลงคัมภีร์ไบเบิลเป็นผู้มุสาด้านวิญญาณอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือผู้มุสาที่สมควรถูกตำหนิมากที่สุดในบรรดาผู้มุสาทั้งปวง! (มัดธาย 15:6-9) ดังนั้นแล้ว ให้เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ได้เป็นส่วนขององค์การที่นับถือพระคำของพระเจ้าอย่างยิ่ง.
ได้รับการปกป้องโดย “สุคนธรสอันหวาน”
เนื่องจากประชาชนของพระเจ้ายึดมั่นอยู่กับคัมภีร์ไบเบิลและแบ่งปันข่าวสารที่ปลอบประโลมใจในพระคัมภีร์ให้แก่คนอื่น พวกเขาจึงทำให้ “สุคนธรสอันหวาน” แห่งชีวิตที่เป็นดุจเครื่องหอมกระจายออกไปซึ่งทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย. แต่สำหรับคนอธรรมแล้ว ผู้นำข่าวสารนั้นไป แผ่ “กลิ่นรสแห่งความตาย.” ใช่แล้ว ระบบของซาตานได้ทำให้ประสาทรับกลิ่นโดยนัยของคนชั่วผิดเพี้ยนไปจนพวกเขารู้สึกอึดอัดหรือถึงกับเป็นปรปักษ์ด้วยซ้ำเมื่อคนเหล่านั้นที่ทำให้ “สุคนธรสอันหวานของพระคริสต์” กระจายไปอยู่ต่อหน้าพวกเขา. อีกด้านหนึ่ง คนเหล่านั้นที่เผยแพร่ข่าวดีด้วยใจแรงกล้ากลายเป็น “สุคนธรสอันหวานของพระคริสต์ . . . ในท่ามกลางคนที่กำลังรอด.” (2 โกรินโธ 2:14-16) คนสุจริตใจเช่นนั้นมักจะรังเกียจความหน้าซื่อใจคดและการโกหกหลอกลวงทางศาสนาซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของศาสนาเท็จ. ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราเปิดพระคำของพระเจ้าและแบ่งปันข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร พวกเขาจึงรู้สึกถูกดึงดูดให้มาหาพระคริสต์และต้องการเรียนรู้มากขึ้น.—โยฮัน 6:44.
ดังนั้น อย่ารู้สึกท้อใจเมื่อบางคนไม่ตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักร. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงมองว่า “สุคนธรสอันหวานของพระคริสต์” เป็นการปกป้องฝ่ายวิญญาณรูปแบบหนึ่งซึ่งขัดขวางบุคคลที่อาจเป็นอันตรายหลายคนมิให้เข้ามาในอาณาเขตฝ่ายวิญญาณที่ประชาชนของพระเจ้าอาศัยอยู่ ขณะเดียวกันก็ดึงดูดคนเหล่านั้นที่มีหัวใจดี.—ยะซายา 35:8, 9.
เนื่องจากทหารกรีก ณ ที่ราบมาราทอนเคลื่อนขบวนที่หนาแน่นและจับโล่ไว้มั่นสุดแรง พวกเขาจึงมีชัยชนะทั้ง ๆ ที่แทบมองไม่เห็นโอกาสจะชนะได้. ในลักษณะเดียวกัน พยานฯ ผู้ภักดีของพระยะโฮวามั่นใจในชัยชนะอย่างครบถ้วนในการสู้รบฝ่ายวิญญาณของพวกเขา เพราะนั่นเป็น “ทรัพย์มรดก” ของพวกเขา.” (ยะซายา 54:17, ล.ม.) เพราะฉะนั้น ขอให้เราแต่ละคนพึ่งพำนักในพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปโดย “ยึดมั่นกับพระคำแห่งชีวิต.”—ฟิลิปปอย 2:16, ล.ม.
[ภาพหน้า 31]
‘สติปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์, แล้วก่อให้เกิดสันติสุข’