ความมั่งคั่งอาจทดสอบความเชื่อของคุณได้
ความมั่งคั่งอาจทดสอบความเชื่อของคนซื่อตรงได้. ความพยายามที่จะให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งทางวัตถุอาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อ. (1 ติโมเธียว 6:9, 10) แต่ความมั่งคั่งยังอาจทดสอบความเชื่อในทางอื่นอีกด้วย. เมื่อคนชอบธรรมสังเกตเห็นว่าคนอธรรมหลายคนมั่งคั่งทางวัตถุขณะที่เขากำลังทนทุกข์ เขาอาจถูกล่อใจให้ติดตามแนวทางที่ไม่เลื่อมใสพระเจ้าก็ได้. ทั้งนี้ทำให้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาบางคนถึงกับสงสัยคุณค่าของการติดตามชีวิตที่ซื่อตรง!
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับอาซาฟนักดนตรีชาวเลวีระหว่างรัชสมัยของดาวิดกษัตริย์ของขาติยิศราเอล. อาซาฟได้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญหลายบทซึ่งได้นำมาใช้สำหรับการนมัสการที่พระวิหาร. พร้อมกับฮามานและยะดูธูน ท่านก็ได้พยากรณ์ด้วย ถวายคำสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้ายะโฮวาด้วยดนตรีคลอเสียง. (1 โครนิกา 25:1; 2 โครนิกา 29:30) แม้ว่าอาซาฟได้รับสิทธิพิเศษ เพลงสรรเสริญบท 73 แสดงว่าความมั่งคั่งทางวัตถุของคนชั่วเป็นการทดสอบความเชื่อของท่านครั้งยิ่งใหญ่.
ทัศนะที่อันตรายของอาซาฟ
“แท้จริงพระเจ้าดีต่อพวกยิศราเอล, คือดีต่อผู้ที่มีใจบริสุทธิ์. ฝ่ายข้าพเจ้าเล่า, เท้าของข้าพเจ้าแทบหลุด [เกือบเดินออกนอกทาง, ล.ม.] แล้ว; ย่างเท้าของข้าพเจ้าแทบจะพลาดพลั้งลงไปแล้ว.” (บทเพลงสรรเสริญ 73:1, 2) ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ อาซาฟยอมรับว่าพระยะโฮวาดีต่อชาติยิศราเอล. โดยเฉพาะอย่างยิ่งดีต่อคนเหล่านั้นที่ “มีใจบริสุทธิ์” เพราะเป็นความปรารถนาของพวกเขาที่จะมอบความเลื่อมใสโดยเฉพาะแด่พระเจ้าและทำให้พระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นที่นับถือ. หากเรามีทัศนะเช่นนั้น เราจะถวายเกียรติแด่พระยะโฮวาโดยพูดถึงพระองค์ในแง่ดีแม้ว่าเราจะถูกทดลองอย่างสาหัสโดยความมั่งคั่งของคนชั่วหรือโดยสภาพการณ์อื่น ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง.—บทเพลงสรรเสริญ 145:1, 2.
แม้ว่าอาซาฟได้ตระหนักถึงความดีของพระยะโฮวา เท้าของท่านก็เกือบจะเดินออกนอกทางเดินที่ชอบธรรม. ราวกับว่าเท้าของท่านกำลังลื่นล้มลงบนพื้นน้ำแข็งระหว่างการวิ่งแข่งระยะไกลที่เหนื่อยอ่อน. เหตุใดความเชื่อของท่านจึงอ่อนลงเช่นนี้. ท่านอธิบายว่า “เพราะว่าข้าพเจ้าได้ริษยาคนอหังการ ในเมื่อข้าพเจ้าเห็นความจำเริญของเขา. เพราะความตายของเขาไม่เจ็บปวด; แต่กำลังของเขามั่นคงแข็งแรง. เขาไม่มีความยากลำบาก หรือรับความทุกข์เหมือนคนอื่น ๆ.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:3-5.
ความมั่งคั่งทางวัตถุของคนอธรรมทำให้อาซาฟอิจฉาพวกเขา. ดูเหมือนพวกเขาชื่นชมกับชีวิตที่สงบสุข ถึงแม้ว่าพวกเขาได้สะสมทรัพย์สินโดยวิธีฉ้อโกง. (เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 37:1.) ทั้ง ๆ ที่การกระทำของเขาชั่วช้า แต่จากการปรากฏภายนอกพวกเขาดูปลอดภัย. ชีวิตของเขาดูเหมือนจะจบลงด้วยความตายที่ไม่เจ็บปวด! บางครั้งพวกเขาตายอย่างสงบและเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีการสำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 5:3, ล.ม.) ในทางกลับกัน ผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนทนทุกข์กับความเจ็บป่วยที่ทุกข์ทรมานและความตาย แต่พระองค์ทรงค้ำจุนพวกเขา และเขามีความหวังที่ดีวิเศษในการกลับเป็นขึ้นจากตาย.—บทเพลงสรรเสริญ 43:1-3; โยฮัน 5:28, 29.
คนชั่วหลายคนไม่มีปัญหาสุขภาพที่กีดกันเขาจากการชื่นชอบอาหารที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์. “กำลังของเขามั่นคงแข็งแรง” พุงของเขาพลุ้ย. ยิ่งกว่านั้น เขาไม่มี “ความยากลำบาก” เพราะไม่เหมือนกับมนุษยชาติส่วนใหญ่ พวกเขาไม่ต้องต่อสู้เพื่อได้รับสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิต. อาซาฟลงความเห็นว่าคนชั่ว “ไม่ได้รับความทุกข์เหมือนคนอื่น ๆ.” โดยเฉพาะพวกเขาหนีรอดจากการทดลองซึ่งผู้คนที่เลื่อมใสพระเจ้าประสบอยู่เนื่องจากการยึดมั่นกับมาตรฐานที่ชอบธรรมของพระยะโฮวาในโลกที่ชั่วช้าของซาตาน.—1 โยฮัน 5:19.
เพราะคนชั่วเจริญรุ่งเรือง อาซาฟพูดถึงพวกเขาต่อไปว่า “เหตุฉะนั้น ความจองหองเป็นเหมือนสายสร้อยประดับรอบคอเขา; และการร้ายก็ปกคลุมเขาไว้ดุจเครื่องนุ่งห่ม. ดวงตาเขาเยิ้มด้วยความอิ่มหมีพีมัน, เขามั่งมีมากเกินกว่าที่ใจเขาจะปรารถนา. เขาเยาะเย้ยเที่ยวข่มเหงด้วยใจชั่วร้าย: เขาพูดมักใหญ่ใฝ่สูง. เขาอ้าปากกล่าวหยาบช้าต่อฟ้าสวรรค์, และลิ้นของเขาร้องป่าวไปทั่วแผ่นดินโลก.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:6-9.
คนชั่วสวมความหยิ่งจองหองเป็น “สายสร้อย” และการกระทำที่รุนแรงของเขามีมากมายจนเขาถูก ‘ปกคลุมไว้ด้วยการร้ายดุจเครื่องนุ่งห่ม.’ โดยความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยึดแนวทางของตนเอง เขาคุกคามคนอื่น ๆ. ตาของคนชั่วไม่ลึกโบ๋จากการขาดอาหารบำรุงแต่ ‘เยิ้มด้วยความอิ่มหมีพีมัน’ เป็นที่สะดุดตาเนื่องจากพุงพลุ้ยซึ่งเป็นผลจากความตะกละ. (สุภาษิต 23:20) แผนการของเขาประสบผลสำเร็จมากจนเขาถึงกับ ‘มั่งมีมากเกินกว่าที่ใจเขาจะปรารถนา.’ เขาพูดถึงการฉ้อโกงด้วยความภูมิใจในความ “มักใหญ่ใฝ่สูง.” ‘เขาอ้าปากกล่าวหยาบช้าต่อฟ้าสวรรค์, และลิ้นของเขาร้องป่าวไปทั่วแผ่นดินโลก’ ไม่มีความนับถือต่อผู้ใด ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก เขาสบประมาทพระเจ้าและกล่าวร้ายป้ายสีมนุษย์.
ดูเหมือนว่า ไม่ใช่อาซาฟคนเดียวที่ได้รับผลกระทบในทางไม่ดีจากสิ่งที่ท่านเห็น. ท่านกล่าวดังนี้: “เหตุฉะนั้น พวกพลไพร่ของพระองค์จึงกลับมา: และดื่มน้ำในจอกเต็มจนหมด. เขาทั้งปวงกล่าวว่า, พระเจ้าทรงทราบอย่างไรได้? ผู้ใหญ่ยิ่งนั้นทรงประกอบไปด้วยความรู้หรือ?” (บทเพลงสรรเสริญ 73:10, 11) ข้อความภาษาฮีบรูอาจหมายความว่าเพราะคนชั่วดูเหมือนเจริญรุ่งเรือง บางคนในท่ามกลางไพร่พลของพระเจ้ารับเอาทัศนะที่ผิด ๆ และถูกนำไปสู่สภาพเดียวกับคนที่ทำผิดกฎหมาย โดยกล่าวว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงทราบในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและจะไม่ทรงต่อสู้การกระทำที่ผิดกฎหมาย.’ ในทางกลับกัน เมื่อเห็นคนชั่วทำผิดกฎหมายซึ่งดูเหมือนว่าไม่ถูกลงโทษจึงเหมือนว่าต้องดื่มยาขม ซึ่งกระตุ้นคนซื่อสัตย์ให้ถามว่า ‘พระเจ้าจะอดกลั้นต่อสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? พระองค์ไม่ทรงเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นหรือ?’
โดยการเปรียบเทียบสภาพการณ์ของเขากับคนชั่วเหล่านั้น อาซาฟกล่าวดังนี้: “ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นคนชั่ว; เขาร่ำรวยขึ้นอย่างง่ายดายเสมอ, การที่ข้าพเจ้าได้ชำระใจของข้าพเจ้า, และได้ล้างมือให้หมดจด, ก็เสียเวลาเปล่า ๆ: เพราะข้าพเจ้าต้องรับความทุกข์ลำบากวันยังค่ำ, และถูกตีทุก ๆ เวลาเช้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 73:12-14) อาซาฟรู้สึกว่าเป็นการไร้ประโยชน์ที่จะใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์. คนชั่วเจริญรุ่งเรือง อาจจะ ‘ร่ำรวยขึ้น’ โดยวิธีการต่าง ๆ ที่ฉ้อโกง. พวกเขาดูเหมือนหนีรอดจากการลงโทษสำหรับการกระทำผิดที่ชั่วช้าที่สุด แต่อาซาฟได้รับความทุกข์ลำบาก “วันยังค่ำ”—ตั้งแต่เมื่อท่านตื่นขึ้นจนกระทั่งเข้านอนตอนกลางคืน. ท่านรู้สึกว่าพระยะโฮวากำลังว่ากล่าวท่านทุก ๆ เช้า. เนื่องจากการเช่นนี้ดูเหมือนไม่ยุติธรรม จึงเป็นการทดสอบความเชื่อของอาซาฟ.
การปรับเปลี่ยนความคิดใหม่
ในที่สุดเมื่อได้มาสำนึกว่าความคิดของตนผิด อาซาฟแถลงดังนี้: “ถ้าหากข้าพเจ้าได้พูด, ข้าพเจ้าจะพูดดังนี้; ดูเถิด, ข้าพเจ้าได้ฉ้อโกงลูกหลานของพระองค์แล้ว. เมื่อข้าพเจ้าตริตรองว่าจะเข้าใจข้อความนี้ได้อย่างไร, ก็เจ็บใจเหลือเกิน; จนข้าพเจ้าได้เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า, และพิจารณาปลายชีวิตของเขา. แท้ที่จริงพระองค์ทรงให้เขายืนอยู่ในที่ลื่น: พระองค์ทรงผลักเขาลงให้ถึงความพินาศ. เขาอันตรธานไปเร็วจริง! เขาต้องเสื่อมศูนย์ไปด้วยเหตุอันน่ากลัวพิลึก. ดุจความฝันเมื่อตื่นจากหลับฉันใด, ข้าแต่พระเจ้า, เมื่อพระองค์ทรงตื่นบรรทม, จะทรงดูหมิ่นรูปร่างของเขาฉันนั้น.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:15-20.
เป็นการดีที่ว่าอาซาฟไม่ได้มีเสียงบ่น โดยการพูดอย่างเปิดเผยว่าเป็นการไร้ประโยชน์ที่จะรับใช้พระยะโฮวาซึ่งอาจทำให้สมาชิกหลายคนในครอบครัวของท่านที่เป็นผู้นมัสการท้อใจหรืออาจทำให้ความเชื่อของเขาอ่อนลง. จะดีมากกว่าสักเพียงไรที่จะเงียบไว้และทำสิ่งที่อาซาฟได้ทำ! เมื่อเห็นว่าทำไมคนชั่วดูเหมือนทำผิดโดยไม่ถูกลงโทษขณะที่คนซื่อสัตย์ทนทุกข์ ท่านได้ไปที่พระวิหารของพระเจ้า. สภาพการณ์เช่นนั้นเอื้ออำนวยให้อาซาฟคิดรำพึงอย่างสงบท่ามกลางผู้นมัสการพระยะโฮวา และความคิดของท่านได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่. ดังนั้น หากสิ่งที่เราเห็นทำให้งงงวย ให้เราหาคำตอบให้กับคำถามของเราโดยการคบหาสมาคมกับไพร่พลของพระเจ้าแทนที่จะแยกตัวเราเองอยู่ต่างหาก.—สุภาษิต 18:1.
อาซาฟได้มาตระหนักว่าพระเจ้าทรงให้คนชั่วยืนอยู่ “ในที่ลื่น.” เพราะว่าชีวิตของเขาครุ่นคิดอยู่กับสิ่งฝ่ายวัตถุ พวกเขาอยู่ในอันตรายด้วยการประสบความหายนะอย่างกะทันหัน. อย่างช้าที่สุด ความตายจะจู่โจมพวกเขาในวัยชรา และทรัพย์สมบัติของเขาที่ได้มาโดยมิชอบจะไม่ต่อชีวิตของเขาให้ยาวออกไปอีกได้. (บทเพลงสรรเสริญ 49:6-12) ความมั่งคั่งของเขาจะเป็นเหมือนความฝันที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว. ความยุติธรรมอาจถึงกับไล่ทันเขาก่อนที่เขาจะถึงวัยชราด้วยซ้ำขณะที่เขาจะเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เขากำลังหว่าน. (ฆะลาเตีย 6:7) เนื่องจากเขาเจตนาเพิกเฉยต่อผู้ที่สามารถช่วยเขาได้เพียงผู้เดียว เขาถูกละไว้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่มีความหวัง. เมื่อพระยะโฮวาทรงปฏิบัติการต่อสู้พวกเขา พระองค์จะทรงมองดู “รูปร่าง” ของพวกเขา—การโอ้อวดและฐานะของพวกเขา—ด้วยความดูหมิ่น.
เฝ้าระวังปฏิกิริยาของคุณ
เนื่องจากอาซาฟได้มีปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อสิ่งที่ท่านได้เห็น ท่านยอมรับว่า “ส่วนใจของข้าพเจ้าเศร้าสลดไป, และข้าพเจ้าแปลบเสียวถึงหัวใจ [ไต, ล.ม.]; ข้าพเจ้านี้เป็นคนหยาบคาย, และโง่เขลานัก; ข้าพเจ้าเป็นเหมือนสัตว์เดียรัจฉานต่อพักตร์ของพระองค์. ถึงกระนั้นก็ดีข้าพเจ้ายังอยู่กับพระองค์เสมอ: พระองค์ได้ทรงยึดมือขวาของข้าพเจ้าไว้. พระองค์จะทรงนำข้าพเจ้าด้วยคำแนะนำของพระองค์, และภายหลังจะทรงรับข้าพเจ้าไปสู่พระรัศมี.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:21-24.
การไตร่ตรองถึงความมั่งคั่งทางวัตถุของคนชั่วและการทนทุกข์ของคนซื่อสัตย์อาจทำให้หัวใจของคนเราเคืองแค้นหรือทำให้ขมขื่น. ลึกเข้าไปข้างใน—ในไตของท่าน—ความว้าวุ่นใจของอาซาฟเกี่ยวกับสภาพการณ์เช่นนี้เป็นเหตุให้ท่านมีความเจ็บปวดอย่างยิ่ง. จากทัศนะของพระยะโฮวา ท่านเหมือนสัตว์ที่หาเหตุผลไม่ได้ มีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยอาศัยความรู้สึกเท่านั้น. กระนั้น อาซาฟ ‘ยังอยู่กับพระเจ้าเสมอ ซึ่งได้ทรงยึดมือขวาของท่านไว้.’ หากเราผิดพลาดในความคิดของเรา แต่แสวงหาคำแนะนำของพระยะโฮวาดังที่อาซาฟได้กระทำ พระเจ้าจะทรงยึดมือของเราไว้ เพื่อสนับสนุนและนำทางเรา. (เทียบกับยิระมะยา 10:23.) เฉพาะแต่การนำคำแนะนำของพระองค์ไปใช้เท่านั้นจะนำเราไปสู่อนาคตที่มีความสุขได้. เราอาจทนทุกข์กับความอัปยศอดสูช่วงเวลาหนึ่ง แต่พระยะโฮวาจะทรงนำมาซึ่งสิ่งที่ตรงกันข้าม ‘ทรงรับเราไปสู่พระรัศมี’ หรือเกียรติยศ.
โดยการหยั่งรู้ค่าถึงความจำเป็นในการหมายพึ่งพระยะโฮวา อาซาฟกล่าวอีกว่า“บนสวรรค์นั้นข้าพเจ้าจะมีผู้ใดเล่านอกจากพระองค์? และที่แผ่นดินโลกไม่มีผู้ใดซึ่งข้าพเจ้าจะประสงค์นอกจากพระองค์. เนื้อหนังและจิตใจของข้าพเจ้าเลื่อยล้าไป; แต่พระเจ้าเป็นพลแห่งจิตใจของข้าพเจ้าและเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้าชั่วนิรันดร์. เพราะคนทั้งหลายที่อยู่ห่างไกลจากพระองค์จะต้องพินาศ: พระองค์ได้ทรงล้างผลาญบรรดาคนที่เล่นหญิงโสเภณีเสียแล้ว, คือคนที่ละทิ้งพระองค์ไป. แต่เป็นการดีที่ข้าพเจ้าเข้ามาใกล้พระองค์; ข้าพเจ้ารับเอาพระยะโฮวาเจ้ามาเป็นผู้อารักขาของข้าพเจ้าแล้ว, เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงกิจการทั้งปวงของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:25-28.
เช่นเดียวกับอาซาฟ เราไม่มีใครอื่นนอกจากพระยะโฮวาที่จะหมายพึ่งสำหรับความปลอดภัยที่แท้จริงและการปลอบประโลม. (2 โกรินโธ 1:3, 4) ดังนั้น แทนที่จะโลภอยากได้ความร่ำรวยฝ่ายโลกของคนใด ๆ ให้เรารับใช้พระเจ้าและสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์. (มัดธาย 6:19, 20) การมีฐานะซึ่งเป็นที่ยอมรับกับพระยะโฮวาควรจะเป็นความยินดีอย่างยิ่งของเรา. หากแม้ว่าร่างกายและหัวใจของเราจะเสื่อมถอยลง พระองค์จะชูกำลังเราและประทานความมั่นคงให้กับหัวใจของเราเพื่อว่าเราไม่สูญเสียความหวังและการหนุนใจท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย. สัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเป็นทรัพย์สินที่หาค่ามิได้. การละทิ้งสัมพันธภาพเช่นนั้นจะยังผลให้เกิดความหายนะแก่พวกเราและทุกคนที่ละทิ้งพระองค์. ดังนั้น เช่นเดียวกับอาซาฟ ให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพระเจ้าและฝากความกระวนกระวายไว้กับพระองค์. (1 เปโตร 5:6, 7) การทำเช่นนี้ส่งเสริมสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของเราและกระตุ้นเราให้บอกคนอื่นเกี่ยวกับพระราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระยะโฮวา.
คงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวา
อาซาฟเป็นทุกข์เพราะท่านได้เห็นคนชั่วเจริญรุ่งเรืองในยิศราเอล บ้านเกิดของท่าน. ในท่ามกลางผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีของพระยะโฮวา มี “คนชั่ว” ที่ทำผิดในเรื่องการคุยโว, ความหยิ่งยโส, ความรุนแรง, การสบประมาท, และการฉ้อโกง และผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเจ้าทรงทราบถึงสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำอยู่. (บทเพลงสรรเสริญ 73:1-11) ช่างเป็นคำเตือนเสียจริง ๆ! เพื่อทำให้พระยะโฮวาพอพระทัยเราต้องเลิกแสดงนิสัยเช่นนั้น เช่น ความโอหัง, ความรุนแรง, การเยาะเย้ย, และความไม่ซื่อสัตย์. เช่นเดียวกับอาซาฟ ให้ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทุกคน ‘มายังพระวิหารอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า’ โดยเข้าร่วมการประชุมเป็นประจำกับบรรดาผู้นมัสการที่ซื่อสัตย์ของพระองค์. อันที่จริง ให้ทุกคนที่รักพระยะโฮวา ‘เข้ามาใกล้พระเจ้า’ หมายพึ่งพระองค์เพื่อค้ำจุนพวกเขาในระหว่างการทนทุกข์ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่คนอื่น ๆ อาจพูดหรือกระทำ.—บทเพลงสรรเสริญ 73:12-28; 3 โยฮัน 1-10.
จริง ความมั่งคั่งทางวัตถุของคนชั่วอาจทดสอบความเชื่อของเรา ดังที่ได้เกิดขึ้นกับอาซาฟ. กระนั้น เราอาจอดทนต่อการทดลองเช่นนี้ได้หากเราให้ชีวิตของเรารวมจุดอยู่ที่การรับใช้พระยะโฮวา. เราจะได้รับบำเหน็จสำหรับการกระทำเช่นนี้เพราะว่า ‘พระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงานของเราและความรักที่เราสำแดงต่อพระนามของพระองค์.’ (เฮ็บราย 6:10) การทดลองของเราจะมีอยู่ “ประเดี๋ยวเดียว” เมื่อเปรียบเทียบกับบำเหน็จที่เราได้รับ. (2 โกรินโธ 4:17) แม้ว่าการทนทุกข์ประมาณ 70 หรือ 80 ปีเป็นเหมือนการหายใจผ่านริมฝีปากของเราเพียงแผ่วเบาเมื่อเทียบกับชีวิตที่มีความสุขตลอดไปที่พระยะโฮวาทรงสัญญาไว้กับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีของพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 90:9, 10.
ขอเราอย่ายอมให้ความมั่งคั่งทางวัตถุของคนชั่วมาเปรียบเทียบกับการทนทุกข์ต่าง ๆ ของเราเพื่อเห็นแก่ความชอบธรรม กีดกันเราจากการสำแดงความเชื่อซึ่งเป็นผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าประการหนึ่ง. (ฆะลาเตีย 5:22, 23; 1 เปโตร 3:13, 14) ซาตานคงจะพอใจหากเราเลียนแบบคนชั่ว ซึ่งบ่อยครั้งมักจะเจริญรุ่งเรืองเพราะพวกเขาไม่คำนึงถึงศีลธรรม. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ให้เราถวายเกียรติแด่พระนามของพระยะโฮวาโดยต่อต้านสิ่งล่อใจต่าง ๆ ที่ให้ละทิ้งมาตรฐานอันชอบธรรมของพระองค์ (ซะฟันยา 2:3) อย่าให้เราระทมทุกข์ในความสำเร็จของคนชั่ว เพราะ อย่างมากที่สุด เขาสามารถบรรลุแต่ความมั่งคั่งทางวัตถุเท่านั้น. และสิ่งนั้นมีคุณค่าอะไร? ความมั่งคั่งทางวัตถุเทียบไม่ได้เลยกับความมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณซึ่งคนเหล่านั้นที่สำแดงความเชื่อในพระเจ้ายะโฮวาองค์บรมมหิศรได้รับ.