บทยี่สิบสอง
เขาภักดีเมื่อเผชิญการทดสอบ
1, 2. เปโตรคงหวังอะไรขณะที่พระเยซูสอนในเมืองคาเปอร์นาอุม แต่ผลกลับเป็นอย่างไร?
เปโตรรู้สึกกังวลขณะมองผู้คนที่กำลังฟังพระเยซู. พวกเขาอยู่ในธรรมศาลาที่เมืองคาเปอร์นาอุม. เปโตรอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เขาทำธุรกิจประมงที่นี่บนชายฝั่งทะเลแกลิลี. เพื่อนกับญาติ ๆ หลายคนรวมทั้งคนที่เขาติดต่อค้าขายด้วยก็อยู่ที่นี่. เปโตรคงหวังว่าผู้คนในเมืองนี้จะยอมรับพระเยซูเป็นพระมาซีฮาเหมือนเขา และตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าจากครูผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดองค์นี้. แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น.
2 หลายคนเลิกฟังพระเยซู. บางคนบ่นเสียงดังไม่พอใจสิ่งที่พระองค์ตรัส. แต่สิ่งที่ทำให้เปโตรกังวลใจมากที่สุดคือปฏิกิริยาของสาวกบางคน. ใบหน้าของพวกเขาดูไม่มีความสุขหรือไม่ตื่นเต้นเลยที่ได้เข้าใจความจริงที่สำคัญ. พวกเขากลับดูข้องขัดใจ กระทั่งโกรธด้วยซ้ำ. บางคนพูดออกมาว่ารับไม่ได้กับคำตรัสของพระเยซู. พวกเขาไม่ต้องการฟังพระเยซูอีกต่อไป จึงออกไปจากธรรมศาลาและเลิกติดตามพระองค์.—อ่านโยฮัน 6:60, 66
3. ความเชื่อของเปโตรช่วยเขาให้สามารถทำอะไรได้?
3 นั่นเป็นช่วงที่เปโตรกับอัครสาวกคนอื่นลำบากใจอย่างยิ่ง. ที่จริง เปโตรเองก็ไม่เข้าใจเรื่องที่พระเยซูตรัสในวันนั้นอย่างเต็มที่. คำตรัสของพระเยซูถ้าตีความตามตัวอักษรก็อาจทำให้ขุ่นเคืองได้. แต่เปโตรจะทำอย่างไร? นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความภักดีของเขาถูกทดสอบ และก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย. ให้เรามาดูว่าความเชื่อของเปโตรช่วยเขาให้รักษาความภักดีได้อย่างไรแม้เผชิญข้อท้าทายเหล่านี้.
ภักดีแม้คนอื่นไม่ภักดี
4, 5. พระเยซูทำอะไรบ้างซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้คนคาดหมาย?
4 พระเยซูมักทำให้เปโตรรู้สึกประหลาดใจเสมอ. บ่อยครั้งนายของเขาพูดและทำบางอย่างที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผู้คนคาดหมาย. หนึ่งวันก่อนหน้านั้น พระเยซูทำการอัศจรรย์เลี้ยงอาหารฝูงชนหลายพันคน. ผู้คนจึงพยายามจะตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์. แต่พระองค์ก็ทำให้หลายคนประหลาดใจเมื่อเสด็จไปจากที่นั่นและสั่งให้พวกสาวกลงเรือและข้ามไปเมืองคาเปอร์นาอุม. เมื่อพวกสาวกข้ามฝั่งมาในตอนกลางคืน พระเยซูก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจอีกด้วยการเดินบนทะเลแกลิลีทั้ง ๆ ที่มีพายุ และสอนบทเรียนสำคัญเรื่องความเชื่อแก่เปโตร.
5 ในตอนเช้า พวกเขาเห็นว่าฝูงชนได้ลงเรือตามพวกเขามา. แต่ผู้คนคงตามพระเยซูมาเพื่อจะให้พระองค์เลี้ยงอาหารด้วยการอัศจรรย์อีก ไม่ใช่เพราะต้องการเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า. พระเยซูตำหนิพวกเขาที่ฝักใฝ่แต่เรื่องทางกาย. (โย. 6:25-27) มีการสนทนาเรื่องนี้ต่อที่ธรรมศาลาในเมืองคาเปอร์นาอุม และที่นั่นพระเยซูทำให้หลายคนประหลาดใจอีกครั้งด้วยการสอนความจริงเรื่องหนึ่งที่สำคัญแต่เข้าใจยาก.
6. พระเยซูอธิบายให้ผู้คนเห็นภาพชัดเจนอย่างไร และผู้ฟังมีท่าทีเช่นไร?
6 พระเยซูไม่ต้องการให้ผู้คนมองพระองค์ว่าเป็นเพียงผู้ที่เลี้ยงอาหารพวกเขา แต่เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาซึ่งโดยทางค่าไถ่ของพระองค์พวกเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์. ดังนั้น พระเยซูจึงเปรียบพระองค์เป็นเหมือนมานา อาหารที่มาจากสวรรค์ในสมัยของโมเซ. เมื่อมีบางคนคัดค้าน พระองค์จึงอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนโดยกล่าวว่า เพื่อจะได้ชีวิตพวกเขาจำเป็นต้องกินเนื้อและดื่มโลหิตของพระองค์. เมื่อกล่าวเช่นนี้ผู้คนก็เดือดดาล. บางคนพูดว่า “พระองค์ตรัสอะไรอย่างนี้ ใครจะรับได้?” แม้แต่สาวกหลายคนของพระเยซูก็ยังเลิกติดตามพระองค์.a—โย. 6:48-60, 66
7, 8. (ก) เปโตรยังไม่เข้าใจเรื่องใด? (ข) เปโตรตอบคำถามที่พระเยซูถามเหล่าอัครสาวกอย่างไร?
7 เปโตรจะทำอย่างไร? เขาคงงุนงงในคำตรัสของพระเยซูเช่นกัน. เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมพระเยซูต้องสิ้นพระชนม์เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ. แต่เปโตรคิดจะทิ้งพระเยซูเหมือนพวกสาวกที่โลเลไหม? ไม่ เปโตรมีคุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำให้เขาต่างจากคนเหล่านั้น. คุณลักษณะนั้นคืออะไร?
8 พระเยซูหันมาหาพวกอัครสาวกและพูดว่า “พวกเจ้าไม่อยากไปด้วยหรือ?” (โย. 6:67) ที่จริง พระเยซูพูดกับอัครสาวกทั้ง 12 คน แต่เปโตรเป็นคนตอบซึ่งมักเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ อาจเพราะเปโตรมีอายุมากที่สุด. ไม่ว่าจะอย่างไร ที่แน่ ๆ เขาเป็นคนกล้าพูดมากกว่าใคร ๆ และดูเหมือนมีน้อยครั้งที่เปโตรลังเลที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจเขา. ครั้งนี้สิ่งที่อยู่ในใจเขาได้ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดที่ซาบซึ้งและน่าจดจำที่ว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะไปหาผู้ใดเล่า? พระองค์ทรงมีถ้อยคำที่ให้ชีวิตนิรันดร์.”—โย. 6:68
9. เปโตรแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเขาภักดีต่อพระเยซู?
9 คุณคงซาบซึ้งกับคำกล่าวนี้มิใช่หรือ? ความเชื่อที่เปโตรมีในพระเยซูช่วยเขาให้พัฒนาคุณลักษณะที่โดดเด่น นั่นคือความภักดี. เปโตรเข้าใจชัดเจนว่าพระเยซูคือผู้ช่วยให้รอดที่พระยะโฮวาจัดเตรียมไว้ และเข้าใจว่าพระเยซูช่วยผู้คนให้รอดด้วยคำสอนเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. แม้จะมีบางเรื่องที่เปโตรไม่เข้าใจ แต่เขารู้ว่ามีเพียงพระเยซูเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาให้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าและได้รับพระพรคือชีวิตนิรันดร์.
เราต้องภักดีต่อคำสอนของพระเยซู แม้เมื่อคำสอนนั้นอาจไม่ตรงกับใจเราหรือสิ่งที่เราคาดหมาย
10. ในทุกวันนี้เราจะเลียนแบบเปโตรได้อย่างไรในเรื่องความภักดี?
10 คุณรู้สึกอย่างนั้นด้วยไหม? น่าเสียดาย หลายคนในทุกวันนี้อ้างว่ารักพระเยซู แต่เมื่อถูกทดสอบเขาไม่ได้แสดงความภักดีต่อพระองค์. หากเราภักดีต่อพระคริสต์อย่างแท้จริง เราต้องมีทัศนะแบบเดียวกับเปโตรในเรื่องคำสอนของพระเยซู. เราต้องเรียนรู้คำสอนเหล่านั้น ต้องเข้าใจความหมายและดำเนินชีวิตตามนั้น แม้เมื่อคำสอนนั้นอาจไม่ตรงกับใจเราหรือสิ่งที่เราคาดหมาย. ถ้าเราพิสูจน์ตัวภักดี เราก็มีความหวังที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์. พระเยซูต้องการให้เราได้รับสิ่งนี้.—อ่านบทเพลงสรรเสริญ 97:10, ล.ม.b
ภักดีแม้ถูกว่ากล่าวแก้ไข
11. พระเยซูกับเหล่าผู้ติดตามพระองค์เดินทางไปไหน? (ดูเชิงอรรถด้วย)
11 ไม่นานหลังจากช่วงวุ่น ๆ นั้น พระเยซูพาอัครสาวกและสาวกบางคนเดินทางไกลขึ้นไปทางเหนือ. บางครั้งพวกเขาสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของยอดเขาเฮอร์โมนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะตัดกับน้ำสีครามในทะเลแกลิลี. ภูเขานี้ตั้งอยู่สุดเขตด้านเหนือของแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้. เขาลูกนี้ยิ่งดูสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่พระเยซูกับเหล่าสาวกเดินไปตามภูมิประเทศที่สูงชันจนถึงหมู่บ้านต่าง ๆ ใกล้กับเมืองซีซาเรียฟิลิปปี.c ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ซึ่งมองเห็นดินแดนทางใต้เกือบทั้งหมดของแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้ พระเยซูได้ถามเหล่าผู้ติดตามพระองค์ด้วยคำถามสำคัญข้อหนึ่ง.
12, 13. (ก) ทำไมพระเยซูอยากทราบว่าผู้คนคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพระองค์? (ข) คำตอบของเปโตรเผยอย่างไรว่าเขามีความเชื่อแท้?
12 พระองค์ต้องการทราบว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด?” เราคงนึกภาพออกว่าเปโตรกำลังมองไปที่นัยน์ตาอันหลักแหลมของพระเยซู และรู้สึกได้ถึงความกรุณาและปัญญาอันล้ำเลิศของผู้เป็นนาย. พระเยซูอยากทราบว่าผู้ที่ฟังพระองค์คิดอย่างไรกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้ยิน. สาวกของพระเยซูตอบโดยอ้างถึงคำพูดของผู้คนที่เข้าใจผิด ๆ ว่าพระองค์เป็นใคร. แต่พระองค์ต้องการรู้มากกว่านั้น. ผู้ที่ติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดมีความคิดผิด ๆ แบบนั้นด้วยไหม? พระองค์จึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าว่าเราเป็นผู้ใด?”—ลูกา 9:18-20
13 อีกครั้งหนึ่ง เปโตรรีบตอบทันที. เขาพูดอย่างชัดเจนและกล้าหาญซึ่งตรงกับความคิดของหลายคนที่อยู่ที่นั่น. เขาตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.” พระเยซูคงยิ้มให้เปโตรด้วยความพอพระทัยและชมเชยเขา. พระเยซูเตือนใจเปโตรว่าผู้ที่ช่วยคนที่มีความเชื่อแท้ให้เข้าใจความจริงที่สำคัญนี้ได้อย่างชัดเจนไม่ใช่มนุษย์คนใด แต่เป็นพระยะโฮวาพระเจ้า. เปโตรเริ่มเข้าใจว่าพระมาซีฮาหรือพระคริสต์ตามที่สัญญาไว้นานมาแล้วคือใคร ซึ่งนี่เป็นความจริงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่พระยะโฮวาเคยเปิดเผยแก่มนุษย์.—อ่านมัดธาย 16:16, 17
14. พระเยซูมอบหน้าที่รับผิดชอบสำคัญอะไรแก่เปโตร?
14 คำพยากรณ์เก่าแก่ข้อหนึ่งเรียกพระคริสต์ว่าหินที่ช่างก่อสร้างได้ปฏิเสธ. (เพลง. 118:22; ลูกา 20:17) พระเยซูคงนึกถึงคำพยากรณ์นั้นเมื่อบอกว่าพระยะโฮวาจะตั้งประชาคมบนหินหรือศิลานั้น ซึ่งเปโตรเพิ่งได้ระบุว่าหมายถึงใคร. จากนั้นพระองค์ได้มอบสิทธิพิเศษบางอย่างในประชาคมที่สำคัญมากแก่เปโตร. พระองค์ไม่ได้ให้เปโตรมีฐานะเหนือกว่าอัครสาวกคนอื่นอย่างที่บางคนคิด แต่พระองค์มอบหน้าที่รับผิดชอบให้เขา. พระองค์ให้ “ลูกกุญแจแห่งราชอาณาจักร” แก่เปโตร. (มัด. 16:19) เปโตรจะเปิดโอกาสให้มนุษย์ 3 กลุ่มมีความหวังเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า กลุ่มแรกคือชาวยิว จากนั้นคือชาวซะมาเรีย และกลุ่มสุดท้ายคือชนต่างชาติหรือคนที่ไม่ใช่ยิว.
15. ทำไมเปโตรทัดทานพระเยซู และเขาพูดอย่างไร?
15 อย่างไรก็ตาม ต่อมาพระเยซูกล่าวว่าคนที่ได้รับมากจะถูกเรียกเอามาก และข้อนี้ก็เป็นจริงในกรณีของเปโตร. (ลูกา 12:48) นอกจากนั้น พระเยซูยังเปิดเผยเรื่องอื่นเกี่ยวกับพระมาซีฮาด้วย รวมทั้งการที่พระองค์จะต้องทนทุกข์และสิ้นพระชนม์ในกรุงเยรูซาเลมอย่างเลี่ยงไม่ได้. เปโตรไม่สบายใจที่ได้ยินเช่นนั้น. เขาดึงพระองค์ออกมาแล้วพูดทัดทานว่า “พระองค์เจ้าข้า ทรงกรุณาพระองค์เองเถิด พระองค์จะไม่ประสบเหตุการณ์เช่นนั้นเลย.”—มัด. 16:21, 22
16. พระเยซูตอบเปโตรอย่างไร และคำพูดของพระเยซูมีแง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อเราทุกคนอย่างไร?
16 แน่นอนเปโตรมีเจตนาดี. คำพูดที่พระเยซูตอบกลับมาคงทำให้เขาประหลาดใจ. พระองค์หันหลังให้เปโตรและมองไปยังสาวกคนอื่น ๆ ซึ่งคงจะคิดแบบเดียวกัน แล้วกล่าวว่า “ไปให้พ้น ซาตาน! เจ้ากำลังขัดขวางเรา เพราะที่เจ้าคิดนั้นไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า แต่เป็นความคิดของมนุษย์.” (มัด. 16:23; มโก. 8:32, 33) คำพูดของพระเยซูมีแง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อเราทุกคน. เป็นเรื่องง่ายสักเพียงไรที่จะปล่อยให้ความคิดของมนุษย์มีความสำคัญมากกว่าความคิดของพระเจ้า. ถ้าเราทำอย่างนั้นแม้จะด้วยเจตนาที่ดี เราก็อาจกลายเป็นผู้สนับสนุนจุดประสงค์ของซาตานโดยไม่รู้ตัวแทนที่จะสนับสนุนพระประสงค์ของพระเจ้า. แต่เปโตรตอบอย่างไร?
17. พระเยซูหมายความอย่างไรเมื่อบอกเปโตรว่า “ไปให้พ้น”?
17 เปโตรคงรู้ว่าพระเยซูไม่ได้หมายความว่าเขาชั่วร้ายเหมือนซาตานพญามาร. พระเยซูไล่ซาตาน. (มัด. 4:10) แต่พระองค์ไม่ได้ไล่เปโตร. พระเยซูรู้ว่าเปโตรมีข้อดีมากมาย เพียงแต่ต้องการแก้ไขความคิดที่ผิดในเรื่องนี้เท่านั้น. ตอนนี้เปโตรต้องเลิกขัดขวางนายของเขาและคอยสนับสนุนพระองค์.
เฉพาะเมื่อเรายอมรับการตีสอนอย่างถ่อมใจและเรียนรู้จากการตีสอนนั้น เราจึงจะใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์และพระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์ต่อ ๆ ไป
18. เปโตรแสดงอย่างไรว่ามีความภักดี และเราจะเลียนแบบเปโตรได้อย่างไร?
18 เปโตรโต้เถียง โกรธ หรือบึ้งตึงไม่พูดจาไหม? ไม่ เขายอมรับการแก้ไขอย่างถ่อมใจ. นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเขามีความภักดี. ทุกคนที่ติดตามพระคริสต์อาจต้องได้รับการแก้ไขเป็นครั้งคราว. เฉพาะเมื่อเรายอมรับการตีสอนอย่างถ่อมใจและเรียนรู้จากการตีสอนนั้น เราจึงจะใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์และพระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์ต่อ ๆ ไป.—อ่านสุภาษิต 4:13
ความภักดีได้รับผลตอบแทน
19. พระเยซูกล่าวถ้อยคำอะไรที่ทำให้ประหลาดใจ และเปโตรอาจคิดอย่างไรในเรื่องนี้?
19 ไม่นานหลังจากนั้น พระเยซูกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ประหลาดใจอีกครั้งว่า “เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ตายจนกว่าพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์มาในฐานะกษัตริย์เสียก่อน.” (มัด. 16:28) ถ้อยคำเหล่านี้คงทำให้เปโตรสงสัยแน่ ๆ. เขาคงสงสัยว่าพระเยซูหมายความว่าอย่างไร? เปโตรอาจคิดว่าตนคงไม่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวเพราะเพิ่งถูกว่ากล่าวแก้ไขอย่างรุนแรง.
20, 21. (ก) จงพรรณนานิมิตที่เปโตรเห็น. (ข) การสนทนาที่เปโตรได้ยินช่วยแก้ไขความคิดของเขาอย่างไร?
20 อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ พระเยซูได้พายาโกโบ โยฮัน และเปโตรขึ้นไปบน “ภูเขาสูง” อาจเป็นภูเขาเฮอร์โมนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร. ดูเหมือนว่าตอนนั้นเป็นเวลากลางคืนเนื่องจากสาวกทั้งสามคนกำลังง่วงมาก. แต่เมื่อพระเยซูอธิษฐานก็มีบางสิ่งเกิดขึ้นซึ่งทำให้พวกเขาหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง.—มัด. 17:1; ลูกา 9:28, 29, 32
21 พวกเขาเห็นพระเยซูเริ่มเปลี่ยนไป. พระพักตร์ของพระองค์เริ่มมีแสงเรือง ๆ และค่อย ๆ สว่างขึ้นจนเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์. ฉลองพระองค์ก็ขาวแวววาวด้วย. จากนั้น พวกเขาเห็นชายสองคนยืนอยู่กับพระเยซู คนหนึ่งดูเหมือนโมเซและอีกคนเหมือนเอลียาห์. ทั้งสองได้สนทนากับพระเยซูเรื่อง “การจากไปของพระองค์ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นที่กรุงเยรูซาเลม” ซึ่งคงหมายถึงการที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์และได้รับการปลุกให้ฟื้นคืนพระชนม์. เปโตรตระหนักว่าเขาเป็นฝ่ายผิดที่คิดว่าพระเยซูจะไม่เจอกับประสบการณ์ที่เจ็บปวดเช่นนั้น!—ลูกา 9:30, 31
22, 23. (ก) เปโตรแสดงอย่างไรว่ามีความกระตือรือร้นและจิตใจดี? (ข) เปโตร ยาโกโบและโยฮันได้รับสิทธิพิเศษอะไรอีกในคืนนั้น?
22 เปโตรอยากมีส่วนร่วมในนิมิตที่น่าอัศจรรย์นี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และไม่อยากให้นิมิตนี้หายไป. ดูเหมือนว่าโมเซกับเอลียาห์กำลังจะจากพระเยซูไป. เปโตรจึงพูดขึ้นมาว่า “อาจารย์ ดีที่พวกเราอยู่ที่นี่ ให้พวกข้าพเจ้าตั้งพลับพลาขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเซ อีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์.” แน่ละ บุคคลในนิมิตนี้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่เสียชีวิตไปนานแล้วไม่จำเป็นต้องมีพลับพลา. เปโตรไม่รู้จริง ๆ ว่าพูดอะไรออกไป. แต่เราก็รู้สึกประทับใจในความกระตือรือร้นและจิตใจที่ดีของชายคนนี้มิใช่หรือ?—ลูกา 9:33
23 เปโตร ยาโกโบและโยฮันได้รับสิทธิพิเศษอีกอย่างหนึ่งในคืนนั้น. ขณะที่ยังอยู่บนภูเขา เมฆก้อนหนึ่งก่อตัวขึ้นและปกคลุมพวกเขา. มีเสียงพูดออกมาจากเมฆนั้น ซึ่งก็คือพระสุรเสียงของพระยะโฮวาพระเจ้านั่นเอง! พระองค์กล่าวว่า “นี่คือบุตรของเรา ผู้ที่เราเลือกไว้. จงฟังท่านเถิด.” หลังจากนั้น นิมิตก็จบลง เหลือเพียงพวกเขากับพระเยซูบนภูเขานั้น.—ลูกา 9:34-36
24. (ก) นิมิตการเปลี่ยนรูปพระกายที่เปโตรเห็นช่วยเขาอย่างไร? (ข) นิมิตดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างไรในทุกวันนี้?
24 การได้เห็นนิมิตการเปลี่ยนรูปพระกายเป็นสิ่งที่พิเศษจริง ๆ สำหรับเปโตรและสำหรับเราด้วย! หลายสิบปีต่อมาเขาได้เขียนถึงสิทธิพิเศษที่ได้รับในคืนนั้น คือได้เห็นภาพล่วงหน้าตอนที่พระเยซูได้รับสง่าราศีฐานะกษัตริย์ในสวรรค์ และเป็นหนึ่งใน ‘พยานรู้เห็นเรื่องความสง่างามของพระองค์.’ นิมิตนั้นช่วยเปโตรให้มั่นใจคำพยากรณ์หลายข้อในพระคำของพระเจ้ามากขึ้น และเสริมความเชื่อเขาให้พร้อมรับมือกับการทดสอบที่จะมีมาในวันข้างหน้า. (อ่าน 2 เปโตร 1:16-19 ) นิมิตนั้นสามารถช่วยเราได้เช่นกัน ถ้าเราภักดีต่อพระเยซูผู้เป็นนายของเรา เรียนรู้จากพระองค์ ยอมรับการตีสอนจากพระองค์ และติดตามพระองค์ด้วยความถ่อมใจวันแล้ววันเล่า.
a เห็นชัดว่าฝูงชนในธรรมศาลาเป็นคนไม่เสมอต้นเสมอปลาย เมื่อคิดถึงท่าทีของพวกเขาในตอนนี้กับหนึ่งวันก่อนหน้านั้นที่พวกเขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า พระองค์เป็นผู้พยากรณ์ของพระเจ้า.—โย. 6:14
b บทเพลงสรรเสริญ 97:10 (ล.ม.): “เจ้าทั้งหลายที่รักพระยะโฮวา จงเกลียดสิ่งชั่ว พระองค์ทรงปกป้องชีวิตผู้ที่ภักดีต่อพระองค์ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือคนชั่ว.”
c เมื่อเดินทางจากชายฝั่งทะเลแกลิลีที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 210 เมตรเป็นระยะทาง 50 กิโลเมตรผ่านภูมิภาคต่าง ๆ ที่งดงาม พระเยซูกับสาวกก็มาถึงบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 350 เมตร.