การเรียนรู้ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า
“แม้แต่พระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ทรงวางแบบอย่างไว้ให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด.”—1 เปโตร 2:21, ล.ม.
1. พระยะโฮวาทรงมีจุดมุ่งหมายอะไรในเรื่อง ‘ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า’?
“ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้านี้” ไม่เป็นสิ่งลึกลับอีกต่อไป! (1 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.) ช่างแตกต่างเพียงไรกับความลึกลับของศาสนาเท็จ เช่น ตรีเอกานุภาพอันลึกลับซึ่งยังคงลึกลับอยู่! ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้. แต่ตรงกันข้าม พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งเผยออกมาในตัวบุคคลคือพระเยซูคริสต์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากที่สุด. พระเยซูเองทรงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งทำงานอย่างกระตือรือร้น. เราสามารถเรียนได้มากจากแก่นข่าวและวิธีการประกาศของพระองค์ ดังเราจะได้เห็นต่อไป.
2. ทำไมงานรับใช้ของพระเยซูมาก่อนค่าไถ่? (มัดธาย 20:28)
2 ขอให้เราพิจารณาต่อไปว่าด้วยพระเยซู “ถูกส่งมาให้ปรากฏเป็นเนื้อหนัง.” (1 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.) เราอ่านที่มัดธาย 20:28 ว่าพระเยซู “มิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขาและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.” ทั้งนี้พระองค์ทรงถือว่า การปฏิบัติรับใช้ต้องมาก่อนค่าไถ่. ทำไมเป็นอย่างนั้น? เมื่อย้อนไปสมัยสวนเอเดน ซาตานเจ้าเล่ห์ได้คัดค้านสิทธิอันถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาเหนือมนุษยชาติ โดยบอกเป็นนัยว่า สรรพสิ่งซึ่งพระเจ้าได้สร้างขึ้นนั้นมีข้อบกพร่อง และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้าองค์สูงสุดได้เมื่อตกอยู่ในภาวะยากลำบาก. (เทียบกับโยบ 1:6-12; 2:1-10.) การรับใช้ของพระเยซูอย่างปราศจากตำหนิ ในฐานะมนุษย์สมบูรณ์ “อาดามผู้ซึ่งมาภายหลัง” ได้แสดงว่า ซาตานผู้ท้าทายนั้นเป็นตัวโกหกชั่วร้ายจริง. (1 โกรินโธ 15:45) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูได้พิสูจน์คุณสมบัติของพระองค์ที่จะทำหน้าที่เป็น “ผู้นำองค์เอกและเป็นผู้ช่วยให้รอด” อย่างเต็มที่และที่จะ “พิพากษาโลกตามความชอบธรรม” เพื่อเป็นการชันสูตรเชิดชูพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา.—กิจการ 5:31; 17:31.
3. พระเยซูได้หักล้างคำท้าของซาตานโดยสิ้นเชิงอย่างไร?
3 พระเยซูได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาเชิงเยาะเย้ยของซาตานนั้นไม่เป็นความจริง! ประวัติศาสตร์ทุกสมัยแสดงว่า ไม่มีมนุษย์ในโลกนี้ได้รับใช้พระเจ้าด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเต็มขนาดเหมือนพระคริสต์—แม้จะมีการเยาะเย้ย การโบยตี และการทรมานทั้งทางกายและใจ. พระคริสต์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้าต้องทนรับการหมิ่นประมาทที่หยาบคาย. พระองค์ทนรับเอาทุกอย่าง—กระทั่งการตายอย่างทารุณและน่าอับอาย—แต่พระองค์ยืนหยัดมั่นคง ไม่หวั่นไหวในการรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระบิดาของพระองค์. ที่พระธรรมฟิลิปปอย 2:8, 9 เปาโลเขียนว่า เพราะพระเยซูทรงเชื่อฟัง ‘กระทั่งยอมวายพระชนม์ ทรงสิ้นพระชนม์บนหลักทรมาน แล้วพระเจ้าทรงยกย่องและประทานนามอันยิ่งใหญ่เหนือนามชื่อทั้งปวงให้แก่พระองค์.’ พระเยซูได้ทรงเปิดโปงซาตานว่าเป็นตัวมุสาอันร้ายกาจยิ่งนัก!
4. ทำไมพระเยซูสามารถตอบปีลาตได้ว่า พระองค์เข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานถึงความจริง?
4 ดังนั้น ตอนเสร็จสิ้นงานประกาศสั่งสอนอย่างคร่ำเคร่งชั่วระยะเพียงไม่กี่ปี พระเยซูสามารถให้การด้วยความกล้าหาญต่อปอนเตียวปีลาตว่า “ท่านว่าถูกแล้วว่าเราเป็นกษัตริย์. เพราะเหตุนี้เราจึงบังเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง. คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา.” (โยฮัน 18:37) พระเยซูได้ทรงแสดงความเลื่อมใสอย่างดีเยี่ยมด้วยการประกาศความจริงแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าตลอดทั่วดินแดนปาเลสไตน์. พระองค์ทรงฝึกอบรมสาวกของพระองค์ให้เป็นผู้ประกาศที่ทำงานอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน. ตัวอย่างของพระองค์ช่างกระตุ้นพวกเราสมัยนี้เสียจริง ๆ ที่จะเจริญรอยตามพระองค์!
เรียนจากผู้ที่เป็นแบบอย่างของเรา
5. เราอาจจะเรียนอะไรได้ในเรื่องความเลื่อมใสในพระเจ้าโดยการมองเขม้นไปที่พระเยซู?
5 โดยที่พวกเรามีความเลื่อมใสในพระเจ้ากระทำตามพระทัยของพระยะโฮวา พวกเราก็เช่นกันจะพิสูจน์พญามารเป็นผู้มุสา. ไม่ว่าเราประสบความทุกข์ยากอย่างไรก็ตาม แต่ไม่มีความทุกข์ยากใด ๆ จะเท่าเทียมกับความปวดร้าวและความอัปยศที่พระเยซูทรงประสบมาแล้ว. ดังนั้น ขอให้เราเรียนจากพระองค์ผู้ซึ่งเราถือเป็นแบบอย่าง. ดังที่เฮ็บราย 12:1, 2 (ล.ม.) สนับสนุน ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม “ขณะที่เรามองเขม้นไปที่พระเยซู ผู้นำองค์เอกและผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์พร้อมทุกประการนั้น.” ต่างกันกับอาดาม ผู้ซึ่งเมื่อถูกทดลองก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าตนมีความเลื่อมใสในพระเจ้า พระเยซูจึงกลายมาเป็นผู้เดียวบนแผ่นดินโลกซึ่งทนรับการพิสูจน์ทดลองทุกอย่างได้ดีเยี่ยม. กระทั่งสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงพิสูจน์ตน “บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไม่มีมลทิน ต่างจากคนบาปทั้งปวง.” (เฮ็บราย 7:26) ด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงไม่มีที่ติได้ พระองค์สามารถตรัสแก่ศัตรูของพระองค์ดังนี้: “ใครในพวกท่านยืนยันได้ว่าเราทำผิด?” พระเยซูทรงลบล้างคำท้าทายของซาตานเสียโดยแถลงว่า “ผู้ครองโลก . . . ไม่มีสิทธิอะไรเหนือเรา.” และเมื่อทรงสรุปการสนทนาครั้งสุดท้ายกับบรรดาสาวกก่อนจะมีการหักหลังพระองค์แล้วถูกจับกุม พระองค์กำชับพวกเขาว่า “จงกล้าหาญเถิด เราชนะโลกแล้ว.”—โยฮัน 8:46; 14:30; 16:33.
6. (ก) ทำไมพระเยซูทรงทราบว่า ความสดชื่นแบบไหนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์? (ข) พระเยซูทรงแสดงความเกรงกลัวพระเจ้าถึงขีดไหน?
6 ขณะที่พระเยซูทรงสภาพเป็นมนุษย์อยู่ในโลก พระองค์ประสบสิ่งต่าง ๆ อันพึงเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ซึ่ง “ต่ำกว่าทูตสวรรค์หน่อยหนึ่ง.” (เฮ็บราย 2:7) พระองค์ได้มารู้จักคลุกคลีกับความอ่อนแอเยี่ยงมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นกษัตริย์และเป็นผู้พิพากษาทำการปกครองมนุษย์นานถึงหนึ่งพันปี. พระบุตรองค์นี้ของพระเจ้าซึ่งตรัสว่า “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น” ทรงตระหนักดีว่า มนุษยชาติต้องการความสดชื่นแบบไหน. (มัดธาย 11:28) เฮ็บราย 5:7-9 ว่าดังนี้: “ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐานและคำวิงวอนด้วยทรงพระกันแสงมากมาย และน้ำพระเนตรไหล คือถวายแก่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อาจที่จะช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงฟังเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง. ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรแล้ว พระองค์ยังได้ทรงเรียนรู้จักที่จะนอบน้อมยอมฟังนั้นโดยความยากลำบากที่พระองค์ได้ทนเอา และเมื่อถึงที่สำเร็จแล้ว [ด้วยความเชื่อฟัง] พระองค์ก็เลยทรงเป็นผู้เริ่มจัดความรอดนิรันดร์ให้แก่คนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์.” พระเยซูไม่ทรงสะทกสะท้าน แม้นว่าพระองค์จำต้องอดทนถึงขีดสุดกระทั่งประสบพิษสงของความตายเมื่อซาตานทำให้ “ส้นเท้าฟกช้ำ.” (เยเนซิศ 3:15) เหมือนพระเยซู ขอให้เรามีใจยำเกรงด้วยความเลื่อมในพระเจ้าอยู่เสมอ แม้จะต้องตายหากจำเป็น ด้วยมั่นใจว่า พระยะโฮวาจะสดับคำวิงวอนของเราแล้วโปรดให้เราได้ความรอด.
‘มีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม’
7. ตามที่กล่าวใน 1 เปโตร 2:21-24 พระเยซูทรงวางแบบอย่างอะไรให้เราติดตาม และแนวทางของพระองค์น่าจะกระทบกระเทือนพวกเราอย่างไร?
7 ขณะที่ทรงปรากฏเป็นเนื้อหนัง พระเยซูได้ทรงเปิดเผยอย่างซื่อสัตย์ถึงความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า. เราอ่านที่ 1 เปโตร 2:21-24 (ล.ม.) ดังนี้: “เพราะแม้แต่พระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ทรงวางแบบอย่างไว้ให้ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์อย่างใกล้ชิด. พระองค์มิได้ทรงกระทำบาป คำหลอกลวงก็ไม่มีในพระโอษฐ์ของพระองค์. เมื่อพระองค์ถูกด่า พระองค์ไม่ทรงด่าตอบ. เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน พระองค์มิได้ขู่เข็ญ แต่ทรงมอบตัวไว้กับพระองค์นั้นที่ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรมนั้นต่อ ๆ ไป. พระองค์เองทรงรับความบาปของเราไว้ในพระกายของพระองค์เองบนหลัก เพื่อเราทั้งหลายจะได้หมดเรื่องกับความบาป และมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม.” ขณะที่เราใคร่ครวญแนวทางของพระเยซู เราได้รับแรงกระตุ้นเพียงไรเพื่อมุ่งติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงตลอดไป และมีชีวิตเพื่อความชอบธรรมอย่างพระองค์!
8. เราจะดำเนินชีวิตเพื่อความชอบธรรมได้อย่างไรเหมือนที่พระเยซูทรงกระทำ?
8 พระเยซูทรงมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรมอย่างแท้จริง. บทเพลงสรรเสริญ 45:7 พยากรณ์ถึงพระองค์ดังนี้: “พระองค์ได้ทรงรักความยุติธรรมและทรงเกลียดความอสัตย์อธรรม.” โดยการนำถ้อยคำเหล่านี้ไปใช้กับพระเยซู อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ที่เฮ็บราย 1:9 ว่า “พระองค์ได้ทรงรักความชอบธรรม และได้ทรงเกลียดชังการอธรรม.” เมื่อคำนึงถึงความเข้าใจของเราเกี่ยวด้วยข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้าเช่นนี้ ขอให้พวกเราจงเป็นเหมือนพระเยซูเสมอ คือรักความชอบธรรมและเกลียดการอธรรม. ในเรื่องศีลธรรมแบบคริสเตียนซึ่งสมัยนี้ตกอยู่ภายใต้การจู่โจมอย่างดุเดือดโดยโลกของซาตาน และในการติดต่อเกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งภายในและภายนอกองค์การของพระเจ้านั้น จงให้เราปลงใจจะดำเนินชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม ยึดมั่นกับหลักการอันถูกต้องของพระยะโฮวา. และขอให้เรารับเอาพระคำของพระเจ้าเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงอยู่เรื่อย ๆ เพื่อจะมีความหยั่งเห็นเข้าใจทางของพระเจ้าซึ่งสำคัญยิ่งต่อการต้านทานพญามารและอุบายของมัน!
9. อะไรที่เพิ่มเข้ามาซึ่งทำให้พระเยซูร้อนรนในงานรับใช้ และทั้งนี้เกี่ยวข้องกับอะไรเมื่อนึกถึงผู้เลี้ยงจอมปลอมในศาสนาเท็จ?
9 มีมูลเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ได้กระตุ้นพระเยซูให้ปฏิบัติงานรับใช้ด้วยความร้อนรน. มูลเหตุนั้นได้แก่อะไร? เราอ่านจากมัดธาย 9:36 ดังนี้ “แต่เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงพระกรุณาเขา ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” ฉะนั้นพระเยซู “จึงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ.” (มาระโก 6:34) งานนี้จำเป็นต้องรวมเอาการเปิดโปงความชั่วร้ายและการละเมิดกฎหมายของผู้นำจอมปลอมฝ่ายศาสนาเข้าไปด้วย. ตามที่กล่าวในมัดธาย 15:7-9 พระเยซูได้ตรัสกับคนจำพวกนี้บางคนว่า “คนหน้าซื่อใจคด ยะซายาได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าถูกแล้วว่า ‘คนเช่นนี้นับถือเราด้วยริมฝีปาก แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา. เขาปฏิบัติเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาคำของมนุษย์สอนว่าเป็นพระบัญญัติ.’”
ความลึกลับอันน่าสลดใจ
10. สมัยนี้ “ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกนอกกฎหมาย” รวมจุดอยู่ที่ผู้ใด และพวกเขามีความผิดสถานใด?
10 พระเยซูทรงกล่าวต่อต้านพวกผู้นำศาสนาจอมปลอมเหล่านั้นฉันใด พวกเราสมัยนี้ก็รู้สึกสลดใจกับความลึกลับซึ่งต่างกันมากกับข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้าฉันนั้น. ที่ 2 เธซะโลนิเก 2:7 (ล.ม.) เปาโลเรียกสิ่งนี้ว่า “ข้อลึกลับแห่งการนอกกฎหมาย.” มันเป็นข้อลึกลับในสมัยศตวรรษที่หนึ่ง เพราะว่าข้อลึกลับนั้นยังจะไม่เป็นที่เปิดเผยกระทั่งอีกนานต่อมาภายหลังการสิ้นชีวิตของพวกอัครสาวก. ทุกวันนี้ความลึกลับนี้รวมจุดอยู่ที่นักศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักร ซึ่งฝักใฝ่สนใจการเมืองยิ่งเสียกว่าการประกาศกิตติคุณแห่งราชอาณาจักรอันชอบธรรมของพระเจ้า. ในท่ามกลางพวกเขาความหน้าซื่อใจคดมีอย่างดาษดื่น. อาทิ นักเทศน์ทางทีวีจากหลายนิกายแห่งลัทธิโปรเตสแตนท์เป็นตัวอย่างที่ครึกโครมมากเช่น: เป็นคนปลิ้นปล้อนหลอกลวงฝูงแกะของตัวเอง สร้างฐานอำนาจให้ตัวเองด้วยเงินหลายล้านดอลลาร์ คบโสเภณี เมื่อมีการเปิดโปงความผิดของตัวเองก็แกล้งทำร้องไห้ และขอรับเงินบริจาคไม่หยุดหย่อนเท่าไรก็ไม่พอ. กรุงวาติกันแห่งลัทธิโรมันคาทอลิกก็ทำให้เห็นภาพอันน่ารังเกียจพอ ๆ กันด้วยการเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไม่มียางอาย มีท่าทางที่ชอบอวดอ้าง และดำเนินธุรกิจด้านธนาคารอย่างฟอนเฟะ.
11. อะไรจะเกิดขึ้นแก่นักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรและทั่วบาบูโลนใหญ่?
11 ไม่แปลกที่มีการชี้ตัวชนชั้นนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรว่าเป็น “คนนอกกฎหมาย”! (2 เธซะโลนิเก 2:3) ส่วนนี้อันขึ้นชื่อแห่งบาบูโลนใหญ่เยี่ยงหญิงแพศยาจะถูกเปิดโปงเต็มที่แล้วจะถูกทำลายให้พินาศไปพร้อมกับส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดของศาสนาเท็จ. ดังที่เราอ่านที่วิวรณ์ 18:9-17 ว่า คราวนั้นบรรดานักการเมืองและพวกพ่อค้า (รวมทั้งนักการธนาคารของเขา) จะพิลาปร่ำไห้ร้อง “วิบัติ วิบัติ แก่เมืองบาบูโลนเมืองใหญ่!” บาบูโลนใหญ่พร้อมกับสิ่งลึกลับของเมืองนี้จะถูกเปิดโปงจนหมดเปลือก ต่างกันอย่างลิบลับกับทุกสิ่งที่ให้ความสว่างเกี่ยวกับความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า.
12. ความรักที่พระเยซูมีต่อความชอบธรรมเป็นแรงกระตุ้นให้พระองค์ทำสิ่งใด?
12 ความรักของพระเยซูที่มีต่อความชอบธรรมและการเกลียดความอธรรมได้ทำให้พระองค์ทุ่มเทพลังเต็มที่เพื่อการนมัสการแท้. คราวที่พระองค์เสด็จเยือนยะรูซาเลมครั้งแรกฐานะพระบุตรที่ได้รับการเจิม พระองค์ทรงขับไล่พ่อค้าและคนรับแลกเงินออกไปจากพระวิหารและตรัสสั่งว่า “จงเอาสิ่งของเหล่านี้ไปเสีย! อย่าทำโบสถ์ของพระบิดาเราให้เป็นที่ค้าขาย!” (โยฮัน 2:13-17) ต่อมาเมื่อเสด็จไปที่พระวิหารอีก พระเยซูได้ตรัสแก่ชาวยิวที่ต่อต้านพระองค์ดังนี้: “ท่านทั้งหลายมาจากมารซึ่งเป็นพ่อของท่าน และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อของท่าน. มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน. เมื่อมันพูดมุสา มันก็พูดแต่ตัวมันเอง ด้วยว่า มันเป็นช่างมุสา และเป็นพ่อของการมุสานั้น.” (โยฮัน 8:44) พระเยซูแสดงความกล้าอย่างแท้จริงเมื่อตราหน้านักศาสนาเหล่านั้นว่าเขาเป็นผู้มุสาและเป็นลูกของพญามาร!
13. (ก) ความเกลียดชังของพระเยซูต่อการละเลยกฎหมายนั้นได้แสดงออกในโอกาสไหนเป็นพิเศษ? (ข) ทำไมนักเทศน์ที่ละเลยกฎหมายจึงสมควรถูกตัดสินเช่นเดียวกับพวกอาลักษณ์และฟาริซายที่ถูกพระเยซูประณาม?
13 การแสดงความเกลียดชังของพระเยซูต่อการชั่วอธรรมเช่นนั้นไม่มีครั้งใดจะดียิ่งไปกว่าการประจานพวกอาลักษณ์และฟาริซายที่ชั่วร้าย ดังบันทึกในมัดธายบท 23. ที่นั่น พระองค์ตรัสคำ “วิบัติ” ถึงเจ็ดหน เปรียบพวกเขาเป็น ‘อุโมงค์ศพฉาบปูนขาว—เต็มด้วยสิ่งอุจาดทุกชนิด ความหน้าซื่อใจคด และการละเลยกฎหมาย.’ พระเยซูทรงประสงค์จะช่วยคนยากจนที่ถูกพวกนอกกฎหมายกดขี่ให้หลุดพ้นสักเพียงไร! พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “โอยะรูซาเลม ยะรูซาเลม . . . เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนือง ๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน! แต่เจ้าไม่ยอม. นี่แหละ! เรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยให้ร้างตามลำพังเจ้า!” (ข้อ 37, 38) นักเทศน์นอกกฎหมายสมัยนี้สมควรถูกตัดสินอย่างเดียวกัน เพราะตามถ้อยคำใน 2 เธซะโลนิเก 2:12 ‘เขาไม่เชื่อความจริง แต่ยินดีในการอธรรม.’ การที่พวกเขาละเลยกฎหมายนั้นตรงข้ามทีเดียวกับความเลื่อมใสในพระเจ้าซึ่งพระเยซูทรงสำแดงให้ปรากฏแล้วอย่างซื่อสัตย์ขณะพระองค์ยังอยู่ที่แผ่นดินโลก.
ประกาศการพิพากษาที่มาจากพระเจ้า
14. การหยั่งรู้ค่าข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้าน่าจะกระตุ้นเราให้ทำอะไร?
14 ความหยั่งรู้ค่าของเราต่อข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้านั้นน่าจะนำเราให้เจริญรอยตามพระเยซูอย่างใกล้ชิดเสมอ. พวกเราควรร้อนรนเหมือนพระองค์ในการประกาศสิ่งที่ยะซายา 61:2 พรรณนาว่า “วันเดือนปีที่พระเจ้าทรงโปรดปราน และวันแห่งความแก้แค้นของพระยะโฮวา.” และขอให้พวกเราร้อนรนทำส่วนของเราเพื่อ “เล้าโลมคนโศกเศร้า.” เช่นเดียวกับพระเยซูเมื่ออยู่ในโลก พวกเราทุกวันนี้จำต้องมีความกล้าที่จะประกาศการพิพากษาของพระยะโฮวา รวมทั้งข่าวสำคัญที่ผ่านมาทางบทความต่าง ๆ ในวารสารหอสังเกตการณ์ และในหนังสือพระธรรมวิวรณ์—ใกล้บรรลุจุดสุดยอดแล้ว! เราต้องประกาศสั่งสอนด้วยความกล้าและอย่างผ่อนหนักผ่อนเบา ปรุงวาจาของเรา “ด้วยเกลือ” เพื่อดึงดูดใจคนที่โน้มเอียงเข้าหาความชอบธรรม. (โกโลซาย 4:6) เมื่อเราได้เรียนรู้จากตัวอย่างของพระเยซูเกี่ยวกับความเลื่อมใสในพระเจ้าแล้ว ในเวลาอันควรขอให้เราสามารถจะรายงานได้ว่า เรากระทำการงานที่พระยะโฮวาทรงมอบไว้แก่เรานั้นสำเร็จแล้ว.—มัดธาย 24:14; โยฮัน 17:4.
15. เกี่ยวข้องกับข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ได้เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ปี 1914?
15 ระหว่างการปรากฏเป็นเนื้อหนัง พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีอะไรเช่นนั้น! ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้าสำเร็จเป็นจริงในพระองค์อย่างชัดแจ้งเพียงไร! พระองค์ช่างกล้าหาญเสียนี่กระไรในการประกาศพระนามของพระยะโฮวา! และเป็นสิ่งน่าพิศวงอะไรเช่นนั้นเมื่อพระบิดาของพระเยซูประทานรางวัลแก่พระองค์เนื่องจากพระองค์ทรงธำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์มั่นคง! แต่มีอีกบางอย่างเกี่ยวด้วยข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า. ตั้งแต่ปีสากลศักราช 1914 เราเข้ามาถึงยุคที่เรียกว่า “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” (วิวรณ์ 1:10) ดังที่กล่าวในวิวรณ์ 10:7 นั้น บัดนี้ ‘ความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตามข่าวดีได้มาถึงที่สำเร็จ.’ เสียงดังในสวรรค์ได้ประกาศว่า “อาณาจักรของโลกนี้กลายเป็นอาณาจักรแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา [พระยะโฮวา] และของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองเป็นกษัตริย์ตลอดไป.” (วิวรณ์ 11:15, ล.ม.) พระยะโฮวาทรงสถาปนากษัตริย์มาซีฮาซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ให้ประทับบัลลังก์อันรุ่งโรจน์เพื่อจะปกครองร่วมกับพระองค์!
16. พระเยซูคริสต์ มหากษัตริย์ผู้ซึ่งเพิ่งประทับบัลลังก์ได้แสดงโดยวิธีใดว่า พระองค์ทรงคำนึงถึงความชอบธรรมในสวรรค์?
16 เนื่องจากทรงปกครองกับพระเจ้าในราชอาณาจักรซึ่งกำเนิดขึ้นใหม่ พระเยซูได้รับฉายาว่ามิคาเอล (หมายความ “ผู้ใดจะเหมือนพระเจ้า?”). ไม่มีผู้คิดกบฏคนไหนจะทำตัวเหมือนพระเจ้าได้ และกษัตริย์ซึ่งเพิ่งขึ้นครองราชย์ทรงสำแดงให้เห็นเรื่องนี้ทันทีโดยการเหวี่ยงซาตาน งูตัวแรกเดิมพร้อมทั้งบริวารของมันลงมาอยู่ที่แผ่นดินโลก. (วิวรณ์ 12:7-9) ถูกแล้ว พระเยซูทรงคำนึงถึงความชอบธรรมในสวรรค์อย่างที่พระองค์เคยแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลก. พระเยซูคริสต์ผู้ได้รับสง่าราศีจะไม่ทรงพักอยู่เฉย ๆ จนกว่าพระองค์จะได้กำจัดกวาดล้างศาสนาเท็จและองค์การของซาตานที่ประจักษ์แก่ตาและไม่ประจักษ์ให้หมดไป.
17. ตั้งแต่ปี 1914 มีเหตุการณ์อะไรซึ่งสำเร็จเป็นจริงตามคำพยากรณ์ที่มัดธาย 25:31-33?
17 ตั้งแต่ปี 1914 ความสมจริงตามคำพยากรณ์ของพระเยซูเองซึ่งตรัสไว้ที่มัดธาย 25:31-33 (ล.ม.) ก็ได้ฉายแสงสว่างเจิดจ้าเกี่ยวกับข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า. พระเยซูทรงแถลงว่า “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระองค์ พร้อมด้วยหมู่ทูตสวรรค์ทั้งสิ้น ครั้นแล้วพระองค์จะทรงประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ของพระองค์. และบรรดาชนนานาชาติจะถูกรวบรวมเข้ามาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกผู้คนออกจากกันเหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ. และพระองค์จะทรงแยกแกะไว้ทางขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝ่ายแพะพระองค์แยกไว้ทางซ้าย.” จากที่สูงในสวรรค์ มหากษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีองค์นี้ ผู้พิพากษา และผู้ทรงสนับสนุนความเลื่อมใสในพระเจ้าจะทรงกระทำการแก้แค้น แรกทีเดียวแก่คนนอกกฎหมายและส่วนอื่นแห่งบาบูโลนใหญ่ แล้วต่อจากนั้นแก่ส่วนอื่น ๆ ที่ยังเหลืออยู่แห่งจำพวกแพะที่สนับสนุนองค์การชั่วของซาตานทางโลกนี้. ครั้นแล้วซาตานจะถูกกักไว้ในที่มืดทึบ. (วิวรณ์ 20:1-3) แต่ “คนชอบธรรม” ที่เป็นเหมือนแกะจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์. (มัดธาย 25:46) ขอให้การติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าพาคุณเข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้ชอบธรรมเถิด!
18. เรามีสิทธิพิเศษอะไรอันนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีเกี่ยวเนื่องกับข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า?
18 วิวรณ์ 19:10 สนับสนุนเราให้ “นมัสการพระเจ้า.” ทำไม? คัมภีร์ข้อนี้กล่าวต่อไปว่า “เพราะการเป็นพยานถึงพระเยซูกระตุ้นการกล่าวพยากรณ์.” คำพยากรณ์มากมายโดยการดลบันดาลในคราวโบราณนั้นเป็นพยานกล่าวถึงพระเยซู! และขณะที่คำพยากรณ์เหล่านี้ได้สำเร็จสมจริงไปแล้ว ความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าก็ยิ่งกระจ่างมากขึ้น. พวกเราจึงชื่นชมยินดีที่รู้ว่า ความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้านี้ได้สำแดงให้ปรากฏเป็นรูปธรรมในองค์พระเยซู. เรามีสิทธิพิเศษอย่างน่าพิศวงที่จะเจริญรอยตามพระเยซูในฐานะเป็นผู้รับใช้ด้วยใจถ่อมแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า. จริงทีเดียว เรามีเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมรับความเข้าใจและได้ประกาศทุกสิ่ง อันเกี่ยวเนื่องกับข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าว่าเป็นข่าวดี.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เราอาจเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของพระเยซูเกี่ยวด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า?
▫ โดยวิธีใด เราจะดำเนินชีวิตเพื่อความชอบธรรมอย่างที่พระเยซูทรงกระทำ?
▫ ข้อลึกลับอะไรอันน่าสลดใจซึ่งต่างกันอย่างเด่นชัด เมื่อเทียบกับข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า?
▫ การที่เราหยั่งรู้ค่าข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้าน่าจะกระตุ้นเราให้ทำอะไร?
[รูปภาพหน้า 18]
พระเยซูได้แสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าเมื่อตรัสประณามพวกอาลักษณ์และฟาริซาย