ความไว้วางใจในพระยะโฮวาอย่างเต็มที่สร้างความเชื่อมั่น
“พระยะโฮวาจะทรงสดับฟัง, เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานทูลพระองค์.”—เพลง. 4:3
1, 2. (ก) ดาวิดเผชิญเหตุการณ์ที่เสี่ยงอันตรายอะไร? (ข) เราจะพิจารณาเพลงสรรเสริญบทไหน?
กษัตริย์ดาวิดปกครองอิสราเอลมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้ท่านต้องเผชิญกับเหตุการณ์หนึ่งที่เสี่ยงอันตราย. อับซาโลมราชบุตรจอมเจ้าเล่ห์ของท่านประกาศตัวเป็นกษัตริย์ และดาวิดถูกบีบให้ต้องทิ้งกรุงเยรูซาเลมไป. นอกจากนั้น ท่านยังถูกสหายคนสนิททรยศอีกด้วย ถึงตอนนี้มีผู้ที่ภักดีเพียงไม่กี่คนไปกับท่าน ท่านเดินพลางร้องไห้พลางและเดินเท้าเปล่าข้ามภูเขามะกอกไป. ภายหลัง ซิมอีซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของกษัตริย์ซาอูลเอาก้อนหินกับฝุ่นขว้างใส่ดาวิด พร้อมกับแช่งด่าไปด้วย.—2 ซามู. 15:30, 31; 16:5-14
2 เหตุการณ์อันแสนเจ็บปวดนี้ทำให้ดาวิดลงไปสู่เชโอลด้วยความโศกเศร้าและอัปยศไหม? ไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะท่านไว้วางใจพระยะโฮวา. เรื่องนี้เห็นได้จากเพลงสรรเสริญบท 3 ที่ดาวิดแต่งซึ่งพรรณนาถึงการหลบหนีของท่าน. ท่านยังเขียนเพลงสรรเสริญบท 4 ด้วย. เพลงสรรเสริญทั้งสองบทนี้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงสดับฟังและตอบคำอธิษฐาน. (เพลง. 3:4; 4:3) เพลงสรรเสริญทั้งสองบทนี้ทำให้เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาสถิตกับผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ทั้งวันทั้งคืน โดยทรงสนับสนุนพวกเขาและช่วยพวกเขาให้มีสันติสุขและรู้สึกปลอดภัย. (เพลง. 3:5; 4:8) ด้วยเหตุนั้น ขอให้เรามาพิจารณาเพลงสรรเสริญทั้งสองบทนี้และดูว่านั่นจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างไร.
เมื่อ ‘ผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้เรามีมากมาย’
3. ดังที่แสดงไว้ที่บทเพลงสรรเสริญ 3:1, 2 สถานการณ์ของดาวิดเป็นเช่นไร?
3 ผู้ส่งข่าวคนหนึ่งกราบทูลว่า “ใจของชนยิศราเอลนิยมชมชอบในอับซาโลมแล้ว.” (2 ซามู. 15:13) ด้วยความฉงนที่อับซาโลมระดมพลมาสนับสนุนเขาได้มากขนาดนั้น ดาวิดจึงทูลว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, คนที่ข่มเหงข้าพเจ้าก็ทวีขึ้นจริง! ผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้ามีมากมาย. มีคนมากหลายกล่าวถึงจิตต์ใจของข้าพเจ้าว่า, ความรอดในพระเจ้าเขาไม่มีเลย.” (เพลง. 3:1, 2) ชาวอิสราเอลหลายคนคิดว่าพระยะโฮวาจะไม่ช่วยดาวิดให้รอดพ้นหายนะที่มาจากเงื้อมมือของอับซาโลมและสมัครพรรคพวก.
4, 5. (ก) ดาวิดแน่ใจในเรื่องใด? (ข) วลีที่ว่า “ผู้ทรงยกศีรษะของข้าพเจ้าขึ้น” มีความหมายอย่างไร?
4 แต่ดาวิดมีความเชื่อมั่นเพราะท่านไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่. ท่านร้องเพลงว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, แต่พระองค์เป็นโล่ของข้าพเจ้า; เป็นเกียรติยศ, และเป็นผู้ทรงยกศีรษะของข้าพเจ้าขึ้น.” (เพลง. 3:3) ดาวิดแน่ใจว่าพระยะโฮวาจะทรงปกป้องท่านเช่นเดียวกับที่โล่ปกป้องทหาร. ขณะที่กษัตริย์ผู้ชราแล้วกำลังหลบลี้หนีภัย ท่านต้องคลุมศีรษะและงอตัวก้มหน้าก้มตาด้วยความอัปยศ. แต่พระผู้สูงสุดจะเปลี่ยนสภาพการณ์ในชีวิตของดาวิดให้ท่านได้รับเกียรติ. พระยะโฮวาจะทำให้ท่านยืดตัวตรงและเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้งหนึ่ง. ดาวิดร้องออกมาด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าจะตอบท่าน. คุณแสดงความไว้วางใจในพระยะโฮวาอย่างนั้นไหม?
5 โดยเรียกพระยะโฮวาว่า “ผู้ทรงยกศีรษะของข้าพเจ้าขึ้น” ดาวิดยอมรับว่าความช่วยเหลือที่ท่านคาดหมายจะได้รับนั้นจะมาจากพระยะโฮวา. ฉบับแปล ทูเดส์ อิงลิช แปลข้อนี้ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงปกป้องข้าพเจ้าไว้จากอันตรายเสมอ; พระองค์ประทานชัยชนะแก่ข้าพเจ้าและทรงช่วยข้าพเจ้าให้มีความกล้าอีกครั้งหนึ่ง.” หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งกล่าวถึงวลี “ผู้ทรงยกศีรษะของข้าพเจ้าขึ้น” ดังนี้: “เมื่อพระเจ้าทรงยกศีรษะ [ใครคนหนึ่ง] ขึ้น พระองค์ทรงใส่ความหวังและความเชื่อมั่นไว้ในตัวบุคคลผู้นั้น.” เนื่องจากถูกบีบบังคับให้ทิ้งราชบัลลังก์ จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าดาวิดอาจรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง. อย่างไรก็ตาม การที่พระยะโฮวา ‘ยกศีรษะของท่านขึ้น’ ย่อมจะทำให้ท่านมีความกล้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งทำให้ท่านเชื่อมั่นและไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่.
‘พระยะโฮวาตรัสตอบ!’
6. เหตุใดดาวิดจึงกล่าวว่าพระยะโฮวาตรัสตอบคำอธิษฐานของท่านจากภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์?
6 ดาวิดกล่าวต่อไปด้วยความไว้วางใจและเชื่อมั่นเต็มที่ในพระยะโฮวาว่า “ข้าพระองค์ร้องทูลพระเจ้า และพระองค์ตรัสตอบข้าพระองค์จากภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์.” (เพลง. 3:4, ฉบับ R73) ตามพระบัญชาของดาวิด หีบสัญญาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงการประทับของพระเจ้าได้ถูกนำมาไว้ที่ภูเขาซีโอน. (อ่าน 2 ซามูเอล 15:23-25) ดังนั้น จึงเหมาะที่ดาวิดกล่าวว่าพระยะโฮวาตรัสตอบคำอธิษฐานของท่านจากภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์.
7. เหตุใดดาวิดจึงไม่กลัว?
7 ด้วยความแน่ใจว่าคำอธิษฐานของท่านที่ทูลต่อพระเจ้าจะไม่ไร้ผล ดาวิดจึงไม่กลัว. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านร้องเพลงว่า “ข้าพเจ้าได้นอนหลับไป, แล้วก็ตื่นขึ้นอีก; เพราะพระยะโฮวาทรงอุปถัมภ์ไว้.” (เพลง. 3:5) แม้ในยามค่ำคืนซึ่งมีโอกาสที่จะถูกจู่โจมมากที่สุด ดาวิดก็ไม่กลัวที่จะเข้านอน. ท่านมั่นใจว่าท่านจะตื่นขึ้นมาอีก เพราะประสบการณ์ที่ท่านมีในอดีตทำให้ท่านมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าท่านสามารถวางใจว่าพระเจ้าจะช่วยท่านอย่างแน่นอน. เราก็สามารถมั่นใจเช่นนั้นด้วยถ้าเรา “รักษาพระบัญญัติของพระองค์” เสมอ และไม่หันเหไปจากพระองค์.—อ่าน 2 ซามูเอล 22:21, 22
8. บทเพลงสรรเสริญ 27:1-4 แสดงให้เห็นอย่างไรว่าดาวิดไว้วางใจพระเจ้า?
8 ความเชื่อมั่นและความไว้วางใจเต็มที่ในพระเจ้าเห็นได้ชัดในเพลงสรรเสริญอีกบทหนึ่งที่ท่านแต่ง ซึ่งมีถ้อยคำที่ท่านได้รับการดลใจให้เขียนว่า “พระยะโฮวาเป็นสว่างและความรอดของข้าพเจ้า; ข้าพเจ้าจะต้องกลัวผู้ใดเล่า? พระยะโฮวาเป็นกำลังวังชาแห่งชีวิตของข้าพเจ้า; ข้าพเจ้าจะต้องไปกลัวใคร? . . . ถึงว่ากองทัพจะมาตั้งค่ายต่อสู้ข้าพเจ้า, ใจของข้าพเจ้าจะไม่หวั่น. . . . สิ่งเดียวซึ่งข้าพเจ้าได้ขอจากพระยะโฮวา, แล้วข้าพเจ้าจะเสาะหา; สิ่งนั้นคือที่จะได้อาศัยอยู่ในพระวิหารของพระองค์ตลอดชั่วชีวิตของข้าพเจ้า, เพื่อจะได้เห็นความสง่างามของพระยะโฮวา, และจะได้พินิจพิจารณาพระวิหารของพระองค์.” (เพลง. 27:1-4) ถ้าคุณรู้สึกอย่างเดียวกันนั้นและสภาพการณ์ในชีวิตของคุณเอื้ออำนวย คุณก็จะประชุมเป็นประจำกับเพื่อนผู้นมัสการพระยะโฮวา.—ฮีบรู 10:23-25
9, 10. แม้ว่าดาวิดกล่าวดังที่บันทึกไว้ในบทเพลงสรรเสริญ 3:6, 7 ทำไมจึงบอกได้ว่าดาวิดไม่ผูกพยาบาท?
9 แม้ว่าดาวิดถูกอับซาโลมทรยศและคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็ไม่ภักดีต่อท่าน ท่านร้องเพลงว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ครั่นคร้ามคนตั้งหมื่นซึ่งตั้งล้อมรอบต่อสู้ข้าพเจ้า. ข้าแต่พระยะโฮวา, พระเจ้าของข้าพเจ้า, ขอเสด็จมาช่วยข้าพเจ้า: พระองค์ทรงตีบรรดาศัตรูของข้าพเจ้าที่กะดูกแก้ม; และทรงหักฟันของคนชั่วร้ายแล้ว.”—เพลง. 3:6, 7
10 ดาวิดไม่ผูกพยาบาท. ถ้าศัตรูของท่านถูก ‘ตีที่กระดูกแก้ม’ นั่นก็เพราะพระเจ้าเป็นผู้ทำ. กษัตริย์ดาวิดคัดลอกพระบัญญัติฉบับส่วนตัวและท่านรู้ว่าพระยะโฮวาทรงประกาศไว้ในพระบัญญัติว่า “การแก้แค้นและการตอบแทนเป็นหน้าที่ของเรา.” (บัญ. 17:14, 15, 18; 32:35) การ “หักฟันของคนชั่วร้าย” ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าด้วย. การหักฟันหมายถึงการทำให้พวกเขาไร้อำนาจที่จะทำร้ายใครได้. พระยะโฮวาทรงรู้ว่าใครเป็นคนชั่วเพราะ “พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดวงจิตต์.” (1 ซามู. 16:7) เรารู้สึกขอบคุณสักเพียงไรที่พระเจ้าประทานความเชื่อและความเข้มแข็งให้เรายืนหยัดต้านทานซาตานผู้ชั่วร้ายตัวเอ้ ซึ่งในไม่ช้าจะถูกขังในขุมลึกดุจสิงโตที่ได้แต่คำรามแต่ปราศจากเขี้ยวเล็บและสมควรถูกทำลายอย่างยิ่ง!—1 เป. 5:8, 9; วิ. 20:1, 2, 7-10
“ความรอดย่อมมาแต่พระยะโฮวา”
11. ทำไมเราควรอธิษฐานเพื่อเพื่อนร่วมความเชื่อ?
11 ดาวิดตระหนักว่าพระยะโฮวาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยท่านให้รอดได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องได้รับอย่างยิ่ง. แต่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น. จะว่าอย่างไรสำหรับประชาชนโดยรวมทั้งหมดที่พระยะโฮวาทรงโปรดปราน? ดาวิดลงท้ายบทประพันธ์ที่ท่านได้รับการดลใจให้เขียนอย่างเหมาะเจาะว่า “ความรอดย่อมมาแต่พระยะโฮวา. ขออวยพระพรแก่พลไพร่ของพระองค์เถิด.” (เพลง. 3:8) จริงอยู่ ดาวิดมีปัญหาใหญ่โตมาก แต่ท่านก็ยังระลึกถึงประชาชนของพระยะโฮวาโดยทั่วไป และเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรพวกเขา. เราก็ควรระลึกถึงเพื่อนร่วมความเชื่อด้วยมิใช่หรือ? ขอให้เราระลึกถึงพวกเขาในคำอธิษฐาน ทูลขอให้พระยะโฮวาประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขาเพื่อพวกเขาจะรวบรวมความกล้าและประกาศข่าวดีด้วยความมั่นใจได้.—เอเฟ. 6:17-20
12, 13. เกิดอะไรขึ้นกับอับซาโลม และดาวิดมีปฏิกิริยาอย่างไร?
12 ชีวิตของอับซาโลมสิ้นสุดลงอย่างไร้เกียรติ และนั่นเป็นคำเตือนสำหรับทุกคนที่ปฏิบัติอย่างเลวร้ายต่อคนอื่น โดยเฉพาะต่อผู้ที่พระเจ้าทรงเจิม เช่น ดาวิด. (อ่านสุภาษิต 3:31-35) เกิดสงคราม และกองทัพของอับซาโลมพ่ายแพ้. ตัวอับซาโลมเองขี่ล่อหนีไปแล้วผมดกยาวของเขาก็ไปพันเข้ากับง่ามไม้ของกิ่งที่อยู่ส่วนล่างของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง. เขาห้อยติดอยู่ที่นั่น ยังมีชีวิตอยู่แต่ช่วยตัวเองไม่ได้เลย จนกระทั่งโยอาบมาฆ่าเขาโดยใช้หอกสั้นสามอันแทงเข้าที่หัวใจเขา.—2 ซามู. 18:6-17
13 ดาวิดดีใจไหมเมื่อท่านรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับราชบุตร? ไม่เลย. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านเดินวนไปเวียนมา ร้องไห้ และร้องออกมาว่า “โอ้อับซาโลมบุตรของเรา, บุตรเราเอ๋ย, อับซาโลมบุตรเราเอ๋ย, เราจะใคร่สิ้นชีพแทนเจ้า; อับซาโลมบุตรของเรา, บุตรเราเอ๋ย!” (2 ซามู. 18:24-33) ต่อเมื่อโยอาบมาพูดกับท่านแล้วเท่านั้นจึงได้ช่วยดาวิดให้คลายความทุกข์โศกเศร้าที่ท่านแทบจะทนไม่ได้. นับเป็นจุดจบอันน่าเศร้าจริง ๆ สำหรับอับซาโลม ผู้ปล่อยให้ตัวเองทะเยอทะยานมากจนถึงกับทำให้เขาต่อสู้กับราชบิดาซึ่งเป็นผู้ที่พระยะโฮวาทรงเจิม และทำให้ตัวเองพินาศ!—2 ซามู. 19:1-8; สุภา. 12:21; 24:21, 22
ดาวิดแสดงความไว้วางใจในพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
14. อาจกล่าวได้เช่นไรเกี่ยวกับการแต่งเพลงสรรเสริญบท 4?
14 เช่นเดียวกับบท 3 เพลงสรรเสริญบท 4 ก็เป็นคำอธิษฐานด้วยความรู้สึกแรงกล้าของดาวิดที่แสดงอย่างชัดเจนว่าท่านไว้วางใจพระยะโฮวาอย่างเต็มที่. (เพลง. 3:4; 4:3) ดาวิดอาจแต่งเพลงนี้เพื่อแสดงความรู้สึกโล่งอกและความขอบพระคุณพระเจ้าหลังจากที่การยึดอำนาจของอับซาโลมล้มเหลว. หรือท่านอาจเขียนเพลงบทนี้โดยที่นึกถึงนักร้องชาวเลวี. ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด การใคร่ครวญเพลงบทนี้จะช่วยเราให้ไว้วางใจพระยะโฮวามากยิ่งขึ้นได้.
15. ทำไมเราจึงสามารถอธิษฐานถึงพระยะโฮวาโดยทางพระบุตรได้อย่างมั่นใจ?
15 อีกครั้งหนึ่ง ดาวิดแสดงความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างเต็มที่และแสดงความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะสดับฟังและตอบคำอธิษฐานของท่าน. ท่านร้องเพลงว่า “ข้าแต่พระเจ้า, พระเจ้าแห่งความชอบธรรมของข้าพเจ้า; โปรดตอบเมื่อข้าพเจ้าร้องทูล, เมื่อข้าพเจ้าตกอยู่ในความทุกข์; พระองค์ได้ทรงโปรดให้หลุดพ้นไป, โปรดเมตตาข้าพเจ้าและขอพระองค์ทรงสดับฟังคำทูลอธิษฐานของข้าพเจ้า.” (เพลง. 4:1) เราจะเชื่อมั่นคล้าย ๆ กันนี้ได้ถ้าเราประพฤติตามความชอบธรรม. โดยที่ตระหนักว่าพระยะโฮวา “พระเจ้าแห่งความชอบธรรม” ทรงอวยพรคนที่ซื่อตรง เราจึงสามารถอธิษฐานถึงพระองค์ผ่านทางพระบุตรโดยแสดงความเชื่อในเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูได้อย่างมั่นใจ. (โย. 3:16, 36) เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกสงบใจจริง ๆ!
16. ทำไมดาวิดอาจรู้สึกท้อใจ?
16 บางครั้ง อาจเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เราท้อใจซึ่งทำลายความเชื่อมั่นของเรา. อาจเป็นอย่างนี้กับดาวิดอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เพราะท่านร้องเพลงว่า “แน่ะมนุษย์ชาติ, ยศศักดิ์ของข้าพเจ้าจะกลายเป็นอัปยศนานสักเท่าใด? ท่านจะรักการอันไร้สาระและแสวงหาความมุสาวาทนานสักเพียงไหน?” (เพลง. 4:2) เห็นได้ชัดว่า การใช้คำ “มนุษย์ชาติ” ในที่นี้พาดพิงถึงคนที่ไม่ดี. ศัตรูของดาวิด “รักการอันไร้สาระ.” พระคัมภีร์ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย แปลข้อนี้ว่า “เจ้าจะรักการหลอกลวงและแสวงหาพระจอมปลอมไปอีกนานเท่าใด?” แม้แต่เมื่อเรารู้สึกท้อใจเพราะสิ่งที่คนอื่นทำ ขอให้เราอธิษฐานอย่างจริงจังและไว้วางใจพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวอย่างเต็มที่ต่อ ๆ ไป.
17. จงอธิบายว่าเราจะทำสอดคล้องกับบทเพลงสรรเสริญ 4:3 ได้อย่างไร.
17 ความไว้วางใจของดาวิดที่มีต่อพระเจ้าเห็นได้ชัดจากถ้อยคำที่ว่า “จงรู้เถิดว่าพระยะโฮวาได้ทรงเลือกคนธรรม [“คนภักดี,” ล.ม.] ไว้เป็นของพระองค์แล้ว: พระยะโฮวาจะทรงสดับฟัง, เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานทูลพระองค์.” (เพลง. 4:3) เพื่อจะภักดีต่อพระยะโฮวาเสมอ เราจำเป็นต้องกล้าหาญและไว้วางใจพระองค์อย่างเต็มที่. ตัวอย่างเช่น ครอบครัวคริสเตียนจำเป็นต้องมีคุณลักษณะทั้งสองนี้เมื่อญาติที่ทำผิดและไม่กลับใจถูกตัดสัมพันธ์. พระเจ้าทรงอวยพรคนที่ภักดีต่อพระองค์และแนวทางของพระองค์. เมื่อเป็นอย่างนั้น ความภักดีและความไว้วางใจอย่างเต็มที่ในพระยะโฮวาจึงทำให้ประชาชนของพระองค์มีความยินดี.—เพลง. 84:11, 12
18. ตามบทเพลงสรรเสริญ 4:4 เราควรทำอะไรถ้ามีคนพูดหรือทำอย่างไม่กรุณาต่อเรา?
18 จะว่าอย่างไรถ้ามีใครพูดหรือทำสิ่งที่ทำให้เราโกรธ? เราจะยังคงยินดีได้ถ้าเราทำอย่างที่ดาวิดบอก ที่ว่า “โกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป. จงคำนึงในใจเวลาอยู่บนที่นอนและสงบอยู่.” (เพลง. 4:4) ถ้ามีคนพูดหรือทำอย่างไม่กรุณาต่อเรา อย่าให้เราทำบาปด้วยการแก้เผ็ด. (โรม 12:17-19) เราอาจระบายความรู้สึกเกี่ยวด้วยเรื่องนั้นได้ในคำอธิษฐานเมื่ออยู่บนที่นอน. ถ้าเราอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้น เราอาจมองเรื่องนั้นต่างออกไปและถูกกระตุ้นที่จะให้อภัยด้วยความรัก. (1 เป. 4:8) ขอให้สังเกตคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลในเรื่องนี้ซึ่งดูเหมือนอาศัยบทเพลงสรรเสริญ 4:4 ที่ว่า “ถ้าจะโกรธก็โกรธเถิด แต่อย่าทำบาป อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก ทั้งอย่าเปิดช่องให้พญามาร.”—เอเฟ. 4:26, 27
19. บทเพลงสรรเสริญ 4:5 ช่วยเราได้อย่างไรในเรื่องเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณที่เราถวาย?
19 ดาวิดเน้นความจำเป็นที่ต้องไว้วางใจพระเจ้าโดยร้องเพลงว่า “จงถวายเครื่องบูชาแห่งความชอบธรรม, และจงวางใจพึ่งพระยะโฮวา.” (เพลง. 4:5) เครื่องบูชาที่ชาวอิสราเอลถวายจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อพวกเขามีแรงกระตุ้นที่ถูกต้อง. (ยซา. 1:11-17) เพื่อพระเจ้าจะทรงยอมรับเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณของเรา เราก็ต้องมีแรงกระตุ้นที่ถูกต้องและไว้วางใจพระองค์อย่างเต็มที่ด้วย.—อ่านสุภาษิต 3:5, 6; ฮีบรู 13:15, 16
20. ‘รัศมีแห่งพระพักตร์ของพระยะโฮวา’ หมายถึงอะไร?
20 ดาวิดกล่าวต่อไปว่า “มีคนเป็นอันมากมักถามว่า, ผู้ใดจะแสดงความดีให้แก่พวกเรา? ข้าแต่พระยะโฮวา, ขอโปรดให้รัศมีแห่งพระพักตร์ของพระองค์ส่องบนพวกข้าพเจ้า.” (เพลง. 4:6) ‘รัศมีแห่งพระพักตร์ของพระยะโฮวา’ หมายถึงความพอพระทัยจากพระเจ้า. (เพลง. 89:15) ดังนั้น เมื่อดาวิดอธิษฐานว่า “ขอโปรดให้รัศมีแห่งพระพักตร์ของพระองค์ส่องบนพวกข้าพเจ้า” ท่านหมายความว่า ‘ขอพระองค์ทรงพอพระทัยพวกข้าพเจ้า.’ เนื่องจากเราไว้วางใจในพระยะโฮวา เราจึงได้รับความพอพระทัยจากพระองค์และมีความยินดีอย่างใหญ่หลวงขณะที่เราทำตามพระประสงค์ของพระองค์.
21. เรามั่นใจในเรื่องใดถ้าเรามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในงานเกี่ยวฝ่ายวิญญาณในทุกวันนี้?
21 โดยมองไปยังความยินดีที่พระเจ้าจะประทานให้ซึ่งมีมากยิ่งกว่าคนที่อยู่ในช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ดาวิดร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาว่า “พระองค์ได้ทรงประทานความชื่นใจให้ข้าพเจ้า, ชื่นใจมากกว่าคนที่ได้ข้าวมากน้ำองุ่นมาก.” (เพลง. 4:7) เราแน่ใจได้เลยว่าจะประสบความยินดีจากหัวใจถ้าเรามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในงานเกี่ยวฝ่ายวิญญาณในทุกวันนี้. (ลูกา 10:2) โดยที่เหล่าผู้ถูกเจิมซึ่งเป็น ‘ประชาชาติที่ชนทวีขึ้น’ เป็นผู้นำหน้า ในเวลานี้เราชื่นชมยินดีเมื่อเห็นจำนวน ‘คนงานเกี่ยว’ กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. (ยซา. 9:3, ฉบับ R73) คุณกำลังมีส่วนร่วมในงานเกี่ยวนี้ที่ทำให้อิ่มใจยินดีอย่างแท้จริงไหม?
มุ่งมั่นในการรับใช้ต่อไปโดยเชื่อมั่นและไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่
22. ตามบทเพลงสรรเสริญ 4:8 ชาวอิสราเอลเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า?
22 ดาวิดลงท้ายเพลงสรรเสริญบทนี้โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะทอดกายลงนอนหลับในความสงบสุข. โอ้พระยะโฮวา, พระองค์เท่านั้นที่ทรงบันดาลให้ข้าพเจ้าอยู่ในความปลอดภัย.” (เพลง. 4:8) เมื่อชาวอิสราเอลทำตามพระบัญญัติของพระยะโฮวา พวกเขาก็มีสันติสุขกับพระองค์และรู้สึกปลอดภัย. ตัวอย่างเช่น “ชาวยูดาและยิศราเอลนั้นก็ได้อาศัยอยู่โดยความผาสุก” ในรัชสมัยของโซโลมอน. (1 กษัต. 4:25) คนเหล่านั้นที่ไว้วางใจในพระเจ้ามีสันติสุขแม้แต่เมื่อชาติรอบข้างเป็นปฏิปักษ์. เช่นเดียวกับดาวิด เรานอนหลับอย่างสงบสุขเพราะพระเจ้าทรงทำให้เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย.
23. เราจะประสบอะไรหากเราไว้วางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่?
23 ขอให้เรามุ่งมั่นในการรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปด้วยความเชื่อมั่น. นอกจากนั้น ขอให้เราอธิษฐานด้วยความเชื่อ และเมื่อทำอย่างนั้นเราจะมี “สันติสุขของพระเจ้าซึ่งเหนือกว่าความคิดทุกอย่าง.” (ฟิลิป. 4:6, 7) นั่นทำให้เรายินดีสักเพียงไร! และเราสามารถเผชิญอนาคตได้ด้วยความมั่นใจอย่างแน่นอนหากเราไว้วางใจพระยะโฮวาอย่างเต็มที่อยู่เสมอ.
คุณจะตอบอย่างไร?
• ดาวิดประสบปัญหาอะไรเพราะอับซาโลม?
• เพลงสรรเสริญบท 3 สร้างความเชื่อมั่นอย่างไร?
• เพลงสรรเสริญบท 4 เสริมความไว้วางใจของเราในพระยะโฮวาอย่างไร?
• เราจะได้รับประโยชน์จากความไว้วางใจในพระเจ้าอย่างเต็มที่ได้อย่างไร?
[ภาพหน้า 29]
แม้ต้องหลบหนีอับซาโลม ดาวิดเชื่อมั่นในพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 32]
คุณไว้วางใจพระยะโฮวาอย่างเต็มที่ไหม?