คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรเรื่อง “พระคริสต์เป็นพระเจ้า”?
พระเยซูคริสต์ส่งผลกระทบมนุษยชาติทางด้านศาสนาอย่างใหญ่หลวง. ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนหลายล้านอ้างตัวเป็นผู้ติดตามพระองค์. อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยกับเอกลักษณ์ของพระองค์.
บางคนซึ่งพูดว่าเขารับรองคำสอนของพระคริสต์ถือว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าผู้สร้างโลก. คนอื่นเชื่อว่าพระคริสต์ เป็นพระเจ้า และคิดว่าเป็นพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง. พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูดำรงชีวิตอยู่เสมอมา และเมื่ออยู่บนแผ่นดินโลกพระองค์ทรงสภาวะสูงกว่ามนุษย์. เกี่ยวกับเรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายถูกไหม? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไร?
สภาพของพระเยซูก่อนบังเกิดเป็นมนุษย์
พระเยซูทรงแถลงว่าพระองค์ดำรงสภาพอยู่ก่อนมาบังเกิดเป็นมนุษย์. พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้ขึ้นไปยังสวรรค์ เว้นแต่ผู้นั้นที่มาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์.” (โยฮัน 3:13, ล.ม.) นอกจากนั้น พระเยซูตรัสอีกว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ หากผู้ใดกินอาหารนี้ เขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป และที่จริงอาหารที่เราจะให้นั้นคือเนื้อของเราเพื่อชีวิตของโลก.”—โยฮัน 6:51, ล.ม.
ที่ว่าพระคริสต์ดำรงชีวิตก่อนเข้ามาในโลกนั้นเห็นได้ชัดจากคำตรัสของพระองค์ดังนี้: “ก่อนอับราฮามเกิดมา เราก็เป็นอยู่แล้ว.” (โยฮัน 8:58, ล.ม.) อับราฮามมีชีวิตอยู่ระหว่างปี 2018 ถึง 1843 ก่อนสากลศักราช ส่วนชีวิตของพระเยซูในสภาพมนุษย์อยู่ระหว่างปีที่สองก่อนสากลศักราชถึงปีสากลศักราช 33. ก่อนสิ้นพระชนม์ไม่นาน พระเยซูทรงอธิษฐานดังนี้: “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้าได้รับสง่าราศีเคียงข้างพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าเคยมีเคียงข้างพระองค์ก่อนที่มีโลก.”—โยฮัน 17:5, ล.ม.
สาวกของพระเยซูก็ให้การคล้าย ๆ กัน. อัครสาวกโยฮันเขียนดังนี้: “เริ่มแรกพระวาทะเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะได้อยู่กับพระเจ้า และพระวาทะนั้นเป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง. สิ่งทั้งปวงเป็นขึ้นมาโดยพระองค์ และไม่มีแม้แต่สิ่งเดียวที่เป็นขึ้นโดยปราศจากพระองค์. . . . พระวาทะได้กลายเป็นเนื้อหนังและทรงอยู่ท่ามกลางเรา และเราได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีซึ่งเป็นของพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวจากพระบิดา และพระองค์บริบูรณ์ไปด้วยพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและความจริง.” (โยฮัน 1:1, 3, 14, ล.ม.) ใช่แล้ว “พระวาทะได้กลายเป็นเนื้อหนัง” คือมนุษย์เยซูคริสต์.
เมื่อกล่าวถึงสภาพพระเยซูก่อนบังเกิดเป็นมนุษย์ อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “จงรักษาน้ำใจอย่างนี้ไว้ในตัวท่านซึ่งน้ำใจอย่างนี้ก็มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วย ผู้ซึ่ง ถึงแม้จะดำรงอยู่ในลักษณะของพระเจ้าก็ตาม มิได้ทรงคำนึงถึงการที่จะแย่งชิง กล่าวคือการที่พระองค์จะได้เท่าเทียมกับพระเจ้า. เปล่าเลย แต่พระองค์ได้ยอมสละพระองค์เอง แล้วรับเอาสภาพแห่งทาสและมารับสภาพเยี่ยงมนุษย์.” (ฟิลิปปอย 2:5-7, ล.ม.) เปาโลกล่าวถึงพระเยซูว่า “ทรงบังเกิดก่อนสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้าง เพราะโดยพระองค์ สิ่งอื่นทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น.”—โกโลซาย 1:13-16, ล.ม.
ไม่ใช่พระเจ้าเมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก
คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนว่า พระเยซูเป็นมนุษย์จริง ๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย. โยฮันไม่ได้บอกว่าพระวาทะแค่สวมใส่เนื้อหนัง. พระองค์ “ได้กลายเป็นเนื้อหนัง” มิใช่ว่าส่วนหนึ่งเป็นเนื้อหนังและอีกส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้า. ถ้าพระเยซูเป็นมนุษย์และในเวลาเดียวกันเป็นพระเจ้า ก็คงจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระองค์ “ถูกสร้างให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์หน่อยหนึ่ง.”—เฮ็บราย 2:9; บทเพลงสรรเสริญ 8:4, 5.
หากพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและเป็นมนุษย์ด้วยเมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก ทำไมพระองค์อธิษฐานต่อพระยะโฮวาหลายครั้งหลายครา? เปาโลเขียนดังนี้: “คราวเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนัง พระคริสต์ได้ถวายคำวิงวอนและคำขอร้องด้วยเสียงดังและน้ำพระเนตรไหลถึงพระองค์ผู้ซึ่งสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตาย และพระองค์ได้รับการสดับด้วยความพอพระทัยเนื่องด้วยพระองค์เกรงกลัวพระเจ้า.”—เฮ็บราย 5:7, ล.ม.
ที่ว่าพระเยซูมิได้ทรงสภาพวิญญาณบางส่วนเมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก ก็ได้มีการยืนยันโดยคำกล่าวของเปโตรที่ว่าพระคริสต์ “ถูกประหารในเนื้อหนังแต่ทรงถูกทำให้มีชีวิตในสภาพเป็นวิญญาณ.” (1 เปโตร 3:18, ล.ม.) โดยการที่พระเยซูเป็นมนุษย์เต็มตัวเท่านั้นพระองค์จึงสามารถประสบกับสิ่งที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์ประสบ และดังนั้น พระองค์สามารถจะเป็นมหาปุโรหิตที่มีความเห็นอกเห็นใจ. ดังเปาโลเขียนว่า “เพราะว่าเรามีมหาปุโรหิต มิใช่ผู้ที่ไม่สามารถเห็นใจความอ่อนแอของเรา แต่ผู้ที่ได้ผ่านการชันสูตรทดสอบมาแล้วทุกประการเหมือนพวกเราเอง เว้นแต่ปราศจากบาป.”—เฮ็บราย 4:15, ล.ม.
ในฐานะที่เป็น “พระเมษโปดกของพระเจ้าซึ่งรับความผิดบาปของโลกไป” พระเยซู “ทรงประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่อันมีค่าเท่าเทียมกันสำหรับคนทั้งปวง.” (โยฮัน 1:29; 1 ติโมเธียว 2:6) โดยวิธีนี้ พระเยซูได้ไถ่คืนสิ่งที่อาดามได้สูญเสียไป คือชีวิตมนุษย์ที่สมบูรณ์ ชีวิตตลอดไป. เนื่องจากความยุติธรรมของพระเจ้าเรียกร้อง ‘ชีวิตแทนชีวิต’ ฉะนั้น พระเยซูจึงต้องเป็นเหมือนอาดามคนแรกเดิม คือมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ใช่พระเจ้าในร่างมนุษย์.—พระบัญญัติ 19:21; 1 โกรินโธ 15:22.
อย่าตีความเกินกว่าที่พระคัมภีร์กล่าวไว้
พวกที่พูดว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์มักจะใช้ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ กันเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นภาคหนึ่งในพระตรีเอกานุภาพแห่งคริสต์ศาสนจักร เท่าเทียมเสมอภาคกับพระเจ้าในแก่นแท้, อำนาจ, สง่าราศีและความจีรังยั่งยืน. แต่เมื่อเราพิจารณาข้อคัมภีร์เหล่านี้อย่างถี่ถ้วน เราพบว่าคนที่ถกเถียงเพื่อจะให้ “พระคริสต์เป็นพระเจ้า” นั้นตีความในข้อคัมภีร์เหล่านั้นมากกว่าที่ข้อคัมภีร์เหล่านั้นกล่าวไว้.
บางคนบอกว่าข้อความในพระคัมภีร์ซึ่งพระเจ้าใช้สรรพนาม “เรา” หมายถึงสถานะของพระเยซู (พระวาทะ) เท่าเทียมกับพระยะโฮวาก่อนบังเกิดเป็นมนุษย์. แต่การใช้สรรพนามนี้ไม่หมายความว่าพระเจ้าตรัสกับผู้ที่เสมอภาค. อย่างมากที่สุดข้อนี้ก็แสดงเป็นนัยว่า ท่ามกลางเหล่าเทวทูตในสวรรค์ องค์หนึ่งอยู่ในฐานะที่มีสัมพันธภาพอันดีเป็นพิเศษกับพระยะโฮวา. จริง ๆ แล้ว พระเยซูก่อนเป็นมนุษย์เคยร่วมงานใกล้ชิดกับพระเจ้า คือเป็นนายช่างเอกที่ชำนาญงานและเป็นโฆษกของพระเจ้า.—เยเนซิศ 1:26; 11:7; สุภาษิต 8:30, 31; โยฮัน 1:3.
สถานการณ์คราวที่พระเยซูได้รับบัพติสมาก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าพระเจ้า, พระคริสต์, และพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอภาคกัน. ในฐานะที่เป็นมนุษย์ พระเยซูทรงรับบัพติสมาแสดงสัญลักษณ์การเสนอพระองค์เองต่อพระบิดาทางภาคสวรรค์. ณ โอกาสนั้น “ท้องฟ้าได้แหวกออก” และพระวิญญาณของพระเจ้าได้ลงมาสถิตกับพระเยซูดุจนกพิราบ. นอกจากนั้น มีสุรเสียงของพระยะโฮวาตรัส “จากฟ้าสวรรค์” ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก.”—มัดธาย 3:13-17, ล.ม.
เช่นนั้นแล้ว พระเยซูทรงหมายความอย่างไรเมื่อพระองค์สั่งพวกสาวกสั่งสอนผู้คนให้รับบัพติสมา “ในนามแห่งพระบิดาและพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์”? (มัดธาย 28:19, 20) พระเยซูไม่เคยตรัสหรือหมายความว่าพระองค์, พระบิดา, และพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอภาคเท่าเทียมกัน. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คนที่ได้รับบัพติสมาก็รับรู้แล้วว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ประสาทชีวิตและเป็นพระเจ้าทรงฤทธานุภาพทุกประการซึ่งตนได้อุทิศชีวิตแด่พระองค์. พวกเขาได้รับรองพระเยซูเป็นพระมาซีฮาและโดยพระองค์นี้เอง พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมค่าไถ่สำหรับมนุษยชาติผู้มีความเชื่อ. และพวกเขาตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพลังปฏิบัติการของพระเจ้า ซึ่งพวกเขาต้องรับเอาพลังนี้. อย่างไรก็ดี ผู้ประสงค์จะรับบัพติสมาไม่ควรถือว่าพระยะโฮวา พระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพระเจ้าสามองค์รวมเป็นหนึ่ง.
แต่การอัศจรรย์ต่าง ๆ ซึ่งพระเยซูทรงกระทำพิสูจน์ไหมว่าพระองค์เป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์? เปล่าเลย เพราะโมเซ, เอลียา, อะลีซา, อัครสาวกเปโตร, อัครสาวกเปาโล, และคนอื่น ๆ ทำการอัศจรรย์โดยมิได้เป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์. (เอ็กโซโด 14:15-31; 1 กษัตริย์ 18:18-40; 2 กษัตริย์ 4:17-37; กิจการ 9:36-42; 19:11, 12) เช่นเดียวกับบุคคลเหล่านั้น พระเยซูเป็นมนุษย์ที่ได้สำแดงการอัศจรรย์โดยอาศัยอำนาจซึ่งพระเจ้าประทานให้.—ลูกา 11:14-19.
ยะซายาอ้างถึงพระเยซูองค์มาซีฮาในเชิงพยากรณ์ว่า “พระเจ้าทรงอานุภาพ.” (ยะซายา 9:6) ที่ยะซายา 10:21 ผู้พยากรณ์คนเดียวกันได้กล่าวถึงพระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าผู้ทรงอานุภาพ.” บางคนพยายามใช้คำพูดที่เหมือนกันเช่นนี้เพื่อยืนยันว่าพระเยซูคือพระเจ้า. แต่เราต้องระวังการอ่านข้อคัมภีร์เหล่านี้เพื่อจะไม่ตีความเกินกว่าที่กล่าวไว้. คำพูดภาษาฮีบรูที่ว่า “พระเจ้าทรงอานุภาพ” ไม่จำกัดไว้สำหรับพระยะโฮวาเหมือนคำ “พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งที่สุด.” (เยเนซิศ 17:1) เป็นที่ยอมรับแล้วว่า การเป็นผู้ทรงอานุภาพย่อมแตกต่าง ๆ จากคำว่าผู้ทรงฤทธิ์ยิ่งที่สุด ไม่มีผู้ใดใหญ่ยิ่งกว่านั้น.
ตามที่กล่าวในยะซายา 43:10 พระยะโฮวาตรัสว่า “ไม่มีพระเจ้าเกิดขึ้นก่อนเราและภายหลังเราก็จะไม่มีดุจกัน.” แต่ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าพระเยซูคือพระเจ้า. จุดสำคัญคือว่า ไม่มีผู้ใดอยู่ก่อนพระยะโฮวา ไม่มีพระเจ้าดำรงอยู่ก่อนพระองค์ เพราะพระองค์ดำรงตลอดมา. ทั้งจะไม่มีพระเจ้าเกิดขึ้นภายหลังพระยะโฮวา เพราะพระองค์จะทรงดำรงตลอดไป และจะไม่มีผู้ใดสืบตำแหน่งองค์บรมมหิศร. กระนั้น พระยะโฮวาทรงให้กำเนิดบุคคลอื่น ๆ ขึ้นมาซึ่งพระองค์เองเรียกบุคคลเหล่านั้นว่า พระ [พระเจ้า] ตามที่เห็นจากข้อคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงชาวโลกบางกลุ่มว่า “เราได้กล่าวไว้แล้วว่า ‘เจ้าทั้งหลายเป็นพระ [พระเจ้า, ภาษาฮีบรู] และเป็นบุตรของพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด. ถึงกระนั้นก็ดี เจ้าทั้งหลายต้องตายเหมือนมนุษย์สามัญ และจะต้องด้อยไปเหมือนเจ้านายองค์หนึ่ง!’” (บทเพลงสรรเสริญ 82:6, 7) ทำนองเดียวกัน พระวาทะก็เป็นพระองค์หนึ่งซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงสร้าง แต่การเช่นนี้หาได้ทำให้พระเยซูเทียมเท่าพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในเวลาใดเวลาหนึ่งไม่.
ตำแหน่งที่แท้จริงของพระเยซู
พวกที่กล่าวว่าพระเจ้าได้รับเอาสภาพมนุษย์ประหนึ่งพระเจ้าในร่างมนุษย์นั้นก็น่าจะรู้ว่าพระคัมภีร์ไม่บอกใบ้เลยว่าพระเยซูทรงคิดเช่นนั้น. แทนที่จะพูดเช่นนั้น พระคัมภีร์แสดงให้เห็นอย่างเสมอต้นเสมอปลายว่าพระเยซูมีตำแหน่งต่ำกว่าพระบิดา. ขณะอยู่ทางโลกนี้ พระเยซูไม่เคยอ้างอะไรอื่นนอกจากเป็นพระบุตรของพระเจ้า. ยิ่งกว่านั้นอีก พระคริสต์ตรัสว่า “พระบิดาทรงเป็นใหญ่กว่าเรา.”—โยฮัน 14:28.
เปาโลทำให้เห็นชัดถึงความแตกต่างระหว่างพระยะโฮวากับพระเยซู โดยกล่าวว่า “แต่ว่าเราทั้งหลายมีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา และสิ่งสารพัดทั้งปวงบังเกิดมาแต่พระองค์นั้น และเราอยู่ในพระองค์ และเรามีพระเยซูคริสต์เจ้าพระองค์เดียว และสิ่งสารพัดทั้งปวงก็บังเกิดขึ้นโดยพระองค์นั้น และเราทั้งหลายก็เป็นมาโดยพระองค์.” (1 โกรินโธ 8:6) อนึ่ง เปาโลพูดว่า “ท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า.” (1 โกรินโธ 3:23) อันที่จริง คริสเตียนทั้งหลายเป็นของพระเยซูคริสต์นายของตนฉันใด พระคริสต์ก็เป็นของพระเจ้ายะโฮวาประมุขของพระองค์ฉันนั้น.
เพื่อชี้จุดคล้าย ๆ กัน เปาโลเขียนดังนี้: “พระคริสต์เป็นศีรษะของชายทุกคน และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระคริสต์.” (1 โกรินโธ 11:3) สัมพันธภาพแนวนี้ระหว่างพระเจ้ากับพระคริสต์จะมีอยู่สืบไป เพราะภายหลังรัชสมัยพันปีของพระคริสต์แล้ว “พระองค์จะทรงมอบแผ่นดินไว้แก่พระบิดา” และ “เมื่อนั้นพระบุตรก็จะอยู่ใต้พระเจ้าผู้ทรงปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์นั้น เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งปวง.”—1 โกรินโธ 15:24, 28; วิวรณ์ 20:6.
การพิจารณาข้อคัมภีร์ข้ออื่น ๆ
เกี่ยวกับการบังเกิดของพระเยซู มัดธายเขียนไว้ว่า “การที่เป็นมาทั้งนี้ก็เพื่อจะให้คำของพระเจ้าสำเร็จซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้โดยปากของศาสดาพยากรณ์ [ที่ยะซายา 7:14] ว่า ‘นี่แน่ะ สาวพรหมจารีคนหนึ่งจะมีครรภ์ และจะคลอดบุตรชาย และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานุเอล’ แปลว่า ‘พระเจ้าอยู่กับเรา.’” (มัดธาย 1:22, 23) พระเยซูไม่ได้รับนามอิมมานุเอลเป็นของพระองค์เอง แต่บทบาทของพระองค์ฐานะพระมาซีฮาซึ่งเป็นพงศ์พันธุ์และทายาทแห่งบัลลังก์ของดาวิดเช่นนั้นเป็นข้อพิสูจน์แก่บรรดาผู้นมัสการพระยะโฮวาว่าพระเจ้าสถิตกับพวกเขา อยู่ฝ่ายพวกเขา สนับสนุนพวกเขาในการงานของเขา.—เยเนซิศ 28:15; เอ็กโซโด 3:11, 12; ยะโฮซูอะ 1:5, 9; บทเพลงสรรเสริญ 46:5-7; ยิระมะยา 1:19.
เมื่อพูดกับพระเยซูผู้คืนพระชนม์แล้ว อัครสาวกโธมาร้องอุทานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าและพระเจ้าของข้าพเจ้า!” (โยฮัน 20:28) เรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ “จดไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ บุตรของพระเจ้า.” และโธมาไม่ได้ขัดแย้งพระเยซูผู้ให้ข่าวแก่สาวกของพระองค์ดังนี้: “เราจะขึ้นไปหา . . . พระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย.” (โยฮัน 20:17, 30, 31) ฉะนั้น โธมาไม่ได้คิดว่าพระเยซูคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. โธมาคงได้กล่าวต่อพระเยซูว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า” ในความหมายที่ว่าพระคริสต์เป็น “พระเจ้าองค์หนึ่ง” แม้ไม่ใช่ “พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว.” (โยฮัน 1:1; 17:1-3) หรือเมื่อบอกว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า” นั้น โธมาอาจยอมรับพระเยซูฐานะโฆษกและตัวแทนของพระเจ้า อย่างที่คนอื่นได้กล่าวต่อทูตสวรรค์ผู้ส่งข่าวเสมือนผู้นั้นเป็นพระยะโฮวา.—เทียบกับเยเนซิศ 18:1-5, 22-33; 31:11-13; 32:24-30; ผู้วินิจฉัย 2:1-5; 6:11-15; 13:20-22.
ตามคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูทรงดำรงสภาพอยู่ก่อนบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะเป็นพระวาทะ. เมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าในร่างมนุษย์. พระองค์เป็นมนุษย์เต็มตัว แต่เป็นมนุษย์สมบูรณ์เหมือนอาดามในตอนแรก. ตั้งแต่พระเยซูได้รับการปลุกขึ้นจากความตาย พระองค์ถูกเลื่อนให้อยู่ในตำแหน่งสูงทรงสภาพวิญญาณอมตะ อยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าอยู่เสมอ. ฉะนั้น เห็นได้ชัดว่า พระคัมภีร์ไบเบิลไม่สนับสนุนความคิดเรื่อง “พระคริสต์เป็นพระเจ้า.”
[กรอบหน้า 23]
ทูตสวรรค์นมัสการพระเยซูไหม?
คัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับแปลเฮ็บราย 1:6 ดังนี้: “จงให้บรรดาทูตของพระเจ้านมัสการพระองค์ [พระเยซู].” (คัมภีร์ฉบับคิงเจมส์เวอร์ชัน; ฉบับแปล เดอะ เจรูซาเลม ไบเบิล) ดูเหมือนว่า อัครสาวกเปาโลได้ยกจากฉบับเซ็พตัวจินต์ ซึ่งกล่าวในบทเพลงสรรเสริญ 97:7 ว่า “จงนมัสการพระองค์ [พระเจ้า] เถิด บรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์.”—ซี. ทอมสัน.
คำภาษากรีก โพรซคีเนʹโอ ซึ่งถูกนำมาแปลว่า “กราบไหว้” ที่เฮ็บราย 1:6 คัมภีร์ฉบับแปลเซ็พตัวจินต์ ใช้คำเดียวกันนี้ที่บทเพลงสรรเสริญ 97:7 เพื่อแปลคำฮีบรู (ชาฮาหʹ) หมายถึง “โน้มตัวลง.” ทั้งนี้อาจเป็นอาการอันเป็นที่ยอมรับกันแสดงความเคารพนับถือต่อบุคคล. (เยเนซิศ 23:7; 1 ซามูเอล 24:8; 2 กษัตริย์ 2:15) หรืออาจพาดพิงถึงการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้หรืออย่างที่พวกเขามุ่งนมัสการพระเท็จต่าง ๆ ด้วยความหลงผิดก็ได้.—เอ็กโซโด 23:24; 24:1; 34:14; พระบัญญัติ 8:19.
โดยทั่ว ๆ ไปเมื่อใช้ โพรซคีเนʹโอ กับพระเยซูจะตรงกับการทำความเคารพกษัตริย์และบุคคลอื่น ๆ. (เทียบมัดธาย 2:2, 8; 8:2; 9:18; 15:25; 20:20 กับ 1 ซามูเอล 25:23, 24; 2 ซามูเอล 14:4-7; 1 กษัตริย์ 1:16; 2 กษัตริย์ 4:36, 37.) บ่อยครั้งก็ระบุชัดเจนว่าการแสดงความเคารพต่อพระเยซูนั้นไม่ใช่ในฐานะพระเจ้า แต่ในฐานะเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” หรือ “บุตรมนุษย์” ผู้เป็นพระมาซีฮา.—มัดธาย 14:32, 33; ลูกา 24:50-52; โยฮัน 9:35, 38.
เฮ็บราย 1:6 กล่าวถึงตำแหน่งของพระเยซูรองจากพระเจ้า. (ฟิลิปปอย 2:9-11) คัมภีร์ฉบับแปลบางฉบับแปล โพรซคีเนʹโอ ว่า “แสดงความเคารพ” (เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) “ก้มคำนับ” (ฉบับนิว เวิลด์ แทรนสเลชัน) หรือ “โน้มตัวต่อหน้า” (แอน อเมริกัน แทรนสเลชัน). ถ้าชอบจะใช้คำ “นมัสการ” การนมัสการดังกล่าวก็เป็นโดยการเทียบเคียง เพราะพระเยซูตรัสแก่ซาตานดังนี้: “พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้านั้นแหละที่เจ้าต้องนมัสการ [รูปแบบหนึ่งของคำ โพรซคีเนʹโอ] และแต่พระองค์ผู้เดียวที่เจ้าต้องถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์.”—มัดธาย 4:8-10.
แม้นบทเพลงสรรเสริญ 97:7 ซึ่งกล่าวถึงการนมัสการพระเจ้า แต่ก็ถูกนำมาใช้กับพระคริสต์ที่เฮ็บราย 1:6 เปาโลได้ชี้แจงว่าพระเยซูซึ่งได้ถูกปลุกคืนพระชนม์แล้วเป็น “แสงแห่งสง่าราศีของพระองค์นั้น [พระเจ้า] และเป็นแบบพระฉายของพระองค์นั้นเองทีเดียว.” (เฮ็บราย 1:1-3) ฉะนั้น “การนมัสการ” ใด ๆ ที่ทูตสวรรค์กระทำต่อพระบุตรของพระเจ้านั้นเป็นโดยการเทียบเคียงและมุ่งตรงถึงพระยะโฮวาผ่านทางพระบุตร.