บทสิบห้า
กษัตริย์คู่ปรับเข้าสู่ศตวรรษที่ 20
1. นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า ใครคือผู้นำของยุโรปในศตวรรษที่ 19?
นักประวัติศาสตร์ นอร์แมน เดวีส์ เขียนไว้ว่า “มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกี่ยวกับยุโรปในศตวรรษที่ 19 มากกว่าอะไรก็ตามที่เคยพบเคยเห็นก่อนหน้านี้.” เขาเสริมว่า “ยุโรปสั่นสะเทือนไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กล่าวคือ พลังทางเทคนิค, พลังทางเศรษฐกิจ, พลังทางวัฒนธรรม, พลังระหว่างทวีป.” เดวีส์กล่าวว่า ผู้นำของ “‘ศตวรรษที่เต็มด้วยพลัง’ แห่งชัยชนะของยุโรปตอนแรกคือบริเตนใหญ่ . . . และในทศวรรษหลัง ๆ คือเยอรมนี.”
“มีแนวโน้มจะทำสิ่งชั่ว”
2. เมื่อศตวรรษที่ 19 สิ้นสุดลง มหาอำนาจอะไรมีบทบาทเป็น “กษัตริย์ทิศเหนือ” และ “กษัตริย์ทิศใต้”?
2 ขณะที่ศตวรรษที่ 19 กำลังจะสิ้นสุดลง จักรวรรดิเยอรมันเป็น “กษัตริย์ทิศเหนือ” และบริเตนอยู่ในตำแหน่งของ “กษัตริย์ทิศใต้.” (ดานิเอล 11:14, 15, ล.ม.) ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกว่า “ส่วนกษัตริย์สององค์นี้ หัวใจของพวกท่านจะมีแนวโน้มจะทำสิ่งชั่ว และพวกท่านจะพูดมุสาเรื่อยไปที่โต๊ะเดียวกัน.” ทูตสวรรค์บอกต่อไปว่า “แต่จะไม่มีอะไรสำเร็จ เพราะว่าอวสานยังจะมาตามเวลากำหนด.”—ดานิเอล 11:27, ล.ม.
3, 4. (ก) ใครเป็นจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิไรช์แห่งเยอรมนี และมีการตั้งพันธมิตรอะไรขึ้น? (ข) ไคเซอร์วิลเฮล์มดำเนินนโยบายอะไร?
3 ในวันที่ 18 มกราคม 1871 วิลเฮล์มที่ 1 ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์แรกของไรช์ หรือจักรวรรดิเยอรมัน. ท่านแต่งตั้งออทโท ฟอน บิสมาร์คเป็นอัครมหาเสนาบดี. พร้อมกับการมุ่งสร้างจักรวรรดิใหม่ บิสมาร์คหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับชาติอื่น ๆ และตั้งเป็นพันธมิตรกับออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลี ซึ่งเป็นที่รู้จักว่า สนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี. แต่ไม่ช้าผลประโยชน์ของกษัตริย์ทิศเหนือองค์ใหม่นี้ก็ขัดกับผลประโยชน์ของกษัตริย์ทิศใต้.
4 หลังจากวิลเฮล์มที่ 1 และผู้สืบตำแหน่งของท่าน คือเฟรเดอริคที่ 3 สิ้นชีวิตในปี 1888 วิลเฮล์มที่ 2 วัย 29 ปี ขึ้นสู่บัลลังก์. วิลเฮล์มที่ 2 หรือไคเซอร์วิลเฮล์มบีบบิสมาร์คให้ลาออกและดำเนินนโยบายแผ่อิทธิพลของเยอรมนีไปทั่วโลก. นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “ภายใต้การนำของวิลเฮล์มที่ 2 [เยอรมนี] มีทัศนะแบบยโสและก้าวร้าว.”
5. กษัตริย์สององค์นั่ง “ที่โต๊ะเดียวกัน” อย่างไร และพวกเขาพูดอะไรกันที่นั่น?
5 เมื่อซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียเรียกประชุมสันติภาพที่เมืองเฮก เนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 24 สิงหาคม 1898 บรรยากาศมีความตรึงเครียดในระดับนานาชาติ. การประชุมนี้และการประชุมที่ตามมาในปี 1907 ทำให้มีการตั้งศาลอนุญาโตตุลาการขึ้นที่เมืองเฮก. โดยเข้าเป็นสมาชิกของศาลนี้ จักรวรรดิไรช์แห่งเยอรมนีและบริเตนใหญ่สร้างภาพว่าตนฝักใฝ่สันติภาพ. พวกเขานั่ง “ที่โต๊ะเดียวกัน” คือดูเหมือนว่าเป็นมิตร แต่ ‘หัวใจของพวกเขามีแนวโน้มจะทำสิ่งชั่ว.’ ยุทธวิธีทางการทูตในการ ‘พูดมุสาที่โต๊ะเดียวกัน’ ไม่สามารถส่งเสริมสันติภาพแท้ได้. ในเรื่องความทะเยอทะยานทางการเมือง, ทางเศรษฐกิจ, และทางทหารของทั้งสองฝ่ายนั้น “ไม่มีอะไรสำเร็จ” เพราะจุดจบของกษัตริย์สององค์นี้ “ยังจะมาตามเวลากำหนด” ของพระยะโฮวาพระเจ้า.
“ต่อต้านสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์”
6, 7. (ก) กษัตริย์ทิศเหนือ “กลับไปยังแผ่นดินของตน” ในวิธีใด? (ข) กษัตริย์ทิศใต้ตอบสนองการแผ่ขยายอิทธิพลของกษัตริย์ทิศเหนืออย่างไร?
6 ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวต่อไปว่า “และท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะกลับไปยังแผ่นดินของตนพร้อมกับสิ่งของมากมาย และหัวใจท่านจะต่อต้านสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์. และท่านจะทำอย่างบังเกิดผลและกลับไปยังแผ่นดินของตนเป็นแน่.”—ดานิเอล 11:28, ล.ม.
7 ไคเซอร์วิลเฮล์มกลับสู่ “แผ่นดิน” หรือสภาพทางแผ่นดินโลก ของกษัตริย์ทิศเหนือยุคโบราณ. โดยวิธีใด? โดยตั้งการปกครองแบบจักรวรรดิที่ตั้งใจจะขยายจักรวรรดิไรช์แห่งเยอรมนีและแผ่อิทธิพลของจักรวรรดินี้. วิลเฮล์มที่ 2 ดำเนินตามเป้าหมายในการสร้างอาณานิคมในแอฟริกาและที่อื่น ๆ. เนื่องจากต้องการท้าทายอำนาจอันยิ่งใหญ่ทางทะเลของบริเตน ท่านจึงสร้างกองทัพเรืออันเข้มแข็ง. สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ กล่าวว่า “อำนาจของกองทัพเรือเยอรมันเปลี่ยนจากที่ไม่มีความสำคัญอะไรมาเป็นรองก็เพียงแต่อำนาจของกองทัพเรืออังกฤษเท่านั้นในเวลาหนึ่งทศวรรษเศษ.” เพื่อจะรักษาความเหนือกว่าเอาไว้ บริเตนต้องขยายโครงการกองทัพเรือของตน. บริเตนยังได้เจรจาทำความตกลงฉันมิตรกับฝรั่งเศสและมีข้อตกลงคล้าย ๆ กันกับรัสเซีย กลายเป็นความตกลงไตรภาคี. ตอนนี้ยุโรปถูกแบ่งเป็นสองค่ายทหาร—สนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคีในฝ่ายหนึ่งและความตกลงไตรภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง.
8. จักรวรรดิเยอรมันได้มี “สิ่งของมากมาย” อย่างไร?
8 จักรวรรดิเยอรมันดำเนินนโยบายแข็งกร้าว ยังผลให้มี “สิ่งของมากมาย” สำหรับเยอรมนีเนื่องจากประเทศนี้เป็นส่วนหลักของสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี. ออสเตรีย-ฮังการีและอิตาลีเป็นโรมันคาทอลิก. ด้วยเหตุนี้ สนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคียังได้รับการสนับสนุนจากโปปอีกด้วย ขณะที่กษัตริย์ทิศใต้พร้อมทั้งความตกลงไตรภาคีซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคาทอลิกไม่ได้รับการสนับสนุนเช่นนั้น.
9. หัวใจของกษัตริย์ทิศเหนือ “ต่อต้านสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์” อย่างไร?
9 แล้วพลไพร่ของพระยะโฮวาล่ะ? พวกเขาได้ประกาศมานานแล้วว่า “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ” จะสิ้นสุดลงในปี 1914.a (ลูกา 21:24) ในปีนั้น ราชอาณาจักรของพระเจ้าในพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์ รัชทายาทของกษัตริย์ดาวิด ถูกสถาปนาขึ้นในสวรรค์. (2 ซามูเอล 7:12-16; ลูกา 22:28, 29) ย้อนไปถึงเดือนมีนาคม 1880 วารสารหอสังเกตการณ์ เชื่อมโยงการปกครองของราชอาณาจักรของพระเจ้ากับการสิ้นสุดลงของ “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ.” แต่หัวใจของกษัตริย์ทิศเหนือแห่งเยอรมนี “ต่อต้านสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์.” แทนที่จะยอมรับการปกครองของราชอาณาจักร ไคเซอร์วิลเฮล์ม “ทำอย่างบังเกิดผล” โดยส่งเสริมแผนการของตนเพื่อครองโลก. กระนั้น ในการทำเช่นนั้นท่านหว่านเมล็ดของสงครามโลกครั้งที่ 1.
กษัตริย์ “หดหู่ใจ” ในสงคราม
10, 11. สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นอย่างไร และเรื่องนี้เกิดขึ้นตาม “เวลากำหนด” อย่างไร?
10 ทูตสวรรค์บอกล่วงหน้าว่า “เมื่อถึงเวลากำหนดท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะกลับไป และท่านจะมาต่อสู้ทางใต้เป็นแน่; แต่ปรากฏว่าตอนท้ายจะไม่เหมือนตอนแรก.” (ดานิเอล 11:29, ล.ม.) “เวลากำหนด” ของพระเจ้าที่จะยุติการครอบครองโลกโดยชนต่างชาติมาถึงในปี 1914 เมื่อพระองค์ตั้งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ขึ้น. ในวันที่ 28 มิถุนายนของปีนั้น อาร์ชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินันด์แห่งออสเตรียและพระชายาถูกลอบสังหารโดยผู้ก่อการร้ายชาวเซอร์เบียในกรุงซาราเยโว บอสเนีย. นั่นเป็นประกายไฟที่จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 1.
11 ไคเซอร์วิลเฮล์มกระตุ้นออสเตรีย-ฮังการีให้แก้แค้นเซอร์เบีย. เนื่องจากมั่นใจว่าเยอรมนีให้การสนับสนุน ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบียในวันที่ 28 กรกฎาคม 1914. แต่รัสเซียมาช่วยเซอร์เบียไว้. เมื่อเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซีย ฝรั่งเศส (พันธมิตรหนึ่งในความตกลงไตรภาคี) ให้การสนับสนุนรัสเซีย. เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับฝรั่งเศส. เพื่อจะเข้าถึงกรุงปารีสได้สะดวกขึ้น เยอรมนีจึงรุกรานเบลเยียม ซึ่งได้รับการรับรองฐานะความเป็นกลางจากบริเตน. ดังนั้น บริเตนจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี. ชาติอื่น ๆ ก็เข้ามาร่วมด้วย และอิตาลีเปลี่ยนไปเข้ากับอีกฝ่ายหนึ่ง. ระหว่างสงคราม บริเตนทำให้อียิปต์เป็นรัฐในอารักขาของตนเพื่อป้องกันไม่ให้กษัตริย์ทิศเหนือปิดคลองสุเอซและโจมตีอียิปต์ ดินแดนโบราณของกษัตริย์ทิศใต้.
12. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ่งต่าง ๆ “ไม่เหมือนตอนแรก” ในทางใด?
12 สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก กล่าวว่า “ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายพันธมิตรมีกองกำลังขนาดใหญ่และเข้มแข็ง เยอรมนีดูเหมือนเกือบจะชนะสงครามอยู่แล้ว.” ในการต่อสู้ที่ผ่าน ๆ มาระหว่างกษัตริย์สององค์ จักรวรรดิโรมัน ในฐานะกษัตริย์ทิศเหนือ มีชัยชนะเสมอมา. แต่คราวนี้ ‘สิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนตอนแรก.’ กษัตริย์ทิศเหนือแพ้สงคราม. ทูตสวรรค์ให้เหตุผลสำหรับเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “จะมีเรือจากคิททิมมาต่อสู้ท่านเป็นแน่ และท่านจะต้องหดหู่ใจ.” (ดานิเอล 11:30ก, ล.ม.) อะไรคือ “เรือจากคิททิม”?
13, 14. (ก) ส่วนใหญ่อะไรคือ “เรือจากคิททิม” ซึ่งมาต่อต้านกษัตริย์ทิศเหนือ? (ข) เรือจากคิททิมมีมากขึ้นอย่างไรขณะที่สงครามโลกครั้งแรกดำเนินไป?
13 ในสมัยของดานิเอล คิททิมคือเกาะไซปรัส. ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 บริเตนเข้าครองไซปรัส. ยิ่งกว่านั้น ตามสารานุกรมภาพเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลของซอนเดอร์แวน ชื่อคิททิม “รวมไปถึงดินแดนทางตะวันตกโดยทั่วไป แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศตะวันตกที่เดินทะเล.” ฉบับแปลนิว อินเตอร์แนชันแนล แปล “เรือจากคิททิม” เป็น “เรือแห่งดินแดนชายฝั่งตะวันตก.” ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เรือจากคิททิมปรากฏว่าส่วนใหญ่เป็นเรือของบริเตน จอดอยู่นอกชายฝั่งตะวันตกของยุโรป.
14 ขณะที่สงครามดำเนินไปอย่างช้า ๆ กองทัพเรืออังกฤษได้รับการเสริมกำลังมากขึ้นโดยเรือจากคิททิม. ในวันที่ 7 พฤษภาคม 1915 เรือดำน้ำเยอรมัน ยู-20 จมเรือพลเรือน ลูซิตาเนีย นอกชายฝั่งทางใต้ของไอร์แลนด์. ในหมู่ผู้เสียชีวิตมีชาวอเมริกันอยู่ 128 คน. ต่อมา เยอรมนีขยายการรบโดยเรือดำน้ำเข้าไปในมหาสมุทรแอตแลนติก. ผลคือ ในวันที่ 6 เมษายน 1917 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันแห่งสหรัฐประกาศสงครามกับเยอรมนี. โดยที่ได้รับการเสริมกำลังจากเรือรบและกองทัพอเมริกัน กษัตริย์ทิศใต้—ซึ่งบัดนี้เป็นมหาอำนาจโลกแองโกล-อเมริกัน—กำลังทำสงครามอย่างเต็มที่กับกษัตริย์คู่ปรับ.
15. เมื่อไรที่กษัตริย์ทิศเหนือ “หดหู่ใจ”?
15 ภายใต้การโจมตีโดยมหาอำนาจโลกแองโกล-อเมริกัน กษัตริย์ทิศเหนือจึง “หดหู่ใจ” และยอมรับความพ่ายแพ้ในเดือนพฤศจิกายน 1918. วิลเฮล์มที่ 2 หนีไปลี้ภัยอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนีกลายเป็นสาธารณรัฐ. แต่เรื่องของกษัตริย์ทิศเหนือยังไม่จบสิ้น.
กษัตริย์ทำ “อย่างบังเกิดผล”
16. ตามคำพยากรณ์ กษัตริย์ทิศเหนือมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความพ่ายแพ้?
16 “ท่าน [กษัตริย์ทิศเหนือ] จะกลับไปเป็นแน่และโยนคำให้ร้ายแก่สัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์และทำอย่างบังเกิดผล; และท่านจะต้องกลับไปและสนใจคนเหล่านั้นที่ละทิ้งสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์.” (ดานิเอล 11:30ข, ล.ม.) ทูตสวรรค์พยากรณ์ไว้อย่างไร ก็เป็นไปอย่างนั้น.
17. อะไรนำไปสู่การขึ้นมามีอำนาจของอะดอล์ฟ ฮิตเลอร์?
17 หลังสงครามยุติลง ในปี 1918 ฝ่ายพันธมิตรที่ชนะสงครามตั้งสนธิสัญญาสันติภาพที่เป็นการลงโทษเยอรมนี. ประชาชนชาวเยอรมันพบว่าเงื่อนไขของสนธิสัญญานี้รุนแรง และสาธารณรัฐใหม่นี้ก็อ่อนแอตั้งแต่เริ่มต้น. เยอรมนีง่อนแง่นอยู่หลายปีในความทุกข์เดือดร้อนอย่างยิ่งและประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ซึ่งในที่สุดทำให้มีคนว่างงานหกล้านคน. พอถึงต้นทศวรรษ 1930 สถานการณ์เหมาะอย่างยิ่งที่อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์จะขึ้นมามีอำนาจ. เขาขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีในเดือนมกราคม 1933 และในปีต่อมาได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสิ่งที่พวกนาซีเรียกว่าจักรวรรดิไรช์ที่สาม.b
18. ฮิตเลอร์ “ทำอย่างบังเกิดผล” อย่างไร?
18 ทันทีที่ขึ้นมามีอำนาจ ฮิตเลอร์โจมตีอย่างรุนแรงต่อ “สัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์.” ซึ่งมีพี่น้องผู้ถูกเจิมของพระเยซูคริสต์เป็นตัวแทน. (มัดธาย 25:40) ในเรื่องนี้เขาทำ “อย่างบังเกิดผล” ต่อต้านคริสเตียนผู้ภักดี กดขี่ข่มเหงพวกเขาหลายคนอย่างทารุณ. ฮิตเลอร์ทำ “อย่างบังเกิดผล” คือประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจและทางการทูตด้วย. ในเวลาไม่กี่ปี เขาทำให้เยอรมนีเป็นมหาอำนาจที่ต้องคำนึงถึงในฉากของโลก.
19. ฮิตเลอร์หาการสนับสนุนโดยเป็นพันธมิตรกับใคร?
19 ฮิตเลอร์ “สนใจคนเหล่านั้นที่ละทิ้งสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์.” คนพวกนี้คือใคร? ดูเหมือนว่า คือผู้นำของคริสต์ศาสนจักรซึ่งอ้างว่ามีความสัมพันธ์ในสัญญาไมตรีกับพระเจ้าแต่ได้เลิกเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์. ฮิตเลอร์ขอการสนับสนุนจาก “คนเหล่านั้นที่ละทิ้งสัญญาไมตรีอันบริสุทธิ์” ได้สำเร็จ. ตัวอย่างเช่น เขาทำข้อตกลงกับโปปในกรุงโรม. ในปี 1935 ฮิตเลอร์ก่อตั้งกระทรวงกิจการคริสตจักรขึ้น. เป้าหมายอย่างหนึ่งของเขาคือเพื่อควบคุมคริสตจักรอิแวนเจลิคัลให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ.
“แขน” ออกมาจากกษัตริย์
20. กษัตริย์ทิศเหนือใช้ “แขน” อะไร และต่อต้านใคร?
20 ไม่นานฮิตเลอร์ก็เข้าสู่สงคราม ดังที่ทูตสวรรค์บอกไว้ล่วงหน้าอย่างถูกต้องว่า “จะมีแขนซึ่งจะยืนขึ้น ออกมาจากท่าน; และพวกเขาจะถึงกับดูหมิ่นสถานศักดิ์สิทธิ์ คือป้อมปราการ และถอนเครื่องบูชาเนืองนิตย์ออกไป.” (ดานิเอล 11:31ก, ล.ม.) “แขน” คือกองทัพที่กษัตริย์ทิศเหนือใช้เพื่อต่อสู้กับกษัตริย์ทิศใต้ในสงครามโลกครั้งที่ 2. ในวันที่ 1 กันยายน 1939 “แขน” ของนาซีบุกรุกโปแลนด์. สองวันต่อมา บริเตนและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนีเพื่อจะช่วยโปแลนด์. ด้วยวิธีนี้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเริ่มขึ้น. โปแลนด์พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว และไม่นานหลังจากนั้น กองกำลังเยอรมันยึดเดนมาร์ก, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, ลักเซมเบิร์ก, และฝรั่งเศส. สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก กล่าวว่า “ในตอนปลายปี 1941 เยอรมนียุคนาซีครอบครองทวีป.”
21. สถานการณ์ของกษัตริย์ทิศเหนือพลิกผันอย่างไรระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และผลเป็นอย่างไร?
21 ถึงแม้ว่าเยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ทำสนธิสัญญามิตรภาพ, ความร่วมมือ, และการกำหนดเขตแดน ฮิตเลอร์เริ่มรุกรานเขตแดนโซเวียตในวันที่ 22 มิถุนายน 1941. ปฏิบัติการนี้ทำให้สหภาพโซเวียตเข้ามาอยู่ฝ่ายบริเตน. กองทัพของโซเวียตได้ต้านทานไว้อย่างเข็มแข็งทั้ง ๆ ที่ตอนแรกกองกำลังเยอรมันรุกเข้าไปอย่างน่าทึ่ง. ในวันที่ 6 ธันวาคม 1941 กองทัพเยอรมันประสบความพ่ายแพ้ที่กรุงมอสโกอย่างแท้จริง. ในวันต่อมา ญี่ปุ่น พันธมิตรของเยอรมนีทิ้งระเบิดที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ ฮาวาย. เมื่อรู้เรื่องนี้ ฮิตเลอร์บอกผู้ช่วยของเขาว่า “ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่เราจะแพ้สงคราม.” ในวันที่ 11 ธันวาคม เขาประกาศสงครามกับสหรัฐอย่างหุนหัน. แต่เขาประเมินกำลังทั้งของสหภาพโซเวียตและสหรัฐต่ำเกินไป. ด้วยการโจมตีของกองทัพโซเวียตจากทางตะวันออกพร้อมกับกองกำลังของอังกฤษและอเมริกันที่บุกประชิดเข้ามาจากทางตะวันตก ไม่นานสถานการณ์ก็พลิกผัน. กองกำลังเยอรมันเริ่มเสียดินแดนแห่งแล้วแห่งเล่า. หลังจากฮิตเลอร์ฆ่าตัวตาย เยอรมนียอมแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตร ในวันที่ 7 พฤษภาคม 1945.
22. กษัตริย์ทิศเหนือ ‘ดูหมิ่นสถานศักดิ์สิทธิ์และถอนเครื่องบูชาเนืองนิตย์ออกไป’ อย่างไร?
22 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “พวกเขา [กองทัพนาซี] จะถึงกับดูหมิ่นสถานศักดิ์สิทธิ์ คือป้อมปราการ และถอนเครื่องบูชาเนืองนิตย์ออกไป.” ในยูดาโบราณ สถานศักดิ์สิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของพระวิหารในกรุงยะรูซาเลม. อย่างไรก็ดี เมื่อชาวยิวปฏิเสธพระเยซู พระยะโฮวาจึงปฏิเสธพวกเขาและพระวิหารนั้น. (มัดธาย 23:37–24:2) ตั้งแต่ศตวรรษแรก ส.ศ. จริง ๆ แล้วพระวิหารของพระยะโฮวาเป็นพระวิหารฝ่ายวิญญาณ พร้อมกับมีห้องบริสุทธิ์ที่สุดในสวรรค์และลานพระวิหารฝ่ายวิญญาณบนแผ่นดินโลก ซึ่งพี่น้องผู้ถูกเจิมของพระเยซูผู้เป็นมหาปุโรหิตรับใช้อยู่. จากทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา “ชนฝูงใหญ่” ได้นมัสการร่วมกับชนที่เหลือผู้ถูกเจิมและจึงกล่าวได้ว่ารับใช้ใน “พระวิหารของพระเจ้า.” (วิวรณ์ 7:9, 15, ล.ม.; 11:1, 2; เฮ็บราย 9:11, 12, 24) กษัตริย์ทิศเหนือดูหมิ่นลานพระวิหารทางแผ่นดินโลกในดินแดนที่ตนควบคุมอยู่โดยกดขี่ข่มเหงชนที่เหลือผู้ถูกเจิมและสหายของพวกเขาอย่างไม่ปรานี. การกดขี่ข่มเหงนั้นหนักมากถึงขนาดที่ “เครื่องบูชาเนืองนิตย์”—เครื่องบูชาแห่งคำสรรเสริญอย่างเปิดเผยแด่พระนามของพระยะโฮวา—ถูกถอดถอน. (เฮ็บราย 13:15) อย่างไรก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ทนทุกข์อย่างหนัก คริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์พร้อมกับ “แกะอื่น” ประกาศต่อไประหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2.—โยฮัน 10:16, ล.ม.
‘สิ่งน่าสะอิดสะเอียนถูกตั้งขึ้น’
23. อะไรคือ “สิ่งน่าสะอิดสะเอียน” ในศตวรรษแรก?
23 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะสิ้นสุดลง มีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดังที่ทูตสวรรค์ได้บอกไว้ล่วงหน้าทีเดียว. “พวกเขาจะตั้งสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งทำให้ร้างเปล่าขึ้นเป็นแน่.” (ดานิเอล 11:31ข, ล.ม.) พระเยซูได้ตรัสถึง “สิ่งน่าสะอิดสะเอียน” เช่นกัน. ในศตวรรษแรก สิ่งนี้ปรากฏว่าเป็นกองทัพโรมันที่มาถึงกรุงยะรูซาเลมในปี ส.ศ. 66 เพื่อปราบกบฏชาวยิว.c—มัดธาย 24:15, ล.ม.; ดานิเอล 9:27.
24, 25. (ก) อะไรคือ “สิ่งน่าสะอิดสะเอียน” ในสมัยใหม่? (ข) ‘สิ่งน่าสะอิดสะเอียนถูกตั้งขึ้น’ เมื่อไรและอย่างไร?
24 อะไรคือ “สิ่งน่าสะอิดสะเอียน” ที่ได้ ‘ตั้งขึ้น’ ในสมัยใหม่? ปรากฏว่า มันเป็นสิ่งปลอมที่ “น่าสะอิดสะเอียน” ของราชอาณาจักรของพระเจ้า. นี่คือสันนิบาตชาติ สัตว์ร้ายสีแดงเข้มที่ลงไปในเหว คือไม่ได้เป็นองค์การเพื่อสันติภาพของโลกอีกต่อไป เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้น. (วิวรณ์ 17:8, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม “สัตว์ร้าย . . . จะขึ้นมาจากเหว.” มันขึ้นมาเมื่อมีการก่อตั้งสหประชาชาติ พร้อมด้วยประเทศสมาชิก 50 ประเทศรวมทั้งอดีตสหภาพโซเวียต ในวันที่ 24 ตุลาคม 1945. ดังนั้น “สิ่งน่าสะอิดสะเอียน” ที่ทูตสวรรค์บอกไว้ล่วงหน้า—คือสหประชาชาติ—จึงถูกตั้งขึ้น.
25 เยอรมนีเคยเป็นศัตรูตัวสำคัญของกษัตริย์ทิศใต้ระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้งและอยู่ในตำแหน่งกษัตริย์ทิศเหนือ. ใครจะมาดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนต่อไป?
[เชิงอรรถ]
a ดูบท 6 ของหนังสือนี้.
b จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นไรช์ที่หนึ่ง และจักรวรรดิเยอรมันเป็นไรช์ที่สอง.
c ดูบท 11 ของหนังสือนี้.
คุณได้เรียนรู้อะไร?
• ในตอนปลายศตวรรษที่ 19 มหาอำนาจอะไรมีบทบาทเป็นกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้?
• ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ผลของการต่อสู้ ‘ปรากฏว่าไม่เหมือนตอนแรก’ อย่างไรสำหรับกษัตริย์ทิศเหนือ?
• หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮิตเลอร์ได้ทำให้เยอรมนีกลายเป็นมหาอำนาจที่น่าจับตาในฉากของโลกอย่างไร?
• ผลของการต่อสู้ระหว่างกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้เป็นอย่างไรในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2?
[ตารางแผนภูมิ/ภาพหน้า 268]
กษัตริย์ต่าง ๆ ในดานิเอล 11:27-31
กษัตริย์ทิศเหนือ กษัตริย์ทิศใต้
ดานิเอล 11:27-30ก จักรวรรดิเยอรมัน บริเตน ตามด้วย
(สงครามโลกครั้งที่ 1) มหาอำนาจโลก
แองโกล-อเมริกัน
ดานิเอล 11:30ข, 31 จักรวรรดิไรช์ที่สาม มหาอำนาจโลก
ของฮิตเลอร์ แองโกล-อเมริกัน
(สงครามโลกครั้งที่ 2) มหาอำนาจโลก
[ภาพ]
คริสเตียนหลายคน ถูกกดขี่ข่มเหงในค่ายกักกัน
[ภาพ]
ผู้นำคริสต์ศาสนจักรสนับสนุนฮิตเลอร์
[ภาพ]
ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันกับกษัตริย์จอร์จที่ 5
[ภาพ]
รถยนต์คันที่อาร์ชดุ๊กเฟอร์ดินันด์ถูกลอบสังหาร
[ภาพ]
ทหารเยอรมัน สงครามโลกครั้งที่ 1
[รูปภาพหน้า 257]
ที่เมืองยอลตาในปี 1945 วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ, แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐ, และโยเซฟ สตาลิน นายกรัฐมนตรีโซเวียต แสดงความเห็นชอบต่อการยึดครองเยอรมนี, จัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นในโปแลนด์, และจัดประชุมเพื่อก่อตั้งสหประชาชาติ
[รูปภาพหน้า 258]
1. อาร์ชดุ๊กเฟอร์ดินันด์ 2. กองทัพเรือเยอรมัน 3. กองทัพเรืออังกฤษ 4. ลูซิตาเนีย 5. คำประกาศสงครามของสหรัฐ
[รูปภาพหน้า 263]
อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์มั่นใจในชัยชนะหลังจากญี่ปุ่น พันธมิตรยามสงครามของเยอรมนีทิ้งระเบิดถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์