จากปก | ทำไมคนดีต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ?
ทำไมคนดีต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ?
เนื่องจากพระยะโฮวาaเป็นพระผู้สร้างและเป็นพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่งสูงสุด หลายคนจึงคิดว่าพระองค์ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลก รวมทั้งเรื่องร้าย ๆ ด้วย แต่ให้เรามาดูว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเที่ยงแท้องค์นี้
“[พระยะโฮวา] ทรงชอบธรรม ตามทางทั้งสิ้นของพระองค์”—บทเพลงสรรเสริญ 145:17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971
“ทางทั้งปวงของ [พระเจ้า] ยุติธรรม พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความจริง ปราศจากความอสัตย์ เป็นผู้ชอบธรรม และซื่อสัตย์”—พระบัญญัติ 32:4
“พระยะโฮวาทรงเปี่ยมด้วยความรัก และความเมตตา”—ยาโกโบ 5:11
ถ้าพระเจ้าไม่ได้เป็นต้นเหตุของเรื่องร้าย ๆ แล้วพระองค์เป็นผู้ยุยงให้คนอื่นทำสิ่งเลวร้ายไหม? ไม่ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เมื่อถูกทดสอบ อย่าให้ใครบอกว่า ‘พระเจ้าทรงลองใจข้าพเจ้า’” ทำไมเราไม่ควรพูดแบบนั้น? เพราะ “ไม่มีใครลองใจพระเจ้าด้วยสิ่งชั่วได้ และพระองค์ไม่ทรงลองใจผู้ใดด้วยสิ่งชั่วเลย” (ยาโกโบ 1:13) พระเจ้าไม่ทดสอบหรือลองใจมนุษย์ แต่ถ้าพระเจ้าไม่ได้เป็นต้นเหตุและไม่ใช่ผู้ยุยง แล้วใครหรืออะไรเป็นต้นเหตุของเรื่องร้าย ๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล่ะ?
อยู่ผิดที่ผิดเวลา
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์ก็เพราะ “วาระกับโอกาสมาถึงเขาทุกคน” (ท่านผู้ประกาศ 9:11) เมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้น คนเราจะได้รับอันตรายหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเขาอยู่ที่ไหน นานเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูคริสต์พูดถึงอุบัติเหตุร้ายแรงที่ทำให้มีคนตายถึง 18 คน (ลูกา 13:1-5) สาเหตุที่คนเหล่านั้นตายไม่ใช่เพราะพวกเขาประพฤติตัวไม่ดีหรือเป็นคนชั่ว แต่เพราะพวกเขาอยู่ในหอคอยตอนที่มันถล่มลงมาพอดี เมื่อไม่นานมานี้ ในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 2010 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่ก่อความเสียหายย่อยยับในประเทศเฮติ รัฐบาลประกาศว่ามีคนตายมากกว่า 300,000 คน ผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมครั้งนั้นมีทุกเพศทุกวัยและทุกชนชั้น นอกจากนั้น ความเจ็บป่วยก็อาจทำให้คนเราเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
ทำไมพระเจ้าไม่คุ้มครองคนดีให้รอดพ้นจากความหายนะ?
บางคนสงสัยว่า ‘พระเจ้าป้องกันไม่ให้เรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นได้ไหม? ทำไมพระองค์ไม่คุ้มครองคนดีให้รอดพ้นจากความหายนะล่ะ?’ เพื่อพระเจ้าจะป้องกันไม่ให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นได้ พระองค์ก็ต้องรู้ล่วงหน้าใช่ไหม? ใช่ พระองค์มีทั้งอำนาจและความสามารถที่จะรู้อนาคต แต่เพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องรู้ก่อนว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน พระองค์เลือกใช้อำนาจอย่างไร พระองค์ใช้อำนาจอย่างเต็มที่และคอยดูตลอดเวลาไหมว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต?—ยะซายา 42:9
ข้อคัมภีร์หนึ่งบอกว่า “พระเจ้า . . . อยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พระองค์พอพระทัยพระองค์ก็ทรงกระทำ” (บทเพลงสรรเสริญ 115:3, ฉบับ 1971 ) พระยะโฮวาสามารถทำทุกสิ่งได้ แต่พระองค์เลือกทำเฉพาะสิ่งที่จำเป็น และพระองค์ใช้หลักนี้กับการรู้อนาคตด้วย ตัวอย่างเช่น ในอดีตเมืองโซโดมและโกโมร์ราห์มีแต่คนชั่ว พระเจ้าบอกกับอับราฮามบรรพบุรุษคนหนึ่งของมนุษย์ว่า “เราจะลงไปตรวจดูว่าคนทั้งหลายได้กระทำเหมือนเสียงร้องที่เราได้ยินนั้นทั้งสิ้นหรือไม่ ถ้าหาไม่เราก็จะได้รู้” (เยเนซิศ 18:20, 21) นี่แสดงว่ามีช่วงหนึ่งที่พระยะโฮวาเลือกจะไม่รับรู้ว่าผู้คนในเมืองนั้นทำสิ่งเลวร้ายขนาดไหน และทำให้เราเข้าใจว่าพระยะโฮวาสามารถเลือกที่จะรู้หรือไม่รู้อะไรก็ได้ (เยเนซิศ 22:12) เรื่องนี้ไม่ได้แปลว่าพระเจ้าบกพร่องหรือมีจุดอ่อน เพราะ “กิจการของพระองค์ดีรอบคอบ” พระเจ้าใช้ความสามารถของพระองค์อย่างเหมาะสมเพื่อจะรู้อนาคตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความประสงค์ของพระองค์ พระเจ้าไม่เคยใช้อำนาจนี้เพื่อลิขิตชีวิตมนุษย์b (พระบัญญัติ 32:4) ถ้าอย่างนั้น ข้อสรุปคืออะไร? พูดง่าย ๆ ก็คือ พระเจ้าใช้อำนาจอย่างรอบคอบและเลือกจะรับรู้บางเรื่องเท่านั้น
มนุษย์ต้องรับผิดชอบไหม?
มนุษย์ก็มีส่วนต้องรับผิดชอบสำหรับเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามนุษย์อาจทำสิ่งที่ก่อผลเสียหายร้ายแรงได้เพราะ “ทุกคนถูกทดสอบโดยที่ความปรารถนาของเขาเองชักนำและล่อใจ เมื่อความปรารถนานั้นมากพอจะเกิดผล ก็จะทำให้เกิดบาป แล้วเมื่อมีการทำบาป บาปนั้นก็ทำให้เกิดความตาย” (ยาโกโบ 1:14, 15) เมื่อมนุษย์ทำตามความปรารถนาที่ไม่ดีหรือกิเลสของตัวเอง เขาก็ต้องรับผลเสียหายจากการกระทำนั้น (โรม 7:21-23) ประวัติศาสตร์ให้หลักฐานว่ามนุษย์ทำสิ่งเลวร้ายหลายอย่างและก่อให้เกิดความทุกข์มากมาย นอกจากนั้น คนชั่วก็ยังยุยงคนอื่นให้ทำชั่วเหมือนกัน เรื่องร้าย ๆ จึงมีให้เห็นอยู่เต็มไปหมด—สุภาษิต 1:10-16
มนุษย์ทำสิ่งเลวร้ายหลายอย่างและก่อให้เกิดความทุกข์มากมาย
พระเจ้าควรเข้ามาแทรกแซงและป้องกันไม่ให้คนทำชั่วไหม? เพื่อตอบคำถามนี้ ให้เรามาดูว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นอย่างไร คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามแบบของพระองค์ นี่หมายความว่า มนุษย์สามารถสะท้อนคุณลักษณะของพระเจ้าได้ (เยเนซิศ 1:26) พระเจ้าให้มนุษย์มีอิสระทางความคิด เราจึงเลือกได้ว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อพระองค์หรือไม่ มนุษย์เลือกจะเชื่อฟังและทำสิ่งที่พระองค์ต้องการได้ (พระบัญญัติ 30:19, 20) ถ้าพระเจ้าลิขิตชีวิตมนุษย์ให้เดินตามเส้นที่พระองค์ขีดไว้ พระองค์จะให้มนุษย์มีอิสระทางความคิดทำไมตั้งแต่แรก? หรือถ้าโชคชะตากำหนดไว้แล้วว่าเราต้องทำอะไรและต้องเจออะไร มนุษย์ก็คงเป็นเหมือนหุ่นยนต์ไร้ชีวิตจิตใจที่แค่ทำตามคำสั่งในโปรแกรม! เราน่าจะดีใจที่พระเจ้าให้เกียรติเราเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าข้อผิดพลาดหรือการตัดสินใจที่ไม่ดีของมนุษย์จะก่อผลเสียหายร้ายแรงต่อทุกคนบนโลกตลอดไป
เป็นเพราะกรรมแต่ชาติปางก่อนไหม?
ถ้าคุณถามคนที่นับถือศาสนาฮินดูหรือศาสนาพุทธว่า “ทำไมคนดีต้องเจอกับเรื่องร้าย ๆ?” เขาอาจบอกคุณว่า “มันก็เป็นกฎแห่งกรรมนั่นแหละ เขาต้องชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ในชาติที่แล้ว”c
ถ้าเรารู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดอย่างไรเกี่ยวกับความตาย เราจะเข้าใจว่าคำสอนเรื่องกรรมเก่าที่หลายคนเชื่อนั้นมีเหตุผลหรือไม่ ตอนที่พระเจ้าสร้างอาดามมนุษย์คนแรกในสวนเอเดน พระผู้สร้างบอกเขาว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้เจ้ากินได้ทั้งหมด เว้นแต่ต้นไม้ที่ให้รู้ความดีและชั่ว ผลของต้นนั้นเจ้าอย่ากินเป็นอันขาด ถ้าเจ้าขืนกินในวันใด เจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่” (เยเนซิศ 2:16, 17) ถ้าอาดามเชื่อฟังพระเจ้าและไม่ได้ทำบาป เขาจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป แต่เขาไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า เขาจึงต้องรับโทษคือความตาย หลังจากนั้น เมื่อลูกหลานของเขาเกิดมา “ความตายจึงลามไปถึงทุกคน” (โรม 5:12) ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ค่าจ้างที่บาปจ่ายคือความตาย” (โรม 6:23) และ “คนที่ตายแล้วก็พ้นโทษจากบาปของตน” (โรม 6:7) นี่หมายความว่าเมื่อคนเราตาย เขาก็ไม่ต้องชดใช้บาปของตัวเองอีกต่อไป
หลายล้านคนในทุกวันนี้บอกว่าปัญหาและความทุกข์ที่มนุษย์ต้องเจอเป็นผลจากกรรมเก่า คนที่เชื่อเรื่องนี้ก็ก้มหน้ารับกรรมของตัวเองไป และเขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนใจเท่าไรเมื่อเห็นคนอื่นทนทุกข์เพราะคิดว่ามันเป็นกรรมเก่าของเขา แต่ที่จริงแนวความคิดแบบนี้ไม่ได้ทำให้มนุษย์มีความหวังว่าเรื่องร้าย ๆ จะหมดไป ผู้คนเชื่อกันว่าทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดคือ การถือศีลทำบุญและศึกษาธรรมะจนรู้แจ้งเห็นจริง แต่แนวคิดนี้แตกต่างกันมากจากสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกd
ตัวการสำคัญ!
สาเหตุหลักของเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นบนโลกไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่ตัวการสำคัญคือ ซาตานพญามาร มันเคยเป็นทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า แต่มัน “ไม่ได้ยึดมั่นกับความจริง” และนำบาปเข้ามาในโลก (โยฮัน 8:44) มันยุยงมนุษย์คู่แรกให้ขืนอำนาจต่อพระเจ้าในสวนเอเดน (เยเนซิศ 3:1-5) พระเยซูคริสต์เรียกมันว่า “ตัวชั่วร้าย” และ “ผู้ปกครองโลก” (มัดธาย 6:13; โยฮัน 14:30) ผู้คนส่วนใหญ่ติดตามซาตานและแนวคิดของมันที่บอกว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องสนใจพระยะโฮวาพระเจ้า (1 โยฮัน 2:15, 16) ในหนังสือ 1 โยฮัน 5:19 บอกว่า “โลกทั้งโลกอยู่ในอำนาจตัวชั่วร้าย” นอกจากนี้ ยังมีทูตสวรรค์องค์อื่น ๆ อีกที่หันไปทำชั่วและกลายเป็นพวกของซาตาน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าซาตานและผีปิศาจพรรคพวกของมัน “ชักนำทั้งโลกให้หลงผิด” ทำให้ ‘แผ่นดินโลกเกิดวิบัติ’ (วิวรณ์ 12:9, 12) ดังนั้น ถ้าจะโทษใครว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้น ก็ต้องโทษตัวการสำคัญซึ่งก็คือซาตานพญามารนี่แหละ
เห็นได้ชัดว่า พระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเมื่อมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น พระองค์ไม่ได้ทำให้มนุษย์ทุกข์ทรมาน แต่ตรงกันข้าม พระองค์สัญญาว่าจะกำจัดความทุกข์ให้หมดไป ลองอ่านดูในบทความถัดไปว่าพระองค์จะทำอย่างไร
a ยะโฮวา เป็นชื่อของพระเจ้าตามที่บอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
b สำหรับคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความชั่ว โปรดดูบท 11 ของหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา
c สำหรับคำอธิบายเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม โปรดดูหน้า 8-12 ของจุลสารเกิดอะไรขึ้นกับเราเมื่อเราตาย? จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา
d สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกเรื่องสภาพของคนตายและความหวังสำหรับคนที่ตายไปแล้ว โปรดดูบท 6 และ 7 ของหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?