บท 27
ราชอาณาจักรของพระเจ้าถือกำเนิดแล้ว!
นิมิต 7—วิวรณ์ 12:1-17
เรื่อง: ผู้หญิงในสวรรค์ให้กำเนิดบุตร มิคาเอลทำสงครามกับซาตานและขับไล่มันลงมายังแผ่นดินโลก
เวลาที่สำเร็จเป็นจริง: ตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ของพระเยซูคริสต์ในปี 1914 จนถึงความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่
1. ความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่มีพรรณนาไว้ในวิวรณ์บท 12 ถึง 14 จะช่วยเราอย่างไร?
ความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว. (วิวรณ์ 10:7) เวลานี้ราชอาณาจักรของพระยะโฮวาโดยพระมาซีฮามีสภาพเป็นจริงที่มีชีวิตชีวา. ราชอาณาจักรนี้ปกครองอยู่! การดำรงอยู่ของราชอาณาจักรหมายถึงความพินาศสำหรับซาตานและพงศ์พันธุ์ของมันและชัยชนะอันทรงเกียรติสำหรับพงศ์พันธุ์แห่งองค์การของพระเจ้าทางภาคสวรรค์. แต่ทูตองค์ที่เจ็ดยังไม่หยุดเป่าแตร เพราะท่านมีอีกหลายสิ่งจะเผยให้เราทราบเกี่ยวกับวิบัติที่สาม. (วิวรณ์ 11:14) สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่พรรณนาไว้ในวิวรณ์บท 12 ถึงบท 14 จะช่วยเราให้หยั่งรู้ค่ามากขึ้นต่อทุกสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในวิบัตินั้น และในการทำให้ความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถึงที่สิ้นสุด.
2. (ก) โยฮันเห็นนิมิตอันยิ่งใหญ่อะไร? (ข) ความหมายของนิมิตนั้นได้รับการเปิดเผยเมื่อไร?
2 บัดนี้ โยฮันเห็นนิมิตอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นนิมิตหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประชาชนของพระเจ้า. สิ่งที่โยฮันเห็นนี้นำเข้าสู่นิมิตเชิงพยากรณ์ที่น่าตื่นเต้น ความหมายของนิมิตนี้ได้พิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 มีนาคม 1925 ในบทความชื่อ “การกำเนิดของชาติหนึ่ง” แล้วก็อีกครั้งหนึ่งในปี 1926 ในหนังสือการช่วยให้รอด (ภาษาอังกฤษ). แสงสว่างเจิดจ้าแห่งความเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลนี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายอันเป็นประวัติการณ์ในความก้าวหน้าแห่งราชกิจของยะโฮวา. ดังนั้น ขอให้โยฮันพรรณนาภาพเหตุการณ์ตามที่เริ่มเปิดเผย: “มีนิมิตสำคัญอย่างหนึ่งปรากฏในสวรรค์คือ ผู้หญิงคนหนึ่งคลุมตัวด้วยดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า สวมมงกุฎที่ประกอบด้วยดาวสิบสองดวง และนางมีครรภ์. นางร้องเพราะเจ็บครรภ์และเพราะความทุกข์ทรมานที่ใกล้จะคลอด.”—วิวรณ์ 12:1, 2, ล.ม.
3. ผู้หญิงที่เห็นอยู่ในสวรรค์นั้นหมายถึงอะไร?
3 เป็นครั้งแรกที่โยฮันเห็นผู้หญิงในสวรรค์. แน่นอน นางหาใช่ผู้หญิงจริง ๆ ไม่. ทว่านางเป็นสัญลักษณ์. (วิวรณ์ 1:1) ผู้หญิงนี้เป็นสัญลักษณ์ถึงอะไร? ในคำพยากรณ์ที่มีขึ้นโดยการดลใจนั้น บางครั้งใช้ผู้หญิงเล็งถึงองค์การที่ “สมรส” กับบุคคลที่โดดเด่น. ในคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู มีกล่าวถึงชาติอิสราเอลในฐานะมเหสีของพระยะโฮวาพระเจ้า. (ยิระมะยา 3:14) ในคัมภีร์ภาคภาษากรีก มีกล่าวถึงประชาคมคริสเตียนแห่งผู้ถูกเจิมว่าเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์. (วิวรณ์ 21:9-14) ผู้หญิงซึ่งโยฮันเห็นตอนนี้ก็สมรสแล้วเช่นกัน และนางจวนจะคลอดบุตร. สามีของนางเป็นใคร? ต่อมาบุตรของนาง “ถูกนำไปให้พระเจ้าที่ราชบัลลังก์ของพระองค์ทันที.” (วิวรณ์ 12:5, ล.ม.) ด้วยเหตุนี้ พระยะโฮวาทรงอ้างว่าเด็กผู้นี้เป็นบุตรของพระองค์เอง. ดังนั้น ผู้หญิงที่โยฮันเห็นจึงต้องเป็นมเหสีโดยนัยของพระยะโฮวา.
4. ผู้ใดคือบุตรของมเหสีโดยนัยของพระเจ้า และอัครสาวกเปาโลเรียกผู้หญิงที่โยฮันเห็นนั้นว่าอย่างไร?
4 ประมาณแปดร้อยปีก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาทรงกล่าวแก่มเหสีโดยนัยนี้ว่า “บุตรทั้งสิ้นของเจ้าจะเป็นบุคคลที่ได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา.” (ยะซายา 54:5, 13, ล.ม.) พระเยซูทรงยกคำพยากรณ์นี้มากล่าวและชี้แจงว่า บุตรเหล่านี้เป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ซึ่งภายหลังประกอบกันขึ้นเป็นประชาคมคริสเตียนผู้ถูกเจิม. (โยฮัน 6:44, 45) ฉะนั้น สมาชิกประชาคมนี้ ซึ่งมีการกล่าวถึงว่าเป็นบุตรทั้งหลายของพระเจ้า จึงเป็นบุตรจากมเหสีโดยนัยของพระเจ้า. (โรม 8:14) อัครสาวกเปาโลเพิ่มหลักฐานเมื่อท่านบอกว่า “เยรูซาเลมเบื้องบนนั้นเป็นไท และเป็นมารดาของเรา.” (ฆะลาเตีย 4:26, ล.ม.) ดังนั้น “ผู้หญิง” ที่โยฮันเห็นนั้นได้แก่ “เยรูซาเลมเบื้องบน.”
5. เนื่องจากมเหสีโดยนัยของพระยะโฮวามีดวงดาว 12 ดวงเป็นมงกุฎ ตามความเป็นจริงแล้วเยรูซาเลมเบื้องบนคืออะไร?
5 แต่เยรูซาเลมเบื้องบนคืออะไรแน่? เนื่องจากเปาโลกล่าวถึงเยรูซาเลมว่าอยู่ “เบื้องบน” และโยฮันเห็นเมืองนั้นอยู่ในสวรรค์ จึงชัดแจ้งว่าเมืองนั้นหาใช่นครทางแผ่นดินโลกไม่ ทั้งไม่ใช่นครเดียวกันกับ “เยรูซาเลมใหม่” เนื่องจากองค์การนั้นเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ ไม่ใช่มเหสีของพระยะโฮวา. (วิวรณ์ 21:2) จงสังเกตว่า นางสวมดาว 12 ดวงเป็นมงกุฎ. เลข 12 เกี่ยวข้องกับความครบถ้วนฝ่ายองค์การ.a ฉะนั้น ดาว 12 ดวงดูเหมือนบ่งชี้ว่านางคือวิธีจัดเตรียมในลักษณะองค์การในสวรรค์ เช่นเดียวกันกับเยรูซาเลมโบราณที่เคยอยู่บนแผ่นดินโลก. เยรูซาเลมเบื้องบนเป็นสากลองค์การของพระยะโฮวาประกอบด้วยเหล่ากายวิญญาณซึ่งทำหน้าที่ดุจมเหสีของพระองค์ ทั้งในการรับใช้พระองค์และให้กำเนิดบุตร.
6. (ก) ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้หญิงที่โยฮันเห็นนั้นคลุมตัวด้วยดวงอาทิตย์, มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า, สวมมงกุฎที่ประกอบด้วยดาวนั้นบ่งชี้ถึงอะไร? (ข) ความเจ็บปวดขณะใกล้คลอดของผู้หญิงมีครรภ์นั้นแสดงนัยถึงสิ่งใด?
6 โยฮันแลเห็นผู้หญิงนี้มีดวงอาทิตย์คลุมตัวและดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า. ครั้นเราเพิ่มมงกุฎดาวเข้าไป นางจึงถูกล้อมไว้ด้วยดวงสว่างต่าง ๆ ในฟ้าสวรรค์. ความโปรดปรานของพระเจ้ามีต่อนางทั้งกลางวันและกลางคืน. ช่างเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะเจาะจริง ๆ กับองค์การมโหฬารของพระยะโฮวาทางภาคสวรรค์! นอกจากนั้น นางมีครรภ์ ทนความเจ็บปวดขณะใกล้คลอด. เสียงที่นางร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าแสดงว่าใกล้เวลาที่นางจะคลอดเต็มที. ในคัมภีร์ไบเบิล ความเจ็บปวดยามใกล้คลอดบุตรมักหมายถึงงานหนักที่ต้องทำเพื่อผลิตผลอันสำคัญ. (เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 90:2; สุภาษิต 25:23; ยะซายา 66:7, 8.) ไม่ต้องสงสัย ความเจ็บปวดยามใกล้คลอดดังกล่าวนี้เองที่ได้ประสบมาแล้วขณะที่องค์การฝ่ายสวรรค์ของพระยะโฮวาเตรียมพร้อมเพื่อการกำเนิดครั้งสำคัญนี้.
พญานาคใหญ่สีแดงเพลิง
7. โยฮันเห็นนิมิตอะไรอีกอย่างหนึ่งในสวรรค์?
7 ถัดจากนั้นโยฮันสังเกตเห็นอะไร? “มีนิมิตอีกอย่างหนึ่งปรากฏในสวรรค์คือ พญานาคใหญ่สีแดงเพลิงมีหัวเจ็ดหัวกับเขาสิบเขา และบนหัวทั้งเจ็ดของมันมีมงกุฎสวมอยู่ พญานาคนั้นใช้หางดึงดวงดาวในสวรรค์ไปหนึ่งในสามส่วน แล้วมันก็เหวี่ยงดวงดาวเหล่านั้นลงบนแผ่นดินโลก. พญานาคนั้นยืนอยู่ตรงหน้าผู้หญิงซึ่งใกล้จะคลอด เพื่อว่าเมื่อนางคลอดบุตรแล้ว มันจะได้กินบุตรของนาง.”—วิวรณ์ 12:3, 4, ล.ม.
8. (ก) พญานาคใหญ่สีแดงเพลิงหมายถึงอะไร? (ข) การที่พญานาคมีเจ็ดหัว, สิบเขา, และมีมงกุฎอยู่บนแต่ละหัวนั้นบ่งชี้ถึงอะไร?
8 พญานาคนี้คือซาตาน “งูตัวแรกเดิม.” (วิวรณ์ 12:9, ล.ม.; เยเนซิศ 3:15) มันเป็นผู้ทำลายที่ร้ายกาจ—พญานาคเจ็ดหัวหรือตัวเขมือบ ซึ่งจะกลืนเหยื่อของมันเรียบไม่เหลือ. รูปลักษณ์ของมันแปลกพิลึก! เจ็ดหัวและสิบเขาเหล่านั้นบ่งชี้ว่า มันเป็นสถาปนิกประจำตัวสัตว์ร้ายทางการเมืองซึ่งอีกไม่ช้าจะมีการพรรณนาไว้ในวิวรณ์บท 13. สัตว์ร้ายนั้นมีเจ็ดหัวสิบเขาเช่นกัน. เนื่องจากแต่ละหัวของซาตานมีมงกุฎครอบ—ทั้งหมดเจ็ดมงกุฎ—เราแน่ใจได้ว่า มหาอำนาจต่าง ๆ ของโลกซึ่งสัตว์ร้ายเล็งถึงนั้นต่างก็เคยอยู่ใต้อำนาจปกครองของมันทั้งสิ้น. (โยฮัน 16:11) สิบเขาเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะเจาะกับอำนาจที่มันแสดงในโลกนี้.
9. ข้อเท็จจริงที่ว่าหางพญานาค “ดึงดวงดาวในสวรรค์ไปหนึ่งในสามส่วน” แล้วเหวี่ยงลงบนแผ่นดินโลกนั้นบ่งชี้ถึงสิ่งใด?
9 พญานาคมีอำนาจในแดนกายวิญญาณเช่นกัน. มันใช้หาง “ดึงดวงดาวในสวรรค์ไปหนึ่งในสามส่วน.” ดวงดาวเป็นสิ่งแสดงถึงทูตสวรรค์ได้. (โยบ 38:7) การกล่าวถึง “หนึ่งในสามส่วน” คงเน้นว่า ทูตสวรรค์จำนวนไม่น้อยถูกซาตานชักนำให้หลง. ครั้นทูตสวรรค์เหล่านั้นอยู่ใต้การควบคุมของมันแล้ว ก็หมดทางหนีรอด. ทูตสวรรค์เหล่านั้นไม่อาจกลับคืนสู่องค์การบริสุทธิ์ของพระเจ้า. พวกเขากลายเป็นผีปิศาจ ซึ่งพอจะกล่าวได้ว่าถูกซาตานผู้เป็นเจ้าหรือผู้ปกครองของเขากวาดต้อนมา. (มัดธาย 12:24) อนึ่ง ซาตานได้เหวี่ยงดวงดาวเหล่านั้นลงมาบนแผ่นดินโลก. ไม่ต้องสงสัยว่า เรื่องนี้พาดพิงถึงสมัยโนฮาก่อนมีน้ำท่วมโลก เมื่อซาตานชักชวนทูตสวรรค์ที่ไม่เชื่อฟังให้ลงมายังแผ่นดินโลกและอยู่กินกับบุตรสาวของมนุษย์. เพื่อเป็นการลงโทษ “พวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาป” พระเจ้าจึงเหวี่ยงทูตสวรรค์เหล่านั้นเข้าสู่สภาพเหมือนถูกจำคุกซึ่งเรียกว่าทาร์ทารัส.—เยเนซิศ 6:4; 2 เปโตร 2:4, ล.ม.; ยูดา 6.
10. องค์การอะไรที่เป็นปฏิปักษ์กันได้ปรากฏขึ้น และเพราะเหตุใดพญานาคจึงพยายามจะเขมือบทารกเมื่อผู้หญิงนั้นคลอดบุตร?
10 ดังนั้น จึงมีสององค์การที่เป็นปฏิปักษ์กันปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน คือองค์การฝ่ายสวรรค์ของพระยะโฮวาซึ่งผู้หญิงนั้นเป็นภาพเล็งถึงและองค์การผีปิศาจของซาตานที่ท้าทายพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า. จำต้องจัดการกับประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพระบรมเดชานุภาพให้เรียบร้อย. โดยวิธีใด? ซาตานผู้ซึ่งยังลากผีปิศาจไปพร้อมกับมัน เป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ดุร้ายมองหาเหยื่อที่มันจะกินได้. มันรอให้ผู้หญิงนั้นคลอดบุตร. มันต้องการจะเขมือบทารกที่จวนคลอดเพราะมันรู้ว่า ทารกนั้นจะเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของตัวมันเองและของโลกที่มันปกครองอยู่.—โยฮัน 14:30.
บุตรชาย เป็นผู้ชาย
11. โยฮันพรรณนาการกำเนิดบุตรของผู้หญิงนั้นอย่างไร และเพราะเหตุใดทารกนั้นจึงถูกเรียกว่า “บุตรชาย เป็นผู้ชาย”?
11 เวลากำหนดสำหรับนานาชาติปกครองโลกโดยไม่มีการแทรกแซงใด ๆ จากพระเจ้านั้นได้หมดลงในปี 1914. (ลูกา 21:24) ครั้นตรงเวลากำหนด ผู้หญิงนั้นก็คลอดบุตรทันที “แล้วนางได้คลอดบุตรชาย เป็นผู้ชายซึ่งจะปกครองชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก. บุตรของนางถูกนำไปให้พระเจ้าที่ราชบัลลังก์ของพระองค์ทันที. ส่วนผู้หญิงนั้นหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารซึ่งมีที่ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้นาง นางจะได้รับการเลี้ยงดูที่นั่นหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน.” (วิวรณ์ 12:5, 6, ล.ม.) เด็กคนนี้เป็น “บุตรชาย เป็นผู้ชาย.” ทำไมโยฮันใช้คำซ้ำซ้อน? ท่านทำเช่นนั้นเพื่อแสดงว่า บุตรองค์นี้มีความเหมาะสมคู่ควร มีความสามารถพร้อมด้วยฤทธิ์อำนาจเพียงพอจะปกครองนานาชาติ. นอกจากนั้น ยังเน้นด้วยว่า การกำเนิดครั้งนี้เป็นวาระสำคัญเพียงใด น่าชื่นชมยินดีปานใด! การกำเนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้ความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถึงที่สำเร็จ. บุตรชายองค์นี้แหละจะถึงกับ “ปกครองชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก”!
12. (ก) ในบทเพลงสรรเสริญ พระยะโฮวาทรงสัญญาเชิงพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูไว้อย่างไร? (ข) การที่ผู้หญิงให้กำเนิดบุตรชาย “ซึ่งจะปกครองชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก” แสดงนัยถึงอะไร?
12 คำพูดนี้คุ้นหูไหม? คุ้นสิ พระยะโฮวาได้ทรงสัญญาเชิงพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูดังนี้: “ท่านจะตีพวกเขาให้แตกด้วยคทาเหล็ก ท่านจะฟาดเขาให้แหลกดุจภาชนะของช่างหม้อ.” (บทเพลงสรรเสริญ 2:9, ล.ม.) นอกจากนั้นทรงพยากรณ์ถึงพระองค์อีกด้วยว่า “พระยะโฮวาจะทรงส่งไม้ธารพระกรแห่งอำนาจของท่านออกจากเมืองซีโอน โดยตรัสว่า ‘จงออกไปปราบปรามท่ามกลางศัตรูของเจ้า.’” (บทเพลงสรรเสริญ 110:2, ล.ม.) เหตุฉะนั้น การกำเนิดที่โยฮันเห็นนั้นเกี่ยวโยงใกล้ชิดกับพระเยซูคริสต์. นี่มิได้หมายถึงการที่พระเยซูทรงถือกำเนิดจากหญิงพรหมจารีย้อนไปในสมัยก่อนศตวรรษที่หนึ่งสากลศักราช ทั้งไม่เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูถูกปลุกให้คืนพระชนม์เป็นกายวิญญาณในปีสากลศักราช 33. ยิ่งกว่านั้น นั่นไม่ใช่การที่มีวิญญาณออกจากร่างหนึ่งไปเข้าอีกร่างหนึ่ง. แต่เป็นการกำเนิดของราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเป็นจริงในปี 1914 พร้อมกับพระเยซู ผู้ครองราชย์เป็นมหากษัตริย์ซึ่งบัดนี้อยู่ในสวรรค์เกือบ 20 ศตวรรษแล้ว.—วิวรณ์ 12:10.
13. การที่บุตรชายนั้น “ถูกนำไปให้พระเจ้าที่ราชบัลลังก์ของพระองค์ทันที” บ่งชี้ถึงอะไร?
13 พระยะโฮวาจะไม่ทรงปล่อยให้ซาตานเขมือบมเหสีของพระองค์ หรือราชบุตรแรกเกิดของพระองค์เป็นอันขาด! เมื่อคลอด บุตรชายนั้น “ถูกนำไปให้พระเจ้าที่ราชบัลลังก์ของพระองค์ทันที.” ฉะนั้น บุตรชายจึงปลอดภัยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระยะโฮวา ผู้จะทรงเอาใจใส่ดูแลอย่างดียิ่งต่อราชอาณาจักรที่พึ่งถือกำเนิด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่พระองค์ทรงใช้เพื่อทำให้พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงนั้นได้หนีไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้นางในถิ่นทุรกันดาร. รายละเอียดมากกว่านี้จะยกขึ้นมาตอนหลัง! สำหรับซาตาน บัดนี้ ขั้นตอนสำหรับเหตุการณ์สำคัญได้เริ่มขึ้นแล้วซึ่งจะทำให้ซาตานไม่มีทางจะคุกคามราชอาณาจักรในสวรรค์ได้อีกเลย. เหตุการณ์นั้นคืออะไร?
สงครามในสวรรค์!
14. (ก) ดังที่โยฮันแจ้ง เหตุการณ์อะไรที่ทำให้ซาตานไม่มีทางคุกคามราชอาณาจักรได้อีกเลย? (ข) ซาตานกับผีปิศาจของมันถูกจำกัดให้อยู่บริเวณใด?
14 โยฮันบอกเราว่า “แล้วก็เกิดสงครามในสวรรค์ มิคาเอลกับเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์สู้รบกับพญานาค พญานาคกับเหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายมันก็สู้รบกับฝ่ายมิคาเอล แต่ไม่ชนะ และไม่มีที่ในสวรรค์สำหรับพวกมันอีกต่อไป. พญานาคใหญ่จึงถูกเหวี่ยงลงมา คืองูตัวแรกเดิมซึ่งถูกเรียกว่าพญามารและซาตานที่ชักนำทั้งโลกให้หลงผิด มันถูกเหวี่ยงลงมายังแผ่นดินโลก ทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายมันก็ถูกเหวี่ยงลงมาพร้อมกับมัน.” (วิวรณ์ 12:7-9, ล.ม.) ดังนั้น ขณะเกิดเหตุการณ์สำคัญเพื่อทำให้ความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถึงที่สิ้นสุดนั้น ซาตานถูกขับและถูกเหวี่ยงออกจากสวรรค์ และเหล่าผีปิศาจก็ถูกขับลงมายังแผ่นดินโลกพร้อมกับมัน. ผู้นี้ที่ได้ชักนำแผ่นดินโลกทั้งสิ้นที่มีคนอาศัยอยู่ให้หลงจนถึงขนาดที่ได้กลายเป็นพระเจ้าของโลกนี้ ในที่สุดก็ถูกจำกัดให้อยู่เฉพาะบริเวณดาวเคราะห์นี้ ที่ซึ่งการกบฏของมันเริ่มต้น.—2 โกรินโธ 4:3, 4.
15, 16. (ก) ใครคือมิคาเอล และเราทราบได้อย่างไร? (ข) ทำไมจึงเป็นการเหมาะสมที่มิคาเอลเป็นผู้เหวี่ยงซาตานลงจากสวรรค์?
15 ใครที่กำชัยชนะครั้งใหญ่นี้ในพระนามของพระยะโฮวา? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า ผู้นั้นคือมิคาเอลและเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์. แต่มิคาเอลคือใคร? ชื่อ “มิคาเอล” หมายความว่า “ใครจะเสมอเหมือนพระเจ้า?” ฉะนั้น มิคาเอลคงต้องสนพระทัยจะพิสูจน์ความถูกต้องชอบธรรมแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา โดยพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่มีผู้ใดจะเสมอเหมือนพระองค์. ที่พระธรรมยูดาข้อ 9 (ล.ม.) พระองค์ได้รับฉายาว่า “มิคาเอลอัครทูตสวรรค์.” น่าสนใจ บรรดาศักดิ์ “อัครทูตสวรรค์” มีการใช้ในที่อื่นในคัมภีร์ไบเบิลโดยกล่าวถึงบุคคลเดียวเท่านั้น คือพระเยซูคริสต์.b เปาโลได้กล่าวถึงพระองค์ดังนี้: “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ด้วยเสียงตรัสสั่ง ด้วยสำเนียงของอัครทูตสวรรค์ และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนเหล่านั้นที่ตายร่วมสามัคคีกับพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน.” (1 เธซะโลนิเก 4:16, ล.ม.) บรรดาศักดิ์ “อัครทูตสวรรค์” หมายถึง “หัวหน้าทูตสวรรค์.” ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่วิวรณ์กล่าวถึง “มิคาเอลกับเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์.” ในที่อื่น ๆ ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพวกทูตสวรรค์ว่าอยู่ใต้อำนาจผู้รับใช้องค์ชอบธรรมของพระเจ้านั้นก็หมายถึงพระเยซู. ดังนั้น เปาโลจึงกล่าวถึงคราว “เมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ปรากฏพร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ของพระองค์ ผู้มีฤทธิ์.”—2 เธซะโลนิเก 1:7; ดูมัดธาย 24:30, 31; 25:31 ด้วย.
16 ข้อพระคัมภีร์ดังกล่าวและข้ออื่น ๆ ทำให้เราได้ข้อสรุปอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่า มิคาเอลจะเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากพระเยซูคริสต์เจ้าในตำแหน่งทางภาคสวรรค์ของพระองค์. บัดนี้ ในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่เพียงแต่ตรัสกับซาตานว่า “ขอพระยะโฮวาทรงต่อว่าเจ้าเถิด.” เนื่องจากขณะนี้เป็นสมัยพิพากษา พระเยซูในฐานะมิคาเอลจึงได้เหวี่ยงซาตานตัวชั่วร้ายและเหล่าทูตสวรรค์ชั่วพรรคพวกของมันออกจากสวรรค์. (ยูดา 9; วิวรณ์ 1:10, ล.ม.) เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่พระองค์ควรเป็นผู้ที่ทำการนี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นมหากษัตริย์ที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ ๆ. อีกประการหนึ่ง พระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงสัญญาไว้ในสวนเอเดน ผู้ซึ่งในที่สุดจะบดขยี้หัวงู ด้วยวิธีนั้นจึงกำจัดมันให้สิ้นสภาพตลอดกาล. (เยเนซิศ 3:15) โดยการขับซาตานจากสวรรค์ พระเยซูจึงปูทางไว้สำหรับการบดขยี้ขั้นสุดท้าย.
“สวรรค์และผู้ที่อยู่ในสวรรค์ จงยินดีเถิด”
17, 18. (ก) โยฮันรายงานถึงปฏิกิริยาอะไรในสวรรค์เมื่อซาตานตกจากสวรรค์? (ข) อะไรคงจะเป็นแหล่งของเสียงอันดังที่โยฮันได้ยิน?
17 โยฮันรายงานปฏิกิริยาทางภาคสวรรค์ซึ่งได้แสดงความชื่นชมยินดีเมื่อซาตานประสบความล่มจมอย่างใหญ่หลวงดังนี้ “แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงอันดังในสวรรค์กล่าวว่า ‘บัดนี้ ความรอด ฤทธิ์เดช ราชอาณาจักรของพระเจ้า และอำนาจของพระคริสต์ของพระองค์ก็ปรากฏแล้ว เพราะผู้ที่กล่าวหาพี่น้องของเราถูกเหวี่ยงลงแล้ว คือผู้ที่กล่าวหาพวกเขาต่อพระพักตร์พระเจ้าของเราทั้งวันทั้งคืน! พวกเขาชนะพญามารเพราะพระโลหิตของพระเมษโปดกและเพราะข่าวสารที่พวกเขาประกาศ พวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย. ด้วยเหตุนี้ สวรรค์และผู้ที่อยู่ในสวรรค์ จงยินดีเถิด!’”—วิวรณ์ 12:10-12ก, ล.ม.
18 เสียงอันดังที่โยฮันได้ยินนั้นเป็นเสียงผู้ใด? คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้แจ้ง. แต่เสียงร้องดังคล้ายกันซึ่งมีแจ้งไว้ในวิวรณ์ 11:17 นั้นมาจากผู้ปกครองทั้ง 24 คนซึ่งถูกปลุกขึ้นจากความตายที่อยู่ในตำแหน่งของตนทางภาคสวรรค์ ซึ่งบัดนี้พวกเขาสามารถเป็นตัวแทนของผู้บริสุทธิ์ 144,000 คน. (วิวรณ์ 11:18) และเนื่องจากผู้รับใช้ที่ถูกเจิมของพระเจ้าซึ่งถูกข่มเหงที่ยังอยู่บนแผ่นดินโลกได้รับการกล่าวถึงในที่นี้ว่า “พี่น้องของเรา” คำกล่าวเช่นนี้คงต้องมาจากแหล่งเดียวกันแน่. ไม่ต้องสงสัย ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้สามารถร่วมกันเปล่งเสียงร้อง เนื่องจากการเป็นขึ้นจากความตายจะเริ่มขึ้นทันทีภายหลังซาตานและฝูงผีปิศาจพวกของมันถูกเหวี่ยงออกจากสวรรค์แล้ว.
19. (ก) การที่ความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถึงที่สิ้นสุดเปิดช่องทางให้พระเยซูทำสิ่งใด? (ข) การที่ซาตานถูกเรียกว่า “ผู้ที่กล่าวหาพี่น้องของเรา” บ่งชี้ถึงอะไร?
19 เพื่อความลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าจะถึงที่สิ้นสุด จำเป็นที่พระเยซูจะรับราชอำนาจปกครองในราชอาณาจักรของพระยะโฮวา. ด้วยวิธีการเช่นนี้จึงเปิดทางให้พระเจ้าทำให้พระประสงค์ของพระองค์ในการช่วยมนุษยชาติที่ซื่อสัตย์ให้รอดบรรลุผลสำเร็จ. พระเยซูทรงนำความรอดมาให้ไม่เพียงแต่สาวกที่เกรงกลัวพระเจ้าซึ่งขณะนี้อยู่บนแผ่นดินโลก แต่รวมทั้งคนที่ตายแล้วนับล้าน ๆ คนซึ่งอยู่ในความทรงจำของพระเจ้าด้วย. (ลูกา 21:27, 28) ซาตานได้รับฉายาว่า “ผู้ที่กล่าวหาพี่น้องของเรา” แสดงว่าถึงแม้การที่มันกล่าวโทษโยบนั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นความเท็จ แต่มันก็ยังท้าทายความซื่อสัตย์มั่นคงของผู้รับใช้ของพระเจ้าซึ่งอยู่บนแผ่นดินโลกอยู่เรื่อยมา. เห็นได้ชัดว่า ซาตานกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำอีกในหลายโอกาสว่า มนุษย์จะยอมสละทุกอย่างเพื่อแลกชีวิตของตน. ซาตานล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง!—โยบ 1:9-11; 2:4, 5.
20. เหล่าคริสเตียนที่ซื่อสัตย์มีชัยแก่ซาตานอย่างไร?
20 คริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม “เพราะพระโลหิตของพระเมษโปดก” ยังคงเป็นพยานถึงพระเจ้าและพระเยซูคริสต์อยู่ต่อ ๆ ไปทั้งที่มีการข่มเหง. เป็นเวลากว่า 120 ปีแล้วที่ชนจำพวกโยฮันนี้แหละได้ชี้ถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตอนสิ้นสุดแห่งเวลากำหนดของคนต่างประเทศในปี 1914. (ลูกา 21:24) และเวลานี้ชนฝูงใหญ่กำลังรับใช้เคียงข้างพวกเขาด้วยความภักดี. ไม่มีใครในคนเหล่านี้ “กลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ” ดังที่ประสบการณ์ในชีวิตจริงของพยานพระยะโฮวาได้แสดงให้เห็นหลายต่อหลายครั้งในสมัยของเรา. โดยทางวาจาและการประพฤติที่เหมาะสมแบบคริสเตียน พวกเขามีชัยแก่ซาตาน พิสูจน์อยู่เสมอมาว่าซาตานเป็นตัวโกหก. (มัดธาย 10:28; สุภาษิต 27:11; วิวรณ์ 7:9) ในคราวที่ถูกปลุกขึ้นจากความตายสู่สวรรค์นั้น คริสเตียนผู้ถูกเจิมคงรู้สึกยินดีมากเพียงใด เนื่องจากซาตานไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกแล้วเพื่อกล่าวหาพี่น้องของพวกเขา! แท้จริง เป็นวาระสำหรับทูตสวรรค์ทั้งมวลจะตอบสนองด้วยความยินดีต่อคำเชิญที่ว่า “สวรรค์และผู้ที่อยู่ในสวรรค์ จงยินดีเถิด!”
วิบัติจากคู่แข่ง!
21. ซาตานได้ก่อวิบัติแก่แผ่นดินโลกและทะเลอย่างไร?
21 ด้วยความปวดแสบปวดร้อนเนื่องจากวิบัติที่สาม บัดนี้ซาตานมุ่งมั่นจะทรมานมนุษยชาติด้วยวิบัติชนิดใหม่โดยเฉพาะของมัน. นั่นคือ: “แต่แผ่นดินโลกและทะเลจะเกิดวิบัติเพราะพญามารได้ลงมายังพวกเจ้าแล้วและโกรธยิ่งนัก เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย.” (วิวรณ์ 12:12ข, ล.ม.) การขับไล่ซาตานออกจากสวรรค์เป็นวิบัติจริง ๆ แก่แผ่นดินโลกตามตัวอักษร ซึ่งกำลังถูกทำลายโดยมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของมัน. (พระบัญญัติ 32:5) แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นได้แก่นโยบายของซาตานที่ว่า ‘ถ้าไม่ปกครองก็ต้องทำลาย’ ทำให้เกิดวิบัติแก่แผ่นดินโลกโดยนัยอันหมายถึงโครงสร้างแห่งสังคมมนุษย์ รวมทั้งแก่ทะเลโดยนัยซึ่งหมายถึงมวลมนุษยชาติที่สับสนวุ่นวาย. ระหว่างสงครามโลกทั้งสองคราว ความโกรธแค้นของซาตานสะท้อนให้เห็นจากความโกรธแค้นของประเทศชาติต่าง ๆ ที่อยู่ใต้อำนาจของมัน และความเดือดดาลแบบปิศาจทำนองเดียวกันนั้นก็ระเบิดออกมาไม่เว้นว่างจนทุกวันนี้ แม้จะเหลือเวลาอีกไม่นาน! (มาระโก 13:7, 8) แต่ถึงแผนการของพญามารจะน่ากลัว ความน่ากลัวเหล่านั้นไม่มีทางจะเทียบได้กับผลกระทบอันรุนแรงซึ่งวิบัติที่สาม—การดำเนินงานโดยราชอาณาจักรของพระเจ้า—จะนำมาสู่องค์การของซาตานส่วนที่เห็นได้ด้วยตา!
22, 23. (ก) โยฮันกล่าวว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากพญานาคถูกเหวี่ยงลงมายังแผ่นดินโลก? (ข) เป็นไปได้อย่างไรที่พญานาคจะข่มเหง “ผู้หญิงที่คลอดบุตรชายนั้น”?
22 ตั้งแต่ซาตานถูกขับไล่จนพ่ายแพ้ย่อยยับ พี่น้องของพระคริสต์ที่ยังอยู่บนแผ่นดินโลกต้องทนรับความโกรธแค้นของซาตานซึ่ง ๆ หน้า. โยฮันรายงานว่า “เมื่อพญานาคนั้นเห็นว่ามันถูกเหวี่ยงลงมายังแผ่นดินโลกแล้ว มันจึงข่มเหงผู้หญิงที่คลอดบุตรชายนั้น. แต่นางได้รับปีกนกอินทรีใหญ่คู่หนึ่งเพื่อจะบินเข้าไปยังที่ของนางในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดูที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งวาระ สองวาระ และครึ่งวาระ และอยู่พ้นจากงูนั้น.”—วิวรณ์ 12:13, 14, ล.ม.
23 ในตอนนี้นิมิตดำเนินเรื่องต่อจากความคิดที่มีบอกไว้ในข้อ 6 ซึ่งบอกเราว่า หลังจากนางให้กำเนิดบุตรชายแล้ว ผู้หญิงนั้นได้หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารพ้นจากพญานาค. เราอาจจะสงสัยว่า พญานาคจะข่มเหงผู้หญิงนั้นได้โดยวิธีใด เนื่องจากนางอยู่ในสวรรค์ส่วนพญานาคตอนนี้ถูกขับไล่ลงมาสู่แผ่นดินโลกแล้ว. จงจำไว้ว่า ผู้หญิงนั้นมีบุตรอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ คือพงศ์พันธุ์ของนาง. จากข้อความถัดไปในนิมิตนี้ เรารู้ว่า ซาตานแสดงความโกรธแค้นต่อผู้หญิงนั้นโดยข่มเหงพงศ์พันธุ์ของนาง. (วิวรณ์ 12:17) สิ่งที่อุบัติขึ้นกับพงศ์พันธุ์ของผู้หญิงบนแผ่นดินโลกอาจถือได้ว่าได้เกิดขึ้นกับผู้หญิงนั้นเอง. (เทียบกับมัดธาย 25:40.) และเพื่อนร่วมงานกับพงศ์พันธุ์นั้นซึ่งทวีจำนวนขึ้นทางแผ่นดินโลกก็คงประสบการข่มเหงเช่นกัน.
ชาติใหม่ชาติหนึ่ง
24. เหล่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมีประสบการณ์อะไรที่คล้ายกับการช่วยชนชาติอิสราเอลให้พ้นจากอียิปต์?
24 ขณะที่การสู้รบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดำเนินอยู่ พี่น้องของพระคริสต์ยังคงให้คำพยานด้วยความซื่อสัตย์เท่าที่สามารถทำได้. เขาทำเช่นนั้นถึงแม้ต้องเผชิญการข่มเหงอันสาหัสจากซาตานกับคนเลวร้ายซึ่งสนับสนุนมัน. ในที่สุด การให้คำพยานอย่างเปิดเผยของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็ถูกระงับ. (วิวรณ์ 11:7-10) นั่นคือในคราวที่พวกเขามีประสบการณ์คล้ายกันมากกับชนชาติอิสราเอลในประเทศอียิปต์ซึ่งเคยอดทนเมื่อถูกข่มเหงอย่างหนัก. ครั้นแล้ว พระยะโฮวาทรงพาเขาไปสู่ที่ปลอดภัยแถบป่าไซนายอย่างรวดเร็วประหนึ่งด้วยปีกนกอินทรี. (เอ็กโซโด 19:1-4) ทำนองเดียวกัน ภายหลังการข่มเหงอย่างขมขื่นในช่วงปี 1918-1919 พระยะโฮวาได้ทรงนำเหล่าพยานของพระองค์ ซึ่งเป็นตัวแทนมเหสีของพระองค์ เข้าไปอยู่ในสภาพการณ์ทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาเหมือนป่ากันดารเป็นที่ปลอดภัยสำหรับชาวอิสราเอล. เหตุการณ์นี้มีขึ้นเป็นการตอบคำอธิษฐานของพวกเขา.—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 55:6-9.
25. (ก) พระยะโฮวาได้ทรงจัดตั้งสิ่งใดขึ้นในปี 1919 คล้าย ๆ กับที่พระองค์ทรงจัดตั้งชนอิสราเอลขึ้นเป็นชาติหนึ่งในถิ่นทุรกันดาร? (ข) ใครที่ประกอบกันขึ้นเป็นชาตินี้ และพวกเขาถูกนำเข้าสู่อะไร?
25 ขณะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระยะโฮวาได้จัดตั้งชาวอิสราเอลเป็นชาติหนึ่ง ทรงจัดหาทั้งสิ่งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกายสำหรับพวกเขา. ทำนองเดียวกัน เริ่มต้นในปี 1919 พระยะโฮวาทรงจัดตั้งพงศ์พันธุ์ของผู้หญิงขึ้นเป็นชาติฝ่ายวิญญาณ. เรื่องนี้ไม่ควรปะปนกับราชอาณาจักรมาซีฮาซึ่งปกครองจากสวรรค์ตั้งแต่ปี 1914. ชาติใหม่นี้ประกอบด้วยชนที่เหลือแห่งเหล่าพยานผู้ถูกเจิมที่อยู่บนแผ่นดินโลก ผู้ซึ่งถูกนำเข้าสู่สภาพอันรุ่งโรจน์ฝ่ายวิญญาณในปี 1919. บัดนี้เมื่อได้รับการเตรียมไว้พร้อมด้วย “อาหารตามเวลา” บุคคลเหล่านี้จึงได้รับการเสริมกำลังสำหรับงานที่มีอยู่เบื้องหน้า.—ลูกา 12:42; ยะซายา 66:8.
26. (ก) ช่วงเวลาที่มีกล่าวถึงที่วิวรณ์ 12:6, 14 นานแค่ไหน? (ข) อะไรคือวัตถุประสงค์ของช่วงเวลาสามวาระครึ่ง ช่วงเวลานี้เริ่มต้นเมื่อไร และสิ้นสุดเมื่อไร?
26 เวลาที่พงศ์พันธุ์แห่งผู้หญิงของพระเจ้าพ้นจากการข่มเหงจะนานเท่าไร? วิวรณ์ 12:6 บอกว่า 1,260 วัน. วิวรณ์ 12:14 เรียกช่วงเวลานี้ว่า ระยะหนึ่ง หลายระยะ และครึ่งระยะ อีกนัยหนึ่งคือสามวาระครึ่ง. ที่จริง คำกล่าวทั้งสองนัยนั้นหมายถึงเวลาสามปีครึ่ง ในซีกโลกเหนือนับจากฤดูใบไม้ผลิปี 1919 ถึงฤดูใบไม้ร่วงปี 1922. นี้เป็นช่วงระยะพักฟื้นเพื่อความสดชื่นและปรับปรุงองค์การเสียใหม่สำหรับชนจำพวกโยฮันซึ่งได้รับการฟื้นฟู.
27. (ก) ตามรายงานของโยฮัน พญานาคได้ทำอะไรหลังจากปี 1922? (ข) ซาตานมีจุดประสงค์อะไรในการพ่นคลื่นแห่งการข่มเหงพวกพยานฯออกมา?
27 พญานาคหาได้ยอมแพ้ไม่! “งูนั้นพ่นน้ำออกจากปากดุจแม่น้ำให้ไหลตามผู้หญิงนั้น เพื่อให้นางจมน้ำตายในแม่น้ำนั้น.” (วิวรณ์ 12:15, ล.ม.) ‘น้ำดุจแม่น้ำ’ หรือ “น้ำท่วม” (เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) หมายถึงอะไร? กษัตริย์ดาวิดในสมัยโบราณกล่าวถึงคนชั่วที่ต่อต้านท่านว่าเหมือน “กระแสแห่งความชั่ว” [“การหลั่งไหลของคนไร้ค่า,” ยัง]. (บทเพลงสรรเสริญ 18:4, 5, 16, 17) สิ่งที่ซาตานปล่อยออกมาตอนนี้ดูจะเป็นการข่มเหงโดย “คนไร้ค่า.” ภายหลังปี 1922 ซาตานได้พ่นคลื่นแห่งการข่มเหงอย่างหนักต่อพยานพระยะโฮวา. (มัดธาย 24:9-13) ทั้งนี้รวมถึงการทำร้ายร่างกาย “ออกกฎหมายประกอบการชั่วร้าย” การจำคุก กระทั่งการประหารด้วยการแขวนคอ, ยิงเป้า, และตัดศีรษะ. (บทเพลงสรรเสริญ 94:20) ซาตานที่ถูกทำให้ตกต่ำลง ซึ่งถูกกันไม่ให้เข้าถึงผู้หญิงของพระเจ้าทางภาคสวรรค์โดยตรงเช่นนั้นจึงเริ่มลงมือด้วยความโกรธแค้นเพื่อโจมตีและทำลายพงศ์พันธุ์ของนางที่เหลืออยู่บนแผ่นดินโลก ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยทำให้พวกเขาไม่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงแล้วสูญเสียความโปรดปรานจากพระเจ้า. แต่ความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาเป็นเช่นเดียวกับของโยบคือ “ข้าฯจะไม่เอาความซื่อสัตย์มั่นคงไปจากตัวข้าฯจนกว่าข้าฯจะสิ้นลม.”—โยบ 27:5, ล.ม.
28. คลื่นแห่งการข่มเหงถึงจุดสุดยอดอย่างไรในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง?
28 คลื่นแห่งการข่มเหงอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ถึงขีดสุดในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง. ในยุโรปมีเหล่าพยานฯราว ๆ 12,000 คนถูกคุมขังอยู่ในค่ายกักกันและในคุกของนาซี และมีประมาณ 2,000 คนเสียชีวิต. ภายใต้อำนาจของพวกขุนศึกที่ปกครองอิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลี, และไต้หวัน พยานฯที่ซื่อสัตย์ได้ทนการปฏิบัติอันโหดร้ายทำนองเดียวกัน. แม้แต่ในประเทศที่อ้างว่าปกครองระบอบประชาธิปไตย เหล่าพยานฯถูกกลุ่มปฏิบัติการของคาทอลิกจู่โจมทำร้าย ใช้น้ำมันดินราดแล้วเอาขนนกโรยตัว และไล่ออกจากเมือง. การประชุมต่าง ๆ ของคริสเตียนถูกระงับ และลูก ๆ ของพยานฯถูกไล่ออกจากโรงเรียน.
29. (ก) โยฮันพรรณนาอย่างไรถึงการบรรเทาที่มาจากแหล่งที่ไม่ได้คาดหมาย? (ข) เป็นไปอย่างไรที่ “แผ่นดินมาช่วยผู้หญิงไว้”? (ค) พญานาคทำอะไรต่อไป?
29 การบรรเทามาจากแหล่งหนึ่งที่ไม่ได้คาดหมาย: “แต่แผ่นดินมาช่วยผู้หญิงไว้และอ้าปากกลืนแม่น้ำที่พญานาคพ่นออกมาจากปาก. พญานาคก็โกรธแค้นผู้หญิงนั้น จึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลือของนางซึ่งทำตามข้อบัญญัติของพระเจ้าและทำงานเป็นพยานฝ่ายพระเยซู.” (วิวรณ์ 12:16, 17, ล.ม.) “แผ่นดิน”—องค์ประกอบต่าง ๆ ภายในระบบของซาตานเอง—ได้เริ่มกลืน “แม่น้ำ” หรือ “น้ำท่วม.” ในช่วงทศวรรษ 1940 พยานฯได้รับการตัดสินโดยศาลสูงสุดแห่งสหรัฐและผู้มีอำนาจปกครองในประเทศอื่นให้ชนะคดีติดต่อกันหลายครั้ง ซึ่งล้วนแต่สนับสนุนเสรีภาพในการนมัสการ. ในที่สุด ชาติพันธมิตรก็เป็นฝ่ายมีชัยเหนือกองกำลังมหาศาลของฝ่ายนาซี–ฟาสซิสต์ จึงเป็นการบรรเทาพยานฯซึ่งได้ทนทรมานภายใต้ระบอบเผด็จการอันโหดร้าย. การข่มเหงไม่ยุติเสียทั้งหมด เพราะพญานาคยังโกรธแค้นอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้ และมันยังคงทำสงครามกับคนเหล่านั้นซึ่ง “ทำงานเป็นพยานฝ่ายพระเยซู” อยู่เสมอ. ในหลายดินแดนเหล่าพยานฯผู้ภักดียังติดคุกอยู่ และบางคนยังต้องเสียชีวิตเนื่องจากความซื่อสัตย์มั่นคงของเขา. แต่ในประเทศเหล่านี้บางแห่ง บางครั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ผ่อนคลายความกดดัน และพยานฯได้รับเสรีภาพมากขึ้น.c สิ่งนี้ทำให้สมจริงตามคำพยากรณ์ที่ว่า แผ่นดินยังคงกลืนแม่น้ำแห่งการข่มเหงอยู่ต่อ ๆ ไป.
30. (ก) แผ่นดินให้การบรรเทาอย่างเพียงพอสำหรับสิ่งใดที่จะเกิดขึ้น? (ข) ความซื่อสัตย์มั่นคงของประชาชนของพระเจ้าก่อผลอย่างไร?
30 โดยวิธีนี้ แผ่นดินให้การบรรเทาอย่างเพียงพอเพื่อให้การงานของพระเจ้าแผ่ไปถึงดินแดนต่าง ๆ ประมาณ 235 ดินแดน และผลิตผู้ประกาศข่าวดีด้วยความซื่อสัตย์มากกว่าหกล้านคน. พร้อมกับพงศ์พันธุ์ของผู้หญิงที่ยังเหลืออยู่นั้น ก็มีชนฝูงใหญ่จากนานาชาติซึ่งเพิ่งเข้ามาเชื่อต่างก็ปฏิบัติตามข้อบัญญัติของพระเจ้าในเรื่องการแยกตัวจากโลก, ความสะอาดทางศีลธรรม, และการรักพี่น้อง, และบุคคลเหล่านี้ให้คำพยานเรื่องราชอาณาจักรมาซีฮา. ความซื่อสัตย์มั่นคงของพวกเขาตอบคำท้าทายอันหมิ่นประมาทของซาตาน ดังนั้น จึงเป็นการเคาะระฆังมรณะสำหรับซาตานและระบบของมัน.—สุภาษิต 27:11.
[เชิงอรรถ]
a เทียบกับ 12 ตระกูลแห่งอิสราเอลโดยสายเลือด, อัครสาวก 12 คน, 12 ตระกูลแห่งอิสราเอลฝ่ายวิญญาณ, และประตู 12 ประตู, ทูตสวรรค์ 12 องค์, และศิลา 12 ก้อนอันเป็นฐานศิลาของเยรูซาเลมใหม่.—วิวรณ์ 21:12-14, ล.ม.
b อย่างไรก็ตาม โปรดสังเกตว่า วิวรณ์ 12:9 (ล.ม.) กล่าวถึง ‘พญานาคใหญ่ . . . และทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายมัน.’ ดังนั้น พญามารไม่เพียงแต่ทำตัวเองเป็นพระเจ้าปลอมเท่านั้นแต่ยังพยายามจะเป็นอัครทูตสวรรค์ด้วย แม้ว่าพระคัมภีร์ไม่เคยให้มันมีบรรดาศักดิ์นั้น.
c ศาลสูงสุดในหลายประเทศได้ให้พยานพระยะโฮวาพ้นข้อหา มีการอ้างถึงคำตัดสินเหล่านี้บางคดีในกรอบหน้า 92.
[กรอบหน้า 185]
‘แผ่นดินได้อ้าปาก’
น้ำไหลบ่าจากซาตานในการข่มเหงได้ถูกปล่อยออกมาในหลายประเทศต่อต้านชนคริสเตียนผู้ถูกเจิมและสหายของพวกเขา. แต่บ่อยครั้ง เหตุการณ์ภายในระบบของซาตานเองได้ก่อผลในทางที่น้ำเหล่านั้นถูกกลืนหายไปหมด.
น้ำไหลบ่าแห่งกลุ่มผู้จู่โจมและการจำคุกในประเทศสหรัฐถูกกลืนลงไปส่วนใหญ่โดยการตัดสินของศาลสูงสุดให้ชนะคดีในช่วงทศวรรษ 1940.
1945: การข่มเหงอันชั่วร้ายรุนแรงในประเทศที่อยู่ในความควบคุมของประเทศเยอรมนีและญี่ปุ่นยุติลงโดยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง.
เมื่อมีการสั่งห้ามพยานพระยะโฮวาในสาธารณรัฐโดมินิกัน พวกพยานฯถูกจำคุก, ถูกเฆี่ยน, และถูกตีด้วยพานท้ายปืน. ในปี 1960 การขัดแย้งระหว่างผู้เผด็จการราฟาเอล ทรูฮิลโยกับคริสตจักรคาทอลิกได้นำไปสู่การยกเลิกคำสั่งห้ามที่มีต่อพยานพระยะโฮวา.
การยิง, การเผา, การข่มขืน, การทุบตี, การทรมาน, และการสังหารพวกพยานฯในระหว่างสงครามกลางเมืองในประเทศไนจีเรียได้ยุติลงเมื่อปี 1970 เมื่อกองกำลังรัฐบาลได้ชัยชนะต่อเขตการปกครองที่แยกตัวออกไปซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นบังเกิดขึ้น.
ในสเปน บ้านถูกบุกรุกและคริสเตียนถูกปรับและถูกจำคุกเนื่องจาก “อาชญากรรม” ในการพูดเรื่องพระเจ้าและการจัดการประชุมคริสเตียน. การข่มเหงนี้ยุติลงในที่สุดเมื่อปี 1970 อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลต่อศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่นิกายคาทอลิก พยานพระยะโฮวาได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย.
ในโปรตุเกส บ้านหลายร้อยหลังถูกค้นโดยไม่มีหมายค้น. พยานฯถูกทำร้ายร่างกายและถูกจำคุก และคัมภีร์ไบเบิลของพวกเขาถูกริบ. การทำร้ายนี้ถูก “กลืน” เมื่อ ในปี 1974 การปฏิวัติโดยกำลังทหารยังผลให้มีการเปลี่ยนคณะรัฐบาลและมีการออกกฎหมายที่ให้เสรีภาพในการชุมนุมกัน.
ในอาร์เจนตินา ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลทหาร เด็ก ๆ พยานพระยะโฮวาถูกไล่ออกจากโรงเรียน และพวกพยานฯทั่วประเทศถูกจับเนื่องจากการประกาศข่าวดี. ในที่สุดการข่มเหงนี้ก็ยุติลงในปี 1984 เมื่อรัฐบาลที่ปกครองอยู่ในเวลานั้นได้ยอมรับสมาคมของพยานพระยะโฮวาว่าถูกต้องตามกฎหมาย.
[แผนภูมิหน้า 183]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
1914 การกำเนิดราชอาณาจักร
1919 การกำเนิดชนชาติใหม่
1919-1922 ช่วงเวลาแห่งการฟื้นคืนสภาพ
1922- น้ำมากหลายแห่งการข่มเหง
[ภาพหน้า 182]
วิบัติแก่แผ่นดินโลก