กีฬาในสมัยโบราณและความสำคัญของการชนะ
“ฝ่ายทุกคนที่แข่งขันกันเพื่อเอาชนะก็ระวังรักษาตัว [“ควบคุมตนเอง,” ล.ม.] ทุกอย่าง.” “ถ้าผู้ใดจะเข้าแข่งขันในการกรีฑา, เขาก็คงมิได้สวมพวงมาลัย, เว้นเสียแต่เขาได้ปฏิบัติตามกฎ.”—1 โกรินโธ 9:25; 2 ติโมเธียว 2:5.
กีฬาต่าง ๆ ซึ่งอัครสาวกเปาโลกล่าวถึงเป็นลักษณะสำคัญที่แยกไม่ออกของอารยธรรมกรีกโบราณ. ประวัติศาสตร์บอกอะไรแก่เราเรื่องการแข่งขันดังกล่าวและบรรยากาศโดยรอบของการแข่งขันเหล่านั้น?
ไม่นานมานี้ มีการจัดนิทรรศการกีฬาของกรีกชื่อนีเค—อีล โจโก เอ ลา วีตอร์ยา (“นีเค—กีฬาและชัยชนะ”) ที่โคลอสเซียมในกรุงโรม.a นิทรรศการนี้ตอบคำถามนั้นบางส่วนและทำให้เราได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับทัศนะของคริสเตียนในเรื่องกีฬา.
กิจปฏิบัติอันเก่าแก่
ประเทศกรีซไม่ใช่อารยธรรมแรกที่มีส่วนร่วมในกีฬา. แม้จะเป็นเช่นนั้น ในประมาณศตวรรษที่แปดก่อนสากลศักราช โฮเมอร์กวีชาวกรีกพรรณนาถึงสังคมที่ถูกกระตุ้นโดยอุดมการณ์ต่าง ๆ ของวีรชนและน้ำใจแข่งขัน ซึ่งถือว่าความสามารถทางทหารและทางกีฬามีค่าสูงยิ่ง. นิทรรศการนั้นอธิบายว่า เทศกาลแรกของกรีกเริ่มต้นในขณะที่มีเหตุการณ์ทางศาสนาเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าเทพเจ้า ณ การฝังศพของเหล่าวีรชน. ตัวอย่างเช่น โคลงอิเลียด ของโฮเมอร์ งานวรรณคดีกรีกที่เหลือรอดมาอันเก่าแก่ที่สุด พรรณนาถึงเหล่านักรบผู้สูงศักดิ์ ซึ่งเป็นบรรดาสหายของอะคิลลิส ได้วางอาวุธของตนลงที่พิธีฝังศพของพาโตรคลอสและแข่งขันกันเพื่อพิสูจน์ความกล้าหาญในการชกมวย, มวยปล้ำ, ขว้างจักรและพุ่งแหลน, รวมทั้งแข่งขับรถม้า.
มีการฉลองเทศกาลต่าง ๆ คล้ายกันนี้ทั่วทั้งประเทศกรีซ. หนังสือคู่มือนิทรรศการนั้นกล่าวว่า “เนื่องจากความนับถือต่อเหล่าเทพเจ้า เทศกาลต่าง ๆ ทำให้ชาวกรีกละเว้นจากการต่อสู้ที่ไม่มีขอบเขตและมักใช้ความรุนแรง และบรรลุผลในการเปลี่ยนน้ำใจแข่งขันที่มีอยู่ทั่วไปมาเป็นรักสันติ ทว่าประสบความสำเร็จที่แท้จริงอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือการแข่งขันกีฬา.”
กลุ่มนครรัฐต่าง ๆ รับเอากิจปฏิบัติของการชุมนุมกันเป็นประจำที่ศูนย์กลางการนมัสการเพื่อถวายเกียรติแก่เหล่าเทพเจ้าของพวกเขาโดยทางการแข่งขันกีฬา. ในเวลาต่อมา สี่เทศกาลดังกล่าว—โอลิมปิกและนีเมียน ทั้งสองเทศกาลอุทิศแด่เทพเจ้าซูส, พือเธียนอุทิศแด่เทพเจ้าอะพอลโล, และอิสท์เมียนอุทิศแด่เทพเจ้าโพซีดอน—มีความสำคัญมากขึ้นจนกระทั่งกลายเป็นเทศกาลของชาวกรีก. กล่าวคือ เทศกาลเหล่านี้เปิดให้ผู้แข่งขันจากทั่วดินแดนกรีกได้เข้าร่วม. เทศกาลต่าง ๆ เน้นการบูชายัญและการอธิษฐาน รวมทั้งมีการแข่งขันกีฬาชั้นสูงหรือศิลปะเพื่อเป็นเกียรติแก่เหล่าเทพเจ้าด้วยเช่นกัน.
เทศกาลที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของเทศกาลเหล่านั้น กล่าวกันว่าจัดขึ้นในปี 776 ก่อน ส.ศ. ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ สี่ปีเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าซูส ณ เมืองโอลิมเปีย. เทศกาลที่สำคัญอันดับรองลงมาคือเทศกาลพือเธียน ซึ่งจัดขึ้นใกล้ ๆ กับสำนักผู้ทำนายที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของโลกยุคโบราณ ณ เมืองเดลฟี เทศกาลนี้ก็มีกีฬารวมอยู่ด้วย. ทว่าเพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้าอะพอลโล ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์บทกวีและดนตรี จึงมีการเน้นที่เพลงและการเต้นรำ.
การแข่งขัน
เทียบกับกีฬาในสมัยปัจจุบัน จำนวนของการแข่งขันมีค่อนข้างจำกัด และเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ลงแข่งขัน. รายการของกีฬาโอลิมปิกในสมัยโบราณมีการแข่งขันไม่เกินสิบรายการ. รูปปั้น, ภาพนูน, ลวดลายโมเสก, และภาพวาดบนโถดินเผาที่จัดแสดงในโคลอสเซียมแสดงภาพของการแข่งขันเหล่านั้น.
มีการวิ่งแข่งสามระยะทาง คือรอบสนามกีฬาประมาณ 200 เมตร; วิ่งสองรอบ เทียบกับระยะทางในปัจจุบันคือ 400 เมตร; และวิ่งระยะไกลประมาณ 4,500 เมตร. นักกีฬาจะวิ่งและฝึกฝนในสภาพเปลือยล่อนจ้อน. ผู้แข่งขันปัญจกรีฑาเข้าแข่งขันในห้าประเภท คือวิ่ง, กระโดดไกล, ขว้างจักร, พุ่งแหลน, และมวยปล้ำ. การแข่งขันอื่น ๆ รวมถึงการชกมวยผสมมวยปล้ำแบบไม่กำหนดท่า มีการพรรณนาว่าเป็น “กีฬาที่ทารุณซึ่งผสมการชกมวยแบบไม่ใส่นวมเข้ากับมวยปล้ำ.” ถัดจากนั้น มีการแข่งขับรถม้าในระยะทางกว่า 1,600 เมตร โดยใช้พาหนะขนาดเบาเปิดด้านหลังพร้อมกับติดตั้งล้อเล็ก ๆ และใช้ลูกม้าหรือม้าที่โตแล้วสองหรือสี่ตัวลากไป.
การชกมวยนั้นรุนแรงอย่างยิ่งและบางครั้งเป็นอันตรายถึงชีวิต. ผู้แข่งขันพันสายหนังแข็ง ๆ ซึ่งทำเป็นปุ่มโลหะไว้รอบมือของตน. คุณอาจนึกภาพออกว่า เหตุใดผู้แข่งขันคนหนึ่งที่ชื่อสตราโตฟอนเตจำหน้าตัวเองในกระจกไม่ได้หลังจากการชกมวยสี่ชั่วโมง. รูปปั้นและลวดลายโมเสกในสมัยโบราณให้หลักฐานว่า พวกนักมวยเสียโฉมอย่างน่ากลัว.
ในกีฬามวยปล้ำ กติกากำหนดให้จับตัวคู่ต่อสู้ได้เพียงส่วนบนของร่างกายเท่านั้น และผู้ชนะคือคนที่ทำให้คู่ต่อสู้นอนอยู่บนพื้นโดยเคลื่อนที่ไม่ได้สามครั้ง. ในทางตรงข้าม กีฬามวยปล้ำแบบไม่กำหนดท่าไม่มีข้อห้ามในการจับตัวคู่ต่อสู้. ผู้แข่งขันสามารถเตะ, ต่อย, และบิดข้อได้. แต่มีข้อห้ามคือ การควักลูกตา, การข่วน, และการกัด. เป้าหมายคือเพื่อทำให้คู่ต่อสู้นอนอยู่บนพื้นโดยเคลื่อนที่ไม่ได้และจำต้องยอมแพ้. บางคนถือว่านั่นเป็น “ภาพที่น่าตื่นเต้นที่สุดของโอลิมเปียทั้งหมด.”
มีการกล่าวกันว่า การต่อสู้ในมวยปล้ำแบบไม่กำหนดท่าที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยโบราณเกิดขึ้น ณ การแข่งขันรอบสุดท้ายของกีฬาโอลิมปิกในปี 564 ก่อน ส.ศ. อาร์ราฮีโอน ซึ่งถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก ได้ตั้งสติทำให้นิ้วเท้านิ้วหนึ่งของคู่ต่อสู้เคลื่อน. คู่ต่อสู้ของเขาเจ็บปวดจนหมดกำลัง จึงยอมแพ้เกือบเวลาเดียวกับที่อาร์ราฮีโอนเสียชีวิต. ผู้ตัดสินประกาศให้ศพของอาร์ราฮีโอนเป็นผู้ชนะ!
การแข่งขับรถม้าเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียงที่สุดและยังเป็นที่นิยมมากที่สุดในหมู่พวกขุนนางอีกด้วย เนื่องจากผู้ชนะไม่ใช่คนขับรถม้าแต่เป็นเจ้าของรถม้าและม้า. ช่วงวิกฤติในการแข่งขันคือช่วงเริ่มต้นของการแข่งขัน เมื่อคนขับรถม้าต้องอยู่ในลู่แข่ง และช่วงวิกฤติที่สุดคือตอนเลี้ยวกลับรอบเสาในแต่ละรอบที่อยู่สุดลู่แข่งทั้งสองด้าน. ความผิดพลาดและการทำผิดกติกาอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุซึ่งทำให้การแข่งขันอันเป็นที่นิยมนี้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น.
รางวัลสำหรับผู้ชนะ
อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “คนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน, แต่คนที่ได้รับรางวัลมีแต่คนเดียว.” (1 โกรินโธ 9:24) ชัยชนะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด. ไม่มีเหรียญเงินหรือเหรียญทองแดง ไม่มีอันดับสองหรืออันดับสาม. นิทรรศการนั้นอธิบายว่า “ชัยชนะ หรือ ‘นีเค’ เป็นเป้าหมายสูงสุดของนักกีฬา. เพียงแค่ได้ชัยชนะก็เพียงพอ เนื่องจากชัยชนะเท่านั้นที่สะท้อนให้เห็นคุณสมบัติส่วนตัวของคนนั้นอย่างแท้จริง ทั้งด้านร่างกายและศีลธรรม อีกทั้งเป็นความภูมิใจแห่งบ้านเกิดเมืองนอนของเขา.” ทัศนะดังกล่าวสรุปได้ด้วยโคลงบรรทัดหนึ่งของโฮเมอร์ที่ว่า “ข้าเรียนรู้ที่จะชนะเลิศเสมอ.”
รางวัลที่มอบให้แก่ผู้ชนะในกีฬาของชาวกรีกเป็นเพียงสิ่งที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะเท่านั้น ซึ่งก็คือมงกุฎใบไม้. เปาโลเรียกมงกุฎนั้นว่า “มงกุฎใบไม้ที่จะร่วงโรยเสียได้.” (1 โกรินโธ 9:25) กระนั้น รางวัลนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง. รางวัลนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจแห่งธรรมชาติซึ่งให้พลังแก่ผู้ชนะ. ชัยชนะ ซึ่งติดตามด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น หมายถึงการได้รับความโปรดปรานจากเหล่าเทพเจ้า. นิทรรศการนี้แสดงตัวอย่างวิธีที่เหล่าประติมากรและจิตรกรในสมัยโบราณจินตนาการภาพของนีเค เทพธิดาแห่งชัยชนะของกรีกที่มีปีก กำลังสวมมงกุฎให้แก่ผู้ชนะ. ชัยชนะที่โอลิมเปียเป็นจุดสุดยอดของอาชีพนักกีฬา.
มงกุฎของโอลิมปิกทำจากใบมะกอกเทศป่า, มงกุฎของอิสท์เมียนทำจากใบสน, มงกุฎของพือเธียนทำจากใบลอเรล, มงกุฎของนีเมียนทำจากใบขึ้นฉ่ายป่า. พวกผู้จัดการแข่งขันในที่อื่นเสนอเงินหรือรางวัลอื่น ๆ เพื่อจูงใจผู้แข่งขันที่เก่งที่สุด. โถบางใบที่แสดงในนิทรรศการนี้เคยเป็นรางวัลในกีฬาพานาทีนาอิก ซึ่งจัดที่กรุงเอเธนส์เพื่อเป็นเกียรติแก่เทพธิดาอะทีนา. โถเหล่านี้แต่เดิมใช้บรรจุน้ำมันมะกอกอันมีค่าจากแถบแอตติกา. ภาพวาดบนโถด้านหนึ่งเป็นภาพเทพธิดาอะทีนาและเขียนว่า “รางวัลสำหรับการแข่งขันแห่งอะทีนา.” อีกด้านหนึ่งมีภาพวาดของการแข่งขันพิเศษ เป็นไปได้ว่าเป็นภาพการแข่งขันหนึ่งซึ่งนักกีฬาได้รับชัยชนะ.
เมืองต่าง ๆ ในกรีกร่วมชื่นชมกับชื่อเสียงของพวกนักกีฬาของตน ซึ่งชัยชนะได้เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นวีรบุรุษเด่นดังในชุมชนหมู่บ้านของตน. มีการฉลองการกลับมาของผู้ชนะด้วยขบวนแห่ชัยชนะ. มีการทำรูปปั้นของเหล่าผู้ชนะเพื่อเป็นการถวายคำขอบพระคุณแด่เหล่าเทพเจ้า—ซึ่งเป็นเกียรติที่ตามธรรมดาแล้วไม่มอบให้กับมนุษย์—และพวกกวีขับร้องเกี่ยวกับความกล้าหาญของพวกเขา. หลังจากนั้น พวกผู้ชนะได้รับที่นั่งในแถวแรก ณ พิธีต่อหน้าสาธารณชนและได้รับเงินบำนาญจากรัฐ.
โรงพลศึกษาและพวกนักกีฬา
การแข่งขันกีฬาถือเป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการของทหารกึ่งพลเรือน. ทุก ๆ เมืองในกรีกมีโรงพลศึกษา ที่ซึ่งมีการฝึกร่างกายสำหรับชายหนุ่มร่วมกับการสอนด้านเชาวน์ปัญญาและการฝึกฝนทางศาสนา. ลานกว้างในอาคารต่าง ๆ ของโรงพลศึกษาถูกจัดไว้สำหรับออกกำลังกาย มีระเบียงล้อมรอบและพื้นที่ปิดอื่น ๆ ถูกใช้เป็นห้องสมุดและห้องเรียน. ส่วนใหญ่ ชายหนุ่มจากครอบครัวที่มั่งคั่งซึ่งสามารถอุทิศเวลาให้กับการศึกษาแทนที่จะทำงานได้ใช้สถานที่ดังกล่าว. ที่นี่ พวกนักกีฬาเก็บตัวเพื่อการเตรียมตัวอันยาวนานและคร่ำเคร่งสำหรับการแข่งขันโดยมีผู้ฝึกสอนคอยช่วย ผู้ซึ่งกำหนดอาหารและทำให้แน่ใจว่ามีการงดการร่วมเพศด้วยเช่นกัน.
งานนิทรรศการที่โคลอสเซียมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้ชื่นชมกับรูปปั้นอันงดงามของพวกนักกีฬาในสมัยโบราณ ส่วนใหญ่เป็นรูปจำลองที่ทำในสมัยจักรวรรดิโรมันตามรูปปั้นดั้งเดิมของกรีก. เนื่องจากในอุดมการณ์ของกรีกในสมัยโบราณ ความสมบูรณ์ทางกายตรงกับความสมบูรณ์ทางศีลธรรมและมีเฉพาะในชนชั้นขุนนาง ร่างกายซึ่งมีสัดส่วนที่ดีของพวกนักกีฬาที่ได้ชัยชนะเหล่านี้จึงแสดงถึงอุดมคติด้านหลักปรัชญา. ชาวโรมันยกย่องรูปปั้นเหล่านี้ว่าเป็นงานศิลปะ รูปปั้นหลายรูปถูกนำไปตกแต่งสนามกีฬา, โรงอาบน้ำ, บ้านพักของพวกผู้ดี, และวัง.
ในหมู่ชาวโรมัน การแสดงอันรุนแรงเป็นที่นิยมมาโดยตลอด โดยเหตุนั้น ในการแข่งขันทั้งหมดของกรีกที่นำมาแสดงในโรม การชกมวย, มวยปล้ำ, และมวยปล้ำแบบไม่กำหนดท่าเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด. ชาวโรมันถือว่ากีฬาต่าง ๆ ดังกล่าวไม่ได้เป็นการแข่งขันระหว่างผู้ที่เท่าเทียมกันเพื่อวัดความสามารถของแต่ละคน แต่เป็นเพียงการให้ความเพลิดเพลินเท่านั้น. ความคิดดั้งเดิมในเรื่องกีฬาที่ว่า เหล่านักกีฬา -ยอดนักรบมีส่วนร่วมกันในฐานะเป็นส่วนของการศึกษานั้นได้ล้มเลิกไป. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ชาวโรมันลดระดับกีฬาของกรีกลงเป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพก่อนอาบน้ำหรือการที่นักกีฬาอาชีพชั้นต่ำกว่าแสดงให้ผู้ชมดู คล้ายกับการต่อสู้ในสังเวียน.
คริสเตียนและกีฬา
ลักษณะทางศาสนาในกีฬาเป็นสาเหตุหนึ่งสำหรับคริสเตียนในศตวรรษแรกที่จะหลีกหนีจากกีฬาเหล่านั้น เพราะ “วิหารของพระเจ้าจะทำสัญญาอะไรกับรูปเคารพได้?” (2 โกรินโธ 6:14, 16) จะว่าอย่างไรสำหรับกีฬาในทุกวันนี้?
เห็นได้ชัดว่า กีฬาในสมัยปัจจุบันไม่ได้ให้เกียรติแก่เหล่าเทพเจ้านอกรีต. ถึงกระนั้น เป็นความจริงมิใช่หรือที่ว่า กีฬาบางประเภทเต็มไปด้วยความศรัทธาที่ใกล้เคียงกับความศรัทธาด้านศาสนา เทียบได้กับความศรัทธาซึ่งมีอยู่ในสมัยโบราณ? นอกจากนั้น ดังที่รายงานเมื่อไม่กี่ปีมานี้แสดงให้เห็น เพื่อจะชนะ นักกีฬาบางคนตั้งใจใช้สารกระตุ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและแม้กระทั่งต่อชีวิตของตน.
สำหรับคริสเตียนแล้ว การมีชื่อเสียงทางด้านกีฬามีค่าจำกัด. คุณลักษณะฝ่ายวิญญาณของ “บุคคลที่ซ่อนเร้นไว้แห่งหัวใจ” เป็นสิ่งที่ทำให้เรางดงามในสายพระเนตรของพระเจ้า. (1 เปโตร 3:3, 4, ล.ม.) เรายอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีส่วนในกีฬาในทุกวันนี้มีน้ำใจแข่งขันอย่างดุเดือด แต่หลายคนเป็นเช่นนั้น. การคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นจะช่วยเราให้ติดตามคำกระตุ้นเตือนของพระคัมภีร์ที่จะ “ไม่ทำประการใดในทางทุ่มเถียงกันหรืออวดดีไปเปล่า ๆ, แต่ให้ทุกคนมีใจถ่อมลง” ไหม? หรือการคบหาสมาคมดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิด “การเป็นศัตรูกัน, การวิวาทกัน, การริษยากัน, การโกรธกัน, การทุ่มเถียงกัน, การแตกก๊กกัน” ไหม?—ฟิลิปปอย 2:3; ฆะลาเตีย 5:19-21.
กีฬาที่ผู้เล่นมักจะถูกเนื้อถูกตัวกันหลายประเภทในปัจจุบันอาจทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้. ใครก็ตามที่สนใจกีฬาดังกล่าวควรจดจำถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 11:5 ที่ว่า “พระยะโฮวาทรงทดลองดูคนชอบธรรม; แต่พระทัยของพระองค์ทรงเกลียดชังคนชั่วที่นิยมในการร้าย [“ชอบความรุนแรง,” ล.ม.].”
เมื่ออยู่ในลำดับความสำคัญที่เหมาะสม การออกกำลังกายสามารถให้ความเพลิดเพลิน และอัครสาวกเปาโลได้กล่าวว่า “การฝึกหัดกายนั้นมีประโยชน์ชั่วคราว.” (1 ติโมเธียว 4:7-10) อย่างไรก็ตาม เมื่อเปาโลพูดถึงกีฬาต่าง ๆ ของกรีก ท่านเพียงแต่อ้างอิงถึงกีฬาเหล่านั้นอย่างเหมาะสมเพื่อแสดงให้คริสเตียนเห็นความสำคัญที่จะมีคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น การควบคุมตนเองและความอดทน. เหนือสิ่งอื่นใด เป้าหมายที่เปาโลพยายามบรรลุคือการได้รับ “มงกุฎ” แห่งชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าจะประทานให้. (1 โกรินโธ 9:24-27; 1 ติโมเธียว 6:12) โดยการทำเช่นนั้น เปาโลวางแบบอย่างไว้ให้พวกเรา.
[เชิงอรรถ]
a นีเค เป็นคำภาษากรีกหมายถึง “ชัยชนะ.”
[กรอบ/ภาพหน้า 31]
นักมวยหลังการต่อสู้
รูปปั้นทองแดงจากศตวรรษที่สี่ก่อนสากลศักราชนี้ชี้ถึงผลเสียหายของการชกมวยในสมัยโบราณ ตามที่รายการนิทรรศการของโรมกล่าวไว้ว่า “การต้านทานของนักมวย . . . ผู้ที่ต่อสู้อย่างหมดเรี่ยวแรง ซึ่งในระหว่างการต่อสู้มีการให้ ‘บาดแผลแทนบาดแผล’ นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยม.” มีการพรรณนาต่อไปว่า “บาดแผลจากการต่อสู้ที่เพิ่งยุติเพิ่มเข้ากับบาดแผลจากการต่อสู้ในครั้งก่อน ๆ.”
[ภาพหน้า 29]
การแข่งขับรถม้าเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียงที่สุดในการแข่งขันในสมัยโบราณ
[ภาพหน้า 30]
จิตรกรในสมัยโบราณจินตนาการนีเค เทพธิดาแห่งชัยชนะที่มีปีก สวมมงกุฎให้แก่ผู้ชนะ