ดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงอนาคต
“อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้” พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเช่นนั้นในคำบรรยายที่มีชื่อเสียงบนไหล่เขาในแคว้นแกลิลี. ตามการแปลในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ฉบับมาตรฐาน 2002 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “พรุ่งนี้ก็มีเรื่องกระวนกระวายของมันเอง.”—มัดธาย 6:34.
คุณคิดว่าถ้อยคำที่ว่า “พรุ่งนี้ก็มีเรื่องกระวนกระวายของมันเอง” มีความหมายเช่นไร? ถ้อยคำดังกล่าวชี้แนะว่าคุณควรมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อปัจจุบันและไม่สนใจอนาคตไหม? นั่นเข้ากันได้จริง ๆ ไหมกับสิ่งที่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์เชื่อ?
“อย่ากระวนกระวาย”
เชิญคุณอ่านคำตรัสของพระเยซูโดยตลอดดังปรากฏที่มัดธาย 6:25-32. พระองค์ตรัสในบางตอนว่า “อย่ากระวนกระวายถึงการเลี้ยงชีพของตนว่า, จะเอาอะไรกินหรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า, จะเอาอะไรนุ่งห่ม. . . . จงดูฝูงนกในอากาศ มันมิได้หว่านมิได้เกี่ยวมิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง, แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้อยู่ในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้. . . . มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายอาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ? ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม? จงดูดอกไม้ที่ทุ่งนา มันงอกขึ้นอย่างไร? มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้ายเหนื่อย . . . เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า, จะเอาอะไรกินหรือจะเอาอะไรดื่มหรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม. เพราะว่าพวกต่างประเทศแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้, แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้.”
พระเยซูทรงสรุปคำบรรยายส่วนนี้ของพระองค์ด้วยคำแนะนำสองประการ. ประการแรกคือ “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักร [ของพระเจ้า] และความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วพระองค์จะทรงให้สิ่งทั้งปวงนี้แก่พวกเจ้า.” (มัดธาย 6:33, ล.ม.) ประการที่สองคือ “เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้. เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง. ความทุกข์ของวันใดก็พอสำหรับวันนั้น.”—มัดธาย 6:34.
พระบิดาของคุณทรงทราบสิ่งที่คุณต้องมี
คุณคิดว่าพระเยซูกำลังห้ามปรามเหล่าสาวกของพระองค์ รวมทั้งพวกชาวนามิให้ ‘หว่าน, เกี่ยว, หรือสะสมไว้ในยุ้งฉางของพวกเขา’ ไหม? หรือห้ามมิให้ ‘ทำงานและปั่นด้ายเหนื่อย’ เพื่อจะได้เครื่องนุ่งห่มที่พวกเขาจำเป็นต้องมีไหม? (สุภาษิต 21:5; 24:30-34; ท่านผู้ประกาศ 11:4) ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ๆ. หากพวกเขาเลิกทำงาน พวกเขาคงจะลงเอยด้วย “[การ] ขอทานในฤดูเกี่ยวข้าว” อย่างเลี่ยงไม่พ้น โดยไม่มีอะไรจะกินหรือนุ่งห่ม.—สุภาษิต 20:4.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับความกระวนกระวาย? พระเยซูทรงหมายความไหมว่าผู้ฟังพระองค์จะหนีพ้นความกระวนกระวายอย่างสิ้นเชิง? นั่นคงจะไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง. พระเยซูเองได้ประสบความทุกข์ทางด้านอารมณ์และความกระวนกระวายยิ่งนักในคืนนั้นก่อนที่พระองค์ถูกจับ.—ลูกา 22:44.
พระเยซูเพียงแต่ตรัสความจริงพื้นฐานอย่างหนึ่ง. ความกระวนกระวายเกินควรจะไม่ช่วยคุณให้แก้ปัญหาใด ๆ ที่คุณเผชิญอยู่. ตัวอย่างเช่น ความกระวนกระวายจะไม่ช่วยให้คุณมีชีวิตยาวขึ้น. พระเยซูตรัสว่าความกระวนกระวายจะไม่ “ต่อชีวิต [ของคุณ] ให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้.” (มัดธาย 6:27) ที่จริง ความกระวนกระวายที่รุนแรง ยืดเยื้อคงจะทำให้ชีวิตคุณสั้นลงมากกว่า.
คำแนะนำของพระองค์ใช้ได้จริงอย่างโดดเด่น. หลายสิ่งที่เรากังวลไม่เคยเกิดขึ้นแต่อย่างใด. วินสตัน เชอร์ชิลล์ รัฐบุรุษชาวอังกฤษตระหนักถึงเรื่องนี้ในช่วงเวลาที่น่าหดหู่ของสงครามโลกครั้งที่ 2. เขาได้เขียนเกี่ยวกับความกระวนกระวายของเขาบางเรื่องในตอนนั้นว่า “เมื่อผมย้อนคิดถึงความกังวลเหล่านี้ทั้งหมด ผมจำได้ถึงเรื่องของชายชราที่ได้พูดก่อนเสียชีวิตไม่นานว่าเขาเคยมีความลำบากมากมายในชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นความลำบากที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย.” ที่จริง นับว่าฉลาดสุขุมที่จะจัดการกับปัญหาเป็นวัน ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความกดดันและปัญหาต่าง ๆ ที่เราเผชิญอาจก่อความกระวนกระวายอย่างมากให้เราได้ง่าย.
‘จงแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อนเสมอไป’
ที่จริง พระเยซูทรงคำนึงถึงไม่เพียงสวัสดิภาพด้านร่างกายและด้านอารมณ์ของผู้ฟังพระองค์. พระองค์ทรงทราบว่าความกระวนกระวายเกี่ยวกับการได้สิ่งจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิต รวมทั้งความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ทรัพย์สมบัติและความสนุกสนาน อาจทำให้เราเขวไปจากสิ่งที่สำคัญกว่า. (ฟิลิปปอย 1:10) คุณอาจคิดว่า ‘จะมีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่าการมีสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิต?’ คำตอบคือสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณซึ่งเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าของเรา. พระเยซูทรงเน้นว่า สิ่งสำคัญในชีวิตของเราควรจะเป็น ‘การแสวงหาราชอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป.’—มัดธาย 6:33, ล.ม.
ในสมัยของพระเยซู คนมากมายแสวงหาสิ่งฝ่ายวัตถุอย่างกระตือรือร้น. การสะสมทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของพวกเขา. อย่างไรก็ดี พระเยซูกระตุ้นเตือนผู้ฟังพระองค์ให้มีทัศนะที่ต่างออกไป. ในฐานะชนชาติที่ได้อุทิศแด่พระเจ้าแล้ว “พันธะทั้งสิ้น” ของพวกเขาคือ “เกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้และถือรักษาพระบัญชาของพระองค์.”—ท่านผู้ประกาศ 12:13, ล.ม.
การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งฝ่ายวัตถุ—“ความวิตกกังวลกับชีวิตในยุคนี้และอำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติ”—อาจทำให้ผู้ฟังพระองค์เขวไปจากการนมัสการพระเจ้า. (มัดธาย 13:22, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลได้เขียนว่า “คนที่มุ่งจะร่ำรวยก็ตกเข้าสู่การล่อใจ กับดัก และความปรารถนาหลายอย่างที่โง่เขลาและก่อความเสียหายซึ่งทำให้คนเราตกเข้าสู่ความพินาศและความหายนะ.” (1 ติโมเธียว 6:9, ล.ม.) เพื่อช่วยพวกเขาให้หลีกเลี่ยง “กับดัก” นั้น พระเยซูทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระบิดาของเขาผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบว่าพวกเขาต้องมีสิ่งทั้งปวงเหล่านี้. พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้พวกเขาเช่นเดียวกับที่จัดเตรียมให้ “ฝูงนกในอากาศ.” (มัดธาย 6:26, 32) แทนที่จะยอมให้ความกระวนกระวายครอบงำ พวกเขาต้องทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เพื่อเอาใจใส่ดูแลความจำเป็นทางด้านวัตถุของตัวเอง และจากนั้นก็ละเรื่องนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวาด้วยความมั่นใจ.—ฟิลิปปอย 4:6, 7.
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “พรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง” พระองค์เพียงแต่หมายความว่า เราไม่ควรปล่อยให้ความกระวนกระวายเกินควรเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นวันพรุ่งนี้เพิ่มเข้ากับปัญหาของเราในวันนี้. คัมภีร์ไบเบิลอีกฉบับแปลหนึ่งแปลคำตรัสของพระองค์ว่า “อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้; พรุ่งนี้จะมีความวิตกกังวลพอสำหรับพรุ่งนี้เอง. ไม่จำเป็นต้องเพิ่มความกังวลให้กับความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน.”—มัดธาย 6:34, ฉบับแปล ทูเดส์ อิงลิช.
“ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด”
อย่างไรก็ดี มีความแตกต่างกันมากระหว่างการไม่วิตกกังวลเกินไปในเรื่องอนาคตกับการไม่สนใจอนาคตเลยทีเดียว. พระเยซูไม่เคยห้ามเหล่าสาวกมิให้สนใจอนาคต. ตรงกันข้าม พระองค์ทรงกระตุ้นเตือนพวกเขาให้สนใจอย่างแรงกล้าในเรื่องอนาคต. พวกเขาควรอธิษฐานอย่างเหมาะสมเพื่อได้สิ่งจำเป็นในปัจจุบัน เช่นทูลขออาหารประจำวัน. แต่อันดับแรกเขาควรอธิษฐานขอสิ่งที่ยังอยู่ในอนาคต—ขอให้ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาและขอให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จบนแผ่นดินโลก.—มัดธาย 6:9-11, ล.ม.
เราไม่ควรเป็นเหมือนผู้คนในสมัยของโนฮา. พวกเขายุ่งอยู่กับ “[การ] กินดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน” จนพวกเขา “ไม่แยแส” ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น? ผลเป็นเช่นไร? “น้ำมาท่วมและกวาดพวกเขาไปเสียสิ้น.” (มัดธาย 24:36-42, ล.ม.) อัครสาวกเปโตรได้ใช้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เรื่องนี้เพื่อเตือนเราถึงความจำเป็นที่จะดำเนินชีวิตโดยคำนึงถึงอนาคต. ท่านได้เขียนว่า “เนื่องจากสิ่งทั้งปวงนี้จะต้องสลายไปเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงคิดให้ดีว่าควรเป็นคนอย่างไร. ท่านทั้งหลายควรเป็นคนที่ประพฤติบริสุทธิ์และทำสิ่งที่แสดงว่าท่านเลื่อมใสพระเจ้า พร้อมกับเฝ้าคอยและคิดถึงเวลาที่วันของพระยะโฮวามาถึงอยู่เสมอ!”—2 เปโตร 3:5-7, 11, 12, ล.ม.
จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์
ใช่แล้ว ขอให้เรา “คิดถึง” วันของพระยะโฮวาเสมอ.” การทำเช่นนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อวิธีที่เราใช้เวลา, กำลัง, ทักษะ, ทรัพยากร, และความสามารถของเรา. เราไม่ควรหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาสิ่งฝ่ายวัตถุ—ไม่ว่าสิ่งจำเป็นต่าง ๆ หรือความสนุกสนานในชีวิต—จนกระทั่งเราไม่ค่อยมีเวลาสำหรับการกระทำที่แสดงว่าเรา “เลื่อมใสพระเจ้า.” การเพ่งเล็งอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียวอาจดูเหมือนเกิดผลทันตาเห็น แต่อย่างดีที่สุดนั่นก็เป็นผลประโยชน์ชั่วคราว. พระเยซูตรัสว่าเป็นการฉลาดกว่ามากที่จะ “สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนในสวรรค์” แทนที่จะสะสมไว้บนแผ่นดินโลก.—มัดธาย 6:19, 20, ล.ม.
พระเยซูทรงเน้นจุดสำคัญดังกล่าวในอุทาหรณ์เรื่องชายคนหนึ่งที่ได้วางแผนการใหญ่โตไว้สำหรับอนาคต. แผนการต่าง ๆ ดังกล่าวมิได้คำนึงถึงความจำเป็นที่จะต้องมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า. ไร่นาของชายคนนี้เกิดผลบริบูรณ์. เขาจึงตัดสินใจรื้อยุ้งฉางของตนแล้วสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิมเพื่อเขาจะมีชีวิตที่สบาย, กิน, ดื่ม, และสนุกเพลิดเพลิน. แล้วมีอะไรที่เป็นปัญหา? เขาเสียชีวิตก่อนที่จะได้ชื่นชมกับผลจากงานหนักของเขา. แต่ร้ายยิ่งกว่านั้น เขาไม่ได้พัฒนาสัมพันธภาพกับพระเจ้า. พระเยซูทรงสรุปว่า “คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ.”—ลูกา 12:15-21; สุภาษิต 19:21.
คุณจะทำประการใด?
อย่าทำผิดพลาดเหมือนชายคนนั้นที่พระเยซูได้พรรณนาถึง. จงสืบค้นว่าพระเจ้ามีพระประสงค์เช่นไรในอนาคต และเสริมสร้างชีวิตคุณโดยให้พระประสงค์นั้นเป็นแกนกลาง. พระเจ้ามิได้ปล่อยให้มนุษย์อยู่ในความมืดเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ. อาโมศผู้พยากรณ์โบราณได้เขียนว่า “พระยะโฮวาเจ้าองค์บรมมหิศรจะไม่ทรงทำสิ่งใด เว้นแต่พระองค์ได้ทรงเปิดเผยเรื่องซึ่งพระองค์ถือเป็นความลับแก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือพวกผู้พยากรณ์.” (อาโมศ 3:7, ล.ม.) สิ่งที่พระยะโฮวาได้ทรงเปิดเผยผ่านทางผู้พยากรณ์ของพระองค์ ปัจจุบันคุณจะหาพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ.—2 ติโมเธียว 3:16, 17.
สิ่งหนึ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยคือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ซึ่งจะมีผลกระทบต่อทั้งโลกในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน. พระเยซูตรัสว่า “จะมีความทุกข์ลำบากใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์โลกจนบัดนี้.” (มัดธาย 24:21, ล.ม.) ไม่มีมนุษย์คนใดจะยับยั้งเหตุการณ์นั้นได้. ที่จริง ไม่มีเหตุผลที่ผู้นมัสการแท้จะต้องการยับยั้งเหตุการณ์ดังกล่าว. ทำไม? เพราะเหตุการณ์นี้จะกำจัดความชั่วทั้งสิ้นให้หมดไปจากแผ่นดินโลก และจะนำ “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” เข้ามา ซึ่งหมายถึงรัฐบาลใหม่ทางภาคสวรรค์และสังคมใหม่บนแผ่นดินโลก. ในโลกใหม่ พระเจ้า “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตา[ของผู้คน] ความตายจะไม่มีอีกเลย ความโศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้เสียใจหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย.”—วิวรณ์ 21:1-4, ล.ม.
ดังนั้น นับว่ามีเหตุผลมิใช่หรือที่จะใช้เวลาขณะนี้เพื่อตรวจสอบว่าคัมภีร์ไบเบิลกล่าวเช่นไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น? คุณต้องการความช่วยเหลือในการทำเช่นนี้ไหม? ขอพยานพระยะโฮวาให้ช่วยคุณสิ. หรือเขียนถึงผู้จัดพิมพ์วารสารนี้. แน่นอน จงทำให้แน่ใจว่าคุณมีชีวิตอยู่ไม่เพียงเพื่อปัจจุบัน แต่อยู่เพื่ออนาคตอันยอดเยี่ยมด้วย.
[ภาพหน้า 7]
“อย่ากระวนกระวาย . . . พรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวาย สำหรับพรุ่งนี้เอง”