เลียนแบบความเชื่อของเขา | โยบ
“ผมจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจนวันตาย!”
ลองนึกภาพชายคนหนึ่งนั่งอยู่เดียวดายที่พื้น ไหล่ห่อ คอตก ตั้งแต่หัวจดเท้าเต็มไปด้วยฝีและแผลเปื่อยที่เจ็บปวด ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะปัดแมลงวันที่วนเวียนมาตอมตัว เขานั่งทุกข์ใจอยู่บนกองขี้เถ้า ได้แต่เอาเศษหม้อแตกมาขูดตามตัว เขาสูญเสียหลายสิ่ง ชีวิตตกต่ำ จากที่มีคนนับหน้าถือตาก็มีแต่คนเกลียดชัง ทั้งเพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน ญาติพี่น้องก็ทิ้งเขาไปหมด แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็หัวเราะเยาะ เขาคิดว่าพระยะโฮวาพระเจ้าของเขานั่นแหละที่เล่นงานเขา แต่เขาคิดผิด—โยบ 2:8; 19:18, 22
ชายคนนี้คือโยบ พระเจ้าพูดถึงโยบว่า “ไม่มีใครในโลกเหมือนเขา” (โยบ 1:8) ประมาณหนึ่งพันปีหลังจากนั้น พระยะโฮวาก็ยังมองว่าโยบเป็นคนที่มีความถูกต้องชอบธรรมมากที่สุดคนหนึ่ง—เอเสเคียล 14:14, 20
คุณเจอปัญหาหนักและเรื่องร้าย ๆ ไหม? เรื่องของโยบจะให้กำลังใจคุณมากทีเดียว และยังช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องความซื่อสัตย์มากขึ้น ซึ่งเป็นคุณลักษณะหนึ่งที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนต้องมี มนุษย์แสดงความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเมื่อพวกเขาเลื่อมใสพระองค์อย่างสุดหัวใจและทำตามความประสงค์ของพระองค์ต่อ ๆ ไปแม้จะเจอความยากลำบาก เราจะเรียนเรื่องนี้มากขึ้นจากตัวอย่างของโยบ
สิ่งที่โยบไม่รู้
ดูเหมือนว่าโมเสสผู้ซื่อสัตย์ได้บันทึกเรื่องราวชีวิตของโยบไม่นานหลังจากโยบตาย พระเจ้าดลใจให้โมเสสบันทึกไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับโยบบนโลกเท่านั้น แต่ยังให้บันทึกบางเหตุการณ์บนสวรรค์ด้วย
ในตอนเริ่มต้น เราได้รู้ว่าโยบมีชีวิตที่มีความสุข มีทุกสิ่งทุกอย่างไม่ขาดอะไร เขาเป็นคนร่ำรวยอยู่ในแผ่นดินอูส ซึ่งน่าจะอยู่ทางตอนเหนือของอาหรับ ผู้คนต่างก็รู้จักและนับถือเขา เขาใจกว้างกับคนจนและชอบช่วยเหลือคนด้อยโอกาส พระเจ้าอวยพรให้โยบและภรรยามีลูก 10 คน ที่สำคัญที่สุด โยบเป็นคนที่เห็นค่าสายสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวา เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พระยะโฮวาพอใจเหมือนกับอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และโยเซฟซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของเขา โยบทำหน้าที่ปุโรหิตของครอบครัวเหมือนกับผู้ซื่อสัตย์เหล่านั้นด้วย เขาถวายเครื่องบูชาสำหรับลูกแต่ละคนเป็นประจำ—โยบ 1:1-5; 31:16-22
แต่จู่ ๆ คัมภีร์ไบเบิลก็เปลี่ยนมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสวรรค์ซึ่งโยบไม่รู้ ทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวามาประชุมกันต่อหน้าพระองค์ ซาตานซึ่งเป็นทูตสวรรค์ที่กบฏก็มาด้วย พระยะโฮวารู้ว่าซาตานดูถูกความซื่อสัตย์ของโยบ พระองค์จึงพูดกับซาตานและชี้ให้เห็นว่าความซื่อสัตย์ที่โยบมีนั้นไม่เหมือนใคร ซาตานตอบอย่างท้าทายว่า “คิดหรือว่าโยบเกรงกลัวพระเจ้าโดยไม่หวังอะไร? พระองค์ปกป้องตัวเขา ครอบครัวของเขา และทุกสิ่งที่เขามีไม่ใช่หรือ?” ซาตานเกลียดคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า เพราะเมื่อพวกเขาแสดงความเลื่อมใสต่อพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ ก็เป็นการเปิดโปงว่าซาตานทรยศและไม่รักใครทั้งนั้น ซาตานเลยอ้างว่าโยบรับใช้พระยะโฮวาด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว ซาตานบอกว่าถ้าโยบสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจะแช่งด่าพระองค์แน่ ๆ!—โยบ 1:6-11
โยบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบนสวรรค์ แต่พระยะโฮวาไว้ใจเขาโดยให้โอกาสที่ยอดเยี่ยมเพื่อพิสูจน์ว่าซาตานเป็นฝ่ายผิด พระองค์อนุญาตให้ซาตานทำอะไรก็ได้กับทุกสิ่งที่โยบมี แต่ห้ามแตะต้องตัวเขาเป็นอันขาด ซาตานจึงเริ่มเล่นงานโยบอย่างหนัก ภายในวันเดียว เรื่องร้าย ๆ มากมายก็เกิดขึ้นกับโยบ เขาสูญเสียฝูงสัตว์ทั้งหมดแทบจะพร้อม ๆ กัน เริ่มจากวัวกับลา ต่อด้วยแกะ แล้วก็อูฐ แย่ยิ่งกว่านั้น คนรับใช้ที่ดูแลฝูงสัตว์ก็ถูกฆ่าตายด้วย คนรับใช้คนหนึ่งมาบอกโยบว่ามี “ไฟของพระเจ้า” ซึ่งอาจหมายถึงฟ้าผ่า ลงมาเผาแกะและคนเลี้ยง ก่อนที่โยบจะทำใจได้กับการสูญเสียคนรับใช้และกลายเป็นคนจนในชั่วพริบตา เขาก็ได้ข่าวที่เลวร้ายที่สุดว่า ขณะที่ลูกของเขาทั้ง 10 คนกำลังกินเลี้ยงอยู่ในบ้านพี่ชายคนโต จู่ ๆ ก็มีพายุพัดมาถล่มจนบ้านพังทับลูก ๆ ของเขาตายหมด!—โยบ 1:12-19
เราคงนึกภาพไม่ออกว่าโยบรู้สึกอย่างไร เขาฉีกเสื้อ โกนผมจนหมด และนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่กับพื้น โยบสรุปเองว่าพระเจ้าให้ทุกสิ่งกับเขา แล้วพระองค์ก็เอาคืนไป ซาตานเก่งจริง ๆ ที่ทำให้ดูเหมือนว่าพระเจ้าเป็นต้นเหตุของเรื่องเลวร้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโยบ แต่โยบก็ไม่ได้แช่งด่าพระเจ้าอย่างที่ซาตานคาดไว้ โยบกลับพูดว่า “ขอให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญต่อ ๆ ไป”—โยบ 1:20-22
“เขาจะแช่งด่าพระองค์แน่ ๆ”
ซาตานโกรธมากแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด เมื่อทูตสวรรค์มาประชุมกันต่อหน้าพระยะโฮวาอีก มันก็มาด้วย คราวนี้พระยะโฮวาก็ชมโยบอีกว่าเขายังซื่อสัตย์ต่อพระองค์อยู่ทั้ง ๆ ที่ซาตานเล่นงานเขาสารพัด แต่ซาตานเถียงว่า “หนังแทนหนัง มนุษย์ยอมสละได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด แต่ลองทำร้ายตัวเขาดูสิ เขาจะแช่งด่าพระองค์แน่ ๆ!” ซาตานมั่นใจว่าถ้าโยบป่วยหนัก เขาจะแช่งด่าพระเจ้าแน่นอน แต่พระยะโฮวามั่นใจในความซื่อสัตย์ของโยบ พระองค์เลยยอมให้ซาตานทำอะไรก็ได้กับตัวโยบ แต่ไม่ให้ถึงตาย—โยบ 2:1-6
จากนั้นไม่นาน โยบก็เจอเหตุการณ์ที่พูดถึงตอนต้น ลองนึกถึงภรรยาที่น่าสงสารของโยบ เธอเพิ่งเสียลูกไป 10 คน แล้วตอนนี้ต้องมาเห็นสามีเป็นโรคร้ายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย ความเจ็บปวดทรมานใจทำให้เธอร้องออกมาว่า “ยังจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าอยู่อีกหรือ? แช่งด่าพระเจ้าแล้วตาย ๆ ไปเถอะ!” ไม่น่าเชื่อว่าภรรยาที่รักของโยบจะพูดอย่างนี้ เขาได้แต่บอกเธอว่าทำไมพูดจาเหมือนคนโง่ที่เสียสติไปแล้ว จนแล้วจนรอดโยบก็ไม่แช่งด่าพระเจ้า เขาไม่พูดอะไรที่ไม่ดีออกมาเลย—โยบ 2:7-10
คุณรู้ไหมว่าเรื่องจริงที่น่าเศร้านี้ก็เกี่ยวข้องกับคุณด้วย? สังเกตคำพูดของซาตานตอนที่กล่าวหาโยบ มันไม่ได้พูดถึงโยบเท่านั้น แต่พูดถึงมนุษย์ทุกคนโดยรวม เพราะมันบอกว่า “มนุษย์ยอมสละได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด” พูดง่าย ๆ คือ ซาตานเชื่อว่าไม่มีมนุษย์คนไหนจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าได้จริง ๆ หรอก! มันบอกว่าคุณไม่รักพระเจ้าจริง ถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณก็พร้อมจะทิ้งพระองค์ทันทีเพื่อเอาชีวิตรอด ซาตานกำลังบอกว่าคุณก็เห็นแก่ตัวเหมือนกับมันนั่นแหละ! คุณอยากพิสูจน์ไหมว่าซาตานคิดผิด? เราทุกคนมีโอกาสพิสูจน์เรื่องนี้ (สุภาษิต 27:11) ให้เรามาดูกันต่อว่าโยบเจออะไรอีก
ผู้ปลอบโยนที่เพิ่มความเจ็บปวด
มีผู้ชาย 3 คนมาหาโยบ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนหรือคนรู้จัก เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นกับโยบ ก็เดินทางมาเพื่อจะปลอบโยนเขา พวกเขาเห็นโยบแต่ไกลแต่จำโยบไม่ได้ ตอนนี้โยบเจ็บปวดทั้งตัวเพราะโรคร้าย ผิวหนังของเขาดำคล้ำ ดูทรุดโทรมเหมือนเป็นคนละคน ผู้ชายทั้งสามคือเอลีฟัส บิลดัด และโศฟาร์ ทำเหมือนกับว่าเสียใจมากที่โยบอยู่ในสภาพนี้ พวกเขาร้องไห้เสียงดัง เอาฝุ่นซัดใส่หัว แล้วก็นั่งลงกับพื้นใกล้ ๆ โยบ 7 วัน 7 คืนโดยไม่พูดอะไรเลย การอยู่เงียบ ๆ แบบนี้ไม่ใช่การปลอบโยน เพราะพวกเขาไม่ถามอะไรโยบสักคำ พวกเขาแค่รู้ว่าโยบกำลังเจ็บปวดทรมานมาก—โยบ 2:11-13; 30:30
ในที่สุด โยบต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน คำพูดของเขาบอกให้รู้ว่ากำลังเจ็บปวดแค่ไหน เขาแช่งวันที่ตัวเองเกิดมา และบอกว่าสิ่งที่ทำให้เสียใจที่สุดคือ เขาคิดว่าพระเจ้าทำให้เขาเป็นแบบนี้! (โยบ 3:1, 2, 23) ถึงโยบจะมีความเชื่อมั่นคง เขาก็ยังอยากได้การปลอบโยน แต่พอเพื่อนทั้งสามเริ่มพูด โยบกลับรู้สึกว่าถ้าพวกเขาอยู่เงียบ ๆ จะดีกว่า—โยบ 13:5
เอลีฟัสเริ่มพูดเป็นคนแรก เขาคงอายุมากที่สุดและแก่กว่าโยบหลายปี หลังจากนั้นอีกสองคนก็พูด เรื่องที่พวกเขาพูดดูเป็นการหาเหตุผลแบบโง่ ๆ เหมือนเอลีฟัส บางเรื่องก็ฟังดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แค่พูดซ้ำแนวคิดของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับพระเจ้า เช่น พระเจ้าสูงส่ง พระองค์อวยพรคนดี ลงโทษคนชั่ว แต่คำพูดของพวกเขาแสดงให้เห็นตั้งแต่แรกว่าไม่ได้เป็นห่วงโยบจริง ๆ เรื่องที่เอลีฟัสพูดฟังเผิน ๆ ก็เหมือนจะมีเหตุผล เขาบอกว่าพระเจ้าดีไม่มีที่ติและพระองค์จะลงโทษคนชั่ว แล้วตอนนี้โยบก็กำลังถูกลงโทษ แสดงว่าเขาต้องทำอะไรไม่ดีมาแน่ ๆ—โยบ 4:1, 7, 8; 5:3-6
ไม่แปลกที่โยบจะคัดค้าน เขารับไม่ได้กับการหาเหตุผลแบบนั้น (โยบ 6:25) แต่ที่ปรึกษาทั้งสามคนยิ่งมั่นใจว่าโยบต้องแอบทำผิดและสมควรแล้วที่เจอเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนั้น เอลีฟัสกล่าวหาว่าโยบทำตัวเหนือพระเจ้า เป็นคนชั่ว และไม่ได้เลื่อมใสพระเจ้าจริง ๆ (โยบ 15:4, 7-9, 20-24; 22:6-11) โศฟาร์บอกให้โยบเลิกทำชั่วและอย่าสนุกกับการทำบาป (โยบ 11:2, 3, 14; 20:5, 12, 13) แล้วบิลดัดก็ยังตอกย้ำให้โยบเจ็บปวดเข้าไปอีก เขาบอกว่าลูกของโยบต้องทำบาปแน่ ๆ และที่ตายก็สมควรแล้ว!—โยบ 8:4, 13
ความซื่อสัตย์ถูกโจมตี!
ทั้งสามคนทำสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นอีก พวกเขาไม่ใช่แค่ดูถูกความซื่อสัตย์ของโยบ แต่บอกด้วยว่าซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์! ตอนที่เอลีฟัสพูดรอบแรก เขาเล่าว่ามีเสียงลึกลับมาพูดกับเขา ทำให้เขาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับพระเจ้าว่า “แม้แต่ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ยังไม่ไว้ใจ ขนาดทูตสวรรค์ พระองค์ยังคอยจับผิด” ความคิดแบบนี้อันตรายมาก เพราะนี่หมายความว่ามนุษย์ไม่มีวันทำให้พระเจ้าพอใจได้เลย! จากนั้น บิลดัดก็อ้างว่าถึงโยบจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพระองค์มองว่าเขามีค่าเท่ากับหนอนตัวหนึ่งเท่านั้น!—โยบ 4:12-18; 15:15; 22:2, 3; 25:4-6
คุณเคยพยายามปลอบคนที่กำลังทุกข์ใจอย่างหนักไหม? มันไม่ง่ายเลย แต่เราได้เรียนหลายอย่างจากเพื่อนของโยบ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ควรพูดเวลาปลอบโยนคนอื่น ถึงพวกเขาจะใช้คำพูดที่ดูฉลาดและมีเหตุผล แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหรือเรียกชื่อโยบแม้แต่ครั้งเดียว! พวกเขาไม่ได้สนใจว่าโยบกำลังทุกข์ใจแค่ไหนและไม่ได้คิดจะช่วยเขาอย่างอ่อนโยนa ดังนั้น ถ้าเพื่อนหรือคนที่คุณรักกำลังรู้สึกแย่ ขอให้คุณปลอบเขาด้วยคำพูดที่ดี สนใจความรู้สึกของเขา พยายามช่วยเขาให้มีความเชื่อและกล้าหาญมากขึ้น ช่วยเขาให้ไว้ใจพระยะโฮวาและมั่นใจว่าพระองค์เมตตากรุณาและยุติธรรมจริง ๆ โยบจะทำแบบนั้นกับเพื่อนของเขาแน่ ๆ ถ้าทั้งสามคนอยู่ในสภาพเดียวกับเขาตอนนี้ (โยบ 16:4, 5) แต่โยบรับมืออย่างไรเมื่อความซื่อสัตย์ภักดีของเขาถูกโจมตี?
โยบยืนหยัดมั่นคง
โยบผู้น่าสงสารรู้สึกแย่อยู่แล้วก่อนที่สามคนนี้จะมาคุยด้วย เขายอมรับตั้งแต่แรกว่าบางครั้งเขาก็พูด “โดยไม่ยั้งคิด” เหมือน “คนสิ้นหวังที่พูดไปเรื่อยเปื่อย” (โยบ 6:3, 26) แต่เราก็เข้าใจได้ว่าเขาพูดอย่างนั้นเพราะทุกข์ใจมาก และคำพูดของโยบแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาคิดว่าพระยะโฮวาเป็นต้นเหตุของเรื่องร้าย ๆ ที่เขากับครอบครัวเจออยู่ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและรุนแรงผิดปกติ นอกจากนั้น โยบไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้น เขาเลยสรุปเรื่องตามความเข้าใจผิด ๆ ของตัวเอง
แต่โยบมีความเชื่อที่มั่นคงเข้มแข็ง เห็นได้ชัดจากคำพูดของเขาระหว่างการโต้เถียงที่ยาวนาน สิ่งที่โยบพูดเป็นความจริง มีคุณค่า และให้กำลังใจเราในทุกวันนี้ เขาพูดเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ในธรรมชาติได้ถูกต้องและลึกซึ้งอย่างที่คนทั่วไปทำไม่ได้ถ้าพระเจ้าไม่เปิดเผยให้รู้ เช่น เขาบอกว่าพระยะโฮวา “ให้โลกห้อยอยู่โดยไม่ติดกับอะไร” ซึ่งเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัยในเวลานั้นb (โยบ 26:7) คำพูดของโยบเกี่ยวกับความหวังในอนาคตแสดงว่าเขามีความเชื่อที่มั่นคงมากเหมือนผู้ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ โยบเชื่อว่าถ้าเขาตาย พระเจ้าจะไม่ลืมเขา พระองค์จะคิดถึงเขา และจะปลุกเขาให้มีชีวิตอีก—โยบ 14:13-15; ฮีบรู 11:17-19, 35
แต่จะว่าอย่างไรกับเรื่องความซื่อสัตย์? เอลีฟัสกับเพื่อนอีกสองคนยืนยันว่าพระเจ้าไม่สนใจว่ามนุษย์จะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ไหม โยบยอมรับความคิดที่ชั่วร้ายนี้ไหม? ไม่เลย! โยบยืนยันว่าความซื่อสัตย์สำคัญต่อพระเจ้า เขาพูดถึงพระยะโฮวาอย่างมั่นใจว่า “พระองค์จะเห็นว่าผมซื่อสัตย์” (โยบ 31:6) โยบได้เห็นว่าการหาเหตุผลผิด ๆ ของเพื่อนที่อ้างว่ามาปลอบใจจริง ๆ แล้วเป็นการโจมตีความซื่อสัตย์ของเขา นี่ทำให้โยบต้องพูดต่อและเป็นคำพูดที่ยาวที่สุดของเขา สิ่งที่โยบพูดครั้งนี้ทำให้อีกสามคนไม่กล้าตอบโต้อีกเลย
โยบเข้าใจดีว่าความซื่อสัตย์เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เขาจึงบอกว่าที่ผ่านมาเขาก็ซื่อสัตย์ในทุกเรื่องอยู่แล้ว เช่น เขาไม่เคยกราบไหว้รูปเคารพทุกรูปแบบ เขาทำดีและให้เกียรติคนอื่น ไม่ทำผิดศีลธรรม ซื่อสัตย์ต่อภรรยา ที่สำคัญที่สุด เขาเลื่อมใสและภักดีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ดังนั้น โยบจึงพูดได้อย่างมั่นใจว่า “ผมจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจนวันตาย!”—โยบ 27:5; 31:1, 2, 9-11, 16-18, 26-28
เลียนแบบความเชื่อของโยบ
คุณให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์เหมือนโยบไหม? เรื่องนี้พูดง่าย แต่โยบเข้าใจว่าความซื่อสัตย์ที่แท้จริงต้องแสดงออกด้วยการกระทำ เราแสดงว่าเราภักดีต่อพระเจ้าอย่างสุดหัวใจโดยเชื่อฟังพระองค์และทำสิ่งที่พระองค์บอกว่าถูกต้องในแต่ละวันแม้แต่ตอนที่เจอปัญหาหนัก ถ้าเราใช้ชีวิตแบบนี้ เราจะทำให้พระยะโฮวามีความสุขและทำให้ซาตานศัตรูของพระองค์โกรธมากเหมือนที่โยบเคยทำ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะเลียนแบบความเชื่อของโยบได้!
เรื่องราวของโยบไม่ได้จบแค่นี้ ตอนนี้โยบเริ่มมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง เขาพยายามจะพิสูจน์ว่าตัวเองถูกต้องชอบธรรมจนลืมคิดถึงการปกป้องชื่อเสียงของพระเจ้า เขาจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อจะมีมุมมองแบบพระเจ้า นอกจากนั้น เขายังเจ็บปวดทรมาน เศร้าเสียใจ และต้องการการปลอบโยนที่แท้จริง พระยะโฮวาจะช่วยชายที่ซื่อสัตย์และมีความเชื่อคนนี้อย่างไร? บทความต่อไปจะตอบคำถามนี้
a น่าแปลกที่เอลีฟัสคิดว่าเขากับเพื่อนสองคนพูดกับโยบอย่างอ่อนโยนแล้ว เขาอาจคิดอย่างนั้นเพราะไม่ได้ขึ้นเสียงกับโยบเลย (โยบ 15:11) แต่คำพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก็ทิ่มแทงและทำให้เจ็บปวดได้เหมือนกัน
b จน 3,000 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์ถึงได้ค้นพบทฤษฎีที่ยืนยันว่าโลกไม่จำเป็นต้องอยู่บนวัตถุหรือสสารบางอย่าง และภาพถ่ายจากอวกาศก็ให้หลักฐานว่าโยบพูดความจริง