บท 35
คำบรรยายบนภูเขา
คำบรรยายบนภูเขา
พระเยซูอธิษฐานมาทั้งคืนและเลือกอัครสาวก 12 คน ตอนนี้เช้าแล้ว ท่านคงเหนื่อย แต่ก็ยังมีแรงเหลือและยังอยากจะช่วยผู้คน ท่านจึงไปที่แถบภูเขา คงไม่ไกลจากเมืองคาเปอร์นาอุมซึ่งเป็นที่พักประจำของท่านระหว่างทำงานรับใช้ในแคว้นกาลิลี
คนจำนวนมากเดินทางไกลมาหาพระเยซู บางคนมาจากทางใต้ จากกรุงเยรูซาเล็ม จากที่อื่น ๆ ในแคว้นยูเดีย และจากเมืองชายฝั่งที่ชื่อไทระและไซดอนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกเขามา “เพื่อฟังพระเยซูและให้ท่านรักษาโรค” แล้วพระเยซูก็ “ทำให้ทุกคนหายโรค” ลองคิดดูสิ คนป่วยทุกคน ได้รับการรักษาให้หาย! นอกจากนั้น พระเยซูดูแล “คนที่ทนทุกข์เพราะถูกปีศาจสิง” ปีศาจเหล่านั้นคือพวกทูตสวรรค์ชั่วของซาตาน—ลูกา 6:17-19
ต่อจากนั้น พระเยซูไปนั่งอยู่แถว ๆ ที่ราบบนภูเขา ผู้คนมานั่งล้อมรอบท่าน สาวกก็มานั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่อัครสาวกทั้ง 12 คนคงอยู่ใกล้ท่านที่สุด ทุกคนรออย่างใจจดใจจ่อที่จะฟังคำสอนของครูคนนี้ซึ่งมีอำนาจทำการอัศจรรย์มากมาย ในวันนั้น ผู้ฟังได้รับประโยชน์จากคำสอนของพระเยซู แต่จนถึงตอนนี้ ผู้คนอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งพวกเราก็ได้รับประโยชน์ด้วย เพราะพระเยซูสอนหลักความจริงที่ลึกซึ้งในวิธีที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ท่านใช้ตัวอย่างที่ผู้คนคุ้นเคยดี คนที่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นและอยากทำให้พระเจ้าพอใจเลยสามารถเข้าใจหลักการต่าง ๆ ได้ไม่ยาก ขอลองอ่านดูว่าเราจะเรียนอะไรได้บ้างจากคำบรรยายบนภูเขา
ใครคือคนที่มีความสุขจริง ๆ?
พระเยซูรู้ว่าใคร ๆ ก็อยากมีความสุข ท่านจึงเริ่มบรรยายโดยพูดถึงคนที่มีความสุขจริง ๆ ทุกคนคงตั้งตารอฟัง แต่พวกเขาอาจรู้สึกงงกับบางสิ่งที่พระเยซูพูด
ท่านพูดว่า “คนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็มีความสุข เพราะรัฐบาลสวรรค์เป็นของเขา คนที่โศกเศร้าก็มีความสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบใจ . . . คนที่กระหายอยากเห็นความยุติธรรมก็มีความสุข เพราะเขาจะอิ่มใจที่ได้รับความยุติธรรม . . . คนที่ถูกข่มเหงเพราะทำสิ่งที่ถูกต้องก็มีความสุข เพราะรัฐบาลสวรรค์เป็นของเขา เมื่อคุณโดนคนอื่นข่มเหง ด่าว่า . . . เพราะติดตามผม คุณก็มีความสุข”—มัทธิว 5:3-12
พระเยซูพูดถึง “ความสุข” แบบไหน? ท่านไม่ได้พูดถึงความสนุกสนานร่าเริงหรือเสียงหัวเราะในช่วงเวลาดี ๆ ความสุขแท้มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น เป็นความรู้สึกอิ่มใจพอใจในสิ่งที่มี และรู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร
พระเยซูบอกว่าคนที่รู้ตัวว่าต้องพึ่งพระเจ้า คนที่โศกเศร้าเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป คนที่ได้มารู้จักและรับใช้พระเจ้า เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่มีความสุขจริง ๆ ถึงแม้พวกเขาจะถูกเกลียดชังหรือถูกข่มเหงจากการทำตามที่พระเจ้าสอน พวกเขาก็มีความสุขเพราะรู้ว่ากำลังทำให้พระเจ้ามีความสุข พวกเขารู้ว่าจะได้ชีวิตตลอดไปเป็นรางวัล
หลายคนคิดว่าถ้าเขามีเงินเยอะและได้ทำทุกอย่างตามใจต้องการ เขาจะมีความสุข แต่ผู้ฟังคงรู้สึกแปลกใจเพราะพระเยซูสอนตรงกันข้าม ท่านบอกว่า “พวกคุณที่เป็นคนรวยก็น่าสงสาร เพราะคุณมีพร้อมทุกอย่างแล้ว พวกคุณที่อิ่มอยู่ตอนนี้ก็น่าสงสาร เพราะคุณจะต้องหิว พวกคุณที่หัวเราะอยู่ตอนนี้ก็น่าสงสาร เพราะคุณจะต้องทุกข์ใจและร้องไห้ เมื่อทุกคนยกย่องพวกคุณ พวกคุณก็น่าสงสาร เพราะบรรพบุรุษของพวกเขาก็ยกย่องพวกผู้พยากรณ์เท็จอย่างนั้นเหมือนกัน”—ลูกา 6:24-26
ทำไมคนรวย คนที่หัวเราะ และคนที่ได้รับการยกย่องจึงน่าสงสาร? คนที่ห่วงแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ คิดแต่จะสนุกสนาน และชอบให้คนยกย่องคงไม่สนใจที่จะรับใช้พระเจ้า เขาเลยไม่มีความสุขแท้ พระเยซูไม่ได้บอกว่าต้องจนต้องหิวถึงจะมีความสุข แต่คนที่ตอบรับคำสอนของพระเยซูมักจะเป็นคนที่ไม่ได้มีพร้อมทุกอย่าง และการตอบรับนั้นทำให้พวกเขาเป็นคนที่มีความสุขจริง ๆ
พระเยซูนึกถึงสาวกของท่าน ตอนที่พูดว่า “คุณเป็นเหมือนเกลือในโลกนี้” (มัทธิว 5:13) นี่เป็นการพูดเปรียบเทียบ เกลือเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการถนอมอาหาร ปกติแล้วจะมีเกลือจำนวนมากวางไว้ข้างแท่นบูชาในวิหารของพระเจ้าเพื่อใช้โรยบนเครื่องบูชา และเกลือก็เป็นสัญลักษณ์ของอิสระจากความเสื่อมทรามและความเน่าเปื่อยด้วย (เลวีนิติ 2:13; เอเสเคียล 43:23, 24) สาวกของพระเยซูเป็นเหมือน “เกลือในโลกนี้” เพราะพวกเขาส่งผลดีต่อคนอื่น พวกเขาช่วยถนอมรักษาผู้คนไว้จากความเสื่อมทรามด้านศีลธรรมและป้องกันการสูญเสียสายสัมพันธ์กับพระเจ้า ข่าวสารที่พวกเขาประกาศช่วยรักษาชีวิตของคนที่ยอมฟังด้วย
พระเยซูบอกสาวกด้วยว่า “คุณเป็นเหมือนแสงสว่างของโลก” ถ้าคนเราจุดตะเกียงแล้ว ก็คงไม่เอาถังครอบไว้ แต่จะตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อให้แสงสว่างกับทุกคน ดังนั้น พระเยซูกระตุ้นพวกสาวกว่า “ส่องแสงสว่างให้คนอื่นเห็นด้วยการทำดี พอเขาเห็นความดีของคุณ เขาก็จะยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์”—มัทธิว 5:14-16
สาวกของพระเยซูต้องมีมาตรฐานที่ดี
พวกผู้นำศาสนาชาวยิวมองว่าพระเยซูฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้า และพวกเขาเพิ่งรวมหัวกันจะฆ่าท่าน แต่พระเยซูพูดอย่างกล้าหาญว่า “อย่าคิดว่าผมมายกเลิกกฎหมายของโมเสสหรือคำสอนของพวกผู้พยากรณ์ ผมไม่ได้มายกเลิก แต่มาทำตามให้ครบถ้วน”—มัทธิว 5:17
พระเยซูนับถือกฎหมายของพระเจ้าอย่างมากและท่านก็สนับสนุนคนอื่นให้ทำเหมือนกัน ที่จริง ท่านพูดว่า “คนที่ไม่ทำตามกฎหมายเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงข้อหนึ่ง แถมยังสอนคนอื่นไม่ให้ทำด้วย เขาก็ไม่เหมาะสมกับรัฐบาลสวรรค์” หมายความว่าเขาจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลพระเจ้าที่จะปกครองในสวรรค์ แต่พระเยซูบอกต่อไปว่า “คนที่ทำตามและสอนให้คนอื่นทำด้วย คนนั้นก็เหมาะสมกับรัฐบาลสวรรค์”—มัทธิว 5:19
พระเยซูตำหนิความคิดและความรู้สึกที่เป็นสาเหตุของการทำผิดกฎหมายของพระเจ้าด้วย หลังจากยกข้อกฎหมายที่บอกว่า “อย่าฆ่าคน” พระเยซูพูดเสริมว่า “ทุกคนที่โกรธคนอื่นไม่หายจะต้องถูกศาลตัดสิน” (มัทธิว 5:21, 22) การโกรธคนอื่นไม่หายถือเป็นเรื่องร้ายแรงเพราะอาจเป็นสาเหตุของการฆ่าคน พระเยซูจึงอธิบายว่าคนเราต้องพยายามอย่างมากเพื่อจะรักษาสันติสุขกับคนอื่น ท่านบอกว่า “ถ้าคุณเอาของถวายมาที่แท่นบูชาและนึกขึ้นได้ว่ามีคนโกรธคุณอยู่ ให้วางของถวายไว้หน้าแท่นบูชาก่อนและไปคืนดีกับเขา แล้วค่อยกลับมาถวายของนั้น”—มัทธิว 5:23, 24
พระเยซูอธิบายกฎหมายอีกข้อหนึ่งที่ห้ามไม่ให้เล่นชู้โดยบอกว่า “คุณเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘อย่าเล่นชู้’ แต่ผมจะบอกคุณว่าทุกคนที่จ้องมองผู้หญิงจนเกิดความใคร่ ก็เป็นชู้ในใจกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว” (มัทธิว 5:27, 28) พระเยซูไม่ได้พูดถึงเฉพาะความคิดผิดศีลธรรมที่แวบขึ้นมาในหัว แต่ท่านเน้นว่าการ “จ้องมอง” จนเกิดความใคร่เป็นเรื่องร้ายแรง เพราะอาจทำให้เกิดการเล่นชู้เมื่อมีโอกาส เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร? อาจต้องจัดการขั้นเด็ดขาด พระเยซูบอกว่า “ถ้าตาขวาของคุณทำให้คุณหลงทำผิด ควักมันทิ้งไปเลย . . . ถ้ามือขวาของคุณทำให้คุณหลงทำผิด ตัดมันทิ้งไปเลย”—มัทธิว 5:29, 30
บางคนยอมตัดแขนหรือขาทิ้งไปเพื่อรักษาชีวิตไว้ พระเยซูจึงใช้ตัวอย่างนี้เพื่อทำให้เห็นว่าเราต้องยอม “ทิ้ง” ทุกอย่าง เพื่อจะหลีกเลี่ยงความคิดที่ผิดศีลธรรมและผลเสียที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่ามันจะยากเหมือนกับต้องควักลูกตาหรือตัดมือตัวเอง เราก็ต้องยอมทำ เพราะ “เสียอวัยวะอย่างหนึ่งไปก็ดีกว่าทั้งตัวถูกทิ้งลงในเกเฮนนา” (ที่ทิ้งขยะนอกกำแพงกรุงเยรูซาเล็ม) ซึ่งหมายถึงการถูกทำลายตลอดกาล
หลังจากนั้น พระเยซูแนะนำว่าควรทำอย่างไรเมื่อมีคนทำให้บาดเจ็บหรือเจ็บใจ ท่านบอกว่า “อย่าต่อสู้กับคนที่ทำชั่วกับคุณ ถ้าใครตบแก้มขวาของคุณ ก็หันแก้มซ้ายให้เขาด้วย” (มัทธิว 5:39) นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่เฉย ๆ เมื่อมีคนมาทำร้ายเราหรือครอบครัวของเรา พระเยซูพูดถึงการตบหน้าซึ่งคงไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตาย แต่เหมือนเป็นการดูถูก จริง ๆ แล้วท่านกำลังสอนว่า ถ้ามีใครมาชวนทะเลาะหรือหาเรื่อง ไม่ว่าจะด้วยการตบหน้าหรือพูดจาไม่ดี เราก็ไม่ควรตอบโต้
คำแนะนำนี้สอดคล้องกับกฎหมายของพระเจ้าที่ให้เรารักคนอื่น พระเยซูจึงบอกผู้ฟังว่า “ให้รักศัตรูของคุณและอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงคุณ ถ้าทำอย่างนั้น คุณก็จะเป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ เพราะพระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกแก่ทั้งคนทำดีและคนทำชั่ว”—มัทธิว 5:44, 45
พระเยซูสรุปคำบรรยายส่วนนี้ว่า “ดังนั้น คุณต้องเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์” (มัทธิว 5:48) พระเยซูไม่ได้คาดหมายให้เราเป็นคนสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราเลียนแบบพระเจ้า เราจะสามารถแสดงความรักต่อทุกคน แม้แต่คนที่ทำไม่ดีกับเรา พูดอีกอย่างก็คือ เราควร ‘เมตตาคนอื่นเสมอเหมือนกับที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราแสดงความเมตตา’—ลูกา 6:36
อธิษฐานและวางใจในพระเจ้า
เมื่อพระเยซูบรรยายต่อไป ท่านเตือนผู้ฟังให้ “ระวัง อย่าทำดีเพื่ออวดคนอื่น” พระเยซูตำหนิการทำดีเอาหน้า โดยพูดว่า “เวลาที่คุณช่วยเหลือคนจน อย่าเป็นเหมือนคนทำดีเอาหน้าซึ่งชอบโฆษณาความดีของตัวเอง” (มัทธิว 6:1, 2) ให้ทำดีโดยไม่ให้คนอื่นรู้ดีกว่า
พระเยซูพูดต่อไปว่า “ตอนที่คุณอธิษฐาน อย่าทำเหมือนคนเสแสร้งที่ยืนในที่ประชุมและตามมุมถนนใหญ่เพื่ออวดคนอื่น ผมจะบอกให้รู้ว่า พวกเขาได้รางวัลแค่นั้นแหละ แต่เมื่ออธิษฐาน ให้เข้าไปอยู่ในห้องส่วนตัว” (มัทธิว 6:5, 6) พระเยซูไม่ได้บอกว่าการอธิษฐานในที่สาธารณะเป็นเรื่องผิด เพราะท่านเองก็อธิษฐานเหมือนกัน แต่ท่านตำหนิคนที่จงใจอธิษฐานเพื่อให้คนฟังประทับใจหรือให้คนอื่นชื่นชม
พระเยซูแนะนำว่า “ตอนที่คุณอธิษฐาน อย่าพูดซ้ำซากเหมือนคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าทำกัน” (มัทธิว 6:7) พระเยซูไม่ได้บอกว่า การอธิษฐานเรื่องเดิมซ้ำ ๆ เป็นสิ่งผิด แต่ท่านบอกว่าเราไม่ควรใช้คำ “ซ้ำซาก” ที่ท่องจำมา แล้วพระเยซูก็พูดถึงคำอธิษฐานตัวอย่างที่มีคำขอ 7 ข้อ สามข้อแรกเกี่ยวข้องกับสิทธิในการปกครองของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ต้องการจะทำ คือ ทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือ ให้รัฐบาลของพระองค์มาปกครอง และให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่พระองค์ตั้งใจไว้ หลังจากอธิษฐานเรื่องเหล่านั้นแล้ว เราถึงจะขอให้มีอาหารกิน ขอพระเจ้ายกโทษให้เรา ปกป้องเราจากตัวชั่วร้าย และช่วยเราเอาชนะการล่อใจ
สิ่งของนอกกายมีค่ามากแค่ไหนสำหรับเรา? พระเยซูกระตุ้นผู้ฟังว่า “เลิกสะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเองบนโลกได้แล้ว เพราะของพวกนี้ถูกมอดและสนิมกินได้ และถูกคนมาขโมยไปได้” คุณเห็นด้วยใช่ไหม? ทรัพย์สมบัติเสื่อมสลายได้ และถึงจะมีเยอะแค่ไหนก็ซื้อสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าไม่ได้ พระเยซูจึงบอก “ให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” โดยให้การรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต การทำแบบนี้จะทำให้เรามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าและได้รับชีวิตตลอดไปเป็นรางวัล สองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครขโมยไปได้ พระเยซูยังบอกด้วยว่า “ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย”—มัทธิว 6:19-21
พระเยซูยกตัวอย่างเพื่อจะเน้นเรื่องนี้ ท่านบอกว่า “ตาเป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับร่างกาย ถ้าตาของคุณมองที่สิ่งเดียว ทั้งตัวคุณก็จะสว่าง แต่ถ้าตาของคุณมองคนอื่นด้วยความอิจฉา ทั้งตัวคุณก็จะมืดไป” (มัทธิว 6:22, 23) ตาจะเป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับร่างกายได้ก็ต่อเมื่อตาทำงานอย่างดี และเพื่อตาจะทำงานอย่างดี เราก็ต้องมองไปที่สิ่งเดียว ถ้าเราไม่ทำตามคำแนะนำนี้ เราจะจัดลำดับความสำคัญในชีวิตไม่ถูกต้อง เราอาจยุ่งอยู่กับการหาทรัพย์สมบัติแทนที่จะรับใช้พระเจ้า และ ‘ทั้งตัวเราก็จะมืดไป’ เราอาจเดินหลงไปในความมืดและเริ่มทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
แล้วพระเยซูก็ยกตัวอย่างที่โดนใจผู้ฟังโดยพูดว่า “ไม่มีใครเป็นทาสนาย 2 คนได้ เพราะเขาจะเกลียดนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือจะภักดีต่อนายคนหนึ่งและดูถูกนายอีกคนหนึ่ง คุณจะเป็นทั้งทาสพระเจ้าและทาสทรัพย์สมบัติด้วยไม่ได้”—มัทธิว 6:24
ผู้ฟังบางคนอาจเริ่มกังวล แต่พระเยซูรับรองกับพวกเขาว่า ถ้าเขาให้งานรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพย์สมบัติเลย ท่านบอกว่า “ดูนกที่บินบนฟ้าสิ พวกมันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือสะสมเมล็ดพืชไว้ในยุ้งฉาง แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์เลี้ยงดูพวกมันอยู่”—มัทธิว 6:26
แล้วพระเยซูพูดถึงดอกไม้ที่อยู่ในทุ่งบนภูเขาว่า “แม้แต่กษัตริย์โซโลมอนตอนที่แต่งตัวเต็มยศก็ยังไม่งามเท่ากับดอกไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ในทุ่งเลย” ท่านชวนให้ผู้ฟังคิดโดยถามว่า “ถ้าพระเจ้าตกแต่งดอกไม้ใบหญ้าในทุ่งซึ่งอยู่แค่วันนี้ และพรุ่งนี้ก็จะถูกเผาทิ้ง พระองค์จะไม่ตกแต่งคุณมากกว่านั้นหรือ” (มัทธิว 6:29, 30) พระเยซูรับรองกับพวกเขาว่า “อย่ากังวลว่าจะมีกินมีดื่มไหม หรือจะมีเสื้อผ้าใส่หรือเปล่า . . . พระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมีของทั้งหมดนี้ ดังนั้น คุณต้องทำให้การปกครองของพระเจ้าและความถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แล้วพระองค์จะให้คุณมีสิ่งจำเป็นทั้งหมดนี้”—มัทธิว 6:31-33
ต้องทำอะไรถึงจะได้ชีวิต?
อัครสาวกและคนที่จริงใจคนอื่น ๆ อยากใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้พระเจ้าพอใจ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา เพราะพวกฟาริสีชอบวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินคนอื่นอย่างไม่ไว้หน้า พระเยซูจึงเตือนผู้ฟังว่า “คุณต้องเลิกตัดสินคนอื่น พระเจ้าจะได้ไม่ตัดสินคุณ เพราะคุณตัดสินคนอื่นอย่างไร พระเจ้าก็จะตัดสินคุณอย่างนั้น”—มัทธิว 7:1, 2
เป็นเรื่องอันตรายที่จะทำตามพวกฟาริสีที่คอยจ้องจับผิด พระเยซูยกตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยบอกว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ? ทั้งคู่ก็จะตกลงไปในหลุมน่ะสิ” ถ้าอย่างนั้น ผู้ฟังของพระเยซูควรมองคนอื่นอย่างไร? เขาไม่ควรจ้องจับผิด เพราะนั่นถือเป็นการทำผิดร้ายแรง พระเยซูถามว่า “คุณบอกคนอื่นได้อย่างไรว่า ‘ผมจะเขี่ยเศษผงในตาของคุณให้’ แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของคุณเอง? คนอวดดี เอาท่อนไม้ออกจากตาของตัวเองก่อนสิ คุณจะได้เห็นชัด ๆ แล้วคุณถึงจะเขี่ยเศษผงในตาของคนอื่นได้”—ลูกา 6:39-42
นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกสาวกตัดสินอะไรไม่ได้เลย เพราะพระเยซูก็บอกพวกเขาว่า “อย่าเอาของที่ควรถวายพระเจ้าไปให้หมา และอย่าโยนไข่มุกให้หมู” (มัทธิว 7:6) คำสอนของพระเจ้าเป็นความจริงที่มีค่ามาก เหมือนกับไข่มุก ถ้าสาวกเห็นว่าบางคนไม่รู้คุณค่าของความจริง พวกเขาก็ควรไปประกาศกับคนที่พร้อมจะฟัง
เมื่อกลับมาพูดถึงเรื่องการอธิษฐาน พระเยซูเน้นว่าการอธิษฐานบ่อย ๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านบอกให้ “ขอต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะได้รับ” พระเยซูเน้นว่าพระเจ้าพร้อมจะตอบคำอธิษฐานของเรา ท่านถามผู้ฟังว่า “ถ้าลูกขอขนมปัง จะมีพ่อคนไหนให้ก้อนหินหรือ? . . . ในเมื่อคุณที่เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีกับลูก แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์จะไม่ยิ่งให้สิ่งดี ๆ กับคนที่ขอพระองค์หรือ?”—มัทธิว 7:7-11
หลังจากนั้น พระเยซูตั้งกฎข้อหนึ่งสำหรับการปฏิบัติต่อผู้อื่น ซึ่งคนในทุกวันนี้รู้จักดี ท่านบอกว่า “ให้คุณทำกับคนอื่น เหมือนที่อยากให้คนอื่นทำกับคุณ” เราทุกคนควรจดจำและทำตามคำแนะนำที่ดีนี้ พระเยซูเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะท่านบอกว่า “ให้คุณเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูที่เปิดกว้างและทางที่กว้างใหญ่นั้นนำไปถึงความพินาศ และมีคนมากมายเข้าไปทางนั้น แต่ประตูแคบและทางแคบที่เดินลำบากจะนำไปถึงชีวิต และมีไม่กี่คนพบทางนี้”—มัทธิว 7:12-14
บางคนอยากดึงสาวกออกจากทางที่นำไปถึงชีวิต พระเยซูจึงเตือนสาวกว่า “ให้ระวังพวกผู้พยากรณ์เท็จ พวกนั้นปลอมตัวมาหาคุณในคราบของแกะ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นหมาป่าที่ตะกละตะกลาม” (มัทธิว 7:15) พระเยซูให้ข้อสังเกตว่าต้นไม้จะดีหรือไม่ดีก็ต้องดูที่ผล เราก็จะรู้ได้ว่าใครเป็นผู้พยากรณ์เท็จโดยดูจากการกระทำและคำสอนของพวกเขา พระเยซูอธิบายว่า คนที่เป็นสาวกของท่านต้องไม่ดีแต่พูด แต่ต้องทำ ตามที่พระเจ้าต้องการด้วย บางคนอ้างว่าพระเยซูเป็นนายของพวกเขา แต่กลับไม่อยากทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการ พระเยซูจึงพูดว่า “ผมจะบอกพวกเขาว่า ‘ผมไม่เคยรู้จักพวกคุณเลย ไปให้พ้น พวกคนชั่ว’”—มัทธิว 7:23
ตอนที่สรุปคำบรรยายของท่าน พระเยซูประกาศว่า “ทุกคนที่ฟังคำสอนของผมและทำตาม ก็เหมือนคนฉลาดที่สร้างบ้านบนพื้นหิน ถึงแม้ฝนตกหนัก น้ำมาท่วม และลมพัดกระหน่ำ แต่บ้านนั้นก็ไม่พังเพราะมีฐานรากอยู่บนหินที่มั่นคง” (มัทธิว 7:24, 25) ทำไมบ้านนั้นไม่พัง? เพราะคนสร้าง “ขุดหลุมลึกและวางฐานรากบนพื้นหิน” (ลูกา 6:48) ดังนั้น แค่ฟังคำสอนของพระเยซูยังไม่พอ เราต้องทุ่มเทตัวเพื่อจะ “ทำตาม” คำสอนเหล่านั้นด้วย
แล้วคนที่ “ฟังคำสอน” แต่ “ไม่ทำตาม” ล่ะ? พวกเขาก็เป็นเหมือน “คนโง่ที่สร้างบ้านอยู่บนทราย” (มัทธิว 7:26) เมื่อฝนตกหนัก น้ำมาท่วม และลมพัดมาปะทะ บ้านนั้นก็พังทลาย
ผู้ฟังรู้สึกทึ่งมากกับวิธีที่พระเยซูบรรยาย ท่านไม่ได้สอนเหมือนพวกผู้นำศาสนา แต่สอนเหมือนคนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า ในวันนั้นคงมีผู้ฟังหลายคนเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู