-
อันตรายที่บิดามารดาทุกคนเป็นห่วงตื่นเถิด! 2007 | ตุลาคม
-
-
อันตรายที่บิดามารดาทุกคนเป็นห่วง
เฮเทอร์และสกอตต์ เป็นคู่สมรสที่มีความสุขและมีชีวิตชีวา และเป็นบิดามารดาของเด็กชายวัยสามขวบที่สุขภาพแข็งแรงเฉลียวฉลาด.a พวกเขาดูแลเอาใจใส่ลูกชายเป็นอย่างดี. ในโลกทุกวันนี้ นั่นไม่ใช่งานง่าย ๆ เลย. งานนี้มีเรื่องที่ต้องกังวลใจและมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายทีเดียว. มีหลายเรื่องจริง ๆ ที่เด็ก ๆ จำเป็นต้องได้รับการสอน! แต่เฮเทอร์และสกอตต์รู้สึกว่ามีหน้าที่รับผิดชอบอย่างหนึ่งที่ต้องเอาใจใส่อย่างจริงจัง นั่นคือ พวกเขาต้องการปกป้องลูกให้พ้นจากอันตรายของการกระทำผิดทางเพศต่อเด็ก. เพราะเหตุใด?
เฮเทอร์เล่าว่า “พ่อของดิฉันเป็นคนเย็นชาและขี้เมา. เขาทุบตีดิฉันอย่างทารุณ และเขาบังคับขืนใจดิฉันกับน้องสาว.”b มีการเห็นพ้องกันอย่างกว้างขวางว่า การกระทำผิดทางเพศต่อเด็กสร้างความบอบช้ำทางอารมณ์ที่ฝังลึก. ไม่แปลกเลยที่เฮเทอร์ตั้งใจแน่วแน่ที่จะปกป้องลูกชายของเธอ! สกอตต์ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน.
บิดามารดาหลายคนวิตกกังวลเรื่องการทำร้ายเด็กทางเพศ. บางทีคุณก็อาจรู้สึกเช่นนี้ด้วย. ไม่เหมือนกับสกอตต์และเฮเทอร์ คุณอาจไม่เคยถูกทำร้ายทางเพศและรับรู้ถึงผลกระทบของมันด้วยตัวเอง แต่แน่นอนว่าคุณคงเคยได้ยินรายงานข่าวที่น่าตกตะลึงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของกิจปฏิบัติที่น่ารังเกียจนี้. บิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรักตลอดทั่วโลกรู้สึกตกใจกลัวเมื่อได้ยินว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ในย่านที่พวกเขาอาศัยอยู่.
ไม่แปลกเลยที่นักวิจัยคนหนึ่งซึ่งศึกษาเรื่องการกระทำผิดทางเพศต่อเด็กได้พูดถึงจำนวนเด็กที่ถูกทำร้ายทางเพศว่าเป็น “หนึ่งในบรรดาการค้นพบที่น่าสะเทือนใจที่สุดในยุคของเรา.” นั่นเป็นข่าวร้ายจริง ๆ แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไหม? เหล่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลไม่รู้สึกประหลาดใจในเรื่องนี้. พระคำของพระเจ้าอธิบายว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคที่ยากลำบากที่เรียกกันว่า “สมัยสุดท้าย” เป็นยุคที่มีลักษณะเด่นคือพฤติกรรมที่ “ดุร้าย” จะมีอยู่อย่างแพร่หลาย เมื่อผู้คน “รักตัวเอง” และจะ “ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ.”—2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.
การทำร้ายเด็กทางเพศเป็นปัญหาที่น่ากลัว. จริงทีเดียว บิดามารดาบางคนรู้สึกหดหู่เมื่อคิดถึงความเลวทรามต่ำช้าของคนที่ใช้เด็กเป็นเครื่องสนองความต้องการทางเพศ. อย่างไรก็ตาม นี่เป็นปัญหาที่ยากเกินกว่าที่บิดามารดาจะรับมือไหม? หรือมีบางวิธีที่ใช้ได้ผลซึ่งบิดามารดาสามารถนำมาใช้เพื่อปกป้องลูก ๆ ของตนไหม? บทความถัดไปจะพิจารณาคำถามเหล่านี้.
-
-
วิธีปกป้องลูกของคุณตื่นเถิด! 2007 | ตุลาคม
-
-
วิธีปกป้องลูกของคุณ
พวกเราส่วนใหญ่ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องการทำร้ายเด็กทางเพศ. แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้บิดามารดาหลายคนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแล้ว! อย่างไรก็ตาม การทำร้ายเด็กทางเพศคือความเป็นจริงที่น่ากลัวและเลวร้ายในโลกทุกวันนี้ และผลกระทบที่เกิดกับเด็กก็อาจก่อความเสียหายอย่างมาก. เรื่องนี้คุ้มค่ากับการพิจารณาไหม? เอาล่ะ คุณคิดว่าจะทำอะไรได้เพื่อความปลอดภัยของลูก ๆ? การเรียนรู้ข้อเท็จจริงที่เลวร้ายของการทำร้ายเด็กทางเพศไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมาก. แต่ความรู้เช่นนั้นจะก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงได้.
อย่าปล่อยให้การทำร้ายเด็กทางเพศที่มีอยู่ดาษดื่นบั่นทอนความกล้าในตัวคุณ. อย่างน้อยที่สุด คุณก็มีพลังที่ลูกของคุณไม่มี นั่นคือความแข็งแกร่งที่ลูกของคุณจะต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ หรือกระทั่งหลายสิบปี กว่าจะได้มันมา. ตลอดหลายปีที่ผ่านไป คุณได้สั่งสมความรู้, ประสบการณ์, และสติปัญญา. สิ่งสำคัญก็คือ คุณต้องเสริมสิ่งเหล่านั้นให้แข็งแกร่งและใช้มันเพื่อปกป้องลูกของคุณ. เราจะพิจารณาขั้นตอนหลัก ๆ สามขั้นตอนที่บิดามารดาทุกคนสามารถทำได้. วิธีดังกล่าวคือ (1) คุณต้องเป็นด่านแรกในการป้องกันลูกให้พ้นจากการทำร้ายทางเพศ, (2) สอนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นแก่ลูก, และ (3) สอนวิธีพื้นฐานในการป้องกันตัวเองบางวิธีแก่ลูก.
คุณเป็นด่านแรกในการป้องกันไหม?
หน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องเด็กให้พ้นจากการถูกทำร้ายทางเพศ ในอันดับแรกเป็นหน้าที่ของบิดามารดา ไม่ใช่หน้าที่ของลูก. ด้วยเหตุนั้น ควรให้การศึกษาแก่บิดามารดาก่อนจะให้แก่ลูก. ถ้าคุณเป็นบิดาหรือมารดา มีบางสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการทำร้ายเด็กทางเพศ. คุณต้องรู้ว่าใครที่ทำร้ายเด็กทางเพศและพวกเขาพยายามทำเช่นนั้นโดยวิธีใด. บิดามารดามักคิดว่า พวกที่ชอบทำร้ายเด็กทางเพศเป็นคนแปลกหน้าที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด คอยหาทางลักพาตัวและข่มขืนเด็ก. คนเลวเช่นนี้มีอยู่จริง. เราได้อ่านข่าวในลักษณะนี้บ่อยมาก. อย่างไรก็ตาม คนพวกนั้นมีค่อนข้างน้อย. ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของการทำร้ายเด็กทางเพศ ผู้กระทำผิดคือคนที่เด็กรู้จักและไว้ใจ.
ตามปกติแล้ว คุณไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนบ้าน, ครู, เจ้าหน้าที่พยาบาล, ครูฝึก, หรือญาติที่สุภาพเรียบร้อยจะมีจิตกำหนัดในตัวลูกของคุณ. ที่จริง คนส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น. ไม่จำเป็นต้องสงสัยทุกคนที่อยู่รอบตัวคุณ. กระนั้น คุณสามารถปกป้องลูกได้โดยเรียนรู้กลวิธีที่ผู้กระทำผิดมักชอบใช้.—ดูกรอบหน้า 6.
การรู้กลวิธีเหล่านี้อาจช่วยคุณซึ่งเป็นบิดามารดาให้พร้อมยิ่งขึ้นที่จะเป็นด่านแรกในการปกป้องลูก. ตัวอย่างเช่น ถ้าใครบางคนดูเหมือนสนใจลูกของคุณมากเป็นพิเศษแทนที่จะไปสนใจผู้ใหญ่ที่เป็นโสด และเขาให้ของขวัญหรือเสนอจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง หรือออกไปเที่ยวกับลูกของคุณตามลำพัง คุณจะทำอย่างไร? คุณควรลงความเห็นว่าเขาเป็นพวกที่ชอบทำร้ายเด็กทางเพศไหม? ไม่. อย่าด่วนสรุปเช่นนั้น. พฤติกรรมเช่นนั้นอาจทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ. กระนั้น นี่อาจทำให้คุณต้องตื่นตัว. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนใดที่ขาดประสบการณ์เชื่อคำพูดทุกคำ แต่คนฉลาดพิจารณาก้าวเท้าของตน.”—สุภาษิต 14:15, ล.ม.
จำไว้ว่า ข้อเสนอใด ๆ ที่ดูดีเกินความเป็นจริงอาจเป็นกลลวง. จงตรวจสอบคนที่อาสามาอยู่ตามลำพังกับลูกของคุณอย่างถี่ถ้วน. ให้เขารู้ว่าคุณจะเฝ้าดูลูกตลอดเวลา. เมลิสซาและแบรด บิดามารดาที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวซึ่งมีลูกชายสามคน ระวังที่จะไม่ปล่อยลูกไว้กับผู้ใหญ่ตามลำพัง. เมื่อลูกชายคนหนึ่งเรียนดนตรีที่บ้าน เมลิสซาบอกครูสอนดนตรีว่า “ในช่วงที่คุณอยู่ที่นี่ ดิฉันจะคอยแวะมาดูลูกอยู่เรื่อย ๆ นะ.” การระวังระไวเช่นนี้อาจดูเหมือนมากเกินไป แต่บิดามารดาเหล่านี้คิดว่าการทำเช่นนี้ดีกว่าที่จะต้องมาเสียใจภายหลัง.
จงสนใจในกิจกรรม, เพื่อน, และการบ้านของลูก. จงรู้รายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการทัศนาจรของโรงเรียน. ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตคนหนึ่งซึ่งใช้เวลา 33 ปีศึกษาเกี่ยวกับคดีการทำร้ายทางเพศได้สังเกตว่า มีคดีนับไม่ถ้วนที่สามารถป้องกันได้ถ้าเพียงแต่บิดามารดาเฝ้าระวังลูกอย่างใกล้ชิด. เขายกคำพูดของนักโทษชายคนหนึ่งที่ต้องคดีทำร้ายเด็กทางเพศซึ่งพูดว่า “จริง ๆ แล้ว พ่อแม่เป็นผู้ที่ส่งลูกของเขามาให้ผมเอง. . . . เพราะพวกเขาไว้ใจจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับผม.” จำไว้ว่า พวกที่ทำร้ายเด็กทางเพศส่วนใหญ่ชอบมองหาเหยื่อที่จัดการได้ง่าย ๆ. บุตรที่ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีจากบิดามารดาจึงเป็นเหยื่อที่จัดการได้ยาก.
อีกวิธีหนึ่งที่คุณทำได้เพื่อเป็นด่านแรกในการปกป้องลูกคือเป็นผู้ฟังที่ดี. เด็กจะไม่กล้าบอกตรง ๆ ว่าเขาถูกล่วงละเมิดทางเพศ พวกเขารู้สึกอายและกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร. ดังนั้น จงตั้งใจฟัง แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ.a ถ้าลูกของคุณพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ให้ค่อย ๆ ถามลูกอย่างใจเย็นเพื่อกระตุ้นให้ลูกพูดออกมา.b ถ้าลูกบอกว่าไม่อยากให้พี่เลี้ยงเด็กบางคนกลับมาอีก ให้ถามว่าเพราะเหตุใด. ถ้าลูกบอกว่า ผู้ใหญ่คนหนึ่งเล่นเกมแปลก ๆ กับเขา ให้ถามลูกว่า “เป็นเกมแบบไหน? เขาทำอย่างไร?” ถ้าลูกอธิบายว่ามีบางคนจั๊กจี้เขา ให้ถามว่า “เขาจั๊กจี้ตรงไหน?” อย่าด่วนมองข้ามคำตอบของลูก. พวกที่กระทำผิดมักบอกเด็กว่า จะไม่มีใครเชื่อคำพูดของเด็ก และบ่อยครั้งมักเป็นเช่นนั้นจริง ๆ. และถ้าเด็กถูกทำร้ายทางเพศ การเชื่อสิ่งที่เด็กพูดและการหนุนใจจากบิดามารดาเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กฟื้นตัวได้.
คุณต้องเป็นด่านแรกในการป้องกันลูก
จงสอนความรู้พื้นฐานให้ลูก
แหล่งอ้างอิงหนึ่งเกี่ยวกับการทำร้ายเด็กทางเพศได้ยกคำพูดผู้ต้องโทษคนหนึ่งขึ้นมากล่าวดังนี้: “คุณลองเอาเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องเพศมาให้ผมสิ เด็กคนนั้นแหละที่จะเป็นเหยื่อรายต่อไปของผม.” คำพูดที่เย็นชาเช่นนั้นเป็นข้อเตือนใจที่เป็นประโยชน์สำหรับบิดามารดา. เด็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาในเรื่องเพศจะถูกพวกที่ชอบทำร้ายเด็กหลอกได้ง่ายกว่า. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า ความรู้และสติปัญญาสามารถช่วยเราให้รอดพ้น “จากคนที่พูดสิ่งเสื่อมทราม.” (สุภาษิต 2:10-12, ล.ม.) คุณอยากให้ลูกของคุณเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? ฉะนั้น ขั้นที่สองที่คุณจะปกป้องเขาได้ก็คือ สอนเรื่องสำคัญเรื่องนี้แก่ลูก.
แต่คุณจะสอนอย่างไร? บิดามารดาหลายคนรู้สึกอายที่จะพูดคุยเรื่องเพศกับลูก. ลูกของคุณอาจอายยิ่งกว่าคุณด้วยซ้ำ และเขาคงไม่เริ่มพูดคุยเรื่องนี้กับคุณ. ดังนั้น จงเป็นฝ่ายริเริ่ม. เมลิสซากล่าวว่า “เราเริ่มคุยเรื่องนี้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ โดยสอนว่าอวัยวะแต่ละส่วนเรียกว่าอะไร. เราใช้คำที่พูดกันจริง ๆ ไม่ใช่คำที่ใช้กับเด็กเล็ก ๆ เพื่อแสดงให้ลูกเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าอายที่จะพูดถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย.” แล้วการสอนเรื่องการทำร้ายทางเพศก็มักจะตามมาเอง. บิดามารดาหลายคนเพียงแค่บอกลูกว่า อวัยวะส่วนที่มีชุดว่ายน้ำปิดไว้เป็นอวัยวะพึงสงวนโดยเฉพาะ.
เฮเทอร์ซึ่งได้มีการกล่าวถึงในบทความก่อนหน้านี้บอกว่า “สกอตต์กับดิฉันบอกลูกชายของเราว่า องคชาตของเขาเป็นอวัยวะพึงสงวน, เป็นของส่วนตัว, และไม่ใช่ของเล่น. ใคร ๆ จะเล่นอวัยวะนั้นไม่ได้—แม่ก็ไม่ได้, พ่อก็ไม่ได้, แม้แต่หมอก็ไม่ได้. เมื่อเราพาลูกไปหาหมอ ดิฉันอธิบายกับลูกว่าหมอเพียงแต่อยากตรวจดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างปกติดีไหม และนั่นเป็นเหตุผลที่หมออาจจับต้องอวัยวะส่วนนั้น.” ทั้งบิดามารดาควรพูดคุยเรื่องนี้เป็นครั้งคราว และต้องทำให้ลูกมั่นใจว่าสามารถคุยกับบิดามารดาได้เสมอและบอกบิดามารดาหากมีใครแตะเนื้อต้องตัวเขาแบบที่ไม่เหมาะสมหรือทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ. ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการดูแลเด็กและการป้องกันการทำร้ายทางเพศได้แนะนำว่า บิดามารดาทุกคนควรพูดคุยกับลูก ๆ ของตนในทำนองเดียวกันนี้.
หลายคนได้พบว่าหนังสือจงเรียนจากครูผู้ยิ่งใหญ่ c ช่วยได้จริง ๆ ในการสอนเรื่องนี้กับลูก. บทที่ 32 “วิธีที่พระเยซูได้รับการคุ้มครอง” มีข้อมูลที่ตรงไปตรงมาแต่ก็หนุนใจสำหรับเด็ก ๆ เกี่ยวกับอันตรายของการทำร้ายทางเพศและความสำคัญของการป้องกันตัวเอง. เมลิสซากล่าวว่า “หนังสือนี้ให้วิธีที่สมบูรณ์พร้อมเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เราได้คุยกับลูก ๆ เป็นส่วนตัว.”
ในโลกทุกวันนี้ เด็ก ๆ ต้องรู้ว่ามีบางคนที่ต้องการแตะเนื้อต้องตัวเด็กหรือให้เด็กสัมผัสตัวเขาอย่างไม่เหมาะสม. คำเตือนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องทำให้เด็กกลัวหรือไม่ไว้ใจผู้ใหญ่ทุกคน. เฮเทอร์กล่าวว่า “นี่เป็นเพียงข้อมูลเพื่อความปลอดภัย. และเป็นข้อมูลหนึ่งในหลาย ๆ ข้อซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางเพศต่อเด็ก. ข้อมูลนี้ไม่ได้ทำให้ลูกชายของดิฉันรู้สึกกลัวเลย.”
การสอนลูกควรรวมถึงการมีทัศนะที่สมดุลในเรื่องการเชื่อฟัง. การสอนเด็กให้เชื่อฟังเป็นสิ่งสำคัญและเป็นบทเรียนที่ยาก. (โกโลซาย 3:20) อย่างไรก็ตาม บทเรียนเช่นนั้นอาจเป็นชนิดสุดโต่งก็ได้. หากเด็กถูกสอนว่าเขาต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ ก็ย่อมเป็นการเสี่ยงที่เขาจะถูกทำร้ายทางเพศก็ได้. พวกที่ชอบทำร้ายเด็กทางเพศจะสังเกตได้ทันทีถ้าเด็กเป็นคนที่พร้อมจะเชื่อฟังง่าย ๆ. บิดามารดาที่ฉลาดสุขุมจะสอนลูก ๆ ว่าการเชื่อฟังต้องมีขอบเขต. สำหรับคริสเตียน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่คิด. นี่หมายถึงการบอกลูก ๆ ว่า “ถ้าใคร ๆ สั่งให้ลูกทำสิ่งที่พระยะโฮวาพระเจ้าบอกว่าผิด ลูกต้องไม่ทำ. แม้แต่แม่หรือพ่อก็ไม่ควรบอกให้ลูกทำสิ่งที่พระยะโฮวาถือว่าผิด. และลูกต้องบอกให้แม่หรือพ่อรู้เสมอถ้ามีใครพยายามบอกให้ลูกทำสิ่งที่ผิด.”
สุดท้าย ให้ลูกรู้ว่าไม่ควรมีใครสั่งลูกว่าอย่าบอกพ่อแม่. บอกลูกว่าถ้ามีใครบอกให้เก็บบางเรื่องไว้เป็นความลับจากพ่อแม่ ลูกต้องแจ้งให้คุณทราบเสมอ. ไม่ว่าใครจะบอกอะไรกับลูก แม้จะถูกข่มขู่หรือลูกทำผิดเอง นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอ ที่จะมาหาแม่หรือพ่อและเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนั้น. เมื่อสอนเรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องทำให้ลูกกลัว. คุณสามารถยืนยันกับลูกได้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น จับต้องลูกในส่วนที่ไม่เหมาะสม, สั่งให้ลูกไม่เชื่อฟังพระเจ้า, หรือสั่งไม่ให้ลูกไปบอกใคร. เช่นเดียวกับการวางผังเส้นทางหนีไฟ การสอนสิ่งเหล่านั้นเป็นการป้องกันไว้ก่อนและบางทีอาจไม่จำเป็นต้องใช้เลย.
สอนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นแก่ลูก
สอนวิธีพื้นฐานในการป้องกันตัวเองบางวิธีแก่ลูก
ขั้นตอนที่สามที่เราจะพิจารณากันก็คือ การสอนวิธีง่าย ๆ แก่ลูกเมื่อมีคนพยายามฉวยโอกาสจากเขาขณะที่คุณไม่อยู่ด้วย. วิธีหนึ่งที่มักแนะนำให้ใช้คือการเล่นเกมกับลูก. บิดามารดาจะถามลูกว่า “สมมุติว่า . . . ?” และให้ลูกตอบ. คุณอาจบอกว่า “สมมุติว่าเราไปตลาดด้วยกันแล้วลูกเกิดพลัดหลงไป? ลูกจะหาพ่อหรือแม่เจอได้อย่างไร?” คำตอบของลูกอาจไม่ตรงกับใจของคุณอย่างที่หวังไว้ แต่คุณสามารถชี้นำเขาด้วยคำถามอื่น ๆ อีก เช่น “ลูกคิดว่าจะทำอะไรได้อีกไหมเพื่อจะปลอดภัยมากขึ้น?”
คุณอาจใช้คำถามทำนองนี้ถามลูกว่า จะต้องทำเช่นไรจึงจะปลอดภัยที่สุดหากมีบางคนพยายามแตะเนื้อต้องตัวเขาในแบบที่ไม่เหมาะสม. ถ้าลูกรู้สึกตื่นตกใจง่ายกับคำถามเช่นนี้ คุณอาจพยายามเล่าเรื่องโดยสมมุติให้เป็นเด็กคนอื่น. ตัวอย่างเช่น “มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งอยู่กับญาติที่เธอชอบ แต่แล้วเขาก็พยายามสัมผัสเธอในส่วนที่ไม่เหมาะสม. ลูกคิดว่าเด็กหญิงคนนั้นควรทำเช่นไรเพื่อจะปลอดภัย?”
สอนวิธีพื้นฐานในการป้องกันตัวเองแก่ลูก
คุณควรสอนให้ลูกทำเช่นไรในสถานการณ์ดังข้างต้น? โปรดสังเกตสิ่งที่นักเขียนคนหนึ่งกล่าวไว้ “การพูดอย่างหนักแน่นว่า ‘ไม่!’ หรือ ‘อย่าทำอย่างนั้น!’ หรือ ‘อย่ามายุ่งกับหนูนะ!’ เป็นคำขู่ที่ใช้ได้ผลทีเดียวโดยทำให้คนที่ล่อลวงล่าถอยหรือเปลี่ยนความคิดที่จะเอาเด็กคนนั้นเป็นเหยื่อ.” จงช่วยลูกของคุณโดยสมมุติฉากเหตุการณ์ขึ้นมาสั้น ๆ เพื่อลูกจะรู้สึกมั่นใจที่จะปฏิเสธด้วยเสียงดัง, รีบหนี, และบอกให้คุณรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น. เด็กที่ดูเหมือนเข้าใจตลอดการฝึกซ้อมนี้อาจลืมได้ง่ายภายในไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน. ดังนั้น ให้ฝึกทำซ้ำอีกเป็นระยะ ๆ.
ผู้ดูแลเด็กซึ่งเป็นผู้ชายทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ, พ่อเลี้ยง, หรือญาติที่เป็นผู้ชายควรมีส่วนร่วมในการสนทนาเรื่องนี้. เพราะเหตุใด? เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนที่มีส่วนในการสอนเรื่องนี้กำลังสัญญากับเด็กว่าพวกเขาจะไม่มีทางทำร้ายเด็กเช่นนั้น. น่าเศร้า การทำร้ายเด็กทางเพศส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในครอบครัว. บทความถัดไปจะพิจารณาว่าคุณจะทำให้ครอบครัวของคุณเป็นที่พักพิงอันปลอดภัยในโลกที่ชั่วร้ายได้อย่างไร.
a ผู้เชี่ยวชาญสังเกตว่าเด็กหลายคนที่ถูกทำร้ายทางเพศแสดงอากัปกิริยาที่บ่งบอกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ. ตัวอย่างเช่น ถ้าจู่ ๆ เด็กกลับมาทำอะไรบางอย่างซึ่งเขาเลิกทำไปแล้วเพราะโตขึ้น เช่น การปัสสาวะรดที่นอน, การติดพ่อแม่ไม่ยอมห่าง, หรือการกลัวที่จะอยู่ตามลำพัง เขาอาจกำลังส่งสัญญาณว่ามีเรื่องร้ายแรงบางอย่างที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจ. ไม่ควรสรุปว่าอาการเหล่านั้นบ่งชี้ว่ามีการทำร้ายทางเพศ. จงกระตุ้นให้บุตรพูดออกมาอย่างใจเย็นเพื่อจะทราบว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่สบายใจเพื่อที่คุณจะให้การปลอบโยน, ทำให้ลูกกลับมีความมั่นใจ, และให้การปกป้อง.
b เพื่อความสะดวก เราจะกล่าวถึงผู้กระทำผิดและผู้เสียหายว่าเป็นเพศชาย. แต่หลักการเดียวกันนี้สามารถใช้การได้ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม.
c จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
-
-
จงให้ครอบครัวของคุณเป็นที่พักพิงอันปลอดภัยตื่นเถิด! 2007 | ตุลาคม
-
-
จงให้ครอบครัวของคุณเป็นที่พักพิงอันปลอดภัย
“ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ.” คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงผู้คนมากมายในสมัยของเราด้วยถ้อยคำที่น่าเศร้าดังข้างต้น ซึ่งเป็นสมัยที่เรียกกันว่า “สมัยสุดท้าย.” (2 ติโมเธียว 3:1, 3, 4, ล.ม.) การทำร้ายเด็กทางเพศในครอบครัวที่แพร่ระบาดไปทั่วเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดแจ้งถึงความจริงของคำพยากรณ์ข้อนี้. ที่จริง คำภาษากรีกอะสตอร์กอส ซึ่งได้รับการแปลว่า “ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ” บ่งชี้ถึงการขาดความรักที่ควรมีในท่ามกลางสมาชิกครอบครัว โดยเฉพาะความรักที่บิดามารดามีต่อบุตร.a และบ่อยครั้งเหลือเกินที่เด็กถูกทำร้ายทางเพศโดยคนในบ้าน.
นักวิจัยบางคนกล่าวว่า ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่คือผู้ชายที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว. ญาติที่เป็นผู้ชายคนอื่น ๆ ก็มักจะเป็นผู้ทำร้ายทางเพศด้วย. ขณะที่ผู้ถูกทำร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้หญิง แต่เด็กผู้ชายหลายคนก็ถูกล่วงละเมิดทางเพศเช่นกัน. ผู้ทำร้ายเด็กทางเพศที่เป็นผู้หญิงไม่ได้มีน้อยคนอย่างที่คุณอาจคิด. บางครั้ง การกระทำผิดทางเพศต่อเด็กซึ่งมีการรายงานน้อยกว่าความเป็นจริงคือ เด็กที่โตกว่าหรือแข็งแรงกว่าจะข่มเหงรังแกหรือล่อลวงน้องชายหรือน้องสาวที่อ่อนแอกว่าให้มีเพศสัมพันธ์. ฐานะบิดามารดา คุณย่อมรู้สึกได้จริง ๆ ว่าการประพฤติทุกอย่างที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ.
คุณจะป้องกันไม่ให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นในครอบครัวของคุณได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่า สมาชิกทุกคนในทุกครอบครัวต้องเรียนรู้และเห็นคุณค่าหลักการบางอย่างที่ช่วยป้องกันการประพฤติผิดทางเพศ. แหล่งที่ดีที่สุดที่จะพบคำแนะนำดังกล่าวนั้นคือคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้า.
พระคำของพระเจ้ากับความสัมพันธ์ทางกาย
เพื่อจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย ทุกครอบครัวต้องปฏิบัติตามมาตรฐานด้านศีลธรรมของคัมภีร์ไบเบิล. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องเพศ. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงเรื่องเพศอย่างให้เกียรติแต่ก็พูดอย่างไม่อ้อมค้อม. คัมภีร์ไบเบิลเผยให้เห็นว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เพศสัมพันธ์เป็นพระพรแท้จริงสำหรับสามีและภรรยา. (สุภาษิต 5:15-20) อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลตำหนิเพศสัมพันธ์นอกสายสมรส. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลตำหนิการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิด. ในเลวีติโกบท 18 กล่าวว่าการมีเพศสัมพันธ์กับญาติใกล้ชิดในรูปแบบต่าง ๆ เป็นสิ่งต้องห้าม. โปรดสังเกตถ้อยคำเหล่านี้เป็นพิเศษ: “อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้ญาติสนิทของตน หรือเปิดของลับของเขา [เพื่อมีเพศสัมพันธ์] เราคือพระเจ้า.”—เลวีติโก 18:6, ฉบับแปลใหม่.
พระยะโฮวาตรัสว่าการร่วมประเวณีระหว่างญาติใกล้ชิดเป็นหนึ่งในการ “ประพฤติชั่วลามก” ที่ถูกลงโทษถึงตาย. (เลวีติโก 18:26, 29) เห็นได้ชัดว่า พระผู้สร้างทรงมีมาตรฐานสูงยิ่งในเรื่องนี้. ทุกวันนี้ หลายรัฐบาลก็มีความเห็นคล้ายกัน โดยประกาศว่าการกระทำผิดทางเพศต่อเด็กในครอบครัวเป็นเรื่องผิดกฎหมาย. บ่อยครั้ง ในทางกฎหมายเด็กที่ตกเป็นเหยื่อทางเพศของผู้ใหญ่จะถือว่าเขาถูกข่มขืนกระทำชำเรา. เหตุใดจึงใช้ถ้อยคำที่รุนแรงเช่นนั้น แม้จะไม่มีการบังคับขู่เข็ญ?
เจ้าหน้าที่หลายคนตระหนักถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวมาตลอดเกี่ยวกับเด็ก นั่นคือ เด็กมักจะไม่สามารถหาเหตุผลได้แบบเดียวกับผู้ใหญ่. ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 22:15 กล่าวว่า “ความโฉดเขลาผูกพันอยู่ในจิตต์ใจของเด็ก.” และอัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจให้เขียนว่า “เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็กข้าพเจ้าได้พูดอย่างเด็ก, ได้คิดอย่างเด็ก, ได้ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่ครั้นข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว, ข้าพเจ้าจึงเลิกธรรมเนียมอย่างเด็กเสีย.”—1 โกรินโธ 13:11.
เด็กไม่สามารถเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการมีเพศสัมพันธ์หมายถึงอะไร อีกทั้งไม่รู้ถึงผลที่ตามมาอีกหลายปีข้างหน้า. ด้วยเหตุนั้น จึงมีการเห็นพ้องกันอย่างกว้างขวางว่าเด็กไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์แบบสมยอมอย่างที่ถูกต้องสมควร. กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าผู้ใหญ่ (หรือเด็กที่โตกว่า) มีเพศสัมพันธ์กับเด็ก เขาก็ไม่สามารถแก้ตัวสำหรับการกระทำนั้นโดยบอกว่าเด็กไม่ปฏิเสธหรือเด็กเป็นฝ่ายเรียกร้องเอง. ผู้ใหญ่จึงมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา. การกระทำเช่นนั้นจึงนับว่าเป็นอาชญากรรม ซึ่งบ่อยครั้งบทลงโทษคือการจำคุก. คนที่ต้องรับผิดชอบต่อการข่มขืนคือผู้กระทำผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายที่ไม่สมัครใจ.
แต่น่าเศร้า ทุกวันนี้ผู้ก่ออาชญากรรมเช่นนั้นส่วนใหญ่ไม่ถูกลงโทษโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ. ตัวอย่างเช่น ในออสเตรเลีย มีการกะประมาณว่า ผู้กระทำผิดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกฟ้องร้องและมีไม่กี่คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิด. ประเทศอื่นก็มีรายงานคล้าย ๆ กัน. ขณะที่มาตรการป้องกันของรัฐบาลต่าง ๆ อาจช่วยครอบครัวคริสเตียนได้ไม่มากนัก แต่การนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ช่วยป้องกันได้มากกว่า.
คริสเตียนแท้ตระหนักว่า พระเจ้าผู้ทรงประทานหลักการที่บันทึกในพระคำของพระองค์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง. พระองค์ทรงเห็นการกระทำทุกอย่างของเรา แม้แต่การกระทำที่มนุษย์ส่วนใหญ่มองไม่เห็น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “สิ่งใดที่ไม่ได้ปรากฏแก่พระองค์ไม่มี แต่สรรพสิ่งปรากฏแจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ผู้ซึ่งเราต้องให้การนั้น.”—เฮ็บราย 4:13.
พระเจ้าจะทรงคิดบัญชีหากเราฝ่าฝืนกฎหมายของพระองค์และทำร้ายผู้อื่น. ในอีกด้านหนึ่ง พระองค์จะทรงอวยพรเราหากเรายึดมั่นกับพระบัญชาที่เป็นประโยชน์สำหรับครอบครัว. พระบัญชาดังกล่าวมีอะไรบ้าง?
ครอบครัวเป็นเอกภาพด้วยความรัก
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “ความรักเป็นสิ่งที่ผูกพันผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์.” (โกโลซาย 3:14, ล.ม.) ดังที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ความรักไม่ใช่แค่ความรู้สึก. ความรักได้รับการนิยามโดยวิธีที่ความรักก่อแรงกระตุ้น—โดยวิธีที่ความรักก่อให้เกิดความประพฤติ และโดยการกระทำที่ความรักบอกปัด. (1 โกรินโธ 13:4-8) ในครอบครัว การแสดงความรักหมายถึงการปฏิบัติต่อสมาชิกทุกคนด้วยการคำนึงถึงศักดิ์ศรี, ความนับถือ, และความกรุณา. นี่หมายความว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวควรดำเนินชีวิตสอดคล้องกับแนวทางของพระเจ้า. พระเจ้าทรงให้เกียรติแต่ละคนในครอบครัวและทรงมอบหมายหน้าที่สำคัญให้.
ในฐานะประมุขครอบครัว บิดาควรนำหน้าในการแสดงความรัก. เขาทราบดีว่าบิดาคริสเตียนไม่มีสิทธิที่จะกดขี่และใช้อำนาจข่มเหงภรรยาหรือลูก ๆ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเลียนแบบพระคริสต์ฐานะประมุข. (เอเฟโซ 5:23, 25) ดังนั้น เขาจะแสดงความอ่อนโยนและความรักต่อภรรยา และแสดงความอดทนและความเมตตาต่อลูก ๆ ของเขา. เขาปกป้องครอบครัวอย่างซื่อสัตย์และทุ่มเทตัวเพื่อป้องกันสิ่งที่อาจทำลายสันติสุข, ความไร้เดียงสา, หรือความไว้วางใจและความปลอดภัยในครอบครัว.
ภรรยาและมารดามีบทบาทสำคัญและมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน. คัมภีร์ไบเบิลยกตัวอย่างสัญชาตญาณในการปกป้องของสัตว์เพศเมียเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระยะโฮวาและพระเยซูสามารถปกป้องเราได้อย่างไร. (มัดธาย 23:37) มารดาที่เป็นมนุษย์ควรจะปกป้องลูกของตนอย่างสุดชีวิตเช่นกัน. ด้วยความรัก เธอไม่ลังเลที่จะให้ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของลูกมาก่อนของตนเอง. บิดามารดาจะไม่ยอมให้การใช้อำนาจในทางที่ผิด, หรือการข่มเหงรังแก, หรือการข่มขู่เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขาเองหรือกับลูก ๆ ทั้งไม่ปล่อยให้ลูก ๆ ทำแบบนั้นต่อกัน.
หากสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวปฏิบัติต่อกันด้วยความนับถือและคำนึงถึงศักดิ์ศรี ก็จะทำให้มีการพูดคุยกันในแบบที่เสริมสร้าง. นักเขียนชื่อวิลเลียม เพรนเดอร์เกสต์กล่าวไว้ว่า “บิดามารดาทุกคนควรพูดคุยกับลูก ๆ ที่ยังเล็กและลูกที่โตแล้วอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเป็นประจำทุกวัน.” เขากล่าวเสริมว่า “นี่ดูเหมือนเป็นการแก้ปัญหาการกระทำผิดทางเพศต่อเด็กที่ดีที่สุด.” จริงทีเดียว คัมภีร์ไบเบิลแนะนำให้มีการพูดคุยกันด้วยความรักเช่นนั้นเป็นประจำ. (พระบัญญัติ 6:6, 7) เมื่อมีการนำคำชี้นำนั้นไปใช้ บ้านจะเป็นสถานที่ที่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวสามารถเผยความรู้สึกจากหัวใจได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย.
จริงอยู่ เรามีชีวิตอยู่ในโลกชั่วและไม่สามารถป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดทุกรูปแบบได้. กระนั้น บ้านที่ปลอดภัยช่วยได้มากจริง ๆ. หากสมาชิกบางคนในครอบครัวถูกคนภายนอกทำให้ปวดร้าวใจ เขาก็รู้ว่าจะไปหาการปลอบโยนและความเห็นอกเห็นใจได้จากที่ไหน. บ้านเช่นนั้นเป็นที่พึ่งที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง เป็นที่พักพิงอันปลอดภัยในโลกที่มีแต่ความวุ่นวาย. ขอพระเจ้าอวยพระพรความพยายามของคุณในการทำให้ครอบครัวเป็นสถานที่เช่นนั้น!
-