วิธีประสบความชื่นชมยินดีในการทำให้คนเป็นสาวก
ความชื่นชมยินดีอันล้ำลึกประการหนึ่งซึ่งคนเราอาจประสบคือ การเป็นเพื่อนร่วมงานกับพระเจ้า. ทุกวันนี้ การงานของพระเจ้ารวมเอาการรวบรวมผู้คนที่มีใจโน้มเอียงในทางชอบธรรมเข้ามายังประชาคมคริสเตียน และฝึกอบรมพวกเขาให้ดำเนินชีวิตอย่างคริสเตียนขณะนี้และเพื่อจะรอดเข้าสู่โลกใหม่ด้วย.—มีคา 4:1-4; มัดธาย 28:19, 20; 2 เปโตร 3:13.
นับว่าเป็นแหล่งของความชื่นชมยินดีเป็นอันมากสำหรับพยานพระยะโฮวาในประเทศแถบลาตินอเมริกาที่เห็นประชาชนนับล้านเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ปี 1980. เขตงานที่บังเกิดผลมากแห่งนี้ ซึ่งหลายคนให้ความนับถือและเชื่อถือคัมภีร์ไบเบิล ผู้เผยแพร่เต็มเวลาบางคนสามารถช่วยหลายสิบคนอุทิศชีวิตของเขาแด่พระยะโฮวา. เนื่องด้วยมีประสบการณ์มาก บางทีพวกเขาสามารถบอกให้พวกเราทราบบางอย่างเกี่ยวกับความยินดีในการทำให้คนเป็นสาวก. ข้อเสนอแนะบางประการจากพวกเขาอาจช่วยคุณประสบความยินดีในการทำให้คนเป็นสาวกในแถบถิ่นที่คุณอาศัยอยู่.
การวินิจฉัยได้ว่าใครอาจจะเป็น “แกะ”
เมื่อพระเยซูส่งเหล่าอัครสาวกของพระองค์ออกไปเผยแพร่ พระองค์ตรัสดังนี้: “ท่านจะเข้าไปในบ้านใดหรือเมืองใด จงสืบหาดูว่า ใครเป็นคนเหมาะที่จะอาศัยอยู่ด้วยได้.” (มัดธาย 10:11) เมื่อคุณออกเยี่ยมประชาชน คุณจะวินิจฉัยได้อย่างไรว่าใครอาจเป็นคนที่คุณจะช่วยได้ทางฝ่ายวิญญาณ? เอดเวิร์ด ผู้เผยแพร่เต็มเวลามานานกว่า 50 ปีกล่าวว่า “เขาแสดงให้เรารู้ด้วยการถามอย่างจริงใจและแสดงความพอใจเมื่อได้รับคำตอบจากคัมภีร์ไบเบิล.” แครอลเสริมว่า “ถ้าคนหนึ่งพูดคุยกับดิฉันเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวหรือความกังวลใจ จริง ๆ แล้วนั่นหมายถึงการร้องขอความช่วยเหลือ. ดิฉันจะค้นหาคำแนะนำที่ให้ประโยชน์จากสรรพหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์. การให้ความเอาใจใส่เป็นส่วนตัวแบบนี้มักจะนำไปสู่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.” กระนั้น ใช่ว่าง่ายเสมอไปที่จะวินิจฉัยได้ว่าใครเป็นสุจริตชน. ลูอิสเล่าว่า “บางคนมีท่าทีว่าสนใจมาก แต่กลับปรากฏว่าเขาไม่สนใจเลย ส่วนคนซึ่งทีแรกดูเหมือนว่าต่อต้าน กลับเปลี่ยนทัศนะเมื่อเขาได้ฟังสิ่งที่กล่าวจริง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล.” เนื่องจากคนจำนวนมากแถบประเทศลาตินอเมริกาให้ความนับถือคัมภีร์ไบเบิล เขาพูดต่อดังนี้: “ผมพอจะวินิจฉัยได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นบุคคลที่เราสามารถช่วยเขาได้ทางฝ่ายวิญญาณ เมื่อเขายอมรับสิ่งที่พระคัมภีร์สอนโดยไม่ลังเล หลังจากผมได้ชี้ให้เขาดู.” การช่วยบุคคล “ที่คู่ควร” ดังกล่าวให้ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณนำมาซึ่งความยินดีและความอิ่มใจพอใจอย่างแท้จริง. คุณจะทำได้อย่างไร?
เริ่มจัดการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล
ปกติแล้ว การใช้เครื่องช่วยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ได้ผลิตออกมาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยประชาชนเข้าใจความจริงของคัมภีร์ไบเบิล. (มัดธาย 24:45, ล.ม.) คุณจะเพิ่มการหยั่งรู้คุณค่าเครื่องช่วยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร? เอดเวิร์ดบอกว่า “เนื่องจากสภาพแวดล้อม, บุคลิก, และทัศนคติของประชาชนมีหลากหลายต่างกัน ผมจึงพยายามปรับเปลี่ยนวิธีเริ่มการศึกษา.” คุณไม่สามารถใช้วิธีเดียวกันกับทุก ๆ คน.
สำหรับบางคน อาจจำเป็นต้องสนทนาเรื่องพระคัมภีร์หลาย ๆ ครั้งอย่างไม่เป็นทางการก่อนเสนอหนังสือคู่มือเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. กระนั้นก็ดี มิชชันนารีสองสามีภรรยารายงานดังนี้: “ตามปกติ เราเสนอการศึกษาพระคัมภีร์ตั้งแต่ตอนเยี่ยมครั้งแรก.” เช่นเดียวกัน พยานฯคนหนึ่งซึ่งได้ช่วย 55 คนก้าวถึงขั้นอุทิศตัวได้พูดว่า “วิธีหลักที่ดิฉันใช้เพื่อเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเสมอมาคือ พิจารณาเรื่องราวโดยตรงจากหนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก.” แม้ว่าบางคนไม่ชอบความคิดที่จะศึกษาอะไร ๆ ทั้งสิ้น ส่วนคนอื่นกระตือรือร้นอยากศึกษาอะไรก็ได้ที่เขาเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเขา. การเสนอที่จะสอนคัมภีร์ไบเบิลฟรีที่บ้าน บ่อยครั้งดึงดูดใจคนเหล่านี้. มิชชันนารีบางคนชี้แจงเรื่องการสอนพระคัมภีร์แล้วบอกว่า “ฉันอยากสาธิตให้ดูว่าเราทำกันอย่างไร. ถ้าคุณชอบ คุณก็ศึกษาต่อไป. ถ้าไม่ชอบก็แล้วแต่คุณ.” เมื่อเสนอแบบนี้ ประชาชนไม่รู้สึกกลัวที่จะตอบรับ.
พยานฯอีกคนหนึ่งซึ่งเคยช่วยพวกที่มีรายได้น้อยและด้อยการศึกษา พูดอย่างนี้: “ดิฉันเห็นว่าการใช้แผ่นพับมีประโยชน์เป็นพิเศษเพื่อเริ่มต้นการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.” ไม่ว่าจะใช้หนังสือเล่มใด ผู้สอนเต็มเวลาพยายามเน้นความสำคัญของคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก. แคโรลาบอกว่า “เมื่อดิฉันนำการศึกษาครั้งแรก ดิฉันใช้ภาพและอ่านพระคัมภีร์ประมาณห้าข้อเท่านั้น เพื่อให้ประเด็นสำคัญเด่นชัด และคัมภีร์ไบเบิลจึงดูไม่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้.”
ผดุงความสนใจให้คงอยู่ต่อไป
คนเรายินดีเมื่อรู้สึกว่าตนก้าวหน้า ดังนั้น เจนนิเฟอร์ให้ความเห็นว่า “จงทำให้การศึกษามีชีวิตชีวา. คืบหน้าต่อไปเรื่อย ๆ.” การนำการศึกษาอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์อย่าให้ขาดย่อมทำให้นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมีความรู้สึกว่าเขากำลังก้าวหน้า. ไพโอเนียร์พิเศษคนหนึ่งซึ่งรับการเลี้ยงดูและเติบโตในชนบท ชี้แจงความสำคัญของคำอธิบายที่ง่าย ๆ และการจดจ่ออยู่ที่จุดสำคัญ เพื่อว่าแม้แต่คนที่เล่าเรียนน้อยก็สามารถก้าวหน้าได้. เขากล่าวว่า “ที่หมู่บ้านของผม เราต้องรดน้ำด้วยถังฝักบัวหลังจากหว่านเมล็ดพืชลงดินแล้ว. ถ้าเรารดน้ำจนเจิ่งนอง ผิวดินจะจับตัวเป็นก้อนแข็งซึ่งเมล็ดพืชที่เริ่มงอกจะชอนทะลุไม่ได้ แล้วพืชก็จะตาย. เช่นเดียวกัน ถ้าคุณให้คนสนใจใหม่รับเอาจุดสำคัญมากมาย อาจดูเป็นเรื่องยากเกินไปและเขาก็จะเลิกศึกษา.” แม้แต่คนที่มีจิตใจใฝ่รู้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะมุ่งจดจ่อทีละเรื่อง ถ้าเขาจะก้าวหน้าด้านความเข้าใจต่อไป. พระเยซูตรัสแก่เหล่าอัครสาวกดังนี้: “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกเจ้าทั้งหลาย แต่ว่าตอนนี้เจ้ายังรับไว้ไม่ได้.”—โยฮัน 16:12, ล.ม.
อีกวิธีหนึ่งที่จะผดุงความสนใจให้คงอยู่ต่อไปคือ สนับสนุนผู้ซึ่งเป็นรายเยี่ยมของคุณให้คิดคำนึงถึงพระคำของพระเจ้าหลังจากคุณจากเขาไป. โยลันดาแนะว่า “ฝากคำถามไว้สักข้อหนึ่ง. ให้เขาทำการบ้านบ้าง เป็นต้นว่า อ่านคัมภีร์ไบเบิลสักตอนหนึ่งหรือทำการค้นคว้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเขา.”
การพัฒนาความรักต่อพระยะโฮวา
ความชื่นชมยินดีของคุณจะเพิ่มทวีเมื่อคุณช่วยนักศึกษาให้เป็น “ผู้ปฏิบัติตามพระคำ และไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น.” (ยาโกโบ 1:22, ล.ม.) คุณจะทำได้อย่างไร? คริสเตียนแท้ได้รับแรงกระตุ้นจากความรักที่เขามีต่อพระยะโฮวา. เปโทร จากเม็กซิโก ชี้แจงว่า “ผู้คนไม่อาจจะรักบุคคลที่เขาไม่รู้จัก ดังนั้น นับแต่แรกเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผมสอนเขาให้รู้จักพระนามพระเจ้าจากคัมภีร์ไบเบิล และผมหาโอกาสจะเน้นคุณลักษณะของพระยะโฮวาเสมอ.” ระหว่างการสนทนา คุณสามารถเสริมความหยั่งรู้ค่าต่อพระยะโฮวาด้วยการแสดงความรู้สึกของคุณที่มีต่อพระองค์. เอลิซาเบ็ทบอกว่า “ดิฉันพยายามจะเอ่ยถึงคุณความดีของพระยะโฮวาเสมอ. ระหว่างที่กำลังศึกษา ถ้าดิฉันเห็นดอกไม้งาม, เห็นนกสวย, หรือลูกแมวซุกซนน่าเอ็นดู ดิฉันมักจะพูดว่าสิ่งนั้นเป็นฝีพระหัตถ์ของพระยะโฮวา.” เจนนิเฟอร์แนะว่า “คุยเรื่องโลกใหม่ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้อย่างที่เป็นเรื่องจริงซึ่งคุณรู้ว่าต้องมีขึ้นแน่นอน. ถามเขาว่าอยากจะทำอะไรในโลกใหม่.”
เมื่อคนเราไตร่ตรองด้วยความหยั่งรู้ค่าในสิ่งที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวา สิ่งนั้นจะซึมเข้าในหัวใจของเขาและจะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาลงมือปฏิบัติ. แต่เขาจะไตร่ตรองไม่ได้นอกเสียจากว่าเขาจำได้. หลังการศึกษาทุกครั้งเมื่อได้ทบทวนจุดสำคัญสักสามสี่จุดก็จะเป็นเครื่องช่วยความจำได้. ผู้สอนคัมภีร์ไบเบิลหลายคนแนะนำให้คนใหม่จดข้อคัมภีร์สำคัญรวมทั้งบันทึกสั้น ๆ ไว้ที่ปกหลังด้านในของคัมภีร์ไบเบิลฉบับส่วนตัวของพวกเขา. มิชชันนารีที่ประเทศอังกฤษชี้แจงถึงประโยชน์อีกประการหนึ่งของการทบทวนดังนี้: “ดิฉันถามว่าความรู้ที่เรียนเป็นประโยชน์อย่างไรสำหรับเขา. จุดนี้แหละทำให้เขาไตร่ตรองแนวทางและข้อกฎหมายของพระยะโฮวาด้วยความหยั่งรู้ค่า.”
พยานฯที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งซึ่งจบโรงเรียนกิเลียดรุ่นที่สามพูดว่า “เราต้องเป็นคนกระตือรือร้น. นักศึกษาของเราต้องตระหนักว่าเราเชื่อสิ่งที่เราสอน.” ความเชื่อซึ่งทำให้คุณกลายเป็น “ผู้ปฏิบัติการงาน” อย่างมีความสุข ย่อมก่อให้เกิดความเชื่อเช่นนั้นในตัวนักศึกษาหากคุณแสดงออกซึ่งความเชื่อนั้น.—ยาโกโบ 1:25, ล.ม.
พยานฯคนหนึ่งซึ่งได้ช่วยหลายคนเข้ามานมัสการพระยะโฮวาพูดว่า “ดิฉันพบว่า ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นหากดิฉันช่วยเขาให้มองเห็นว่าคำอธิษฐานของเขาได้รับคำตอบ. ดิฉันเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้เขาฟังเป็นตัวอย่าง เช่นเรื่องนี้: เมื่อดิฉันกับเพื่อนร่วมงานในฐานะไพโอเนียร์ได้มาถึงเขตงานใหม่ตามการมอบหมาย เรามีผักเพียงเล็กน้อย เนยเทียมหนึ่งก้อนเล็ก ๆ และไม่มีเงิน. เรากินอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้วก็พูดกันว่า ‘ตอนนี้เราไม่มีอะไรสำหรับพรุ่งนี้เลย.’ เราได้อธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งนี้ และเข้านอน. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พยานฯคนหนึ่งในท้องถิ่นได้มาเยี่ยมและแนะนำตัวเอง แล้วกล่าวว่า ‘ดิฉันอธิษฐานขอพระยะโฮวาให้ส่งไพโอเนียร์มาที่นี่. ตอนนี้ดิฉันสามารถทำงานร่วมกับคุณได้เกือบทั้งวัน แต่เพราะดิฉันอยู่นอกเมือง และจะต้องกินอาหารมื้อเที่ยงกับคุณ ดังนั้น จึงเตรียมอาหารมามากพอสำหรับพวกเราทุกคน.’ เธอนำเนื้อและผักมามากมาย. ดิฉันบอกนักศึกษาเสมอว่า พระยะโฮวาจะไม่ทอดทิ้งเราเลยถ้าเราแสวงราชอาณาจักรของพระองค์ก่อนสิ่งอื่น.”—มัดธาย 6:33, ล.ม.
เสนอความช่วยเหลือในเชิงปฏิบัติ
มีอีกมากรวมอยู่ในการทำให้คนเป็นสาวกของพระคริสต์ นอกเหนือจากการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. มิชชันนารีคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฐานะผู้ดูแลเดินทางอยู่หลายปีพูดอย่างนี้: “ให้เวลาเขา. อย่ารีบร้อนกลับทันทีหลังจากศึกษาเสร็จ. หากเหมาะสม ก็อยู่ต่อและสนทนากันชั่วครู่.” เอลิซาเบ็ทพูดว่า “ดิฉันแสดงความสนใจตัวเขาเพราะชีวิตเกี่ยวข้องอยู่ด้วย. หลายครั้งดิฉันห่วงใยพวกเขาประหนึ่งว่าเขาเป็นลูกของดิฉัน.” มีพยานฯบางคนให้ข้อเสนอแนะดังนี้: “เยี่ยมเขาเมื่อเขาไม่สบาย.” “เมื่อคุณไปในละแวกบ้านของเขา เช่น ยามที่ออกประกาศ ก็แวะเยี่ยมเขาสักประเดี๋ยวหนึ่งเพื่อแนะนำเขาให้รู้จักเพื่อนพยานฯคนอื่น.” อีวาบอกว่า “ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อเพื่อจะได้เข้าใจภูมิหลังและสภาพการณ์ในชีวิตของเขา. สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาต่อความจริง และอาจเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของเขาก็ได้. จงเป็นมิตรกับเขา เพื่อว่าเขาจะมีความมั่นใจที่จะพูดเรื่องปัญหาของตน.” แครอลเสริมว่า “การให้ความสนใจจริงจังในตัวบุคคลเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากความจริงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขา ซึ่งบางครั้งอาจหมายถึงการสูญเสียครอบครัวและมิตรสหาย. เป็นเรื่องสำคัญที่นักศึกษาจะรู้ว่าเราพักอยู่ที่ไหนและมีความมั่นใจว่ามาพบเราเวลาใดก็ได้.” จงช่วยเขาให้ถือว่าประชาคมเป็นเสมือนครอบครัวใหม่ของเขา.—มัดธาย 10:35; มาระโก 10:29, 30.
โยลันดากล่าวว่า “จงตื่นตัวที่จะเสนอการช่วยเหลือในทางปฏิบัติ. นั่งกับเขา ณ การประชุม และช่วยดูแลลูกให้เขา.” การแสดงให้คนใหม่เห็นวิธีอบรมลูก, ปรับปรุงมาตรฐานด้านความสะอาดของเขา, ช่วยเขาเตรียมคำตอบสำหรับการประชุมต่าง ๆ, และเตรียมคำบรรยายในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนของงานทำให้คนเป็นสาวก. ซิสเตอร์อีกคนหนึ่งพูดเสริมว่า “เป็นสิ่งสำคัญที่จะฝึกอบรมคนใหม่เพื่องานรับใช้. เมื่องานด้านนี้ถูกมองข้าม บางคนจึงยังคงกลัวงานออกประกาศ, ขาดความชื่นชมยินดีในการรับใช้พระยะโฮวา, และไม่มีความอดทน.” ดังนั้น จงจัดการฝึกอบรมอย่างถี่ถ้วนสำหรับงานประกาศตามบ้าน, การกลับเยี่ยม, และการเริ่มนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ความชื่นชมยินดีของคุณจะมีบริบูรณ์เมื่อคุณเห็นนักศึกษาก้าวหน้าเพราะการช่วยเหลือและการชี้นำจากคุณ.
เสริมสร้างให้เขาเข้มแข็งเพื่อจะอดทนได้
ผู้มีประสบการณ์คนหนึ่งในด้านการทำให้คนเป็นสาวกเตือนดังนี้ “มีแนวโน้มที่จะละเลยการศึกษาเมื่อนักศึกษารับบัพติสมาแล้ว. ทั้งผู้สอนและนักศึกษาต้องจำไว้ว่าคริสเตียนผู้ซึ่งเพิ่งรับบัพติสมานั้นยังไม่อาวุโสฝ่ายวิญญาณ. เขายังต้องพัฒนาอีกมากด้านความเชื่อ, ด้านการหยั่งรู้เข้าใจกฎหมายของพระเจ้า, และด้านความรักต่อพระยะโฮวา. เป็นสิ่งสำคัญที่จะสนับสนุนเขาให้พัฒนานิสัยที่ดีในการศึกษาส่วนตัวเพื่อเขาจะยังคงทำความก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ.”—1 ติโมเธียว 4:15.
คนใหม่อาจต้องการความช่วยเหลือให้ก้าวหน้าและกลายเป็นสมาชิกที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อในสังคมของพี่น้อง. เขาอาจต้องการคำแนะนำเพื่อจัดการกับความไม่สมบูรณ์ของพวกพี่น้องขณะที่เขาสนิทสนมกับพี่น้องมากขึ้น. (มัดธาย 18:15-35) เขาอาจจำต้องได้รับความช่วยเหลือเพื่อจะเป็นผู้สอนที่มีทักษะ สามารถทำการค้นคว้าด้วยตัวเอง. มิชชันนารีคนหนึ่งเล่าว่า “นักศึกษาคนหนึ่งหลังจากรับบัพติสมาแล้วต้องการปรับปรุงความสามารถของตัวเองฐานะเป็นผู้สอน ดังนั้นเธอได้พูดกับดิฉันว่า ‘สัปดาห์หน้า ฉันจะต้องนำการศึกษารายหนึ่ง แต่ฉันจะต้องฟื้นความทรงจำเกี่ยวด้วยบทเรียนแรก ๆ ที่เคยศึกษามาแล้ว. คุณจะกรุณาทบทวนบทเรียนต่าง ๆ ทีละบทกับฉันอีกครั้งได้ไหม เพื่อว่าฉันจะจดคำอธิบายเกี่ยวกับข้อคัมภีร์ต่าง ๆ รวมทั้งตัวอย่างประกอบได้ แล้วฉันคงสามารถใช้คำอธิบายเหล่านั้นเมื่อไปนำการศึกษา?’ พยานฯคนนี้กลายเป็นผู้สอนที่เยี่ยมมาก เธอมีนักศึกษาถึงสี่คนที่รับบัพติสมา ณ การประชุมใหญ่คราวเดียว.”
เหตุที่การทำให้คนเป็นสาวกมีผลคุ้มกับความบากบั่น
พาเมลาพูดว่า “การทำให้คนเป็นสาวกหมายถึงจำนวนผู้สรรเสริญพระยะโฮวามีมากขึ้น ทั้งหมายถึงชีวิตสำหรับผู้คนเหล่านั้นซึ่งรับรองเอาความจริง. ดิฉันรักการสอนความจริงให้แก่คนอื่น ๆ—ช่างวิเศษจริง ๆ! คุณเห็นนักศึกษาเติบโตขึ้นทีละเล็กละน้อย เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวเองและเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ซึ่งดูเหมือนว่ายากจะผ่านไปได้หากไม่มีพระวิญญาณของพระยะโฮวาช่วย. หลายคนในจำนวนนั้นที่มาถึงขั้นแสดงความรักต่อพระยะโฮวาได้กลายเป็นเพื่อนที่รักของดิฉัน.”
มิชชันนารีจากประเทศเยอรมนีเล่าว่า “เมื่อตรึกตรองถึงคนเหล่านั้นซึ่งดิฉันเคยช่วยจนได้เข้ามาเป็นสาวก ดิฉันมองเห็นบางคนซึ่งเคยขาดความเชื่อมั่นในตัวเองมาก ๆ แต่แล้วได้ก้าวหน้าเป็นอย่างดีฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าถึงขนาดที่ดิฉันแทบไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้. ดิฉันเห็นหลายคนฝ่าฟันอุปสรรคอันน่าหวาดกลัวโดยอาศัยความช่วยเหลือของพระยะโฮวาอย่างเห็นได้ชัด. ดิฉันเห็นบางครอบครัวซึ่งครั้งหนึ่งแตกแยกกัน แต่เดี๋ยวนี้ปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน—ลูก ๆ ร่าเริงเบิกบานพร้อมด้วยคุณพ่อคุณแม่ผู้ซึ่งรู้สำนึกถึงความรับผิดชอบ. ดิฉันเห็นผู้คนดำเนินชีวิตอย่างมีความหมาย กล่าวสรรเสริญพระยะโฮวา. นี้แหละเป็นความยินดีอันเนื่องมาจากการทำให้คนเป็นสาวก.”
จริง ๆ แล้ว การเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้ายะโฮวาด้วยการทำให้คนเป็นสาวกเป็นแหล่งของความยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้. ประสบการณ์ของมิชชันนารีและไพโอเนียร์ทั้งหลายพิสูจน์ให้เห็นอยู่แล้ว. คุณจะประสบความยินดีและความพอใจด้วยเช่นกันถ้าคุณปฏิบัติตามข้อเสนอแนะและมุ่งมั่นกระทำด้วยสุดจิตวิญญาณ. พร้อมกับพระพรจากพระยะโฮวา ความชื่นชมยินดีของคุณจะบริบูรณ์.—สุภาษิต 10:22; 1 โกรินโธ 15:58.