บท 37
ความเศร้าโศกและความยินดีเมื่อบาบิโลนอวสาน
1. “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก” จะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อความพินาศฉับพลันของบาบิโลนใหญ่?
อวสานของบาบิโลนเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนของพระยะโฮวา แต่ชาวประเทศทั้งปวงมองเรื่องนี้อย่างไร? โยฮันบอกเราว่า “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกซึ่งได้ทำผิดประเวณีกับเมืองนี้และดำเนินชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยไร้ยางอายก็จะร้องไห้ตีอกชกหัวด้วยความโศกเศร้าเพราะเมืองนี้เมื่อพวกเขามองดูควันจากการเผาเมืองนี้ พวกเขายืนอยู่แต่ไกลเพราะกลัวการทรมานที่มีต่อเมืองนี้และพูดว่า ‘น่าเสียดาย น่าเสียดายเมืองที่ใหญ่โตแข็งแกร่งอย่างเจ้า บาบิโลน เพราะในชั่วโมงเดียวการพิพากษาก็มาถึงเจ้าแล้ว!’”—วิวรณ์ 18:9, 10, ล.ม.
2. (ก) เนื่องจากเขาโดยนัยทั้งสิบของสัตว์ร้ายสีแดงเข้มทำลายบาบิโลนใหญ่ ทำไม “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก” จึงโศกเศร้าต่อจุดจบของบาบิโลนใหญ่? (ข) ทำไมกษัตริย์ทั้งหลายที่เศร้าโศกจึงยืนอยู่ห่างไกลจากเมืองที่กำลังจะพินาศนั้น?
2 ปฏิกิริยาของนานาชาติอาจเห็นเป็นเรื่องแปลกเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า บาบิโลนได้ถูกเขาโดยนัยทั้งสิบของสัตว์ร้ายสีแดงเข้มทำลาย. (วิวรณ์ 17:16) แต่เมื่อบาบิโลนพินาศแล้วดูเหมือน “กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลก” จะตระหนักชัดว่า บาบิโลนใหญ่ทำประโยชน์แก่ตนเพียงใดด้วยการทำให้ประชาชนอยู่ในความสงบและอยู่ใต้อำนาจ. นักเทศน์นักบวชเคยประกาศว่า สงครามเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหาร และเทศน์ให้ยุวชนเข้าสู่สมรภูมิ. ศาสนาได้ยกเอาความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นบังหน้าให้พวกผู้ปกครองที่ทุจริตทำการกดขี่ประชาชนทั่วไป. (เทียบกับยิระมะยา 5:30, 31; มัดธาย 23:27, 28.) แต่โปรดสังเกตว่า กษัตริย์ทั้งหลายที่เศร้าหมองนั้นบัดนี้ยืนอยู่ในระยะไกลจากเมืองนั้นซึ่งกำลังจะพินาศ. พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้พอจะช่วยเมืองนั้น. พวกเขาเสียใจที่เห็นเมืองนั้นพินาศ แต่ไม่เสียใจมากพอจะยอมเสี่ยงเข้าไปช่วยเหลือ.
พวกพ่อค้าร้องไห้โศกเศร้า
3. มีใครอีกที่เศร้าเสียใจต่อความพินาศของบาบิโลนใหญ่ และโยฮันให้เหตุผลสำหรับเรื่องนี้อย่างไร?
3 ไม่เพียงแต่กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกเท่านั้นที่เสียใจในความพินาศของบาบิโลนใหญ่. “พวกพ่อค้าเดินทางแห่งแผ่นดินโลกก็ร้องไห้โศกเศร้าเพราะเมืองนี้ด้วย เพราะไม่มีใครจะซื้อสินค้าของพวกเขาอีกแล้ว คือทองคำ เงิน อัญมณี ไข่มุก ผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ของทุกชนิดที่ทำจากไม้หอม ของทุกชนิดที่ทำจากงาช้าง และของทุกชนิดที่ทำจากไม้ล้ำค่า จากทองแดง จากเหล็ก และจากหินอ่อน อีกทั้งอบเชย เครื่องเทศอินเดีย เครื่องหอม น้ำมันหอม กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งอย่างดี ข้าวสาลี วัว แกะ ม้า รถ ทาส และมนุษย์. ผลอันดีที่เจ้าปรารถนาได้จากเจ้า [บาบิโลนใหญ่] ไปแล้ว และสิ่งดีเลิศกับสิ่งของหรูหราทุกอย่างก็สูญหายไปจากเจ้าแล้ว และผู้คนจะไม่พบสิ่งเหล่านั้นอีกเลย.”—วิวรณ์ 18:11-14, ล.ม.
4. เพราะเหตุใด “พวกพ่อค้าเดินทาง” จึงร้องไห้และโศกเศร้าต่ออวสานของบาบิโลนใหญ่?
4 ใช่แล้ว บาบิโลนใหญ่เคยเป็นมิตรสนิทและเป็นลูกค้าที่ดีของพวกพ่อค้าที่มั่งคั่ง. ยกตัวอย่าง สำนักสงฆ์, สำนักชี, และคริสตจักรทั้งหลายในคริสต์ศาสนจักรในตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมาได้กอบโกยทองคำ, เงิน, อัญมณี, ไม้เนื้อดีมีราคา อีกทั้งความมั่งคั่งด้านวัตถุในรูปแบบอื่น ๆ ไว้มากมหาศาล. นอกจากนั้น ศาสนายังเห็นดีเห็นชอบกับการจับจ่ายซื้อของอย่างฟุ่มเฟือยและการเสพสุรามึนเมาอย่างเลยเถิดซึ่งมีไปพร้อม ๆ กับการฉลองคริสต์มาสอันเป็นการหลู่เกียรติพระคริสต์และวันหยุดอื่น ๆ ทางศาสนา. พวกมิชชันนารีแห่งคริสต์ศาสนจักรรุกเข้าไปในดินแดนห่างไกล เปิดตลาดใหม่ให้ “พวกพ่อค้าเดินทาง” แห่งโลกนี้. ในประเทศญี่ปุ่นสมัยศตวรรษที่ 17 ลัทธิคาทอลิกซึ่งได้เข้าไปพร้อมกับพวกพ่อค้าถึงกับเข้าเกี่ยวข้องในการสงครามเกี่ยวกับศักดินา. เมื่อรายงานการสู้รบขั้นเด็ดขาด ณ ใต้ปราการปราสาทโอซากา สารานุกรมบริแทนนิกา รายงานว่า “กองทหารฝ่ายโทะกุงะวะได้พบว่า ตนกำลังต่อสู้กับศัตรูซึ่งมีธงประจำกองประดับรูปกางเขนและมีภาพพระผู้ช่วยให้รอดและนักบุญเจมส์ ผู้พิทักษ์สเปน.” ฝ่ายชนะได้ประหัตประหารและเกือบจะกวาดล้างลัทธิคาทอลิกออกไปจากประเทศนั้น. การที่คริสตจักรมีส่วนร่วมในกิจการต่าง ๆ ทางโลกทุกวันนี้ย่อมไม่ก่อประโยชน์ใด ๆ แก่คริสตจักรเช่นกัน.
5. (ก) เสียงจากสวรรค์พรรณนาความโศกเศร้าของ “พวกพ่อค้าที่เดินทาง” ต่อไปอย่างไร? (ข) ทำไมพวกพ่อค้านั้นจึง “ยืนอยู่แต่ไกล” เช่นกัน?
5 เสียงดังจากสวรรค์แจ้งอีกว่า “พวกพ่อค้าที่เดินทางค้าขายสิ่งเหล่านี้ซึ่งได้ร่ำรวยจากเมืองนี้จะยืนอยู่แต่ไกลเพราะกลัวการทรมานที่มีแก่เมืองนี้ และจะร้องไห้โศกเศร้า และพูดว่า ‘น่าเสียดาย น่าเสียดายเมืองใหญ่โตที่นุ่งห่มผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าสีแดงเข้ม และประดับตัวอย่างหรูด้วยเครื่องประดับทองคำ อัญมณี และไข่มุก เพราะในชั่วโมงเดียวทรัพย์สมบัติมากมายเหล่านั้นก็ถูกทำลายไปสิ้น!’” (วิวรณ์ 18:15-17ก, ล.ม.) เมื่อบาบิโลนใหญ่ถูกทำลาย “พวกพ่อค้า” ต่างก็โศกเศร้าที่สูญเสียมิตรทางการค้า. จริงทีเดียว เป็นที่ “น่าเสียดาย น่าเสียดาย” สำหรับพวกเขา. แต่ขอสังเกตว่า สาเหตุที่พวกเขาโศกเศร้านั้นล้วนเป็นการเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น และพวกเขา—ก็เหมือนกษัตริย์ทั้งหลาย—“ยืนอยู่แต่ไกล.” พวกเขาไม่เข้าไปใกล้พอจะให้ความช่วยเหลือใด ๆ แก่บาบิโลนใหญ่.
6. เสียงจากสวรรค์พรรณนาความโศกเศร้าของพวกนายเรือและพวกกะลาสีอย่างไร และทำไมพวกเขาจึงร้องไห้?
6 เรื่องดำเนินต่อไปดังนี้: “นายเรือทุกคนและทุกคนที่โดยสารเรือมาจากที่ต่าง ๆ พวกกะลาสีและทุกคนที่หาเลี้ยงชีพทางทะเลก็ยืนอยู่แต่ไกล และขณะที่มองดูควันจากการเผาเมืองนี้ พวกเขาก็ร้องว่า ‘จะมีเมืองไหนเหมือนเมืองที่ใหญ่โตนี้?’ แล้วพวกเขาก็ซัดฝุ่นใส่ศีรษะ ส่งเสียงร้องไห้โศกเศร้า และพูดว่า ‘น่าเสียดาย น่าเสียดายเมืองใหญ่โตที่คนทั้งปวงที่มีเรือเดินทะเลได้กลายเป็นคนร่ำรวยในเมืองนี้เนื่องจากความมั่งคั่งของเมืองนี้ เพราะในชั่วโมงเดียวเมืองนี้ก็ถูกทำลายไปสิ้น!’” (วิวรณ์ 18:17ข-19, ล.ม.) บาบิโลนโบราณเป็นเมืองพาณิชย์และมีเรือมากมาย. ทำนองเดียวกัน บาบิโลนใหญ่ดำเนินธุรกิจมากมายโดยทาง “น้ำมากหลาย” คือประชาชนของตน. ทั้งนี้ทำให้มีการจ้างงานสำหรับราษฎรทางศาสนาของบาบิโลนใหญ่จำนวนมาก. ความพินาศของบาบิโลนใหญ่จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงจริง ๆ ต่อคนเหล่านี้! จะไม่มีแหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพที่ไหนอีกแล้วเหมือนเมืองนี้.
ยินดีที่เมืองนี้ถูกทำลาย
7, 8. เสียงจากสวรรค์ทำให้ข่าวสารเกี่ยวกับบาบิโลนใหญ่ถึงจุดสุดยอดอย่างไร และใครจะตอบรับถ้อยคำเหล่านี้?
7 เมื่อบาบิโลนโบราณถูกทำลายโดยชาวมีเดียกับเปอร์เซียนั้น ยิระมะยาได้กล่าวเชิงพยากรณ์ว่า “ขณะนั้นฟ้าสวรรค์แลแผ่นดินโลก, แลบรรดาทุกสิ่งที่มีในที่นั่น, จะร้องเพลงให้ยินดีเพราะบาบูโลน.” (ยิระมะยา 51:48) เมื่อบาบิโลนใหญ่ถูกทำลาย เสียงจากสวรรค์ทำให้ข่าวของตนถึงจุดสุดยอดโดยกล่าวถึงบาบิโลนใหญ่ว่า “โอ้ สวรรค์ รวมทั้งท่านทั้งหลายที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายที่เป็นอัครสาวก และท่านทั้งหลายที่เป็นผู้พยากรณ์ จงยินดีที่เมืองนี้ถูกทำลาย เพราะพระเจ้าทรงลงโทษเมืองนี้แล้วเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย!” (วิวรณ์ 18:20, ล.ม.) พระยะโฮวาและเหล่าทูตสวรรค์จะชื่นชมยินดีที่เห็นศัตรูดั้งเดิมของพระเจ้าถูกทำลายล้าง เช่นเดียวกันกับพวกอัครสาวกและคริสเตียนผู้พยากรณ์สมัยแรก ซึ่งในขณะนี้ถูกปลุกขึ้นจากตายแล้วและได้รับตำแหน่งในการจัดเตรียมผู้ปกครอง 24 คน.—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 97:8-12.
8 แท้จริง “ผู้บริสุทธิ์” ทั้งปวง ไม่ว่าถูกปลุกขึ้นจากตายสู่สวรรค์แล้วหรือยังมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ต่างก็จะเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดี และชนฝูงใหญ่แห่งแกะอื่นที่ร่วมสมทบจะทำเช่นเดียวกัน. ในที่สุด ผู้ซื่อสัตย์ทั้งมวลในคราวโบราณจะได้รับการปลุกขึ้นจากตายเข้าสู่ระเบียบใหม่ และคนเหล่านี้ก็เช่นกันจะร่วมในความปีติยินดีนั้น. ประชาชนของพระเจ้าไม่ได้พยายามจะแก้แค้นผู้ถือศาสนาเท็จที่ได้ข่มเหงตน. พวกเขาระลึกถึงคำตรัสของพระยะโฮวาที่ว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา; เราจะตอบแทน พระยะโฮวาตรัส.” (โรม 12:19, ล.ม.; พระบัญญัติ 32:35, 41-43) บัดนี้ พระยะโฮวาทรงแก้แค้นแทนแล้ว. เลือดที่หลั่งออกเพราะบาบิโลนใหญ่จะได้รับการแก้แค้นแล้ว.
การทุ่มหินโม่ขนาดใหญ่
9, 10. (ก) บัดนี้ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ทำอะไรและกล่าวอะไร? (ข) ปฏิบัติการอะไรที่คล้ายคลึงกันซึ่งดำเนินการโดยทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ในวิวรณ์ 18:21 ได้เกิดขึ้นในสมัยยิระมะยา และสิ่งนั้นรับประกันเรื่องอะไร? (ค) ปฏิบัติการซึ่งโยฮันเห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ได้ทำนั้นรับประกันเรื่องอะไร?
9 สิ่งที่โยฮันแลเห็นต่อจากนั้นยืนยันว่า การพิพากษาของพระยะโฮวาต่อบาบิโลนใหญ่นั้นเด็ดขาด. “แล้วทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์มากองค์หนึ่งก็ยกหินก้อนหนึ่งที่เหมือนหินโม่ขนาดใหญ่ทุ่มลงในทะเลและพูดว่า ‘บาบิโลนเมืองใหญ่จะถูกทุ่มลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้แหละ และจะไม่มีใครพบเห็นเมืองนี้อีกเลย.’” (วิวรณ์ 18:21, ล.ม.) ในสมัยยิระมะยามีปฏิบัติการทำนองเดียวกันซึ่งมีความหมายเชิงพยากรณ์อย่างมากทีเดียว. ยิระมะยาได้รับการดลใจให้เขียนลงในหนังสือ “บรรดาความทุกข์ร้ายที่จะมาบนเหนือบาบิโลน.” ท่านมอบหนังสือนั้นแก่ซะรายะและสั่งให้เดินทางไปบาบิโลน. ที่นั่น ซะรายะได้ทำตามที่ยิระมะยาแนะนำ โดยอ่านถ้อยแถลงต่อสู้เมืองนั้นว่า “โอ้พระยะโฮวาพระองค์ได้ตรัสต่อสู้เมืองนี้แล้ว, เพื่อจะได้ตัดเขาให้ออกจนถึงจะไม่มีผู้ใดอยู่ในเมืองมนุษย์ก็ดี, สัตว์เดียรัจฉานก็ดี, แต่จะเป็นเริดร้างเสียเป็นนิตย์.” แล้วซะรายะได้เอาศิลาก้อนหนึ่งผูกไว้กับหนังสือนี้และโยนทิ้งลงไปในแม่น้ำยูเฟรทิส กล่าวว่า “ดุจดังนี้เมืองบาบูโลนจะต้องจมมิดไปเสีย, และจะไม่ผุดขึ้นจากความร้ายที่เราจะนำมาบนเหนือเขา.”—ยิระมะยา 51:59-64.
10 การโยนหนังสือที่มีก้อนหินผูกติดอยู่ลงไปในแม่น้ำเป็นการรับประกันว่า บาบิโลนจะสูญหายไปจากความทรงจำ จะไม่กลับคืนมาอีกเลย. การที่อัครสาวกโยฮันเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งมีฤทธิ์มากปฏิบัติการทำนองเดียวกันจึงเป็นข้อรับประกันที่มั่นคงเช่นกันว่า พระประสงค์ที่พระยะโฮวามีต่อบาบิโลนใหญ่จะสำเร็จ. สภาพความพินาศอย่างสิ้นเชิงของบาบิโลนโบราณที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ยืนยันหนักแน่นถึงสิ่งที่จะเกิดแก่ศาสนาเท็จในอนาคตอันใกล้นี้.
11, 12. (ก) บัดนี้ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์แถลงต่อบาบิโลนใหญ่อย่างไร? (ข) ยิระมะยาพยากรณ์อย่างไรเกี่ยวกับเยรูซาเลมที่ออกหาก และนั่นแสดงถึงอะไรในสมัยของเรานี้?
11 บัดนี้ ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์แถลงต่อบาบิโลนใหญ่ว่า “เจ้าบาบิโลน จะไม่มีใครได้ยินเสียงพวกนักร้องที่ร้องเพลงคลอเสียงพิณ เสียงนักดนตรี เสียงนักเป่าขลุ่ย และเสียงนักเป่าแตรภายในเจ้าอีกเลย จะไม่มีใครพบเห็นช่างฝีมือในอาชีพใด ๆ ภายในเจ้าอีกเลย และจะไม่มีใครได้ยินเสียงหินโม่ภายในเจ้าอีกเลย จะไม่มีแสงตะเกียงส่องสว่างภายในเจ้าอีกเลย และจะไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวภายในเจ้าอีกเลย เพราะพวกพ่อค้าเดินทางของเจ้าเคยเป็นคนใหญ่คนโตบนแผ่นดินโลก และเพราะการถือผีของเจ้า ชาติทั้งปวงจึงถูกชักนำให้หลงผิด.”—วิวรณ์ 18:22, 23, ล.ม.
12 ยิระมะยาได้พยากรณ์เกี่ยวกับเยรูซาเลมที่ออกหากด้วยถ้อยคำคล้ายกันดังนี้: “เราจะชักออกจากเมืองเหล่านั้นซึ่งเสียงชื่นใจแลเสียงยินดี, เสียงเจ้าบ่าวแลเสียงเจ้าสาว, เสียงหินโม่, แลสว่างแห่งตะเกียง. แลประเทศนี้ทั้งหมดจะเป็นร้างทั้งนั้น, จะเป็นที่ตกตะลึง.” (ยิระมะยา 25:10, 11) เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญของบาบิโลนใหญ่ คริสต์ศาสนจักรจะกลายเป็นซากหักพังที่ปราศจากชีวิต ดังที่สภาพร้างเปล่าของเยรูซาเลมภายหลังปี 607 ก่อนสากลศักราชแสดงภาพไว้อย่างแจ่มชัด. คริสต์ศาสนจักรซึ่งครั้งหนึ่งเคยปีติยินดีด้วยความโสมนัสและอื้ออึงไปด้วยสรรพสำเนียงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะพบว่าตัวเองถูกพิชิตและถูกทอดทิ้ง.
13. การเปลี่ยนแปลงในฉับพลันอะไรเกิดแก่บาบิโลนใหญ่ และมีผลกระทบอย่างไรต่อ “พวกพ่อค้าเดินทาง” ของเมืองนี้?
13 แท้จริง ดังที่ทูตสวรรค์กล่าวแก่โยฮันในที่นี้ว่า บาบิโลนใหญ่ทั้งสิ้น จะเปลี่ยนจากจักรวรรดินานาชาติที่ทรงอำนาจมาเป็นที่ร้างเปล่าแห้งแล้งเหมือนทะเลทราย. “พวกพ่อค้าเดินทาง” ของเมืองนี้ รวมทั้งเหล่ามหาเศรษฐี ได้ใช้ศาสนาแห่งเมืองนี้หาประโยชน์ให้ตัวเองหรือใช้เป็นสิ่งบังหน้า และนักเทศน์นักบวชพบว่า การทำตัวเด่นในสายตาประชาชนร่วมกับพวกเขานั้นย่อมได้ประโยชน์. แต่พ่อค้าเหล่านั้นจะไม่มีบาบิโลนใหญ่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันอีกต่อไป. บาบิโลนใหญ่จะไม่หลอกลวงนานาชาติแห่งโลกนี้ด้วยกิจปฏิบัติลึกลับทางศาสนาอีกต่อไป.
ความผิดอันร้ายกาจฐานฆ่าคน
14. ทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์ให้เหตุผลอย่างไรสำหรับความร้ายแรงแห่งการพิพากษาของพระยะโฮวา และพระเยซูตรัสคล้ายกันอย่างไรเมื่อพระองค์อยู่บนแผ่นดินโลก?
14 ในตอนท้ายทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์แจ้งสาเหตุที่พระยะโฮวาทรงพิพากษาบาบิโลนใหญ่ร้ายแรงถึงขนาดนั้น. ทูตสวรรค์บอกว่า “ในเมืองนี้มีเลือดของผู้พยากรณ์ ผู้บริสุทธิ์ และเลือดคนทั้งปวงที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 18:24, ล.ม.) ขณะที่พระเยซูอยู่บนแผ่นดินโลก พระองค์ตรัสแก่ผู้นำศาสนาในเยรูซาเลมว่า พวกเขาต้องให้การเนื่องด้วย “บรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก, ตั้งแต่โลหิตของเฮเบลผู้ชอบธรรม” เป็นต้นมา. แล้วก็เป็นตามนั้น คนชั่วอายุที่ชั่วช้านั้นถูกทำลายในปีสากลศักราช 70. (มัดธาย 23:35-38) สมัยนี้ นักศาสนาอีกชั่วอายุหนึ่งต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดฐานฆ่าคนเนื่องจากเขาได้ข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้า.
15. คริสตจักรคาทอลิกในเยอรมนีสมัยนาซีมีความผิดฐานฆ่าคนในสองกระทงอย่างไร?
15 กุนเทอร์ ลูอี เขียนในหนังสือของเขาชื่อคริสตจักรคาทอลิกกับเยอรมนีสมัยนาซี (ภาษาอังกฤษ) ว่า “เมื่อพยานพระยะโฮวาถูกห้ามในบาวาเรียเมื่อวันที่ 13 เมษายน [1933] คริสตจักรถึงกับรับปฏิบัติงานซึ่งกระทรวงการศึกษาและศาสนามอบหมายให้รายงานเกี่ยวกับสมาชิกพยานฯซึ่งยังคงปฏิบัติกิจทางศาสนาที่ทางการได้สั่งห้าม.” ด้วยวิธีนี้เอง คริสตจักรคาทอลิกจึงร่วมรับผิดชอบในการส่งพยานฯหลายพันคนไปยังค่ายกักกัน มือของเขาเปรอะเปื้อนเลือดพยานฯหลายร้อยคนที่ถูกประหารชีวิต. เมื่อพยานฯหนุ่ม เช่น วิลเฮล์ม คุสเซโรว์ แสดงให้เห็นว่า เขาสามารถตายอย่างองอาจโดยการถูกยิงเป้า, ฮิตเลอร์จึงตัดสินใจว่า การยิงเป้านั้นดีเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่ยอมเป็นทหารเนื่องด้วยสติรู้สึกผิดและชอบ ฉะนั้น โวล์ฟกัง น้องชายวัย 20 ของวิลเฮล์มจึงถูกประหารด้วยเครื่องกิโยตีน. ในเวลาเดียวกัน คริสตจักรคาทอลิกได้ปลุกใจเยาวชนคาทอลิกชาวเยอรมันให้ตายในกองทัพเพื่อปิตุภูมิ. ความผิดฐานฆ่าคนของคริสตจักรก็แจ้งชัดอยู่แล้ว!
16, 17. (ก) ความผิดฐานฆ่าคนในประการใดที่ต้องคิดเอากับบาบิโลนใหญ่ และวาติกันมามีความผิดฐานฆ่าคนอย่างไรเกี่ยวกับชาวยิวที่ตายในการสังหารหมู่โดยพวกนาซี? (ข) ทางหนึ่งซึ่งศาสนาเท็จพึงถูกกล่าวโทษเนื่องจากการฆ่าผู้คนนับล้าน ๆ ในสงครามหลายร้อยครั้งในปัจจุบันคืออะไร?
16 อย่างไรก็ดี คำพยากรณ์บอกว่า เลือดของ “คนทั้งปวง ที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก” ต้องคิดบัญชีเอาจากบาบิโลนใหญ่. นั่นเป็นความจริงแท้แน่นอนในสมัยปัจจุบัน. ยกตัวอย่าง เนื่องจากพวกคาทอลิกใช้แผนชั่วช่วยฮิตเลอร์อย่างลับ ๆ ให้ขึ้นสู่อำนาจในเยอรมนี สำนักวาติกันย่อมมีส่วนร่วมในการทำผิดอันน่าสยดสยองฐานฆ่าคนซึ่งเกี่ยวกับชาวยิวหกล้านคนที่เสียชีวิตในการสังหารหมู่โดยพวกนาซี. ยิ่งกว่านั้น ในสมัยของเรา ผู้คนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านถูกฆ่าในสงครามหลายร้อยครั้ง. ควรจะกล่าวโทษศาสนาเท็จในเรื่องนี้ไหม? ใช่ ในสองทางด้วยกัน.
17 ทางหนึ่งคือ สงครามหลายครั้งมักเกี่ยวเนื่องกับความแตกต่างด้านศาสนา. ตัวอย่างเช่น ความรุนแรงในอินเดียระหว่างชาวมุสลิมกับชาวฮินดูเมื่อปี 1946-1948 ถูกกระตุ้นด้วยเรื่องทางศาสนา. มีผู้เสียชีวิตหลายแสนคน. ความขัดแย้งระหว่างอิรักกับอิหร่านในช่วงทศวรรษ 1980 นั้นเกี่ยวข้องกับความแตกต่างทางนิกาย หลายแสนคนถูกฆ่า. ความรุนแรงระหว่างพวกคาทอลิกกับฝ่ายโปรเตสแตนต์ในไอร์แลนด์เหนือทำให้มีผู้เสียชีวิตนับพัน ๆ คน. เมื่อสำรวจเรื่องนี้ นักเขียนคอลัมน์ชื่อ ซี. แอล. ซัลซ์เบอร์เกอร์ได้กล่าวเมื่อปี 1976 ดังนี้: “มันเป็นความจริงอันน่าหดหู่ใจที่ว่า ครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าครึ่งของสงครามที่สู้รบกันอยู่ทั่วโลกขณะนี้นั้น ถ้าไม่ใช่การขัดแย้งทางศาสนาอย่างโจ่งแจ้งก็พัวพันกับกรณีพิพาททางศาสนา.” อันที่จริง เป็นอย่างนั้นตลอดมาในประวัติศาสตร์ที่ชุลมุนวุ่นวายของบาบิโลนใหญ่.
18. ทางที่สองซึ่งศาสนาทั้งหลายของโลกมีความผิดฐานฆ่าคนคืออะไร?
18 ทางที่สองได้แก่อะไร? จากทัศนะของพระยะโฮวา ศาสนาต่าง ๆ ของโลกมีความผิดฐานฆ่าคน เพราะเขาไม่ได้สอนศาสนิกชนของตนด้วยการให้เหตุผลที่น่าเชื่อถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องจากผู้รับใช้ของพระองค์. พวกเขาไม่ได้สอนประชาชนด้วยการให้เหตุผลที่น่าเชื่อว่า ผู้นมัสการแท้ของพระเจ้าต้องเลียนแบบพระเยซูคริสต์และแสดงความรักต่อผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงต้นกำเนิดทางเชื้อชาติของเขา. (มีคา 4:3, 5; โยฮัน 13:34, 35; กิจการ 10:34, 35; 1 โยฮัน 3:10-12) เนื่องจากศาสนาต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นบาบิโลนใหญ่ไม่ได้สอนสิ่งเหล่านี้ ศาสนิกชนของเขาจึงถูกดึงเข้าไปพัวพันในสงครามระหว่างนานาชาติ. เรื่องนี้เห็นได้ชัดเพียงไรในสงครามโลกทั้งสองครั้งในช่วงห้าสิบปีแรกของศตวรรษที่ 20 ซึ่งทั้งสองครั้งได้เริ่มขึ้นในคริสต์ศาสนจักรและยังผลด้วยการเข่นฆ่ากันระหว่างผู้เลื่อมใสศาสนาด้วยกัน! ถ้าทุกคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนได้ยึดถือหลักการแห่งคัมภีร์ไบเบิล สงครามเหล่านั้นคงไม่เกิดขึ้น.
19. ความผิดอันร้ายกาจฐานฆ่าคนที่บาบิโลนแบกไว้คืออะไร?
19 พระยะโฮวาทรงถือว่า บาบิโลนใหญ่ต้องรับผิดชอบต่อการนองเลือดทั้งปวงนั้น. หากผู้นำศาสนา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสต์ศาสนจักร ได้สอนผู้คนให้รู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิล การนองเลือดใหญ่โตเช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้น. ดังนั้น ตามจริงแล้ว ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม บาบิโลนใหญ่—หญิงแพศยาคนสำคัญและจักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จ—ต้องให้การต่อพระยะโฮวา ไม่เพียงสำหรับ “เลือดของผู้พยากรณ์ ผู้บริสุทธิ์” ซึ่งนางได้ข่มเหงและฆ่าเท่านั้น แต่สำหรับเลือดของ “คนทั้งปวง ที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก” ด้วย. แท้จริง บาบิโลนใหญ่แบกความผิดอันร้ายกาจฐานฆ่าคน. จะเป็นที่โล่งใจยินดีเมื่อความพินาศเด็ดขาดเกิดขึ้นกับเมืองนี้!
[กรอบหน้า 270]
ความเสียหายจากการยอมอะลุ่มอล่วย
กุนเทอร์ ลูอี เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อคริสตจักรคาทอลิกกับเยอรมนีสมัยนาซี ว่า “ถ้าชาวเยอรมันที่เป็นคาทอลิกยืนหยัดต่อต้านระบอบนาซีเสียแต่แรกเริ่มแล้ว ประวัติศาสตร์โลกก็คงได้เป็นไปในแนวทางที่ต่างออกไป. แม้ว่าถ้าการต่อสู้นี้จะได้ล้มเหลวในการเอาชนะฮิตเลอร์และในการป้องกันอาชญากรรมของเขาโดยสิ้นเชิง การต่อสู้ก็คงจะได้ยกระดับฐานะอันมีเกียรติทางศีลธรรมของคริสตจักรอย่างมากมายเหลือจะนับได้. การเสียสละในด้านชีวิตมนุษย์แห่งการต่อต้านเช่นนั้นคงมากมายอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่การเสียสละเหล่านี้คงได้ทำไปเพื่อเป้าประสงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด. ด้วยการไม่ได้รับความเชื่อถือจากพลเมือง ฮิตเลอร์คงไม่กล้าเข้าสู่สงครามและหลายล้านชีวิตก็คงได้รับการช่วยไว้จริง ๆ. . . . คราวที่ชาวเยอรมันหลายพันคนซึ่งต่อต้านลัทธินาซีถูกทรมานถึงตายในค่ายกักกันของฮิตเลอร์ คราวที่ปัญญาชนชาวโปแลนด์ถูกสังหาร คราวเมื่อชาวรัสเซียหลายแสนคนเสียชีวิตเนื่องจากถูกถือว่าเป็นชาวสลาฟ [ซึ่งถูกถือว่าต่ำชั้นกว่ามนุษย์] และคราวที่มนุษย์ 6,000,000 คนถูกสังหารเนื่องจากเป็นคนที่ ‘ไม่ใช่อารยัน’ นั้น พวกเจ้าหน้าที่คริสตจักรคาทอลิกในเยอรมนีได้สนับสนุนระบอบซึ่งก่ออาชญากรรมเหล่านี้. โปปแห่งโรม ผู้นำด้านศาสนาและอาจารย์ทางศีลธรรมคนสำคัญที่สุดของคริสตจักรโรมันคาทอลิกได้ปิดปากเงียบ.”—หน้า 320, 341.
[ภาพหน้า 268]
ผู้ปกครองทั้งหลายกล่าวว่า “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
[ภาพหน้า 268]
พวกพ่อค้ากล่าวว่า “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”