การพิพากษาของพระเจ้าต่อสู้“คนนอกกฎหมาย”
“ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องฟันทิ้งเสียในไฟ.”—มัดธาย 7:19.
1, 2. คนนอกกฎหมายคืออะไร และเกิดขึ้นอย่างไร?
คราวที่อัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้พยากรณ์เรื่องการปรากฏตัวของ “คนนอกกฎหมาย” ท่านได้บอกว่า “คนนอกกฎหมาย” นั้น เริ่มปรากฏตัวในสมัยนั้นอยู่แล้ว. ดังชี้แจงไว้ในบทความก่อนหน้านี้ เปาโลกล่าวถึงคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีให้เกิดการออกหากจากศาสนาคริสเตียนแท้. การหันเหไปจากความจริงครั้งนั้นเริ่มขึ้นปลายศตวรรษที่หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการตายของอัครสาวกคนสุดท้าย. ชนชั้นคนนอกกฎหมายนี้ได้นำเอาหลักคำสอนพร้อมทั้งกิจปฏิบัติต่าง ๆ ซึ่งขัดต่อพระวจนะของพระเจ้าเข้ามา.—2 เธซะโลนิเก 2:3, 7; กิจการ 20:29, 30; 2 ติโมเธียว 3:16, 17; 4:3, 4.
2 ในเวลาต่อมา ชนชั้นคนนอกกฎหมายนี้ได้กลายเป็นนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร. จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งจักรวรรดิโรมันสมัยศตวรรษที่สี่ได้ส่งเสริมอำนาจของเขาให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น เมื่อคริสต์จักรที่ออกหากนำตัวเองเข้าประสานกับฝ่ายรัฐนอกรีต. ขณะที่คริสต์ศาสนจักรแยกเป็นนิกายอยู่เรื่อย ๆ ชนชั้นหัวหน้าศาสนายกตัวเองสูงกว่าคนธรรมดา และบ่อยครั้ง ยกตัวสูงกว่าผู้ปกครองประเทศเสียด้วยซ้ำ.—2 เธซะโลนิเก 2:4.
3. บั้นปลายของคนนอกกฎหมายจะเป็นอย่างไร?
3 บั้นปลายของคนนอกกฎหมายจะเป็นประการใด? เปาโลบอกไว้ล่วงหน้าว่า “คนนอกกฎหมายจะถูกเปิดเผย ผู้ซึ่งพระเยซูเจ้าจะทรงกำจัดเสีย . . . และจะทรงผลาญให้สิ้นสูญไปโดยการสำแดงการประทับของพระองค์.” (2 เธซะโลนิเก 2:8, ล.ม.) ทั้งนี้หมายความว่า ความพินาศของนักศาสนาจะมีมาในคราวที่พระเจ้าทรงทำลายระบบของซาตานให้หมดสิ้น. พระเจ้าจะทรงใช้พระเยซูคริสต์มหากษัตริย์ในสวรรค์นำกองกำลังทูตสวรรค์ในการสำเร็จโทษ. (2 เธซะโลนิเก 1:6-9; วิวรณ์ 19:11-21) นักศาสนาต้องได้ประสบบั้นปลายเช่นนี้ เพราะพวกเขาดูหมิ่นพระเจ้าและพระคริสต์ ทั้งได้ชักนำผู้คนหลายล้านออกไปจากการนมัสการแท้.
4. คนนอกกฎหมาย จะถูกตัดสินโดยอาศัยหลักการอะไร?
4 พระเยซูทรงวางหลักการไว้ซึ่งจะเป็นเครื่องตัดสินคนนอกกฎหมายโดยตรัสว่า “จงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า. ท่านจะรู้จักเขาเพราะผลของเขา. เขาเคยเก็บผลองุ่นจากต้นระกำหรือ? เขาเคยเก็บผลมะเดื่อจากต้นไม่มีหนามหรือ? ดังนั้นแหละ ต้นไม้ดีทุกต้นก็ย่อมเกิดผลดี ต้นไม้ชั่วก็ย่อมเกิดผลชั่ว ต้นไม้ดีจะเกิดผลชั่วก็ไม่ได้ หรือต้นไม้ชั่วจะเกิดผลดีก็ไม่ได้. ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องฟันทิ้งเสียในไฟ. . . . มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในเมืองสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้อยู่ในสวรรค์นั้นจึงจะเข้าได้.”—มัดธาย 7:15-21; โปรดอ่านติโต 1:16; 1 โยฮัน 2:17 ด้วย.
การบังเกิดผลที่ดีของคริสเตียน
5. อะไรคือรากฐานเพื่อการบังเกิดผลดีของคริสเตียน และพระบัญญัติข้อหลักคืออะไร?
5 รากฐานเพื่อการเกิดผลของคริสเตียนก็แจ้งไว้แล้วที่ 1 โยฮัน 5:3 (ล.ม.) ดังนี้: “เพราะนี่แหละหมายถึงการรักพระเจ้า คือให้เรารักษาบัญญัติของพระองค์.” และบัญญัติข้อหลักคือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.” (มัดธาย 22:39) ดังนั้น ผู้รับใช้แท้ของพระเจ้าจึงต้องรักเพื่อนบ้านโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของเขา.—มัดธาย 5:43-48; โรม 12:17-21.
6. คริสเตียนต้องสำแดงความรักต่อผู้ใดโดยเฉพาะ?
6 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องแสดงความรักต่อคนเหล่านั้นที่เป็นพี่น้องฝ่ายวิญญาณ. “ถ้าผู้ใดว่า ‘ข้าพเจ้ารักพระเจ้า’ และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา. เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้. พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย.” (1 โยฮัน 4:20, 21, ฉบับแปลใหม่) พระเยซูตรัสว่า ความรักอย่างนั้นจะเป็นเครื่องหมายชี้ตัวคริสเตียนแท้ที่ว่า “คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่า เจ้าเป็นเหล่าสาวกของเราก็เพราะว่า เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน.”—โยฮัน 13:35; โปรดดูโรม 14:19; ฆะลาเตีย 6:10; 1 โยฮัน 3:10-12 ด้วย.
7. ชนคริสเตียนแท้ทั่วโลกถูกผูกพันกันไว้อย่างไร?
7 ความรักฉันพี่น้องเป็น “กาว” ซึ่งผูกพันผู้รับใช้ของพระเจ้าให้เป็นเอกภาพ อย่างที่ว่า “จงสวมตัวท่านด้วยความรัก เพราะความรักเป็นเครื่องเชื่อมสามัคคีที่ดีพร้อม.” (โกโลซาย 3:14, ล.ม.) และคริสเตียนแท้ต้องเป็นเอกภาพร่วมกับพี่น้องของตนทั่วโลก เพราะมีคำสั่งในพระวจนะของพระเจ้าดังนี้ “พวกท่านทุกคนควรพูดจาปรองดองกัน . . . ไม่ควรมีการแบ่งแยกกันในท่ามกลางท่าน . . . ให้ท่านสามัคคีกัน มีน้ำใจอย่างเดียวกัน และมีความคิดในแนวเดียวกัน.” (1 โกรินโธ 1:10, ล.ม.) เพื่อจะผดุงความรักและเอกภาพได้ในขอบข่ายที่ใหญ่โตทั่วโลก ผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องรักษาตัวเป็นกลางในด้านการเมืองของโลกนี้. พระเยซูตรัสว่า “เขาไม่อยู่ฝ่ายโลก เหมือนข้าพเจ้าไม่อยู่ฝ่ายโลก.”—โยฮัน 17:16.
8. พระเยซูทรงแสดงให้เห็นอย่างไรถึงสิ่งที่คริสเตียนพึงต้องทำ?
8 พระเยซูแสดงให้เห็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของพระองค์เมื่อเปโตรใช้ดาบฟันหูเจ้าหน้าที่ที่กรูเข้ามาจับพระองค์. พระเยซูสนับสนุนการใช้กำลังแบบนั้นไหม แม้จะได้กระทำไปเพื่อจะปกป้องพระบุตรของพระเจ้าจากฝ่ายต่อต้าน? หามิได้ แต่พระองค์ตรัสแก่เปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย.” (มัดธาย 26:52) ฉะนั้น คริสเตียนแท้ไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ของชาติต่าง ๆ หรือการทำให้โลหิตมนุษย์ตกไม่ว่าโดยวิธีใด แม้ว่าการปฏิเสธเพื่อยืนหยัดแสดงฐานะความเป็นกลางเช่นนั้นทำให้เขาต้องตาย ดังที่เคยเป็นมาแล้วในศตวรรษต่าง ๆ กระทั่งในสมัยนี้ด้วย. คริสเตียนตระหนักดีว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าภายใต้พระคริสต์เท่านั้นจะกำจัดสงคราม และการนองเลือดให้หมดไปตลอดกาล.—บทเพลงสรรเสริญ 46:9; มัดธาย 6:9, 10; 2 เปโตร 3:11-13.
9. (ก) ประวัติศาสตร์บอกถึงเรื่องคริสเตียนสมัยแรกไว้อย่างไร? (ข) เรื่องนี้ผิดแผกไปจากคริสต์ศาสนจักรอย่างไร?
9 ประวัติศาสตร์ยืนยันว่า คริสเตียนในศตวรรษแรกไม่ยอมฆ่ามนุษย์ให้โลหิตไหล. อดีตศาสตราจารย์สาขาเทววิทยา ปีเตอร์ เดโรซา จากอังกฤษเขียนดังนี้: “การฆ่ามนุษย์ให้โลหิตไหลเป็นบาปใหญ่หลวง. เพราะเหตุนี้คริสเตียนจึงไม่เห็นด้วยกับการให้คนต่อสู้กันเพื่อความสนุกสนานของสาธารณชน. . . . ถึงแม้สงครามและการใช้กำลังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาโรมให้คงอยู่ แต่คริสเตียนรู้ตัวว่า ไม่อาจจะร่วมในการเช่นนั้น. . . . คริสเตียน เช่นเดียวกันกับพระเยซู คือถือว่า ตนเป็นผู้ประกาศข่าวสันติภาพ เขาจะเป็นฝ่ายทำให้คนอื่นถึงแก่ชีวิตไม่ได้ ไม่ว่าในสภาพการณ์ใด ๆ.” ในทางตรงกันข้าม ศาสนาต่าง ๆ ซึ่งไม่ปรองดองกันในคริสต์ศาสนจักร์ได้ละเมิดบัญญัติที่ให้รักและได้ทำการประหัตประหารกันเป็นเหตุให้โลหิตตกอย่างมากมาย. พวกเขาหาใช่ผู้ประกาศข่าวสันติสุข แต่เป็นฝ่ายทำให้คนอื่นถึงแก่ชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า.
บาบูโลนใหญ่มีความผิดฐานทำให้โลหิตตก
10. บาบูโลนใหญ่คืออะไร? และเหตุใดจึงถูกเรียกเช่นนั้น?
10 ซาตานเป็น “ผู้ครองโลก” เป็น “พระเจ้าแห่งระบบนี้.” (โยฮัน 12:31; 2 โกรินโธ 4:4, ล.ม.) ส่วนหนึ่งแห่งโลกซาตานได้แก่ระบบศาสนาเท็จที่ครอบคลุมอยู่ทั่วโลกซึ่งซาตานได้สร้างเสริมขึ้นมาเรื่อย ๆ นานหลายศตวรรษ นับรวมเอาคริสต์ศาสนจักรและนักเทศน์นักบวชด้วย. พระคัมภีร์เรียกระบบศาสนาเท็จนี้ว่า “บาบูโลนใหญ่ แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย [ฝ่ายวิญญาณ] และเป็นแม่สิ่งของทั้งปวงที่น่าอุจาดแห่งแผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 17:5) รากเหง้าของศาสนาเท็จสมัยนี้สืบมาจากเมืองบาบูโลนโบราณ ซึ่งผสมผเสเข้ากับศาสนาเท็จและหลักคำสอนและกิจปฏิบัติต่าง ๆ ที่ทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียพระเกียรติ. นี้แหละคือเหตุผลที่คู่เทียบบาบูโลนโบราณได้ฉายาว่าบาบูโลนใหญ่ จักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จ.
11. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงบาบูโลนใหญ่อย่างไร และเพราะเหตุใด?
11 เกี่ยวกับบาบูโลนในแง่ศาสนานี้ พระวจนะของพระเจ้าเผยว่า “ในเมืองนั้นเขาได้พบโลหิตของพวกผู้พยากรณ์และพวกสิทธชน และโลหิตของคนทั้งปวงที่ถูกฆ่าเสียที่แผ่นดินโลก.” (วิวรณ์ 18:24) ศาสนาทั้งหลายของโลกจะรับผิดชอบอย่างไรต่อโลหิตของบรรดาคนที่ถูกฆ่า? โดยที่บรรดาศาสนาเหล่านั้น—นิกายต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักรและศาสนาอื่นก็เช่นกัน—ได้ให้การสนับสนุน ไม่เอาโทษหรือกระทั่งนำหน้าในการสู้รบระหว่างชาติต่าง ๆ ด้วยซ้ำ นอกจากนั้น พวกเขายังได้ข่มเหงและสังหารผู้คนที่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา.
ประวัติแห่งการหลู่เกียรติพระเจ้า
12. เหตุใดพวกนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรจึงน่าประณามยิ่งกว่าพวกผู้นำศาสนาอื่น ๆ?
12 นักศาสนาแห่งคริสต์ศาสนจักรพึงได้รับการประณามยิ่งเสียกว่าพวกผู้นำศาสนาอื่น ๆ ในเรื่องการทำให้โลหิตตก. ทำไม? เพราะนอกเหนือจากการกระทำของเขาซึ่งมักจะอ้างว่าทำในนามของพระเจ้าแล้ว เขายังได้อ้างพระนามของพระคริสต์ด้วย. ดังนั้น เขาผูกมัดตัวเองที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซู. (โยฮัน 15:10-14) แต่เขาหาได้กระทำไม่ และจึงเป็นสาเหตุที่พระเจ้าและพระคริสต์ได้รับคำตำหนิติเตียน. ความรับผิดชอบต่อการทำให้โลหิตตกของผู้นำศาสนานั้นมีทั้งโดยตรง เช่น สงครามครูเสด สงครามอื่น ๆ ในนามศาสนา การตั้งศาลศาสนาและการข่มเหง และโดยทางอ้อม ด้วยการไม่เอาโทษหรือไม่ถือสาเมื่อศาสนิกชนในประเทศหนึ่งฆ่าเพื่อนมนุษย์อีกชาติหนึ่ง.
13. พวกนักเทศน์นักบวชต้องรับผิดชอบในเรื่องอะไรนับจากศตวรรษที่ 11 ถึง 13?
13 ตัวอย่างเช่น ระหว่างศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 13 นักเทศน์นักบวชในคริสต์ศาสนจักรเริ่มนำพลรบเข้าสู่สงครามครูเสด. การทำเช่นนี้ก่อให้เกิดการนองเลือดอันน่าสยดสยองและการปล้นที่อ้างว่าทำในนามของพระเจ้าและพระคริสต์. คนนับแสนต้องเสียชีวิต. สงครามครูเสดนี้เองทำให้เด็กหลายพันคนที่ไม่ประสีประสาถูกฆ่า เนื่องจากเขาถูกเกณฑ์ให้ร่วมกองทัพเด็กปีสากลศักราช 1212.
14, 15. นักเขียนชาวคาทอลิกคนหนึ่งให้ความเห็นไว้อย่างไรเกี่ยวด้วยสิ่งที่คริสต์จักรคาทอลิกนำเข้ามาในศตวรรษที่ 13?
14 ในศตวรรษที่ 13 คริสต์จักรนิกายโรมันคาทอลิกเห็นพ้องกับการงานอันน่าสยดสยองอีกอย่างหนึ่ง—คือศาลศาสนา. เริ่มแรกก็ใช้ในยุโรป แล้วแพร่ไปถึงอเมริกา ศาลศาสนาดำรงอยู่นานกว่าหกศตวรรษ. ศาลนี้ได้ถูกตั้งขึ้นมาและได้รับการสนับสนุนโดยสถาบันสันตะปาปา เป็นการพยายามใช้วิธีการทรมาน เพื่อกำจัดทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับคริสต์จักร. ขณะที่ก่อนหน้านั้นคริสต์จักรเคยกดขี่ข่มเหงคนนอกศาสนาคาทอลิกอยู่แล้ว ศาลศาสนาก็ยิ่งใช้อำนาจครอบคลุมในขอบเขตกว้างขวางมากขึ้น.
15 ปีเตอร์ เดโรซา ซึ่งบอกว่าตนเป็นคาทอลิกผู้รักชาติ ได้พูดในหนังสือที่เขาเรียบเรียงขึ้น [ภาษาอังกฤษ] ชื่อวิคารส์ ออฟ ไครสท์—เดอะ ดาร์ค ไซด์ ออฟ เดอะ ปาปาซี: (ผู้แทนพระคริสต์—ด้านมืดแห่งสถาบันสันตะปาปา) “คริสต์จักรพึงรับผิดชอบสำหรับการข่มเหงพวกยิว การตั้งศาลศาสนา การผลาญชีวิตคนนอกศาสนานับพัน ๆ การนำวิธีทรมานคนไปใช้ในยุโรปว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งขบวนการพิจารณาคดี. . . . สันตะปาปาแต่งตั้งหรือถอดถอนกระทั่งจักรพรรดิ สั่งจักรพรรดิบังคับขู่เข็ญราษฎรให้เปลี่ยนมาถือศาสนาคริสเตียน หาไม่แล้วจะถูกทรมานและต้องตาย. . . . ความเสียหายต่อกิตติคุณร้ายกาจน่ากลัวจริง ๆ.” “ความผิด” อย่างเดียวแท้ ๆ ของบางคนที่ถูกฆ่าคือเขามีพระคัมภีร์อยู่ในครอบครอง.
16, 17. มีการให้ความเห็นไว้อย่างไรบ้างเกี่ยวกับศาลศาสนา?
16 เกี่ยวกับสันตะปาปา อินโนเซนต์ที่สาม ตอนต้นศตวรรษที่สิบสาม เดโรซากล่าวอย่างนี้: “เป็นที่ทราบกันว่า การข่มเหงครั้งสุดท้ายและป่าเถื่อนที่สุดในสมัยจักรพรรดิ [โรมัน] ดิโอเคลเตียน [ศตวรรษที่สาม] คริสเตียนทั่วโลกถูกสังหารประมาณสองพันคน. ในกรณีที่สันตะปาปา อินโนเซนต์ปราบปราม [คนนอกศาสนาในฝรั่งเศส] อย่างโหดร้าย ครั้งแรกนั้นมีคนถูกฆ่ามากถึงสิบเท่า. . . . มันเป็นเรื่องน่าตกใจเมื่อรู้ว่า สันตะปาปาได้ฆ่าคริสเตียนพร้อมกันในคราวเดียวมากกว่าที่ดิโอเคลเตียนฆ่า. . . . [อินโนเซนต์] ไม่เคยนึกประหวั่นพรั่นพรึงเลยที่ได้อ้างนามพระคริสต์ทำทุกสิ่งซึ่งพระคริสต์ทรงคัดค้าน.”
17 เดโรซา ตั้งข้อสังเกตว่า “ในนามของสันตะปาปา [พวกที่พิจารณาคดีในศาลศาสนา] ต้องรับผิดชอบสำหรับทารุณกรรมอย่างป่าเถื่อนที่สุดและนานที่สุดในประวัติศาสตร์ต่อศักดิ์ศรีของมนุษย์.” เกี่ยวกับทอร์เคมาดา เจ้าหน้าที่ศาลศาสนาแห่งนิกายโดมิดิกันในสเปนนั้น ผู้เขียนบอกว่า เขาถูกแต่งตั้งเมื่อปี 1483 ทำการตัดสินอย่างโหดเหี้ยมทารุณตลอดเวลาสิบห้าปี. เหยื่อของเขามีจำนวนมากกว่า 114,000 และจากจำนวนนี้ 10,220 ถูกเผาทั้งเป็น.”
18. นักเขียนคนหนึ่งพรรณนาลักษณะของศาลศาสนาไว้อย่างไร และเขาให้เหตุผลอย่างไรถึงการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของศาลศาสนามาตลอดกว่าหกศตวรรษ?
18 นักเขียนผู้นี้สรุปว่า “ประวัติของศาลศาสนาคงเป็นเรื่องน่าละอายไม่ว่าสำหรับองค์การใด สำหรับคริสต์จักรคาทอลิกแล้ว มันเป็นการเสียชื่ออย่างที่จะกู้คืนไม่ได้. . . . สิ่งที่ประวัติศาสตร์เผยให้เห็นคือ ตลอดเวลาอันยาวนานไม่ว่างเว้นกว่าหกศตวรรษ สถาบันสันตะปาปาเป็นศัตรูที่จองล้างจองผลาญความยุติธรรมพื้นฐาน. บรรดาสันตะปาปาทั้งแปดสิบองค์ที่ปกครองต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสาม ไม่มีแม้แต่องค์เดียวคัดค้านหลักเทววิทยาและเครื่องมือที่ศาลศาสนาใช้. ตรงกันข้าม สันตะปาปาองค์แล้วองค์เล่าต่างก็เพิ่มความโหดเหี้ยมของตัวเองในการใช้เครื่องมือประหาร. สิ่งลึกลับคือ: สันตะปาปาดำเนินงานซึ่งค้านกับหลักของศาสนาอย่างต่อเนื่องกันมาตลอดยุคต่าง ๆ ได้อย่างไร? พวกเขาปฏิเสธกิตติคุณของพระเยซูได้อย่างไรในทุกแง่ทุกมุม?” เขาให้คำตอบดังนี้: “สันตะปาปาพอใจจะคัดค้านกิตติคุณยิ่งเสียกว่าคัดค้านสันตะปาปาองค์ก่อน ๆ ซึ่ง ‘ไม่ผิดพลาด’ เพราะถ้าคัดค้านก็จะทำให้สถาบันสันตะปาปาเสื่อม.”
19. การนอกกฎหมายอะไรอื่นอีกที่มีการยินยอมให้โดยพวกนักเทศน์นักบวช?
19 การนอกกฎหมายอีกส่วนหนึ่งที่พวกนักเทศน์นักบวชได้กระทำคือ ระบบทาสอันทารุณ. ชาติต่าง ๆ แห่งคริสต์จักรได้จับชาวแอฟริกันหลายพันคน นำพวกเขาไปไกลจากแผ่นดินเกิด และกระทำต่อพวกเขาอย่างโหดร้ายทารุณทั้งทางกายและใจในฐานะเป็นทาสอยู่นานหลายศตวรรษ. มีพวกนักเทศน์นักบวชค่อนข้างน้อยที่คัดค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง. พวกเขาบางคน กระทั่งยังอ้างว่า นั่นคือพระประสงค์ของพระเจ้า.—ดูมัดธาย 7:12.
ความผิดฐานทำให้โลหิตตกในศตวรรษที่ยี่สิบ
20. ความผิดฐานทำให้โลหิตตกของคนนอกกฎหมายได้มาถึงขั้นร้ายแรงที่สุดอย่างไรในศตวรรษนี้?
20 ความผิดฐานทำให้โลหิตตกของคนนอกกฎหมายได้มาถึงขั้นร้ายแรงที่สุดในศตวรรษนี้. พวกนักเทศน์นักบวชได้ให้การสนับสนุนการสงครามที่ได้พรากเอาหลายสิบล้านชีวิตไป เป็นการสงครามที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์. พวกเขาสนับสนุนทั้งสองฝ่ายในสงครามโลกทั้งสองครั้ง ซึ่งประชาชนของทั้งสองฝ่ายนับถือศาสนาเดียวกัน “พี่น้อง” เข่นฆ่ากัน. ยิ่งกว่านั้น ในสงครามโลกที่สอง ชาวอเมริกันและฝรั่งเศสซึ่งเป็นคาทอลิกฆ่าชาวเยอรมันและอิตาลีซึ่งก็เป็นคาทอลิก. ชาวอังกฤษและอเมริกันซึ่งเป็นโปรเตสแตนท์ ฆ่าชาวเยอรมันซึ่งก็เป็นโปรเตสแตนท์. บางครั้ง เขาฆ่าคนซึ่งไม่เพียงแค่นับถือศาสนาเดียวกัน แต่ยังมีเชื้อสายเดียวกันด้วย. สงครามโลกทั้งสองครั้งระเบิดขึ้นในใจกลางของพวกคริสต์ศาสนจักรเอง และสงครามเหล่านั้นคงเกิดขึ้นไม่ได้หากพวกนักเทศน์นักบวชได้เชื่อฟังพระบัญญัติที่ว่าให้รัก และสอนบรรดาสาวกให้รักกัน.
21. แหล่งข่าวต่าง ๆ ได้กล่าวไว้อย่างไรบ้างเกี่ยวกับการเกี่ยวข้องของพวกนักเทศน์นักบวชในการสงคราม?
21 เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ให้การยืนยันว่า “ในอดีต คณะปกครองสงฆ์ของคริสต์จักรคาทอลิกประจำชาติได้ให้การสนับสนุนการสงครามของประเทศของตนแทบทุกครั้ง ให้พรกองทหารและอธิษฐานเพื่อชัยชนะ ขณะที่คณะบิชอปของอีกฝ่ายก็อธิษฐานอย่างเปิดเผยเพื่อให้ผลของสงครามเป็นในทางตรงข้าม. . . . ความขัดกันระหว่างน้ำใจแบบคริสเตียนกับการทำสงคราม . . . ดูยิ่งชัดเจนขึ้นแก่หลายคน ขณะที่อาวุธมีอานุภาพร้ายแรงขึ้น.” และยู. เอส. นิวส์ แอนด์ เวิร์ลด์ รีพอร์ต ให้ข้อสังเกตว่า “ชื่อเสียงเกียรติคุณของศาสนาคริสเตียนในโลกได้เสียหายอย่างร้ายแรงโดยการที่ชาติที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนได้ใช้ความรุนแรงบ่อย ๆ.”
22. พวกนักเทศน์นักบวชสมัยนี้ยังต้องรับผิดชอบในเรื่องใดอีก?
22 อนึ่ง ขณะที่ไม่มีศาลศาสนาของทางการในปัจจุบันนี้ พวกนักเทศน์นักบวชได้ใช้อำนาจรัฐในการกดขี่ข่มเหง “พวกผู้พยากรณ์” และ “เหล่าผู้บริสุทธิ์” ผู้ซึ่งต่างไปจากพวกเขา. พวกเขาบีบคั้นผู้นำทางการเมืองให้พยายามก่อความยากลำบากโดยใช้กฎหมาย. โดยวิธีนี้ พวกเขาได้ทำหรือยอมให้กับการห้าม การจำคุก ทุบตี ทรมานและกระทั่งทำให้ถึงตายต่อเหล่าผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าในศตวรรษนี้.—วิวรณ์ 17:6; บทเพลงสรรเสริญ 94:20.
ถูกเรียกมาคิดบัญชี
23. เพราะเหตุใดพระเจ้าจึงจะเรียกคนนอกกฎหมายมาคิดบัญชี?
23 เป็นความจริงที่ว่า ในศาสนาเท็จมีการพบโลหิตของผู้พยากรณ์ เหล่าผู้บริสุทธิ์ และบรรดาคนเหล่านั้นที่ถูกสังหารที่แผ่นดินโลก. (วิวรณ์ 18:24) เนื่องจากการทำให้โลหิตตกที่เลวร้ายที่สุดได้บังเกิดขึ้นในคริสต์ศาสนจักร ความผิดของพวกนักเทศน์นักบวชจึงร้ายแรงที่สุด. เหมาะสมจริง ๆ ที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกพวกเขาว่า “คนนอกกฎหมาย”! แต่พระคำของพระเจ้ายังบอกไว้ด้วยว่า “อย่าหลงเลย จะหลอกพระเจ้าเล่นไมได้ เพราะว่าคนใดหว่านพืชอย่างใดลง ก็จะเกี่ยวเก็บผลอย่างนั้น.” (ฆะลาเตีย 6:7) ฉะนั้น พระเจ้าจะทรงเรียกพวกนักเทศน์นักบวชที่ทำการนอกกฎหมายมาคิดบัญชี.
24. เหตุการณ์สะเทือนโลกอะไรจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้?
24 พระเยซูตรัสว่า “จงไปให้พ้นจากเรา เจ้าทั้งหลายผู้ละเมิดกฎหมาย.” (มัดธาย 7:23, ล.ม.) และพระองค์ทรงแถลงว่า “ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องฟันทิ้งเสียในไฟ.” (มัดธาย 7:19) เวลาแห่งความพินาศอันรุนแรงของคนนอกกฎหมาย พร้อมทั้งศาสนาเท็จทั้งหมดคืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อส่วนสำคัญทางการเมืองที่พวกเขาเคยกระทำการอันแพศยาด้วยนั้นจะหันมาหาเขา “จะพากันเกลียดชังหญิงแพศยานั้น และจะทำให้เขาไร้มิตรเปลือยกาย และจะกินเนื้อของหญิงนั้น และเอาไฟเผาเสีย.” (วิวรณ์ 17:16) เนื่องจากเหตุการณ์อันสะเทือนโลกจะเกิดขึ้นอีกไม่ช้าแล้ว ผู้รับใช้ของพระเจ้าจึงต้องบอกคนอื่นให้ทราบถึงเรื่องนี้. บทความต่อไปจะอธิบายว่า พวกเขาได้ทำสิ่งนี้อย่างไร.
คำถามทบทวน
▫ คนนอกกฎหมายคืออะไร และเกิดขึ้นอย่างไร?
▫ คริสเตียนแท้ต้องบังเกิดผลดีอะไร?
▫ บาบูโลนใหญ่คืออะไร และนางมีความผิดฐานทำให้เลือดตกอย่างไร?
▫ คนนอกกฎหมายได้ทำอะไรบ้างที่เป็นการหลู่พระเกียรติพระเจ้า?
▫ เหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงเรียกคนนอกกฎหมายมาคิดบัญชี?
[รูปภาพหน้า 19]
“คณะปกครองสงฆ์แห่งคริสต์จักรคาทอลิกประจำชาติได้ให้การสนับสนุนการสงครามของประเทศแทบทุกครั้ง”
[ที่มาของภาพ]
U.S. Army