-
อย่าพรากสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันไว้แล้วหอสังเกตการณ์ 2007 | 1 พฤษภาคม
-
-
13. หลักการอะไรในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยภรรยาได้?
13 คัมภีร์ไบเบิลยังมีหลักการที่สามารถช่วยภรรยาด้วย. เอเฟโซ 5:22-24, 33 (ล.ม.) กล่าวว่า “จงให้ภรรยาทั้งหลายยอมอยู่ใต้อำนาจสามีของตนเหมือนกระทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสามีเป็นประมุขของภรรยาของตนเหมือนพระคริสต์เป็นประมุขของประชาคมด้วย โดยที่พระองค์เป็นผู้ทรงช่วยคณะนั้นให้รอด. ที่จริง ประชาคมอยู่ใต้อำนาจพระคริสต์ฉันใด ก็จงให้ภรรยาอยู่ใต้อำนาจสามีของตนในทุกสิ่งเหมือนกันฉันนั้น. . . . ภรรยาก็ควรแสดงความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อสามีของตน.”
-
-
อย่าพรากสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงผูกพันไว้แล้วหอสังเกตการณ์ 2007 | 1 พฤษภาคม
-
-
15. มีคำแนะนำอะไรบ้างสำหรับภรรยาที่พบในคัมภีร์ไบเบิล?
15 เปาโลยังกล่าวด้วยว่าภรรยา “ควรแสดงความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อสามีของตน.” ภรรยาคริสเตียนควรแสดง “น้ำใจสงบเสงี่ยมและอ่อนโยน” ไม่ท้าทายอำนาจของสามีอย่างโอหังหรือดำเนินในแนวทางที่ไม่ขึ้นกับใคร. (1 เปโตร 3:4, ล.ม.) ภรรยาที่เกรงกลัวพระเจ้าทำงานหนักเพื่อสวัสดิภาพของครอบครัวและทำให้ประมุขของเธอได้รับเกียรติ. (ติโต 2:4, 5) เมื่อพูดถึงสามีเธอจะพยายามพูดในแง่ดี และเมื่อเป็นอย่างนั้นจึงไม่ได้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำให้คนอื่นไม่นับถือเขา. นอกจากนั้น เธอจะพยายามอย่างแท้จริงเพื่อสนับสนุนให้การตัดสินใจต่าง ๆ ของเขาประสบผลสำเร็จ.—สุภาษิต 14:1.
16. ภรรยาคริสเตียนอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของซาราห์และริบะคา?
16 การมีน้ำใจสงบเสงี่ยมและอ่อนโยนไม่ได้หมายความว่าสตรีคริสเตียนไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นหรือความคิดเห็นของเธอไม่สำคัญ. สตรีที่เกรงกลัวพระเจ้าในครั้งโบราณ เช่น ซาราห์และริบะคา เป็นฝ่ายเริ่มต้นแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่าง ๆ และบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาทรงเห็นชอบกับการกระทำของพวกเธอ. (เยเนซิศ 21:8-12; 27:46–28:4) ภรรยาคริสเตียนก็สามารถเผยความรู้สึกให้สามีทราบด้วยเหมือนกัน. อย่างไรก็ตาม เธอควรทำเช่นนั้นโดยนึกถึงความรู้สึกของสามี ไม่ใช่โดยใช้น้ำเสียงที่หลู่เกียรติ. เธอคงจะพบว่าการสื่อความเช่นนั้นกับสามีได้รับการตอบรับอย่างน่าพอใจมากขึ้น.
-