“ซื้อความจริงไว้และอย่าขายเลย”
“ซื้อความจริงไว้และอย่าขายเลย ให้ซื้อสติปัญญา คำสั่งสอน กับความเข้าใจด้วย”—สุภาษิต 23:23
1, 2. (ก) อะไรมีค่ามากที่สุดในชีวิตคุณ? (ข) เราเห็นค่าความจริงเรื่องอะไรบ้าง? และทำไม? (ดูภาพแรก)
อะไรมีค่าที่สุดในชีวิตคุณ? เนื่องจากเราเป็นคนของพระยะโฮวา สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับเราก็คือความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ และเราจะไม่ยอมเอาอะไรมาแลกแน่ ๆ เราเห็นค่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลด้วยเพราะมันทำให้เราได้เป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา—โคโลสี 1:9, 10
2 พระยะโฮวาเป็นครูองค์ยิ่งใหญ่ พระองค์สอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่มีค่าหลายเรื่องให้กับเรา เช่น สอนเราว่าชื่อของพระองค์สำคัญอย่างไรและบอกให้เรารู้จักคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ พระองค์บอกให้รู้ด้วยว่าพระองค์รักเรามากจนยอมสละลูกชายที่รักเพื่อเรา พระองค์ยังสอนเราเรื่องรัฐบาลเมสสิยาห์และให้ความหวังในอนาคต เช่น ผู้ถูกเจิมมีความหวังจะไปสวรรค์ และ “แกะอื่น” มีความหวังจะได้อยู่ในสวนอุทยานบนโลกตลอดไป (ยอห์น 10:16) นอกจากนั้น พระยะโฮวายังช่วยให้เรารู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรด้วย เรามองว่าความจริงเหล่านี้มีค่ามากเพราะช่วยให้เราสนิทกับพระเจ้าผู้สร้างของเราและทำให้เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต
3. พระยะโฮวาให้เราจ่ายเงินเพื่อเรียนความจริงไหม?
3 พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใจกว้างถึงกับยอมสละลูกชายคนเดียวเพื่อเรา และเมื่อพระองค์เห็นใครสักคนค้นหาความจริง พระองค์จะช่วยเขาให้หาจนเจอ พระองค์ไม่เคยบอกให้เราต้องจ่ายเงินเรียนความจริง ครั้งหนึ่งผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อซีโมนเสนอเงินเพื่อให้เปโตรทำให้เขามีอำนาจที่จะให้พลังบริสุทธิ์กับคนอื่น แต่เปโตรอธิบายว่าความคิดแบบนี้ผิดโดยบอกว่า “ให้เงินของคุณพินาศไปพร้อมกับคุณ เพราะคุณคิดว่าจะใช้เงินซื้อของที่พระเจ้าให้ฟรี ๆ ได้” (กิจการ 8:18-20) ถ้าอย่างนั้น การ “ซื้อความจริง” หมายถึงอะไร?
“ซื้อความจริง” หมายถึงอะไร?
4. เราจะได้เรียนอะไรเกี่ยวกับความจริงในบทความนี้?
4 อ่านสุภาษิต 23:23 การเรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลต้องใช้ความพยายามและต้องยอมสละบางอย่าง หลังจากเรา “ซื้อความจริง” ซึ่งหมายถึงเรียนความจริงแล้ว เราต้องระวังอย่า “ขาย” มัน ซึ่งหมายถึงการทิ้งความจริงไป แล้วเราจะ “ซื้อ” ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร? เราต้องจ่ายหรือยอมสละมากแค่ไหน? การรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้จะช่วยเราให้เห็นค่าความจริงมากขึ้นและตั้งใจมากขึ้นที่จะไม่ทิ้งความจริงไป นอกจากนั้น การรู้คำตอบจะทำให้เราเข้าใจว่าทำไมความจริงจากพระยะโฮวาถึงมีค่ามากกว่าทุกสิ่ง
5, 6. (ก) เราจะ “ซื้อความจริง” โดยไม่ต้องจ่ายเงินได้อย่างไร? ขออธิบาย (ข) ความจริงทำให้เราได้ประโยชน์อะไร?
5 จริง ๆ แล้วอะไรที่ฟรีไม่ได้แปลว่าการได้มันมาไม่ต้องเสียอะไรเลย คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ซื้อ” ในสุภาษิต 23:23 อาจมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า “ทำบางอย่างเพื่อได้มา” นี่ทำให้เห็นว่าต้องมีการออกความพยายามหรือให้อะไรบางอย่างเพื่อจะได้สิ่งที่ถือว่ามีค่ามา และเพื่อจะช่วยให้เข้าใจว่าเราจะซื้อความจริงได้อย่างไร ให้ลองนึกภาพว่าที่ตลาดมีกล้วยแจกฟรี เราคิดว่ากล้วยฟรีนั้นจะลอยมาอยู่บนโต๊ะที่บ้านเราเองไหม? ไม่แน่นอน เราต้องไปตลาดและหยิบมันมา ถึงแม้เราไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่เราก็ต้องพยายามไปเอามา การซื้อความจริงก็เหมือนกัน เราไม่ต้องจ่ายเงิน แต่เราต้องออกความพยายามและต้องเสียสละ
6 อ่านอิสยาห์ 55:1-3 พระยะโฮวาช่วยให้เราเข้าใจว่าการ “ซื้อความจริง” หมายถึงอะไร ในอิสยาห์ที่เพิ่งอ่านไปเราเห็นว่า พระองค์เปรียบถ้อยคำของพระองค์ซึ่งก็คือความจริงเหมือนกับน้ำ นม และเหล้าองุ่น คนที่หิวน้ำพอได้ดื่มน้ำเย็น ๆ ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น ความจริงก็ทำให้เราสดชื่นเหมือนกัน ส่วนนมช่วยให้เด็กเติบโตแข็งแรงขึ้น ความจริงก็ทำให้ความเชื่อเราเข้มแข็งขึ้นและสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น แล้วที่พระยะโฮวาเปรียบคำของพระองค์เป็นเหมือนเหล้าองุ่นล่ะ หมายถึงอะไร? เหล้าองุ่นทำให้ใจเบิกบาน (สดุดี 104:15) ดังนั้น ที่พระยะโฮวาบอกว่าให้เรา “มาเอาเหล้าองุ่น” พระองค์กำลังบอกว่าถ้าเราทำตามคำแนะนำของพระองค์ เราก็จะมีความสุข (สดุดี 19:8) พระยะโฮวาใช้การเปรียบเทียบนี้เพื่อช่วยเราให้เข้าใจว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเราเรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและเอาไปใช้ ตอนนี้ให้เรามาดู 5 อย่างที่เราต้องสละเพื่อซื้อความจริง
คุณได้สละอะไรบ้างเพื่อซื้อความจริง?
7, 8. (ก) ทำไมการเรียนความจริงต้องใช้เวลา? (ข) วัยรุ่นคนหนึ่งเสียสละอะไร? และผลเป็นอย่างไร?
7 เวลา มันต้องใช้เวลาเพื่อฟังตอนที่มีคนมาบอกเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า อ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือขององค์การ ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา เตรียมการประชุมและไปประชุม เพื่อจะทำทั้งหมดนี้ได้เราต้องสละเวลาที่เคยเอาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญน้อยกว่า (อ่านเอเฟซัส 5:15, 16 และเชิงอรรถ) การเรียนความรู้พื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลต้องใช้เวลานานเท่าไร? คำตอบคือแต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน การเรียนเกี่ยวกับสติปัญญาของพระยะโฮวา แนวทางของพระองค์ และสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทำ เป็นสิ่งที่เราเรียนได้ไม่มีวันจบ (โรม 11:33) หอสังเกตการณ์ ฉบับแรกได้เปรียบเทียบความจริงกับ “ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ดอกหนึ่ง” บทความนั้นบอกว่า “อย่าพอใจกับดอกไม้แห่งความจริงแค่ดอกเดียว ถ้าพอใจแค่นั้นก็จะมีอยู่แค่นั้น ดังนั้น ให้พยายามหามาเพิ่มเรื่อย ๆ” เราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวามากแค่ไหนแล้ว?’ ถึงแม้ในอนาคตเราจะได้อยู่ตลอดไป แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพระองค์ที่เราจะเรียนได้ไม่รู้จบ ถึงอย่างนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากในตอนนี้ที่เราต้องใช้เวลาเรียนเรื่องพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของบางคนที่ทำแบบนั้น
8 มาริโกะaเป็นวัยรุ่นญี่ปุ่นที่ไปเรียนที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา วันหนึ่งมีไพโอเนียร์ผู้หญิงมาประกาศที่บ้าน มาริโกะมีศาสนาอยู่แล้วแต่เธอตัดสินใจศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ปรากฏว่าเธอชอบมากและถึงกับขอศึกษาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง แม้จะยุ่งมากกับการเรียนและต้องทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วย แต่เธอก็เริ่มไปประชุมทันที นอกจากนั้น เธอยังสละกิจกรรมบางอย่างที่ชอบเพื่อจะมีเวลาเรียนความจริงมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดทำให้เธอสนิทกับพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ พอศึกษาได้ไม่ถึงปีเธอก็รับบัพติศมา และอีก 6 เดือนหลังจากนั้น ในปี 2006 เธอก็เป็นไพโอเนียร์ ทุกวันนี้เธอยังเป็นไพโอเนียร์อยู่
9, 10. (ก) การเรียนความจริงเปลี่ยนความคิดที่เรามีต่อทรัพย์สมบัติเงินทองอย่างไร? (ข) เด็กสาวคนหนึ่งเลิกทำอะไร? และเธอรู้สึกอย่างไร?
9 ทรัพย์สมบัติเงินทอง เพื่อจะเรียนความจริงได้ เราอาจต้องทิ้งงานที่ได้เงินดีหรืองานที่คนในโลกถือว่าประสบความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น เปโตรกับอันดรูว์เป็นชาวประมง พอพระเยซูชวนพวกเขามาเป็นสาวก พวกเขาก็เลิกอาชีพนั้นทันที (มัทธิว 4:18-20) แต่การมาเรียนความจริงไม่ได้แปลว่าคุณต้องเลิกทำงาน ทุกคนต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว (1 ทิโมธี 5:8) แต่พอคุณเรียนคัมภีร์ไบเบิล คุณจะมองทรัพย์สมบัติเงินทองไม่เหมือนเดิม คุณรู้ว่าจริง ๆ แล้วอะไรสำคัญต่อชีวิต พระเยซูบอกว่า “เลิกสะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเองบนโลกได้แล้ว” แต่ “ให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” (มัทธิว 6:19, 20) วัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อมาเรียได้ทำแบบนั้น
10 มาเรียชอบเล่นกอล์ฟตั้งแต่เด็ก พอถึงชั้นมัธยมปลาย เธอก็เล่นเก่งขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย มาเรียมีเป้าหมายอยากเป็นโปรกอล์ฟเพื่อจะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ แต่แล้วมาเรียก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เธอชอบสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลมากและเอาสิ่งนั้นมาใช้ในชีวิต มาเรียบอกว่า “ยิ่งฉันคิดและใช้ชีวิตตามที่คัมภีร์ไบเบิลสอนมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งมีความสุข” แล้วเธอก็รู้ว่าการเอาทั้งเรื่องพระเจ้าและเรื่องกอล์ฟมันยากมาก (มัทธิว 6:24) เธอเลยเลิกคิดจะเป็นโปรกอล์ฟและสละโอกาสที่จะร่ำรวยและมีชื่อเสียง ทุกวันนี้เธอเป็นไพโอเนียร์และบอกว่า “ฉันมีชีวิตที่มีความหมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเลยค่ะ”
11. ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นอาจได้รับผลกระทบอย่างไรเมื่อเราเรียนความจริง?
11 ความสัมพันธ์กับคนอื่น เมื่อเราเริ่มทำตามสิ่งที่เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล เราอาจไม่สนิทกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเหมือนเมื่อก่อน พระเยซูช่วยเราให้เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นตอนที่ท่านอธิษฐานเกี่ยวกับสาวกว่า “ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริง ขอให้ความจริงนี้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์” (ยอห์น 17:17; เชิงอรรถ) การ ‘ทำให้บริสุทธิ์’ หมายถึงการ ‘แยก’ ตอนที่เราเริ่มใช้ชีวิตตามความจริง เราแยกต่างหากจากโลกเพราะเราทำตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล แม้เราจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและญาติ ๆ เอาไว้ แต่บางคนก็อาจไม่ชอบเราเหมือนเมื่อก่อนและถึงกับต่อต้านความเชื่อของเราด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพระเยซูบอกว่า “ที่จริง คนในครอบครัวเดียวกันจะเป็นศัตรูกัน” (มัทธิว 10:36) แต่พระเยซูก็สัญญาด้วยว่าไม่ว่าเราจะเสียสละขนาดไหนเพื่อความจริง แต่เราจะได้กลับมามากกว่านั้นเยอะ—อ่านมาระโก 10:28-30
12. ผู้ชายที่นับถือศาสนายิวคนหนึ่งยอมสละอะไรเพื่อความจริง?
12 มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อแอรอน เขานับถือศาสนายิว แอรอนเชื่อมาตลอดว่าห้ามพูดชื่อพระเจ้า แต่เขาก็อยากรู้ความจริงเรื่องพระเจ้า วันหนึ่งพยานพระยะโฮวาให้เขาดูว่าถ้าเอาสระใส่ในพยัญชนะฮีบรู 4 ตัวที่เป็นชื่อของพระเจ้า มันก็จะอ่านได้ว่า “ยะโฮวา” แอรอนตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก เขาเลยไปที่ประชุมทางศาสนาของชาวยิวและบอกพวกรับบีเรื่องนี้โดยคิดว่าพวกเขาคงดีใจที่ได้รู้ความจริงเรื่องชื่อพระเจ้า แต่ปรากฏว่าพวกรับบีไม่ชอบเลย พวกเขาถุยน้ำลายใส่แอรอนและไล่เขาออกจากที่นั่น แม้แต่ครอบครัวของแอรอนก็ต่อต้านเขา ถึงจะเป็นอย่างนั้น แอรอนก็ยังอยากรู้เรื่องพระยะโฮวามากขึ้น ในที่สุดเขาได้มาเป็นพยานฯ และรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ตลอดชีวิต ดังนั้น เราคาดหมายได้ว่า เมื่อเราเรียนความจริง ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นอาจไม่เหมือนเดิม
13, 14. เราต้องเปลี่ยนความคิดและการกระทำอะไรบ้างเมื่อเรียนความจริง? ขอยกตัวอย่าง
13 ความคิดและการกระทำที่ไม่สะอาดในสายตาพระเจ้า เมื่อเราเรียนคัมภีร์ไบเบิลและใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า เราต้องเต็มใจปรับความคิดและการกระทำของเรา อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “ในฐานะลูกที่เชื่อฟัง ให้พวกคุณเลิกทำตามความต้องการที่เคยมีตอนที่ยังไม่รู้เรื่องพระเจ้า” และเขายังบอกอีกว่า “ให้เป็นคนบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง” (1 เปโตร 1:14, 15) ในเมืองโครินธ์โบราณ หลายคนที่เคยผิดศีลธรรมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เพื่อจะให้พระยะโฮวามองว่าพวกเขาสะอาด (1 โครินธ์ 6:9-11) ทุกวันนี้ หลายคนก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เมื่อมาเรียนคัมภีร์ไบเบิล เปโตรพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ที่ผ่านมา พวกคุณใช้ชีวิตตามใจผู้คนในโลกมามากพอแล้ว ตอนนั้นพวกคุณประพฤติไร้ยางอาย ปล่อยตัวไปกับความต้องการผิด ๆ ดื่มเหล้ามากเกินไป กินเลี้ยงเฮฮากันจนสุดเหวี่ยง แข่งกันดื่ม และไหว้รูปเคารพที่น่าเกลียด”—1 เปโตร 4:3
14 เดวินกับจัสมินติดเหล้ามาหลายปีแล้ว แม้เดวินจะเป็นพนักงานบัญชีที่เก่ง แต่เขาก็ตกงานเพราะติดเหล้า ส่วนจัสมินก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขี้โมโหและชอบใช้ความรุนแรง วันหนึ่งตอนที่จัสมินเดินเมาอยู่บนถนน เธอได้เจอกับมิชชันนารี 2 คนแล้วก็ได้คุยกัน มิชชันนารีเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเธอ แต่พอมิชชันนารีคู่นี้ไปเยี่ยมที่บ้านสองคนนั้นในสัปดาห์ถัดไป ปรากฏว่าพวกเขากำลังเมาอยู่ พวกเขาไม่เชื่อว่ามิชชันนารีจะสนใจและมาหาอย่างที่พูด ครั้งต่อมาที่มิชชันนารีไปเยี่ยมที่บ้าน ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้เมาแล้วและอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิล พอได้เรียนพวกเขาก็เริ่มเอาสิ่งที่เรียนไปใช้ในชีวิต ไม่ถึง 3 เดือนพวกเขาก็เลิกดื่ม ต่อมาก็ได้จดทะเบียนสมรส หลายคนในหมู่บ้านของเดวินกับจัสมินสังเกตว่าทั้งสองคนเปลี่ยนไปจริง ๆ ก็เลยเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วย
15. อะไรอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดเมื่อมาเรียนความจริง? และทำไม?
15 ธรรมเนียมและประเพณีที่พระเจ้าไม่ชอบ หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดเมื่อมาเรียนความจริงก็คือ การเลิกยุ่งกับธรรมเนียมและประเพณีที่พระยะโฮวาไม่ชอบ แม้หลังจากที่บางคนได้รู้ว่าพระยะโฮวารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะเลิก พวกเขากลัวว่าครอบครัว คนในที่ทำงาน หรือเพื่อน ๆ จะคิดอย่างไร พวกเขารู้ว่าสำหรับคนทั่วไปแล้วธรรมเนียมบางอย่างเป็นเรื่องสำคัญมาก เช่น การให้เกียรติญาติที่ตายแล้ว (เฉลยธรรมบัญญัติ 14:1) ดังนั้น อะไรช่วยเราให้เปลี่ยนได้? เราสามารถเรียนจากตัวอย่างที่ดีของผู้คนในคัมภีร์ไบเบิลที่เปลี่ยนตัวเองได้เมื่อพวกเขาเรียนความจริง คริสเตียนยุคแรกในเมืองเอเฟซัสได้ทำอย่างนั้น
16. คริสเตียนในเมืองเอเฟซัสบางคนยอมสละอะไร?
16 ในเมืองเอเฟซัสโบราณมีการใช้เวทมนต์คาถากันเยอะมาก หลายคนในเมืองนั้นต้องทำอะไรเพื่อมาเป็นคริสเตียน? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “หลายคนที่เคยใช้เวทมนตร์คาถาก็เอาม้วนหนังสือของเขามากองรวมกันแล้วเผาต่อหน้าทุกคน พวกเขาคำนวณราคาม้วนหนังสือทั้งหมดนั้นรวมแล้วเป็นเงินถึง 50,000 เหรียญ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้คำสอนของพระยะโฮวาแพร่ออกไปอย่างน่าทึ่งและไม่มีอะไรขัดขวางได้” (กิจการ 19:19, 20) คริสเตียนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นเต็มใจทำลายหนังสือแพง ๆ และพระยะโฮวาก็อวยพรพวกเขา
17. (ก) มีอะไรบ้างที่เราอาจต้องยอมสละเพื่อเรียนความจริง? (ข) บทความหน้าจะตอบคำถามอะไร?
17 แล้วคุณล่ะ? คุณได้เสียสละอะไรบ้างเพื่อมาเรียนคัมภีร์ไบเบิล? เราทุกคนต้องสละเวลา บางคนต้องยอมสละโอกาสที่จะร่ำรวยและต้องยอมให้ความสัมพันธ์ที่เขามีกับคนอื่นเปลี่ยนไป แล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ต้องเปลี่ยนความคิดและการกระทำของตัวเองรวมทั้งเลิกยุ่งกับธรรมเนียมและประเพณีที่พระยะโฮวาไม่ชอบ แต่เราเชื่อว่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมีค่ามากกว่าทุกอย่างที่ได้เสียสละไป ความจริงทำให้เราสนิทกับพระยะโฮวาซึ่งเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดในชีวิต เมื่อคิดถึงพรทุกอย่างที่ได้จากการเรียนความจริง เราอาจไม่เข้าใจว่าทำไมบางคนถึงยอม “ขาย” มันไป มันเป็นไปได้อย่างไรที่บางคนทำอย่างนั้น? และเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะไม่ทำผิดพลาดร้ายแรงเหมือนพวกเขา? บทความหน้าจะให้คำตอบ
a ชื่อในบทความนี้เป็นชื่อสมมุติ