“จงป้องกันรักษาหัวใจของเจ้า”
พระยะโฮวาได้ตรัสแก่ผู้พยากรณ์ซามูเอลว่า “พระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูสิ่งที่ปรากฏแก่ตา; แต่พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรดูว่าหัวใจเป็นอย่างไร.” (1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.) โดยมุ่งความสนใจในหัวใจโดยนัยด้วย ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญได้ร้องเพลงว่า “พระองค์ [พระยะโฮวา] ได้ทรงทดลองใจของข้าพเจ้าดูแล้ว; ทั้งได้เสด็จมาเยี่ยมข้าพเจ้าในเวลากลางคืน; พระองค์ได้ทรงชันสูตรข้าพเจ้าแล้ว. แต่หาได้พบความผิดไม่.”—บทเพลงสรรเสริญ 17:3.
ถูกแล้ว พระยะโฮวาทรงสำรวจดูหัวใจเพื่อตัดสินว่าเราเป็นอย่างไรจริง ๆ. (สุภาษิต 17:3) ดังนั้น ด้วยเหตุผลที่ดี กษัตริย์ซะโลโมแห่งยิศราเอลโบราณทรงแนะนำว่า “จงป้องกันรักษาหัวใจของเจ้าไว้ยิ่งกว่าสิ่งอื่นที่ควรปกป้อง เพราะแหล่งแห่งชีวิตเกิดจากหัวใจ.” (สุภาษิต 4:23, ล.ม.) เราจะป้องกันรักษาหัวใจโดยนัยของเราไว้ได้อย่างไร? สุภาษิตบท 4 ให้คำตอบสำหรับคำถามนี้.
จงฟังการตีสอนของบิดา
สุภาษิตบท 4 เริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังการตีสอนของบิดาและเอาใจใส่ เพื่อจะรู้จักความเข้าใจ. ด้วยว่าคำสั่งสอนที่ดีคือสิ่งที่เราจะให้เจ้าอย่างแน่นอน. กฎหมายของเราอย่าละทิ้ง.”—สุภาษิต 4:1, 2, ล.ม.
คำแนะนำสำหรับหนุ่มสาวคือให้ฟังคำสั่งสอนที่ดีจากบิดามารดาผู้เลื่อมใสพระเจ้า โดยเฉพาะคำสั่งสอนของบิดา. เขามีความรับผิดชอบตามหลักพระคัมภีร์ที่จะจัดหาสิ่งจำเป็นทางด้านร่างกายและทางด้านวิญญาณให้ครอบครัวของตน. (พระบัญญัติ 6:6, 7; 1 ติโมเธียว 5:8) ถ้าไม่มีการชี้นำดังกล่าว ก็นับว่ายากมากขึ้นสักเพียงไรที่คนหนุ่มสาวจะบรรลุความอาวุโส! เพราะฉะนั้น เด็กควรยอมรับการตีสอนของบิดาด้วยความนับถือมิใช่หรือ?
แต่จะว่าอย่างไรถ้าหนุ่มสาวไม่มีบิดาที่จะสั่งสอนเขา? ตัวอย่างเช่น เจสัน วัยสิบเอ็ดปีเป็นเด็กกำพร้าพ่อตอนอายุสี่ขวบ.a เมื่อคริสเตียนผู้ปกครองถามเขาว่าสภาพการณ์ยุ่งยากมากที่สุดในชีวิตเขาคืออะไร เจสันตอบทันทีว่า “ผมคิดถึงการมีพ่อ. บางครั้งมันทำให้ผมหดหู่ใจจริง ๆ.” กระนั้น คำแนะนำที่ให้การปลอบโยนก็เป็นสิ่งที่หาได้สำหรับหนุ่มสาวที่ขาดการชี้นำของบิดามารดา. เจสันกับคนอื่นที่เป็นเหมือนเขาสามารถแสวงหาและได้รับคำแนะนำฉันบิดาได้จากผู้ปกครองและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ในประชาคมคริสเตียน.—ยาโกโบ 1:27.
เมื่อรำลึกถึงอดีตเกี่ยวกับการอบรมของท่านเอง ซะโลโมกล่าวต่อไปว่า “เราได้พิสูจน์ว่าเป็นบุตรแท้ของบิดาเรา อ่อนโยนและเป็นคนเดียวเท่านั้นต่อหน้ามารดาเรา.” (สุภาษิต 4:3, ล.ม.) ดูเหมือนว่ากษัตริย์ทรงระลึกถึงการที่ท่านได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยความรักใคร่. เนื่องจากเป็น “บุตรแท้” ซึ่งใส่ใจในคำแนะนำของบิดา หนุ่มซะโลโมคงต้องมีสัมพันธภาพที่อบอุ่นและใกล้ชิดกับดาวิด ราชบิดาของท่าน. นอกจากนี้ ซะโลโมเป็น “คนเดียวเท่านั้น” หรือเป็นที่รักยิ่ง. เป็นสิ่งสำคัญสักเพียงไรที่เด็กจะเติบโตขึ้นในบ้านที่มีบรรยากาศอบอุ่นและเส้นทางในการติดต่อสื่อความกับบิดามารดาเปิดอยู่!
จงได้มาซึ่งสติปัญญาและความเข้าใจ
โดยระลึกถึงคำแนะนำด้วยความรักของราชบิดา ซะโลโมกล่าวว่า “บิดาได้สอนเรากล่าวว่า: ‘จงสงวนคำพูดของเราไว้ในใจของเจ้าเถิด; จงรักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา, และดำรงชีพอย่างนั้น; จงรับเอาพระปัญญา, จงรับเอาความเข้าใจ; อย่าลืม, หรืออย่าเลื่อนไกลจากระดับคำพูดแห่งปากของเรา; อย่าละทิ้งพระปัญญา, และพระปัญญาก็จะพิทักษ์รักษาเจ้าไว้; จงรักพระปัญญา, และพระปัญญาจะบำรุงรักษาเจ้าไว้. พระปัญญาเป็นหลักเอก; เพราะฉะนั้นจงรับเอาพระปัญญาให้ได้; เออ, ให้สรรพสิ่งที่เจ้าหาได้นั้นให้มีความเข้าใจอยู่ด้วย.’ ”—สุภาษิต 4:4-7.
ทำไมสติปัญญาเป็น “หลักเอก”? สติปัญญาหมายถึงการนำความรู้และความเข้าใจมาใช้ในวิธีที่ก่อผลดี. ความรู้—การรู้จักหรือการคุ้นเคยกับข้อเท็จจริงที่ได้รับโดยการสังเกตและประสบการณ์ หรือโดยการอ่านและการศึกษา—เป็นพื้นฐานสำหรับสติปัญญา. แต่ถ้าเราไม่มีความสามารถที่จะนำความรู้มาใช้อย่างเป็นประโยชน์แล้ว ความรู้ของเราคงจะมีคุณค่าเล็กน้อย. เราต้องไม่เพียงแต่อ่านคัมภีร์ไบเบิลและสรรพหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลซึ่งจัดเตรียมโดย “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” เป็นประจำเท่านั้น แต่พยายามนำสิ่งที่เราเรียนรู้จากหนังสือเหล่านั้นมาใช้ด้วย.—มัดธาย 24:45, ล.ม.
การได้มาซึ่งความเข้าใจนับว่าสำคัญด้วย. ถ้าปราศจากความเข้าใจ เราจะสามารถเห็นอย่างแท้จริงถึงวิธีที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกันและได้ภาพครบถ้วนของเรื่องราวที่กำลังพิจารณาอยู่นั้นไหม? หากเราขาดความเข้าใจ เราจะมองออกได้อย่างไรถึงสาเหตุของเรื่องต่าง ๆ และได้มาซึ่งการหยั่งเห็นและความสังเกตเข้าใจ? ถูกแล้ว เพื่อจะสามารถหาเหตุผลจากข้อเท็จจริงที่รู้อยู่แล้วและเสนอข้อสรุปที่ถูกต้องได้ เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจ.—ดานิเอล 9:22, 23.
ซะโลโมบรรยายคำตรัสของราชบิดาต่อไป โดยกล่าวว่า “จงตีราคาพระปัญญาให้สูง, และพระปัญญาก็จะเลื่อนเจ้าขึ้นสู่ระดับสูง; พระปัญญาจะนำพาเกียรติศักดิ์มาสู่เจ้า, เมื่อเจ้ากลมกลืนอยู่กับพระปัญญา. พระปัญญาจะให้คุณมงคลสวมศีรษะเจ้า; พระปัญญาจะนำมงกุฎแห่งความงามมาให้แก่เจ้า.” (สุภาษิต 4:8, 9) สติปัญญาของพระเจ้าปกป้องคนที่รับเอาปัญญานั้นไว้. นอกจากนี้ สติปัญญานำเกียรติยศมาให้เขาและทำให้เขางดงาม. ดังนั้นแล้ว ขอให้เราได้มาซึ่งสติปัญญาในทุกวิถีทาง.
“จงยึดการตีสอนไว้ให้มั่น”
โดยการกล่าวซ้ำคำสั่งสอนของราชบิดา กษัตริย์ยิศราเอลตรัสต่อไปว่า “ฟังนะ, ศิษย์ [“บุตรชาย,” ล.ม.] ของเราเอ๋ย, และจงรับเอาถ้อยคำของเรา; และชีวิตของเจ้าจะยืนนานปี. เราได้สอนเจ้าไปในทางแห่งพระปัญญา; เราได้นำเจ้าไปในทางแห่งความตรง. เมื่อเจ้าไปไหน, ก้าวเท้าของเจ้าจะไม่ขัดข้อง; และถ้าเจ้าวิ่งไป, เจ้าจะไม่สะดุดล้มลง. จงยึดคำสั่งสอน [“การตีสอน,” ล.ม.] ไว้ให้มั่น; อย่าปล่อยเสียเลย; จงรักษาไว้ให้ดี; เพราะว่านั่นคือชีวิตของเจ้า.”—สุภาษิต 4:10-13.
ในฐานะเป็นบุตรแท้ของบิดา ซะโลโมคงต้องได้หยั่งรู้คุณค่าแห่งการตีสอนด้วยความรักซึ่งสั่งสอนและแก้ไข. หากปราศจากการตีสอนที่สมดุลแล้ว เราคาดหมายว่าจะก้าวหน้าไปสู่ความอาวุโสฝ่ายวิญญาณหรือหวังว่าจะปรับปรุงคุณภาพแห่งชีวิตของเราได้อย่างไร? หากเราไม่เรียนจากข้อผิดพลาดของเรา หรือถ้าเราไม่ได้แก้ไขความคิดที่ผิดแล้ว ความก้าวหน้าทางด้านวิญญาณของเราก็จะน้อยมากอย่างแท้จริง. การตีสอนที่มีเหตุผลนำไปสู่ความประพฤติที่เลื่อมใสพระเจ้า และโดยวิธีนี้จึงช่วยเราให้ “ไปในทางแห่งความตรง.”
การตีสอนอีกแบบหนึ่งยังก่อผลในการทำให้ ‘ชีวิตของเรายืนนานปี’ อีกด้วย. โดยวิธีใด? พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย, และคนที่อสัตย์ในของเล็กที่สุดจะอสัตย์ในของมากด้วย.” (ลูกา 16:10) การตีสอนตัวเราเองในเรื่องเล็กน้อยจะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับเรามิใช่หรือที่จะทำอย่างเดียวกันในเรื่องใหญ่ ซึ่งชีวิตของเรานั่นเองอาจขึ้นอยู่กับเรื่องนั้น? ตัวอย่างเช่น การฝึกตาไม่ให้ “แลดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น” คงจะทำให้ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะยอมจำนนต่อการผิดศีลธรรม. (มัดธาย 5:28) แน่นอน หลักการข้อนี้นำมาใช้กับทั้งชายและหญิง. หากเราตีสอนจิตใจของเราให้ “นำความคิดทุกประการเข้าสู่การควบคุม” แล้ว การที่เราจะฝ่าฝืนอย่างโจ่งแจ้งด้วยคำพูดหรือการกระทำคงจะไม่ค่อยมี.—2 โกรินโธ 10:5, ล.ม.
จริงอยู่ ตามปกติการตีสอนเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับและอาจดูเหมือนเป็นการจำกัด. (เฮ็บราย 12:11) กระนั้น กษัตริย์ผู้ชาญฉลาดทรงรับรองกับเราว่า ถ้าเรายึดการตีสอนไว้ให้มั่นแล้ว ทางของเราจะส่งเสริมการก้าวหน้าของเรา. เช่นเดียวกับการฝึกฝนที่เหมาะสมเปิดโอกาสให้นักวิ่งมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วในอัตราเหมาะที่สุดโดยไม่ล้มหรือทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ การยึดการตีสอนไว้ให้มั่นเอื้ออำนวยให้เราดำเนินต่อไปบนทางสู่ชีวิตด้วยจังหวะที่คงเส้นคงวาโดยไม่สะดุดล้ม. แน่นอน เราต้องระมัดระวังเกี่ยวกับทางที่เราเลือก.
จงหลีก “ทางของคนชั่วร้าย”
โดยสำนึกถึงความเร่งด่วน ซะโลโมเตือนว่า “อย่าย่างเข้าไปในทางของคนชั่วร้าย, และอย่าเดินในทางของคนบาป. จงหลีกเสีย, อย่าเข้าใกล้มันเลย; จงหันไปจากมัน, และผ่านเลยไปเสียเถิด. เพราะเหล่าร้ายนั้นนอนไม่หลับ, จนกว่าจะได้ทำชั่วเสียก่อน; หากเขามิได้ก่อเหตุให้คนอื่นเสียหาย, เขาก็ไม่เป็นอันหลับอันนอน. เพราะเขาเสพอาหารอันเนื่องมาจากความชั่วร้าย, และดื่มน้ำองุ่นอันเนื่องมาจากการอำมหิต.”—สุภาษิต 4:14-17.
คนชั่วซึ่งซะโลโมต้องการให้เราหลีกทางของเขานั้น หาเลี้ยงตัวเองด้วยการกระทำที่ชั่วร้ายของเขา. การทำสิ่งเลวร้ายเป็นเหมือนอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเขา. เขานอนไม่หลับเว้นแต่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่รุนแรง. บุคลิกลักษณะของเขานั่นแหละเสื่อมทราม! เราสามารถป้องกันรักษาหัวใจของเราไว้ได้อย่างแท้จริงไหมขณะที่คบหากับเขา? โง่สักเพียงไรที่จะ “เดินในทางของคนบาป” โดยการปล่อยตัวให้รับผลกระทบจากความรุนแรงที่มีการเน้นในการบันเทิงส่วนใหญ่ในโลกทุกวันนี้! การพยายามจะเป็นคนเมตตาอย่างอ่อนละมุนนั้นไปกันไม่ได้เลยกับการดูฉากความชั่วร้ายบนจอโทรทัศน์หรือในภาพยนตร์หลายครั้งหลายหนจนชินชากับมัน.
คงอยู่ในความสว่าง
โดยที่ยังคงใช้การเปรียบเทียบเกี่ยวกับหนทางอยู่ ซะโลโมประกาศว่า “แต่วิถีของเหล่าคนชอบธรรมเป็นดุจแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ซึ่งส่องแสงกล้าขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงวันได้ตั้งขึ้นมั่นคง.” (สุภาษิต 4:18, ล.ม.) การยอมรับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและพยายามนำสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวในเรื่องชีวิตมาใช้อาจเปรียบได้กับการเริ่มต้นเดินทางในตอนเช้าตรู่ที่ยังมืดอยู่. ขณะที่ความมืดของท้องฟ้ายามราตรีจางลงเป็นสีฟ้าหม่น เรายังมองอะไรไม่ค่อยเห็น. แต่ขณะที่ฟ้าเริ่มสาง เราค่อย ๆ แยกแยะสิ่งที่อยู่รอบตัวได้มากขึ้นเรื่อย ๆ. ในที่สุด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า และเราเห็นทุกสิ่งชัดเจนในรายละเอียด. ถูกแล้ว ความจริงค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นสำหรับเราขณะที่เรายืนหยัดในการศึกษาพระคัมภีร์อย่างอดทนและขยันขันแข็ง. การจัดเตรียมการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณให้กับหัวใจเป็นสิ่งจำเป็นหากเราจะป้องกันรักษาหัวใจไว้จากการอ้างเหตุผลผิด ๆ.
ความหมายหรือความสำคัญของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลยังคลี่คลายเป็นขั้น ๆ ด้วย. คำพยากรณ์ต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องชัดเจนสำหรับเราขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้คำพยากรณ์เหล่านั้นเป็นที่เข้าใจกระจ่างแจ้งและขณะที่คำพยากรณ์นั้นสำเร็จเป็นจริงโดยเหตุการณ์ของโลกหรือในประสบการณ์ของไพร่พลของพระเจ้า. แทนที่จะใช้การคาดเดาอย่างใจร้อนเกี่ยวกับความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์เหล่านั้น เราต้องคอยให้ ‘แสงสว่างส่องแสงกล้าขึ้นทุกที.’
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธการทรงนำของพระเจ้าโดยไม่ยอมเดินในความสว่าง? ซะโลโมกล่าวว่า “ฝ่ายทางของคนชั่วร้ายเป็นเหมือนความมืดทึบ: เขาไม่รู้ว่าเขาได้สะดุดอะไรเข้า.” (สุภาษิต 4:19) คนชั่วเป็นเหมือนคนที่สะดุดล้มในความมืดโดยไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาสะดุด. แม้แต่เมื่อคนที่ไม่เลื่อมใสพระเจ้าอาจดูเหมือนเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากความอธรรมของเขาก็ตาม สิ่งที่ดูเหมือนเป็นความสำเร็จของเขานั้นก็เป็นเพียงชั่วคราว. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องเพลงเกี่ยวกับคนเช่นนั้นว่า “แท้ที่จริงพระองค์ทรงให้เขายืนอยู่ในที่ลื่น: พระองค์ [พระยะโฮวา] ทรงผลักเขาลงให้ถึงความพินาศ.”—บทเพลงสรรเสริญ 73:18.
คงไว้ซึ่งการระวังระไว
กษัตริย์ยิศราเอลตรัสต่อไปว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย, จงสนใจในคำพูดทั้งหลายของเรา; จงเงี่ยหูของเจ้าฟังถ้อยคำของเรา. อย่าให้คำนั้น ๆ พ้นจากสายตาของเจ้า; จงรักษาไว้ท่ามกลางดวงใจของเจ้า. เพราะว่าคำเหล่านั้นเป็นชีวิตแก่คนทั้งปวงที่พบ, และเป็นสุขภาพแก่ทุกส่วนฝ่ายเนื้อหนังของเขา. จงรักษาใจ [“หัวใจ,” ล.ม.] ของเจ้าไว้ด้วยสุดความเพียรพยายาม: เพราะผลการแห่งกิจต่าง ๆ ในชีวิตก็เกิดมาจากจิตต์ใจ [“หัวใจ,” ล.ม.].”—สุภาษิต 4:20-23.
ตัวอย่างของซะโลโมเองยืนยันคุณค่าของคำแนะนำที่ให้ป้องกันรักษาหัวใจ. จริงอยู่ ท่าน “ได้พิสูจน์ว่าเป็นบุตรแท้” ของราชบิดาตอนที่ยังทรงพระเยาว์และคงความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาเป็นส่วนใหญ่ในวัยผู้ใหญ่. กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลเล่าว่า “เมื่อซะโลโมทรงพระชราแล้ว, เหล่านางห้าม [ชาวต่างประเทศ] ก็ทำให้พระทัยของพระองค์หลงปฏิบัติพระอื่น: และพระทัยของท่านหาดีรอบคอบเฉพาะพระยะโฮวาพระเจ้าของพระองค์, เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาไม่.” (1 กษัตริย์ 11:4) หากไม่มีการระวังระไวอยู่เสมอแล้ว แม้แต่หัวใจที่ดีที่สุดก็อาจถูกล่อให้ทำสิ่งที่เลวร้าย. (ยิระมะยา 17:9) เราต้องรักษาข้อเตือนใจในพระคำของพระเจ้าให้ติดอยู่กับหัวใจของเราเสมอ—‘ในท่ามกลางดวงใจ.’ นี่หมายรวมถึงการชี้นำที่เสนอไว้ในสุภาษิตบท 4 ด้วย.
จงตรวจสอบสภาพของหัวใจคุณ
เราป้องกันรักษาหัวใจโดยนัยของเราไว้อย่างประสบผลสำเร็จไหม? เราจะรู้สภาพของบุคคลที่อยู่ภายในได้อย่างไร? พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ใจเต็มบริบูรณ์ด้วยอะไรปากก็พูดอย่างนั้น.” (มัดธาย 12:34) พระองค์ยังตรัสด้วยว่า “ความคิดชั่วร้าย, การฆ่าคน, การผิดผัวเมียกัน, การเล่นชู้กัน, การลักขโมยกัน, การเป็นพยานเท็จ, การกล่าวคำหมิ่นประมาท, ก็ออกมาแต่ใจ.” (มัดธาย 15:19, 20) ถูกแล้ว คำพูดและการกระทำของเราบ่งบอกว่าเราเป็นอย่างไรในหัวใจ.
ซะโลโมตักเตือนเราอย่างเหมาะสมว่า “จงทิ้งวาจาคด ๆ เสีย และให้คำพูดลดเลี้ยวห่างจากเจ้า ให้ตาของเจ้ามองตรงไปข้างหน้า และให้การจ้องของเจ้าตรงไปข้างหน้าเจ้า จงสนใจในวิถีแห่งเท้าของเจ้า แล้วทางทั้งสิ้นของเจ้าจะแน่นอน อย่าเหไปข้างขวาหรือหันมาข้างซ้าย จงกลับเท้าของเจ้าเสียจากความชั่วร้าย.”—สุภาษิต 4:24-27, ฉบับแปลใหม่.
เมื่อคำนึงถึงคำตักเตือนของซะโลโม เราต้องตรวจสอบดูคำพูดและการกระทำของเรา. หากเราจะป้องกันรักษาหัวใจของเราไว้และทำให้พระเจ้าพอพระทัยแล้ว ต้องหลีกเลี่ยงคำพูดปลิ้นปล้อนและการใช้เล่ห์เหลี่ยม. (สุภาษิต 3:32) เพราะฉะนั้น เราควรไตร่ตรองด้วยการอธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งที่คำพูดและการกระทำของเราเผยให้เห็นเกี่ยวกับตัวเรา. ครั้นแล้วให้เราแสวงหาความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเพื่อจะแก้ไขจุดอ่อนใด ๆ ที่เราตรวจพบ.—บทเพลงสรรเสริญ 139:23, 24.
เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้ ‘ตาของเรามองตรงไปข้างหน้า.’ ขอให้เรารักษาตาให้จดจ้องอยู่ที่เป้าหมายในการถวายการรับใช้สิ้นสุดจิตวิญญาณแด่พระบิดาของเราทางภาคสวรรค์. (โกโลซาย 3:23) ขณะที่คุณติดตามแนวทางที่ซื่อตรงเช่นนั้นด้วยตัวเอง ขอให้พระยะโฮวาทรงประทานความสำเร็จให้คุณใน “ทางทั้งสิ้น” และขอพระองค์อวยพระพรคุณอย่างล้นเหลือในการเอาใจใส่ฟังคำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจที่ให้ “ป้องกันรักษาหัวใจของเจ้าไว้.”
[เชิงอรรถ]
a ชื่อสมมุติ.
[คำโปรยหน้า 22]
คุณหลีกเลี่ยงการบันเทิงที่เน้นความรุนแรงไหม?
[ภาพหน้า 21]
จงรับประโยชน์จากคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์
[ภาพหน้า 23]
การตีสอนไม่ได้ชะลอฝีเท้าของคุณ
[ภาพหน้า 24]
จงยืนหยัดในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล