ของประทานอันเปี่ยมด้วยความรักจากพระเจ้า
“พระกรุณาอันใหญ่หลวงก็จะมีอำนาจปกครองดุจกษัตริย์โดยความชอบธรรมเพื่อให้มีชีวิตนิรันดร์.”—โรม 5:21
1, 2. เราอาจนึกถึงมรดกสองอย่างอะไร และอย่างไหนที่ยิ่งใหญ่กว่า?
“มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชาวโรมันทิ้งไว้ก็คือกฎหมายและความสำนึกของพวกเขาที่ว่าคนเราควรดำเนินชีวิตตามกฎหมาย.” (ดร. เดวิด เจ. วิลเลียมส์ ศาสตราจารย์และผู้แปลคัมภีร์ไบเบิลแห่งมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย) แม้ว่านั่นอาจเป็นความจริง แต่มีมรดกหรือของประทานที่มีคุณค่าสูงกว่านั้นมาก. ของประทานดังกล่าวคือวิธีการของพระเจ้าที่ทำให้มนุษย์มีฐานะที่ชอบธรรมจำเพาะพระเจ้าและเป็นที่พอพระทัยพระองค์ รวมทั้งมีความหวังที่จะได้รับความรอดและชีวิตนิรันดร์.
2 ในแง่หนึ่ง วิธีที่พระเจ้าทรงทำให้ของประทานนี้เป็นไปได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายหรือความยุติธรรมของพระองค์. ในโรมบท 5 อัครสาวกเปาโลไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้โดยเขียนเป็นบทความทางกฎหมายที่น่าเบื่อ. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ท่านเริ่มต้นด้วยคำรับรองที่น่าตื่นเต้นดังนี้: “เมื่อพระเจ้าทรงถือว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมเนื่องด้วยความเชื่อแล้ว ให้เรามีสันติสุขกับพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา.” คนที่ได้รับของประทานจากพระเจ้าถูกกระตุ้นให้รักพระองค์. เปาโลเป็นคนหนึ่งที่ได้ทำอย่างนั้น. ท่านเขียนว่า “ความรักของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์.”—โรม 5:1, 5
3. เรามีเหตุผลที่จะถามอะไร?
3 อย่างไรก็ตาม เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีของประทานอันเปี่ยมด้วยความรักนี้? พระเจ้าทรงสามารถเสนอของประทานด้วยวิธีที่ยุติธรรมและเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งหมดโดยวิธีใด? และมีข้อเรียกร้องให้แต่ละคนทำอะไรเพื่อมีคุณสมบัติจะได้รับของประทานนี้? ขอให้เราหาคำตอบด้วยกันและดูว่าคำตอบเหล่านี้เน้นให้เห็นความรักของพระเจ้าอย่างไร.
ความรักของพระเจ้ากับบาป
4, 5. (ก) พระยะโฮวาทรงแสดงความรักในวิธีที่ยิ่งใหญ่อย่างไร? (ข) ความรู้เกี่ยวกับภูมิหลังอะไรที่ช่วยให้เราเข้าใจโรม 5:12?
4 พระยะโฮวาทรงแสดงให้เห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่โดยทรงส่งพระบุตรองค์เดียวมาช่วยมนุษยชาติ. เปาโลพรรณนาถึงเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเสนอความรักของพระองค์แก่เราโดยที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเราในขณะที่เรายังเป็นคนบาป.” (โรม 5:8) ขอให้คิดถึงข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งดังที่กล่าวในข้อนี้ที่ว่า “เรายังเป็นคนบาป.” ทุกคนจำเป็นต้องรู้ว่าเรากลายมาเป็นคนบาปได้อย่างไร.
5 เปาโลอธิบายเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “บาปเข้ามาในโลกเพราะคนคนเดียวและความตายเกิดขึ้นเพราะบาปนั้น และความตายจึงลามไปถึงทุกคนเพราะทุกคนเป็นคนบาปอยู่แล้ว.” (โรม 5:12) เราเข้าใจเรื่องนี้ได้เพราะพระเจ้าให้มีการบันทึกไว้ว่าชีวิตมนุษย์เริ่มต้นอย่างไร. พระยะโฮวาทรงสร้างมนุษย์สองคนแรกคือ อาดามและฮาวา. พระผู้สร้างทรงสมบูรณ์พร้อม และมนุษย์คู่แรกซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเราก็สมบูรณ์เช่นกัน. พระเจ้าทรงมีพระบัญชาที่เป็นข้อห้ามเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่พวกเขาต้องทำตาม และทรงบอกให้รู้ว่าหากไม่ทำตามพระบัญชาดังกล่าวพวกเขาจะต้องรับโทษถึงตาย. (เย. 2:17) อย่างไรก็ตาม พวกเขาเลือกแนวทางที่นำไปสู่ความหายนะ โดยละเมิดพระบัญชาที่ชอบด้วยเหตุผลของพระเจ้า และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงปฏิเสธพระผู้ประทานกฎหมายและพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่ง.—บัญ. 32:4, 5
6. (ก) เหตุใดลูกหลานของอาดามจึงตาย และพระบัญญัติของโมเซทำให้สภาพการณ์นี้เปลี่ยนไปไหม? (ข) อะไรอาจเทียบได้กับโรคบางโรค เช่น ฮีโมฟีเลีย?
6 อาดามมีลูกหลังจากที่เขาเป็นคนบาปแล้ว เขาจึงถ่ายทอดบาปและผลกระทบของบาปแก่ลูกหลานทั้งหมด. แน่นอน พวกเขาไม่ได้ละเมิดกฎหมายของพระเจ้าอย่างที่อาดามได้ทำ พวกเขาจึงไม่มีความผิดฐานทำบาปแบบเดียวกับอาดาม; อีกทั้งตอนนั้นยังไม่มีประมวลกฎหมายใด ๆ. (เย. 2:17) กระนั้น ลูกหลานของอาดามก็รับบาปที่ตกทอดมา. ด้วยเหตุนั้น บาปและความตายครอบงำพวกเขาเรื่อยมาจนกระทั่งถึงตอนที่พระเจ้าประทานประมวลกฎหมายแก่ชาวอิสราเอล ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนบาป. (อ่านโรม 5:13, 14) ผลกระทบของบาปที่ตกทอดมาอาจเทียบได้กับโรคหรือข้อบกพร่องบางอย่างที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางหรือโรคฮีโมฟีเลีย. คุณอาจเคยอ่านเกี่ยวกับอะเล็กซิส ราชโอรสของซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซียกับราชินีอะเล็กซานดรา ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรมและทำให้เลือดไหลไม่หยุด. จริงอยู่ แม้แต่ในครอบครัวที่เป็นเช่นนี้ ลูกบางคนอาจไม่เป็นโรค แต่พวกเขาก็ยังเป็นพาหะนำโรค. ไม่เป็นเช่นนั้นกับบาป. ความบกพร่องที่เกิดจากบาปที่อาดามทำให้เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้. ทุกคนได้รับผลของบาป. บาปทำให้ตายอย่างไม่อาจเลี่ยงได้. และบาปถ่ายทอดไปยังลูกหลานทุกคน. มนุษย์จะมีวันหลุดพ้นจากสภาพที่น่าสังเวชนี้ไหม?
พระเจ้าทรงจัดเตรียมอะไรโดยทางพระเยซูคริสต์?
7, 8. แนวทางชีวิตของมนุษย์สมบูรณ์สองคนก่อให้เกิดผลที่ต่างกันอย่างไร?
7 ด้วยความรัก พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมสิ่งหนึ่งเพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปที่ได้รับตกทอดมา. เปาโลอธิบายว่าการจัดเตรียมนี้เป็นไปได้โดยทางมนุษย์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นมนุษย์สมบูรณ์ที่มาภายหลัง ผู้ที่อาจเรียกได้ว่าอาดามคนที่สอง. (1 โค. 15:45) แต่แนวทางชีวิตของมนุษย์สมบูรณ์สองคนนี้นำไปสู่ผลที่ต่างกันมาก. เป็นเช่นนั้นอย่างไร?—อ่านโรม 5:15, 16
8 เปาโลเขียนว่า “ผลที่เกิดจากของประทานไม่เหมือนกับผลของการล่วงละเมิด.” อาดามมีความผิดฐานล่วงละเมิด และเขาถูกตัดสินลงโทษอย่างยุติธรรมถึงตาย. กระนั้น ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ตาย. เราอ่านว่า “คนเป็นอันมากตายเนื่องจากการล่วงละเมิดของ [เขา] คนเดียว.” ตามมาตรฐานความยุติธรรมของพระยะโฮวา คนบาปต้องรับโทษถึงตาย. ดังนั้น เช่นเดียวกับอาดาม ลูกหลานทั้งหมดของเขารวมทั้งพวกเราด้วยจึงต้องรับโทษถึงตายเนื่องจากเราทุกคนเป็นคนบาป. ถึงกระนั้น เราได้รับการปลอบโยนที่รู้ว่าพระเยซู มนุษย์สมบูรณ์สามารถก่อให้เกิดผลที่ตรงกันข้าม. ผลดังกล่าวคืออะไร? เราเห็นคำตอบจากที่เปาโลกล่าวถึงการที่ “พระเจ้า . . . ทรงถือว่าคนทุกชนิดเป็นผู้ชอบธรรมเพื่อจะได้ชีวิต.”—โรม 5:18
9. การที่พระเจ้าประกาศว่ามนุษย์ชอบธรรมดังที่กล่าวในโรม 5:16, 18 หมายความอย่างไร?
9 ความหมายของคำภาษากรีกที่แฝงอยู่ในสำนวน “การประกาศว่าชอบธรรม” คืออะไร? ดร. เดวิด ซึ่งอ้างถึงในตอนต้น เขียนอธิบายแนวคิดนี้ว่า “สำนวนดังกล่าวเป็นอุปมาอุปไมยที่ส่อนัยไปทางกฎหมาย. สำนวนนี้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของใครคนหนึ่งจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงภายในตัวคนคนนั้น . . . อุปมาอุปไมยนี้ให้ภาพพระเจ้าว่าเป็นผู้พิพากษาซึ่งตัดสินจำเลยที่ประหนึ่งว่าถูกนำมาพิจารณาคดีต่อหน้าศาลของพระเจ้าในข้อหาว่าไม่ชอบธรรม. แต่พระเจ้าทรงตัดสินให้จำเลยพ้นผิด.”
10. พระเยซูทรงทำอะไรที่วางพื้นฐานไว้ให้มนุษย์สามารถได้รับการประกาศว่าชอบธรรม?
10 “ผู้พิพากษาทั้งโลก” ซึ่งเป็นผู้ชอบธรรมสามารถตัดสินให้คนที่ไม่ชอบธรรมพ้นผิดโดยอาศัยอะไรเป็นพื้นฐาน? (เย. 18:25) เพื่อเป็นการวางพื้นฐานไว้ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มายังแผ่นดินโลก. พระเยซูทรงทำตามพระประสงค์ของพระบิดาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แม้ว่าถูกล่อใจ ถูกเยาะเย้ยอย่างหนัก และถูกกระทำทารุณ. พระองค์รักษาความซื่อสัตย์จงรักภักดีจนสิ้นพระชนม์บนเสาทรมาน. (ฮีบรู 2:10) ด้วยการสละชีวิตมนุษย์สมบูรณ์ของพระองค์ พระเยซูทรงเสนอค่าไถ่ที่อาจปลดปล่อยหรือไถ่ถอนลูกหลานของอาดามให้พ้นจากบาปและความตาย.—มัด. 20:28; โรม 5:6-8
11. ค่าไถ่อาศัยอะไรที่มีค่าเท่าเทียมกันเป็นพื้นฐาน?
11 ในอีกที่หนึ่ง เปาโลเรียกสิ่งที่เป็นพื้นฐานนี้ว่า “ค่าไถ่ที่มีค่าเท่าเทียมกัน.” (1 ติโม. 2:6) อะไรมีค่าเท่าเทียมกัน? อาดามนำความไม่สมบูรณ์และความตายมาสู่หลายพันล้านคน ซึ่งเป็นลูกหลานของเขาทั้งหมด. และพระเยซูซึ่งเป็นมนุษย์สมบูรณ์ก็มีความสามารถที่จะให้กำเนิดลูกหลานที่สมบูรณ์หลายพันล้านคน.a ก่อนหน้านี้เราจึงเข้าใจว่าชีวิตของพระเยซูรวมกับชีวิตของลูกหลานทั้งหมดของพระองค์ซึ่งเป็นมนุษย์สมบูรณ์ที่จะเกิดมาประกอบกันเป็นเครื่องบูชาที่มีค่าเท่าเทียมกับอาดามและลูกหลานที่ไม่สมบูรณ์ของเขา. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้กล่าวว่าลูกหลานที่พระเยซูจะให้กำเนิดประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งของค่าไถ่. โรม 5:15-19 ชี้ว่าความตายของ “คนคนเดียว” เท่านั้นที่ปลดเปลื้องมนุษย์ให้พ้นจากบาป. ดังนั้น ชีวิตสมบูรณ์ของพระเยซูมีค่าเท่าเทียมกับชีวิตของอาดาม. เรื่องนี้เน้นไปที่พระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งก็ควรเป็นอย่างนั้น. “การพิสูจน์ความชอบธรรมหนเดียว” ของพระเยซู ซึ่งก็คือแนวทางชีวิตที่เชื่อฟังและซื่อสัตย์จงรักภักดีจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ของพระองค์เปิดโอกาสให้คนทุกชนิดได้รับของประทานและชีวิต. (2 โค. 5:14, 15; 1 เป. 3:18) พระเจ้าทรงตัดสินผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นผิดโดยวิธีใด?
ตัดสินให้พ้นผิดโดยอาศัยค่าไถ่
12, 13. เหตุใดคนที่ได้รับการประกาศว่าชอบธรรมจำเป็นต้องได้รับความเมตตาและความรักจากพระเจ้า?
12 พระยะโฮวาพระเจ้าทรงยอมรับเครื่องบูชาไถ่ที่พระบุตรทรงถวาย. (ฮีบรู 9:24; 10:10, 12) ถึงกระนั้น เหล่าสาวกของพระเยซูบนแผ่นดินโลก รวมทั้งอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ ก็ยังคงไม่สมบูรณ์. แม้ว่าพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการทำผิด แต่พวกเขาทำไม่สำเร็จเสมอไป. เพราะเหตุใด? เพราะพวกเขามีบาปที่ได้รับตกทอดมา. (โรม 7:18-20) แต่พระเจ้าทรงสามารถทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ และพระองค์ทรงทำอย่างนั้นจริง ๆ. พระองค์ทรงยอมรับ “ค่าไถ่ที่มีค่าเท่าเทียมกัน” และทรงเต็มพระทัยใช้ค่าไถ่นี้เพื่อประโยชน์ของผู้รับใช้ที่เป็นมนุษย์.
13 พระเจ้าไม่ได้มีพันธะที่จะต้องใช้ค่าไถ่นี้กับอัครสาวกและคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาทำการดีบางอย่าง. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงใช้ค่าไถ่เพื่อประโยชน์ของพวกเขาเนื่องจากพระองค์ทรงมีความเมตตาและความรักที่ยิ่งใหญ่. พระองค์ทรงเลือกที่จะตัดสินให้อัครสาวกและคนอื่น ๆ พ้นผิด โดยทรงถือว่าพวกเขาไม่ต้องรับโทษความผิดที่ได้รับตกทอดมา. เปาโลอธิบายง่าย ๆ ว่า “โดยพระกรุณาอันใหญ่หลวงนี้เองที่พวกท่านได้รับความรอดเนื่องด้วยความเชื่อ ความรอดนี้มิใช่เนื่องจากพวกท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า.”—เอเฟ. 2:8
14, 15. มีบำเหน็จอะไรรออยู่สำหรับคนที่พระเจ้าทรงประกาศว่าชอบธรรม แต่พวกเขายังจำเป็นต้องทำอะไร?
14 คิดดูสิว่าช่างเป็นของประทานอันยอดเยี่ยมสักเพียงไรที่ผู้ทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่งทรงให้อภัยบาปของใครคนหนึ่งที่ได้รับตกทอดมารวมทั้งความผิดที่เขาได้ทำด้วย! คุณไม่มีทางนับได้เลยว่าก่อนที่แต่ละคนมาเป็นคริสเตียนได้ทำผิดมากขนาดไหน ถึงกระนั้น พระเจ้าทรงให้อภัยบาปเหล่านั้นโดยอาศัยค่าไถ่. เปาโลเขียนว่า “ของประทานที่ให้มีการประกาศว่าชอบธรรมมีขึ้นเนื่องจากการล่วงละเมิดหลายครั้ง.” (โรม 5:16) อัครสาวกและคนอื่น ๆ ที่ได้รับของประทานอันเปี่ยมด้วยความรักนี้ (ได้รับการประกาศว่าชอบธรรม) จะต้องนมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ด้วยความเชื่อต่อ ๆ ไป. เขาจะได้รับบำเหน็จอะไรในอนาคต? “คนที่ได้รับพระกรุณาอันใหญ่หลวงอย่างบริบูรณ์และได้รับของประทานเป็นความชอบธรรมก็จะมีชีวิตและปกครองเป็นกษัตริย์เนื่องด้วยพระเยซูคริสต์องค์เดียว.” จริงทีเดียว ความชอบธรรมอันเป็นของประทานนี้ก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้ามกับการล่วงละเมิดของอาดาม. ผลที่ของประทานนี้ทำให้เกิดขึ้นคือชีวิต.—โรม 5:17; อ่านลูกา 22:28-30
15 คนที่ได้รับของประทานนั้น ซึ่งได้รับการประกาศว่าชอบธรรม กลายมาเป็นบุตรฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า. ในฐานะผู้ร่วมรับมรดกกับพระคริสต์ พวกเขามีความหวังจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายและมีชีวิตในสวรรค์ในฐานะบุตรที่เป็นกายวิญญาณจริง ๆ เพื่อ “ปกครองเป็นกษัตริย์” กับพระเยซูคริสต์.—อ่านโรม 8:15-17, 23
ความรักที่พระเจ้าทรงแสดงต่อคนอื่น ๆ
16. คนที่มีความหวังจะอยู่บนแผ่นดินโลกอาจได้รับของประทานอะไรแม้แต่ในขณะนี้?
16 ไม่ใช่ทุกคนที่แสดงความเชื่อและรับใช้พระเจ้าในฐานะคริสเตียนที่ภักดีคาดหวังว่าจะ “ปกครองเป็นกษัตริย์” กับพระคริสต์ในสวรรค์. หลายคนมีความหวังตามที่บอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งคล้ายกันกับความหวังของผู้รับใช้พระเจ้าก่อนยุคคริสเตียน. พวกเขาหวังจะมีชีวิตตลอดไปบนโลกที่เป็นอุทยาน. แม้แต่ในขณะนี้ พวกเขาก็ยังสามารถได้รับของประทานอันเปี่ยมด้วยความรักจากพระเจ้าและพระเจ้าทรงถือว่าพวกเขาชอบธรรมพร้อมกับมีความหวังจะได้รับชีวิตบนแผ่นดินโลกไหม? โดยอาศัยสิ่งที่เปาโลเขียนถึงคริสเตียนชาวโรมัน เราตอบอย่างมั่นใจได้ว่า ใช่!
17, 18. (ก) โดยคำนึงถึงความเชื่อของอับราฮาม พระเจ้าทรงมองท่านอย่างไร? (ข) พระยะโฮวาทรงถือว่าอับราฮามเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร?
17 เปาโลพิจารณาตัวอย่างหนึ่งที่ยอดเยี่ยมของอับราฮาม ชายผู้มีความเชื่อซึ่งมีชีวิตก่อนที่พระยะโฮวาจะประทานประมวลกฎหมายแก่ชาติอิสราเอลและมีชีวิตอยู่นานแล้วก่อนที่พระคริสต์จะเปิดทางสู่ชีวิตในสวรรค์. (ฮีบรู 10:19, 20) เราอ่านว่า “ที่อับราฮามหรือผู้สืบเชื้อสายของท่านได้รับคำสัญญาว่าท่านจะเป็นผู้รับโลกเป็นมรดกนั้นไม่ใช่โดยพระบัญญัติ แต่โดยความชอบธรรมเนื่องด้วยความเชื่อ.” (โรม 4:13; ยโก. 2:23, 24) ดังนั้น พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮามเป็นผู้ชอบธรรม.—อ่านโรม 4:20-22
18 นั่นไม่ได้หมายความว่าอับราฮามไม่ทำผิดเลยขณะที่ท่านรับใช้พระยะโฮวาตลอดหลายสิบปี. ท่านไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรมในความหมายนี้. (โรม 3:10, 23) อย่างไรก็ตาม ด้วยพระสติปัญญาอันไม่มีขีดจำกัดของพระยะโฮวา พระองค์ทรงพิจารณาความเชื่อที่โดดเด่นของอับราฮามและการงานที่เป็นผลมาจากความเชื่อนั้น. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อับราฮามแสดงความเชื่อใน “ผู้สืบเชื้อสาย” ตามคำสัญญาที่จะมาทางเชื้อวงศ์ของท่าน. ผู้สืบเชื้อสายนั้นได้แก่พระมาซีฮาหรือพระคริสต์. (เย. 15:6; 22:15-18) ดังนั้น โดยอาศัย “ค่าไถ่ที่พระคริสต์เยซูทรงชำระแล้วนั้น” ผู้พิพากษาองค์ยิ่งใหญ่จึงสามารถให้อภัยบาปที่เกิดขึ้นในอดีต. โดยวิธีนั้น อับราฮามและผู้มีความเชื่อคนอื่น ๆ ที่อยู่ก่อนยุคคริสเตียนจึงมีความหวังที่จะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย.—อ่านโรม 3:24, 25; เพลง. 32:1, 2
จงมีฐานะอันชอบธรรมเสียแต่บัดนี้
19. เหตุใดทัศนะของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮามจึงทำให้หลายคนในทุกวันนี้มีกำลังใจขึ้น?
19 ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงถือว่าอับราฮามเป็นผู้ชอบธรรมน่าจะทำให้คริสเตียนแท้ในทุกวันนี้มีกำลังใจขึ้น. พระยะโฮวาไม่ได้ประกาศว่าท่านชอบธรรมในความหมายเดียวกับที่พระองค์ทรงประกาศต่อคนที่ทรงเจิมด้วยพระวิญญาณให้เป็น “ผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์.” พระเจ้าทรงเรียกคนกลุ่มนี้ “ให้เป็นผู้บริสุทธิ์” และพวกเขาได้รับการยอมรับว่าเป็น “บุตรของพระเจ้า.” (โรม 1:7; 8:14, 17, 33) แต่อับราฮามได้เป็น “มิตรของพระยะโฮวา” ก่อนที่จะมีการถวายเครื่องบูชาไถ่. (ยโก. 2:23; ยซา. 41:8) ถ้าอย่างนั้น จะว่าอย่างไรสำหรับคริสเตียนแท้ที่มีความหวังจะมีชีวิตในอุทยานที่ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลก?
20. ในทุกวันนี้ พระเจ้าทรงคาดหมายอะไรจากคนที่พระองค์ทรงถือว่าชอบธรรม เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงคาดหมายจากอับราฮาม?
20 คนเหล่านี้ไม่ได้รับ “ของประทานเป็นความชอบธรรม” ด้วยการมีความหวังจะมีชีวิตในสวรรค์ “โดยอาศัยการปลดเปลื้องด้วยค่าไถ่ที่พระคริสต์เยซูทรงชำระแล้วนั้น.” (โรม 3:24; 5:15, 17) อย่างไรก็ตาม พวกเขาแสดงความเชื่ออย่างลึกซึ้งในพระเจ้าและค่าไถ่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ และพวกเขาแสดงความเชื่อของตนด้วยการทำการดี. การดีเช่นนั้นก็คือการ “ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าและสอนเรื่องพระเยซูคริสต์เจ้า.” (กิจ. 28:31) ด้วยเหตุนั้น พระยะโฮวาจึงถือได้ว่าคนเหล่านี้ชอบธรรมในความหมายอย่างเดียวกับที่ทรงถือว่าอับราฮามชอบธรรม. ของประทานที่คนเหล่านั้นได้รับ คือมิตรภาพกับพระเจ้า แตกต่างกับของประทานที่ชนผู้ถูกเจิมได้รับ. ถึงกระนั้น นั่นเป็นของประทานที่พวกเขารับเอาด้วยความขอบคุณอย่างยิ่งอย่างแน่นอน.
21. เราได้รับประโยชน์จากความรักและความยุติธรรมของพระยะโฮวาอย่างไร?
21 ถ้าคุณหวังจะมีชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลก คุณควรตระหนักว่า ความหวังนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสัญญาที่ไม่แน่นอนของผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ความหวังนี้สะท้อนถึงพระประสงค์อันฉลาดสุขุมของพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่งแห่งเอกภพ. พระยะโฮวาได้ทรงดำเนินการเป็นขั้น ๆ เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ. ขั้นตอนเหล่านี้สอดคล้องกับความยุติธรรมที่แท้จริง. ยิ่งกว่านั้น ขั้นตอนเหล่านี้แสดงว่าพระเจ้าทรงมีความรักอันยิ่งใหญ่. ด้วยเหตุนั้น เปาโลจึงกล่าวได้ว่า “พระเจ้าทรงเสนอความรักของพระองค์แก่เราโดยที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเราในขณะที่เรายังเป็นคนบาป.”—โรม 5:8
[เชิงอรรถ]
a ตัวอย่างเช่น มีการกล่าวถึงทัศนะเช่นนั้นที่เกี่ยวกับลูกหลานหรือผู้สืบเชื้อสายในหอสังเกตการณ์ 15 มีนาคม 2000 หน้า 4 ย่อหน้า 4 และหนังสือการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 736 ย่อหน้า 4 และ 5.
คุณจำได้ไหม?
• ลูกหลานของอาดามได้รับอะไรตกทอดมา และนั่นทำให้เกิดผลเช่นไร?
• มีการจัดเตรียมค่าไถ่ที่มีค่าเท่าเทียมกันอย่างไร และค่าไถ่นั้นมีค่าเท่าเทียมกันในความหมายเช่นไร?
• ของประทานที่ให้มีการประกาศว่าชอบธรรมทำให้คุณมีความหวังอะไร?
[ภาพหน้า 13]
อาดามมนุษย์ที่สมบูรณ์ทำบาป พระเยซูมนุษย์ที่สมบูรณ์ทรงถวาย “ค่าไถ่ที่มีค่าเท่าเทียมกัน”
[ภาพหน้า 15]
ช่างเป็นข่าวดีจริง ๆ โดยทางพระเยซู เราสามารถได้รับการประกาศว่าชอบธรรม!