บท 5
กษัตริย์เยซูให้ความกระจ่างเรื่องราชอาณาจักร
1, 2. ทำไมพระเยซูเป็นเหมือนไกด์ที่ฉลาด?
ขอให้นึกภาพว่าไกด์นำทัวร์ที่มีประสบการณ์กำลังพาคุณเที่ยวชมเมืองที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจ คุณกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ในกลุ่มไม่เคยมาที่เมืองนี้ คุณจึงตั้งใจฟังทุกคำที่ไกด์พูด คุณกับลูกทัวร์คนอื่น ๆ รู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้ว่าเมืองนี้มีอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง แต่พอคุณถามไกด์ เขาก็ไม่ได้ตอบทันที เขากลับรอให้ถึงเวลาเหมาะ ๆ ค่อยบอก ซึ่งมักจะเป็นตอนที่จวนจะถึงจุดนั้นพอดี คุณเลยประทับใจวิธีนำทัวร์ของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไกด์ที่ฉลาดหลักแหลมคนนี้บอกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ในเวลาที่เหมาะสม
2 คริสเตียนแท้ก็อยู่ในสภาพการณ์คล้าย ๆ กับนักท่องเที่ยว เรากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเมืองที่น่าพิศวงที่สุด ซึ่งก็คือ “เมืองที่มีฐานรากแท้” หรือราชอาณาจักรของพระเจ้า (ฮีบรู 11:10) ตอนอยู่บนโลก พระเยซูก็เป็นเหมือนไกด์ที่ช่วยสาวกให้เข้าใจความรู้ที่ลึกซึ้งเรื่องราชอาณาจักร แต่พระเยซูตอบทุกคำถามและบอกทุกเรื่องในครั้งเดียวเลยไหม? ไม่! ท่านพูดกับสาวกว่า “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกพวกเจ้า แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังไม่อาจเข้าใจได้” (โย. 16:12) พระเยซูซึ่งเป็นเหมือนไกด์ที่ฉลาดที่สุดก็ไม่เคยให้ความรู้กับสาวกมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหว
3, 4. (ก) หลังจากที่พระเยซูเสียชีวิตไปแล้ว ท่านจะสอนเรื่องราชอาณาจักรให้ประชาชนที่ซื่อสัตย์ได้อย่างไร? (ข) เราจะเรียนอะไรในบทนี้?
3 ข้อความที่บันทึกในโยฮัน 16:12 เป็นคำพูดของพระเยซูในคืนสุดท้ายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แต่หลังจากที่พระเยซูเสียชีวิตไปแล้ว ท่านจะสอนเรื่องราชอาณาจักรให้ประชาชนที่ซื่อสัตย์ได้อย่างไรล่ะ? ท่านรับรองกับอัครสาวกว่า “พระวิญญาณแห่งความจริง . . . จะช่วยพวกเจ้าให้เข้าใจความจริงทั้งหมด”a (โย. 16:13) เราอาจมองว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เป็นเหมือนไกด์ที่อดทน พระเยซูใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อสอนผู้ติดตามท่านในเรื่องที่พวกเขาจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้า และสอนในเวลาที่เหมาะสม
4 ให้เรามาดูวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาได้ช่วยชี้นำคริสเตียนที่จริงใจให้มีความรู้เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้ามากขึ้น แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าราชอาณาจักรเริ่มปกครองเมื่อไร แล้วเราก็จะเรียนรู้ว่าใครคือผู้ร่วมปกครอง ใครคือประชาชน และคนสองกลุ่มนี้มีความหวังอะไร ตอนท้ายของบทนี้ เราจะได้เห็นวิธีที่ผู้ติดตามพระคริสต์ได้รับความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับข้อเรียกร้องเรื่องความภักดี
ความเข้าใจเรื่องปีที่สำคัญ
5, 6. (ก) นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเคยเข้าใจผิดอย่างไรในเรื่องการก่อตั้งราชอาณาจักรและฤดูเกี่ยว? (ข) ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องแบบนี้หมายความว่าพระเยซูไม่ได้ชี้นำผู้ติดตามท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?
5 เราได้เรียนในบท 2 ว่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลใช้เวลาค้นคว้าหลายสิบปีจนระบุได้ว่าปี ค.ศ. 1914 เป็นปีที่สำคัญเพราะจะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล แต่ตอนนั้นพวกเขาเชื่อว่าในปี 1874 พระคริสต์กลับมา ในปี 1878 ท่านเริ่มปกครองในสวรรค์ และในเดือนตุลาคมปี 1914 ท่านก็ตั้งราชอาณาจักรขึ้น ฤดูเกี่ยวจะกินเวลาตั้งแต่ปี 1874-1914 และจะถึงจุดสุดยอดเมื่อผู้ถูกเจิมทุกคนถูกรวบรวมและรับขึ้นไปบนสวรรค์ ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องแบบนี้หมายความว่าพระเยซูไม่ได้ชี้นำผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?
6 ไม่เลย! ขอให้คิดถึงตัวอย่างในตอนต้นอีกครั้ง ถ้านักท่องเที่ยวคาดเดาและซักถามด้วยความอยากรู้ก่อนจะไปถึงสถานที่หนึ่ง แต่ไกด์ไม่ได้ตอบทันที นั่นทำให้ไกด์คนนั้นดูไม่น่าเชื่อถือไหม? ไม่ใช่แน่ ๆ! ประชาชนของพระเจ้าก็เหมือนกับนักท่องเที่ยวเหล่านั้น แม้บางครั้งพวกเขาพยายามคาดเดาและหาคำตอบเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาตั้งใจจะทำก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะชี้นำ แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนว่าพระเยซูกำลังชี้นำพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ซื่อสัตย์ก็พิสูจน์ว่าพวกเขาถ่อมใจและเต็มใจยอมรับการแก้ไขโดยปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเอง—ยโก. 4:6
7. พระเจ้าอวยพรประชาชนให้เข้าใจความรู้ของพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องอะไร?
7 ในช่วงหลายปีหลังจากปี 1919 พระเจ้าอวยพรประชาชนให้เข้าใจความรู้ของพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเหมือนแสงแฟลชที่วาบขึ้นจากกล้องถ่ายรูป (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 97:11) หอสังเกตการณ์ ปี 1925 ได้ลงบทความสำคัญเรื่อง “การกำเนิดชนชาติหนึ่ง” บทความนั้นให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือจากพระคัมภีร์ว่ารัฐบาลมาซีฮาก่อตั้งในปี 1914 และแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงในภาพนิมิตที่กำลังคลอดลูกในสวรรค์b ตามคำพยากรณ์ในวิวรณ์บท 12 นั้นได้เกิดขึ้นจริง บทความนั้นบอกด้วยว่า การข่มเหงและปัญหาที่เกิดกับประชาชนของพระเจ้าในช่วงสงครามโลกนั้นเป็นสัญญาณที่เห็นได้ชัดว่าซาตานถูกเหวี่ยงลงมาจากสวรรค์ และมัน “โกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”—วิ. 12:12
8, 9. (ก) มีการเน้นว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าสำคัญขนาดไหน? (ข) มีคำถามอะไรบ้างที่เราจะหาคำตอบด้วยกัน?
8 ราชอาณาจักรสำคัญขนาดไหน? ในปี 1928 หอสังเกตการณ์ เริ่มเน้นว่าราชอาณาจักรสำคัญยิ่งกว่าความรอดที่แต่ละคนจะได้รับโดยทางค่าไถ่ของพระเยซู ที่จริง โดยทางรัฐบาลมาซีฮานี้แหละที่พระเจ้าจะทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ พิสูจน์ว่าพระองค์เป็นผู้เดียวที่มีสิทธิในการปกครอง และทำให้สิ่งที่พระองค์ตั้งใจไว้เพื่อมนุษย์เกิดขึ้นจริงทุกประการ
9 ใครจะร่วมปกครองกับพระคริสต์ในรัฐบาลนั้น? ใครจะเป็นประชาชนที่อยู่บนโลก? และมีงานอะไรที่ผู้ติดตามพระคริสต์ต้องทำ?
เน้นเก็บเกี่ยวกลุ่มผู้ถูกเจิมเป็นหลัก
10. ประชาชนของพระเจ้าเข้าใจอะไรมานานแล้วเกี่ยวกับชน 144,000 คน?
10 หลายสิบปีก่อนถึงปี 1914 คริสเตียนแท้เข้าใจอยู่แล้วว่าผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์จำนวน 144,000 คนจะร่วมปกครองกับพระคริสต์ในสวรรค์c นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเข้าใจว่านี่เป็นจำนวนตามตัวอักษรและการรวบรวมผู้ถูกเจิมกลุ่มนี้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษแรกแล้ว
11. สมาชิกแห่งเจ้าสาวของพระคริสต์เข้าใจมากขึ้นอย่างไรเกี่ยวกับงานมอบหมายของพวกเขาบนแผ่นดินโลก?
11 ถ้าอย่างนั้น คนที่มีความหวังจะได้เป็นสมาชิกแห่งเจ้าสาวของพระคริสต์ ได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไรตอนที่ยังอยู่บนแผ่นดินโลก? พวกเขาเห็นว่าพระเยซูเน้นเรื่องงานประกาศและเชื่อมโยงงานนี้เข้ากับฤดูเกี่ยว (มัด. 9:37; โย. 4:35) จากบท 2 เรารู้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พวกเขาคิดว่าฤดูเกี่ยวจะยาวนานถึง 40 ปี และจะถึงจุดสุดยอดเมื่อผู้ถูกเจิมถูกรวบรวมขึ้นไปบนสวรรค์ แต่เมื่องานเกี่ยวนั้นยังไม่เสร็จสิ้นแม้ว่าจะเลย 40 ปีไปแล้ว พวกเขาจึงต้องการคำอธิบายที่ชัดเจนขึ้น ตอนนี้เรารู้ว่าฤดูเกี่ยว ซึ่งเป็นฤดูของการแยกข้าวสาลีออกจากวัชพืช หรือการแยกคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์ออกจากคริสเตียนปลอมได้เริ่มขึ้นในปี 1914 ถึงเวลาแล้วที่ต้องเน้นงานเก็บเกี่ยวหรือรวบรวมผู้ที่จะไปสวรรค์ซึ่งยังเหลืออยู่บนแผ่นดินโลก!
12, 13. ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคนและเรื่องเงินตะลันต์ เกิดขึ้นจริงในสมัยสุดท้ายอย่างไร?
12 ตั้งแต่ปี 1919 เป็นต้นมา พระคริสต์ชี้นำทาสสัตย์ซื่อและสุขุมให้เน้นเรื่องงานประกาศ ซึ่งท่านได้สั่งให้สาวกทำตั้งแต่สมัยศตวรรษแรก (มัด. 28:19, 20) พระเยซูบอกด้วยว่าผู้ถูกเจิมต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างเพื่อจะทำงานประกาศได้สำเร็จ ในตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคน พระเยซูแสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกเจิมหรือชน 144,000 คนต้องเฝ้าระวังและตื่นตัวในการรับใช้พระเจ้าอยู่เสมอ เพื่อจะไปถึงเป้าหมายสูงสุดซึ่งก็คือการได้เป็น “เจ้าสาว” ของพระคริสต์ในงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่บนสวรรค์ (วิ. 21:2) หลังจากนั้น พระเยซูใช้ตัวอย่างเรื่องเงินตะลันต์เพื่อสอนว่า ผู้รับใช้ที่ถูกเจิมจะต้องขยันประกาศซึ่งเป็นงานที่ท่านมอบหมายไว้ให้พวกเขา—มัด. 25:1-30
13 ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา ผู้ถูกเจิมได้พิสูจน์ว่าพวกเขาเฝ้าระวังและขยันทำงานอยู่เสมอ และพวกเขาจะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน! แต่งานเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่มีแค่การรวบรวมชน 144,000 คนที่จะร่วมปกครองกับพระคริสต์ให้ได้ครบตามจำนวนเท่านั้นไหม?
รัฐบาลของพระเจ้ารวบรวมประชาชนที่จะอยู่บนโลก!
14, 15. จากหนังสือความลึกลับสำเร็จแล้ว ใครคือคน 4 กลุ่มที่มีความหวังต่างกัน?
14 ชายหญิงที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นอยากรู้มานานแล้วว่า “ชนฝูงใหญ่” (“คนมากมาย,” ฉบับคิงเจมส์ ) ที่กล่าวในวิวรณ์ 7:9-14 หมายถึงใคร และไม่แปลกที่พวกเขาเคยเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่พระคริสต์จะเปิดเผยว่าคนกลุ่มใหญ่นี้เป็นใคร แต่เมื่อถึงเวลาที่ท่านเปิดเผยความจริง เรากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้เข้าใจง่าย ชัดเจน และเราก็รักความจริงนี้มาก
15 ในปี 1917 หนังสือความลึกลับสำเร็จแล้ว (ภาษาอังกฤษ) ยืนยันว่ามี “ความรอดทางภาคสวรรค์ 2 แบบและมีความรอดบนโลก 2 แบบ” แล้วใครคือคน 4 กลุ่มที่มีความหวังต่างกัน? กลุ่มที่หนึ่งคือ ชน 144,000 คนที่จะร่วมปกครองกับพระคริสต์ กลุ่มที่สองคือ ชนฝูงใหญ่ ในสมัยนั้นเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้คือคริสเตียนซึ่งเป็นสมาชิกของคริสต์ศาสนจักร พวกเขามีความเชื่อในระดับหนึ่งแต่ก็ไม่มากพอที่จะละทิ้งศาสนาเท็จ ดังนั้น พวกเขาจะไปสวรรค์เหมือนกันแต่ได้ตำแหน่งต่ำกว่าคนกลุ่มแรก ส่วนกลุ่มที่สามและสี่คือ คนที่มีความหวังจะอยู่บนแผ่นดินโลก แต่กลุ่มที่สามคือ ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในสมัยโบราณ เช่น อับราฮาม โมเซ และคนอื่น ๆ คนกลุ่มที่สามนี้จะได้ปกครองคนกลุ่มที่สี่ซึ่งก็คือ มนุษย์ทั้งหมดบนโลก
16. ในปี 1923 และปี 1932 เริ่มมีความเข้าใจกระจ่างขึ้นในเรื่องอะไร?
16 พระวิญญาณบริสุทธิ์ชี้นำสาวกของพระคริสต์ให้มีความเข้าใจอย่างที่เรามีในทุกวันนี้อย่างไร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยพวกเขาให้เข้าใจความจริงกระจ่างขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 1923 หอสังเกตการณ์ เริ่มเน้นถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยคิดอยากไปสวรรค์ ซึ่งจะอยู่บนโลกภายใต้การปกครองของพระคริสต์ ในปี 1932 หอสังเกตการณ์ พูดถึงโยนาดาบ (ยะโฮนาดาบ) ที่ติดตามเยฮู กษัตริย์ชาติอิสราเอลที่พระเจ้าแต่งตั้ง และสนับสนุนเยฮูในการรบเพื่อทำลายศาสนาเท็จ (2 กษัต. 10:15-17) บทความนั้นบอกว่า ปัจจุบันมีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นเหมือนโยนาดาบ และยังบอกว่าพระยะโฮวาจะช่วยคนกลุ่มนี้ให้รอด “ผ่านอาร์มาเก็ดดอน” และให้พวกเขาอยู่บนแผ่นดินโลก
17. (ก) ในปี 1935 แสงของความจริงที่วาบขึ้นมาอีกครั้งทำให้เข้าใจเรื่องอะไร? (ข) คริสเตียนที่ซื่อสัตย์รู้สึกอย่างไรเมื่อมีความเข้าใจใหม่เรื่องชนฝูงใหญ่? (ดูกรอบ “เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก”)
17 ในปี 1935 ที่การประชุมใหญ่ซึ่งจัดขึ้นในเมืองวอชิงตัน ดี. ซี. แสงของความจริงก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง การประชุมนั้นระบุว่าชนฝูงใหญ่คือคนที่มีความหวังจะอยู่บนโลก พวกเขาเป็นเหมือนแกะในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องแกะกับแพะ (มัด. 25:33-40) ชนฝูงใหญ่จะเป็นส่วนของ “แกะอื่น” พระเยซูบอกว่าท่านจะ “ต้องพาแกะเหล่านั้นมาด้วย” (โย. 10:16) เมื่อ เจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ดซึ่งเป็นผู้บรรยายพูดว่า “ทุกคนที่มีความหวังจะรับชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลก โปรดยืนขึ้น” ผู้ฟังมากกว่าครึ่งหนึ่งลุกขึ้นยืน! แล้วพี่น้องรัทเทอร์ฟอร์ดก็ประกาศว่า “นี่แหละ . . . ชนฝูงใหญ่!” หลายคนซึ้งใจมาก เพราะในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองมีความหวังอะไรในอนาคต
18. ผู้ติดตามพระคริสต์พยายามทำอะไร และผลเป็นอย่างไร?
18 ตั้งแต่นั้นมา พระคริสต์ได้ชี้นำประชาชนของท่านให้พยายามรวบรวมคนที่อาจจะมาเป็นสมาชิกของชนฝูงใหญ่ ซึ่งเป็นคนที่จะรอดชีวิตผ่านความทุกข์ลำบากใหญ่อย่างปลอดภัย ในช่วงแรก ๆ คนที่ถูกรวบรวมยังมีจำนวนไม่มาก ครั้งหนึ่งพี่น้องรัทเทอร์ฟอร์ดถึงกับพูดว่า “ดูเหมือน ‘ชนฝูงใหญ่’ จะไม่ใหญ่อย่างที่คิด” แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าพระยะโฮวาได้อวยพรงานนั้นมากขนาดไหน! ภายใต้การชี้นำของพระเยซูและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งผู้ถูกเจิมและเพื่อนของพวกเขาที่เป็น “แกะอื่น” ได้รับใช้ร่วมกันเป็น “ฝูงเดียว” และมี “ผู้เลี้ยงผู้เดียว” อย่างที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้า
19. เราจะทำให้ชนฝูงใหญ่มีจำนวนเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
19 ประชาชนที่ซื่อสัตย์ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน ที่มีพระคริสต์และชน 144,000 คนเป็นผู้ปกครอง การใคร่ครวญวิธีที่พระคริสต์ใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชี้นำประชาชนของพระเจ้าให้เข้าใจเรื่องความหวังตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ทำให้คุณมีความสุขใช่ไหม? และการบอกความหวังนี้กับคนอื่น ๆ ก็เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ! ขอให้เราทำสุดความสามารถเพื่อทำให้ชนฝูงใหญ่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้เสียงร้องสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวาดังขึ้นไปอีก!—อ่านลูกา 10:2
ข้อเรียกร้องเรื่องความภักดีต่อรัฐบาลของพระเจ้า
20. องค์การของซาตานประกอบด้วยอะไรบ้าง และคริสเตียนที่ภักดีควรทำอย่างไร?
20 ในขณะที่ประชาชนของพระเจ้าเรียนรู้เรื่องรัฐบาลของพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาต้องเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าการเป็นคนภักดีต่อรัฐบาลในสวรรค์หมายถึงอะไรจริง ๆ หอสังเกตการณ์ ปี 1922 พูดถึงเรื่องนี้ว่า ตอนนี้มี 2 องค์การที่ดำเนินงานอยู่ คือองค์การของพระยะโฮวาและองค์การของซาตาน ส่วนที่เป็นองค์การของซาตานประกอบด้วยการค้า ศาสนา และการเมือง คนที่ภักดีต่อรัฐบาลของพระเจ้าต้องไม่อะลุ่มอล่วยและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแบบผิด ๆ กับองค์การของซาตาน (2 โค. 6:17) นี่หมายความว่าอย่างไร?
21. (ก) ทาสสัตย์ซื่อเตือนประชาชนของพระเจ้าเกี่ยวกับวงการธุรกิจอย่างไร? (ข) หอสังเกตการณ์ ปี 1963 บอกอะไรเกี่ยวกับ “บาบิโลนใหญ่”?
21 ความจริงที่เราได้รับผ่านทางทาสสัตย์ซื่อได้เปิดโปงการทุจริตในวงการธุรกิจต่าง ๆ มาตลอด และเตือนประชาชนของพระเจ้าไม่ให้ยอมแพ้ต่อการนิยมวัตถุที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย (มัด. 6:24) สิ่งพิมพ์ของเรายังเปิดโปงวงการศาสนาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การซาตานด้วย ในปี 1963 หอสังเกตการณ์ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “บาบิโลนใหญ่” ไม่ได้หมายถึงคริสต์ศาสนจักรเท่านั้น แต่หมายถึงศาสนาเท็จทั้งหมดในโลก ดังนั้น ประชาชนของพระเจ้าในทุกประเทศ ทุกวัฒนธรรมได้รับการช่วยเหลือให้ “ออกมาจากเมืองนี้” พวกเขาชำระตัวให้สะอาดโดยเลิกยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทุกอย่างของศาสนาเท็จ เมื่อถึงบทที่ 10 เราจะได้เรียนเรื่องนี้มากขึ้น—วิ. 18:2, 4
22. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนของพระเจ้าเข้าใจคำแนะนำในโรม 13:1 อย่างไร?
22 แล้วการเมืองที่เป็นอีกส่วนหนึ่งในองค์การของซาตานล่ะ? คริสเตียนแท้ควรเข้าร่วมในสงครามหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศไหม? ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลส่วนใหญ่เข้าใจว่าผู้ติดตามพระคริสต์ไม่ควรมีส่วนร่วมในการฆ่าเพื่อนมนุษย์ (มัด. 26:52) แต่ก็มีหลายคนคิดว่าคำแนะนำในโรม 13:1 ที่บอกให้เชื่อฟัง “ผู้มีอำนาจปกครอง” หมายความว่า พวกเขาควรเข้าร่วมในกองทัพ ใส่ชุดทหาร และถืออาวุธด้วยซ้ำ แต่ถ้าถูกสั่งให้ฆ่าใคร พวกเขาควรยิงปืนขึ้นฟ้าแทน
23, 24. ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เราเข้าใจโรม 13:1 อย่างไร และพระคริสต์ชี้นำสาวกของท่านให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้นเรื่องอะไร?
23 ตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปี 1939 หอสังเกตการณ์ ได้ลงบทความที่อธิบายเรื่องความเป็นกลางอย่างละเอียด และบอกชัดเจนว่าคริสเตียนต้องไม่มีส่วนร่วมใด ๆ ในสงครามและความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลกของซาตาน นี่เป็นคำแนะนำที่เหมาะกับเวลาจริง ๆ! ผู้ติดตามพระคริสต์ได้รับการปกป้องให้พ้นจากความผิดฐานฆ่าคนระหว่างที่ชาติต่าง ๆ กำลังสู้รบกันอย่างน่าสยดสยอง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 1929 หนังสือของเรายังอธิบายว่าผู้มีอำนาจปกครองตามที่บอกในโรม 13:1 ไม่ใช่ผู้ปกครองของโลกนี้ แต่หมายถึงพระยะโฮวาและพระเยซู นี่แสดงว่าตอนนั้นความเข้าใจของเรายังไม่ถูกต้อง
24 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชี้นำผู้ติดตามพระคริสต์ให้เข้าใจเรื่องนั้นในปี 1962 เมื่อหอสังเกตการณ์ 15 พฤศจิกายนและ 1 ธันวาคม ลงบทความสำคัญหลายเรื่องที่พูดถึงโรม 13:1-7 ในที่สุดประชาชนของพระเจ้าก็เข้าใจหลักการเรื่องการยอมอยู่ใต้อำนาจซึ่งเป็นคำสอนที่โด่งดังของพระเยซูที่ว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซีซาร์” (ลูกา 20:25) ตอนนี้คริสเตียนแท้เข้าใจแล้วว่าผู้มีอำนาจปกครองคือ ผู้ที่มีตำแหน่งปกครองของโลกนี้ และคริสเตียนต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขา แต่การยอมอยู่ใต้อำนาจนั้นก็มีขอบเขต เช่น เมื่อผู้มีอำนาจปกครองสั่งให้เราเลิกเชื่อฟังพระยะโฮวาพระเจ้า เราจะตอบพวกเขาเหมือนกับที่อัครสาวกตอบพวกผู้มีอำนาจในอดีตว่า “พวกข้าพเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้มีอำนาจปกครอง ไม่ใช่เชื่อฟังมนุษย์” (กิจ. 5:29) ในบท 14 เราจะได้เรียนมากขึ้นว่าประชาชนของพระเจ้านำหลักการเรื่องความเป็นกลางมาใช้ในชีวิตอย่างไรบ้าง
25. ทำไมคุณรู้สึกขอบคุณที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยชี้นำให้เข้าใจเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า?
25 ขอให้คิดถึงเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับราชอาณาจักรที่ผู้ติดตามพระคริสต์ได้เรียนรู้ตลอด 100 ปีที่ผ่านมา เราได้เรียนว่ารัฐบาลนี้ก่อตั้งในสวรรค์เมื่อไรและเรื่องนี้สำคัญอย่างไร เราเข้าใจชัดเจนว่ามีความหวัง 2 แบบสำหรับประชาชนที่ซื่อสัตย์ คือความหวังที่จะได้ขึ้นสวรรค์และความหวังที่จะได้อยู่บนแผ่นดินโลก และยังรู้ว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อจะแสดงความภักดีต่อรัฐบาลของพระเจ้าในขณะที่เชื่อฟังผู้มีอำนาจปกครองในโลกด้วย ขอคุณถามตัวเองว่า ‘ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้ชี้นำทาสสัตย์ซื่อบนแผ่นดินโลกให้เข้าใจความจริงทั้งหมดนี้และสอนคนอื่น ๆ ฉันจะมีวันได้รู้ความจริงไหมเนี่ย?’ เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์คอยชี้นำ!
a ตามหนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่ง คำภาษากรีกที่ใช้แปลว่า “ชี้นำ” ในข้อนั้นหมายถึง “ชี้ให้เห็นทาง”
b ก่อนหน้านั้น มีความเชื่อว่านิมิตนี้ชี้ถึงสงครามระหว่างศาสนานอกรีตในจักรวรรดิโรมันกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก
c หอสังเกตการณ์ มิถุนายน 1880 บอกว่า ชน 144,000 คนก็คือชาวยิวโดยกำเนิดที่เปลี่ยนมาเป็นคริสเตียนก่อนปี 1914 แต่ต่อมาในช่วงปลายปี 1880 มีการพิมพ์ความเข้าใจใหม่ซึ่งใกล้เคียงกับความเข้าใจที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้