บท 21
พระเยซูทำให้เห็น “สติปัญญาของพระเจ้า”
1-3. คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของพระเยซูมีท่าทียังไงกับสิ่งที่ท่านสอน และทำไม?
ตอนที่พระเยซูสอนในที่ประชุมของคนยิว ผู้คนที่อยู่ที่นั่นรู้สึกทึ่งมาก พวกเขารู้จักท่านดี เพราะท่านโตมาในเมืองนั้น และทำงานเป็นช่างไม้อยู่หลายปี พวกเขาบางคนอาจจะอยู่ในบ้านที่พระเยซูช่วยสร้าง หรือเป็นชาวไร่ชาวนาที่ทำงานโดยใช้คันไถและแอกที่ท่านทำa แต่พวกเขาจะรู้สึกยังไงตอนที่ได้ยินคนที่เคยเป็นช่างไม้คนนี้สอน?
2 คนส่วนใหญ่ที่ได้ยินท่านสอนรู้สึกประหลาดใจ เลยถามกันว่า “คนนี้ไปได้สติปัญญามาจากไหน?” แต่ก็มีบางคนบอกว่า “เขาเป็นช่างไม้ ลูกชายมารีย์” (มัทธิว 13:54-58; มาระโก 6:1-3) น่าเสียดาย คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของพระเยซูอาจจะคิดว่า ‘คนนี้ก็เป็นแค่ช่างไม้ในเมืองของเราและเขาก็ไม่ได้เป็นคนพิเศษอะไร’ ถึงสิ่งที่ท่านสอนจะแสดงให้เห็นถึงสติปัญญา พวกเขาก็ปฏิเสธท่านอยู่ดี พวกเขาไม่รู้เลยว่าท่านได้สติปัญญานั้นจากที่ไหน
3 แล้วพระเยซูได้สติปัญญาจากที่ไหน? ท่านบอกว่า “ผมไม่ได้สอนคำสอนของผมเอง แต่เป็นของพระองค์ที่ใช้ผมมา” (ยอห์น 7:16) อัครสาวกเปาโลบอกว่าพระเยซู “ทำให้เราเห็นสติปัญญาของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 1:30) เราเห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาได้จากพระเยซูลูกชายของพระองค์ ท่านทำได้ดีจนถึงขนาดที่ท่านบอกว่า “ผมกับพ่อเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ให้เรามาดู 3 อย่างที่พระเยซูแสดงว่าท่านมี “สติปัญญาของพระเจ้า”
เรื่องที่ท่านสอน
4. (ก) อะไรเป็นเรื่องหลักที่พระเยซูสอน และทำไมเรื่องนั้นถึงสำคัญมาก? (ข) ทำไมคำแนะนำของพระเยซูเป็นประโยชน์และช่วยผู้คนได้จริง ๆ?
4 ให้เรามาดูสิ่งที่พระเยซูสอน เรื่องหลักที่ท่านสอนคือ “ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” (ลูกา 4:43) นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะรัฐบาลนี้จะทำให้ชื่อของพระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญและพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด รวมถึงทำให้ทั้งโลกกลายเป็นสวนอุทยานและผู้คนจะมีชีวิตอยู่ที่นั่นได้ตลอดไป พระเยซูยังให้คำแนะนำที่ฉลาดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ท่านแสดงให้เห็นว่าท่านเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” ตามที่บอกไว้ล่วงหน้า (อิสยาห์ 9:6) ทำไมพระเยซูถึงเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” หรือเป็นครูที่ดี? ก็เพราะท่านรู้จักคำสอนของพระยะโฮวาเป็นอย่างดีและรู้ว่าพระยะโฮวาอยากให้เรารับใช้พระองค์ยังไง ท่านยังรู้ด้วยว่ามนุษย์คิดและรู้สึกยังไง และท่านรักมนุษย์มาก ดังนั้น คำแนะนำของท่านเลยเป็นประโยชน์และช่วยผู้คนได้จริง ๆ พระเยซูมี “คำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป” เมื่อเราทำตามคำแนะนำของท่าน เราก็จะมีชีวิตตลอดไป—ยอห์น 6:68
5. ในคำบรรยายบนภูเขาพระเยซูสอนเรื่องอะไรบ้าง?
5 คำบรรยายบนภูเขาเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดว่าพระเยซูสอนด้วยสติปัญญาของพระเจ้า ถึงแม้คำบรรยายที่อยู่ในมัทธิว 5:3–7:27 อาจจะใช้เวลาบรรยายแค่ 20 นาที แต่คำแนะนำเหล่านั้นยังใช้ได้ในทุกวันนี้ พระเยซูพูดถึงหลายเรื่องรวมทั้งวิธีที่เราจะเข้ากับคนอื่นได้ดี (5:23-26, 38-42; 7:1-5, 12) วิธีที่จะเป็นคนสะอาดทางด้านศีลธรรม (5:27-32) และวิธีใช้ชีวิตอย่างมีความสุข (6:19-24; 7:24-27) พระเยซูไม่ได้แค่บอกผู้ฟังว่าทำยังไงถึงจะใช้ชีวิตอย่างฉลาด แต่ท่านยังอธิบายว่าทำไมท่านถึงบอกแบบนั้นและทำให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย
6-8. (ก) พระเยซูบอกเหตุผลที่ดีอะไรว่าเราไม่ควรกังวลมากเกินไป? (ข) คำแนะนำของพระเยซูแสดงให้เห็นสติปัญญาของพระเจ้ายังไง?
6 ตัวอย่างเช่น คำแนะนำของพระเยซูเกี่ยวกับวิธีรับมือกับความกังวลในชีวิต ในมัทธิวบท 6 พระเยซูแนะนำเราว่า “เลิกกังวลได้แล้วกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ว่าจะมีกินมีดื่มไหม หรือกังวลว่าจะมีเสื้อผ้าใส่หรือเปล่า” (ข้อ 25) อาหารและเสื้อผ้าเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เลยเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้คนมักจะกังวล แต่ทำไมพระเยซูถึงบอกเราให้ “เลิกกังวล”?b
7 พระเยซูบอกเหตุผลที่ดีหลายอย่างว่าทำไมผู้ฟังของท่านไม่ควรกังวลมากเกินไป เช่น พระยะโฮวาเป็นผู้สร้างเรา ดังนั้น พระองค์จะให้เรามีเสื้อผ้าและอาหารเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ได้แน่นอน (ข้อ 25) ถ้าพระเจ้าให้นกมีอาหารกินและดูแลดอกไม้ให้สวยงามได้ พระองค์ก็จะดูแลผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย (ข้อ 26, 28-30) จริง ๆ แล้วความกังวลไม่มีประโยชน์อะไรและไม่ได้ช่วยให้เรามีชีวิตยืนยาวขึ้นc (ข้อ 27) แล้วเราจะเลิกกังวลได้ยังไง? พระเยซูแนะนำว่าเราต้องให้การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตต่อ ๆ ไป ถ้าทำอย่างนั้นเราก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ ‘จะให้เรามี’ สิ่งจำเป็นในชีวิต (ข้อ 33) พระเยซูยังบอกให้เรารับมือกับปัญหาเป็นวัน ๆ ไปและไม่ต้องกังวลเรื่องของวันพรุ่งนี้ (ข้อ 34) เพราะบางทีเรื่องที่เรากังวลอาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ การทำตามคำแนะนำที่ฉลาดนี้จะช่วยให้เราไม่ต้องเจอกับเรื่องเครียด ๆ ที่ทำให้เราไม่มีความสุข
8 เมื่อเวลาผ่านไปคำแนะนำของมนุษย์ก็อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพราะบางคำแนะนำก็ใช้ไม่ได้แล้ว แต่เรื่องที่พระเยซูสอนไว้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วยังใช้ได้ในทุกวันนี้ นี่ทำให้เห็นว่าสติปัญญาของท่านมาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่าน เราเห็นได้ชัดเจนว่าพระเยซูเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์และท่านถ่ายทอด ‘คำพูดของพระเจ้า’—ยอห์น 3:34
วิธีที่ท่านสอน
9. พวกทหารพูดยังไงเกี่ยวกับวิธีที่พระเยซูสอน และทำไมพวกเขาถึงไม่ได้พูดเกินจริง?
9 อย่างที่สองที่ทำให้เห็นว่าพระเยซูสอนด้วยสติปัญญาของพระเจ้าคือ วิธีที่ท่านสอน ครั้งหนึ่ง พวกผู้นำศาสนาชาวยิวส่งทหารไปจับพระเยซูแต่กลับมามือเปล่า พวกเขาบอกว่า “พวกเราไม่เคยได้ยินใครพูดเหมือนผู้ชายคนนี้มาก่อนเลย” (ยอห์น 7:45, 46) พวกเขาไม่ได้พูดเกินจริง เพราะพระเยซูมีชีวิตอยู่บนสวรรค์นานก่อนที่ท่านจะมาบนโลก ดังนั้น ท่านมีความรู้และประสบการณ์มากกว่ามนุษย์ทุกคน (ยอห์น 8:23) ไม่มีใครจะสอนได้เหมือนท่าน ให้เรามาดูวิธีสอนสองอย่างของพระเยซูครูที่ฉลาดด้วยกัน
“คนที่มาฟังก็รู้สึกทึ่งกับวิธีสอนของท่าน”
10, 11. (ก) ทำไมตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูทำให้เราประทับใจ? (ข) ตัวอย่างเปรียบเทียบคืออะไร และพระเยซูใช้ตัวอย่างอะไรบ้างเพื่อสอนบทเรียนที่สำคัญ?
10 ใช้ตัวอย่างที่เข้าถึงหัวใจ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเยซูพูดเรื่องทั้งหมดนี้กับผู้คนโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบ ที่จริง ท่านสอนพวกเขาโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเสมอ” (มัทธิว 13:34) พระเยซูใช้ตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันเพื่อสอนความจริงที่สำคัญได้อย่างน่าประทับใจ ท่านพูดถึงชาวนาที่หว่านเมล็ดพืช ผู้หญิงทำขนมปัง เด็ก ๆ ที่เล่นกันในตลาด ชาวประมงลากอวน คนเลี้ยงแกะตามหาแกะที่หายไป ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฟังของท่านเห็นอยู่บ่อย ๆ เมื่อท่านใช้เรื่องที่ผู้คนคุ้นเคยเพื่อสอนความจริงที่สำคัญ พวกเขาก็จะเข้าใจ จดจำ และเอาคำสอนที่สำคัญนี้ไปใช้ได้ง่ายขึ้น—มัทธิว 11:16-19; 13:3-8, 33, 47-50; 18:12-14
11 บ่อยครั้งพระเยซูใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบที่เป็นเรื่องสั้น ๆ ซึ่งสอนบทเรียนที่สำคัญ ท่านทำแบบนั้นเพราะอยากให้ผู้ฟังเข้าใจและจำบทเรียนต่าง ๆ ได้ ในหลายตัวอย่าง พระเยซูพูดถึงพ่อของท่านโดยใช้ภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนและจำได้ง่าย เช่น ตัวอย่างเรื่องลูกที่หลงหายสอนให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแบบไหน และยังสอนว่าเมื่อคนที่ทำผิดกลับใจจริง ๆ พระองค์ก็พร้อมจะให้อภัยและต้อนรับเขากลับมา—ลูกา 15:11-32
12. (ก) พระเยซูสอนโดยใช้คำถามแบบไหนบ้าง? (ข) พระเยซูถามคนที่สงสัยเรื่องอำนาจของท่านยังไงที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าตอบ?
12 ใช้คำถามที่เหมาะสม พระเยซูใช้คำถามเพื่อช่วยผู้ฟังให้คิด ตรวจดูแรงกระตุ้น หรือลงมือตัดสินใจ (มัทธิว 12:24-30; 17:24-27; 22:41-46) เช่น ตอนที่พวกผู้นำศาสนาชาวยิวถามพระเยซูว่าใครให้อำนาจท่าน ท่านเลยบอกว่า “ที่ยอห์นให้บัพติศมานั้น ใครให้อำนาจเขา พระเจ้าหรือมนุษย์?” พวกเขาไม่ตอบและคุยกันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘พระเจ้า’ เขาก็จะถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?’ แต่ใครจะไปกล้าตอบว่า ‘มนุษย์’ ล่ะ” ที่พวกเขาพูดกันอย่างนั้น “เพราะกลัวประชาชนจะโกรธแค้น เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นผู้พยากรณ์จริง ๆ” ในที่สุดพวกเขาตอบว่า “ไม่รู้สิ” (มาระโก 11:27-33; มัทธิว 21:23-27) พระเยซูใช้คำถามง่าย ๆ แต่พวกเขากลับไม่กล้าตอบเพราะมีความคิดที่ไม่ถูกต้อง
13-15. ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องคนสะมาเรียทำให้เราเห็นสติปัญญาของพระเยซูยังไง?
13 บางครั้งพระเยซูก็ใช้ทั้งสองวิธีในการสอน คือใช้คำถามเพื่อช่วยให้ผู้ฟังคิดเกี่ยวกับตัวอย่างเปรียบเทียบที่ท่านใช้ เช่น มีผู้ชายคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสถามพระเยซูว่าต้องทำอะไรถึงจะได้ชีวิตตลอดไป พระเยซูเลยบอกให้เขาคิดถึงกฎหมายของโมเสสที่สอนให้รักพระเจ้าและรักคนอื่น แต่ผู้ชายคนนี้อยากแสดงว่าเขาทำตามกฎหมายของพระเจ้าอยู่แล้ว เขาเลยถามว่า “แล้วใครคือคนที่ผมจะต้องรัก?” พระเยซูตอบโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหนึ่ง ท่านเล่าว่ามีคนยิวคนหนึ่งเดินทางคนเดียว เขาถูกโจรปล้นและทุบตีจนเกือบตาย ต่อมามีคนยิวสองคนผ่านมาเห็น คนแรกเป็นปุโรหิต ส่วนอีกคนเป็นคนเลวี แต่พวกเขาทั้งสองคนไม่สนใจที่จะช่วย แล้วในที่สุดก็มีคนสะมาเรียคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นผู้ชายคนนี้ก็รู้สึกสงสาร เขาเลยค่อย ๆ พันแผลให้ แล้วพาผู้ชายที่บาดเจ็บไปพักรักษาตัวที่โรงแรม เมื่อพระเยซูเล่าเรื่องนี้จบ ท่านถามผู้ชายที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสคนนั้นว่า “ในสามคนนี้ คุณว่าคนไหนรักคนที่ถูกปล้นเหมือนรักตัวเอง?” เขาต้องจำใจตอบว่า “คนที่ช่วยเหลือเขา”—ลูกา 10:25-37
14 ตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เราเห็นสติปัญญาของพระเยซูยังไง? ในสมัยของพระเยซู คนยิวคิดว่า “คนอื่น” ในที่นี้หมายถึงคนที่ทำตามธรรมเนียมของพวกเขาเท่านั้นซึ่งไม่ใช่คนสะมาเรียแน่นอน (ยอห์น 4:9) ดังนั้น ถ้าพระเยซูเล่าเรื่องโดยให้คนสะมาเรียเป็นคนถูกทำร้าย และคนยิวเป็นคนช่วย นั่นจะทำให้ผู้ชายคนนี้เลิกมีอคติไหม? พระเยซูฉลาดมาก ท่านเล่าเรื่องนี้โดยให้คนสะมาเรียเป็นฝ่ายดูแลคนยิว หลังจากเล่าจบท่านก็ถามคำถามเพื่อช่วยให้ผู้ชายคนนี้เข้าใจว่าการรัก “คนอื่น” หมายถึงอะไรจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขาถามเพราะอยากรู้ว่า ‘ใครคือคนที่ผมจะต้องรัก?’ แต่เมื่อพระเยซูถามว่า “ในสามคนนี้ คุณว่าคนไหนรักคนที่ถูกปล้นเหมือนรักตัวเอง?” ท่านไม่ได้เน้นคนที่ได้รับความกรุณาซึ่งก็คือคนที่ถูกทำร้าย แต่ท่านเน้นคนที่แสดงความกรุณาซึ่งก็คือคนสะมาเรียนั่นเอง คนที่รักคนอื่นจะแสดงความกรุณากับทุกคนไม่ว่าจะมีภูมิหลังหรือเชื้อชาติอะไรก็ตาม พระเยซูสอนอย่างฉลาดจริง ๆ
15 ไม่แปลกที่ผู้คนจะรู้สึกทึ่งใน “วิธีสอน” ของพระเยซูและอยากฟังท่าน (มัทธิว 7:28, 29) ครั้งหนึ่ง “มีคนมากมาย” อยู่กับท่านนานถึง 3 วันและไม่ยอมไปกินอาหาร—มาระโก 8:1, 2
วิธีที่ท่านใช้ชีวิต
16. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่านเอาสติปัญญาของพระเจ้าไปใช้ในชีวิต?
16 อย่างที่สามที่พระเยซูทำให้เห็นสติปัญญาของพระยะโฮวาคือวิธีที่ท่านใช้ชีวิต สติปัญญาคือการเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้แล้วเกิดผลที่ดี ยากอบถามว่า “ใครบ้างในพวกคุณมีสติปัญญา?” แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า “ให้เขาแสดงออกโดยความประพฤติที่ดี คือการกระทำด้วยความอ่อนโยนที่เกิดจากสติปัญญา” (ยากอบ 3:13) ตัวอย่างของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าท่านเอาสติปัญญาของพระเจ้าไปใช้ ให้เรามาดูว่าพระเยซูใช้สติปัญญายังไงในการใช้ชีวิตและการปฏิบัติกับคนอื่น
17. อะไรแสดงว่าพระเยซูเป็นคนที่สมดุลอยู่เสมอ?
17 คุณอาจเห็นว่าคนที่ไม่มีสติปัญญาจะเป็นคนที่เข้มงวดและมักจะพูดหรือทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล แต่พระเยซูเป็นคนที่สมดุลเสมอเพราะท่านเลียนแบบสติปัญญาของพระเจ้า นอกจากนั้น ท่านมองว่าการรับใช้พระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิต ท่านขยันทำงานประกาศข่าวดี พระเยซูบอกว่า “ที่ผมมาก็เพื่อทำงานนี้” (มาระโก 1:38) เห็นชัดว่าทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับท่านและดูเหมือนว่าท่านไม่มีสิ่งของอะไรมากมาย (มัทธิว 8:20) แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพระเยซูไม่มีของดี ๆ ใช้หรือไม่ได้ทำอะไรสนุก ๆ เลย ท่านเป็นคนร่าเริงและทำให้คนอื่นมีความสุขเหมือนกับพ่อของท่านที่เป็น “พระเจ้าผู้มีความสุข” (1 ทิโมธี 1:11; 6:15) เมื่อพระเยซูไปงานเลี้ยงซึ่งมักจะมีดนตรี การร้องเพลง และบรรยากาศที่สนุกสนาน ท่านก็ไม่ได้ไปทำให้งานนั้นหมดสนุกและตอนที่เหล้าองุ่นหมด ท่านก็เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นอย่างดีซึ่งเป็นสิ่งที่ “ทำให้ใจมนุษย์เบิกบาน” (สดุดี 104:15; ยอห์น 2:1-11) มีหลายครั้งที่พระเยซูถูกเชิญไปกินอาหารและท่านก็มักจะใช้โอกาสนั้นเพื่อสอนด้วย—ลูกา 10:38-42; 14:1-6
18. พระเยซูแสดงว่าท่านมีสติปัญญายังไงตอนที่ปฏิบัติกับพวกสาวก?
18 พระเยซูแสดงให้เห็นว่าท่านมีสติปัญญามากจริง ๆ ตอนที่ท่านปฏิบัติกับคนอื่น ท่านเข้าใจความคิด ความรู้สึกและแรงกระตุ้นของสาวกอย่างดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ท่านก็ยังเห็นคุณลักษณะที่ดีของพวกเขาและท่านรู้ด้วยว่าแต่ละคนที่พระยะโฮวาชักนำเข้ามาเป็นคนแบบไหน (ยอห์น 6:44) ถึงบางครั้งพวกสาวกจะทำผิดพลาดแต่พระเยซูก็ยังไว้ใจพวกเขาโดยให้พวกเขาทำงานมอบหมายที่สำคัญคือการประกาศข่าวดี และท่านก็มั่นใจว่าพวกเขาจะทำงานนี้สำเร็จ (มัทธิว 28:19, 20) เมื่อเราอ่านหนังสือกิจการ เราเห็นว่าพวกสาวกทำงานที่พระเยซูมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ (กิจการ 2:41, 42; 4:33; 5:27-32) นี่ทำให้เราเห็นว่าพระเยซูมีสติปัญญาจริง ๆ
19. พระเยซูแสดงให้เห็นยังไงว่าท่าน “เป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว”?
19 ในบท 20 เราได้เรียนว่าคนที่มีสติปัญญาแท้จะเป็นคนถ่อมและอ่อนโยน พระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องความถ่อมและอ่อนโยน พระเยซูก็เป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน เราประทับใจมากเมื่อเห็นว่าท่านแสดงความถ่อมตอนที่ปฏิบัติกับสาวกของท่าน ถึงแม้จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แต่ท่านก็ไม่คิดว่าตัวเองดีกว่าพวกเขา ท่านไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าตัวเองไม่สำคัญหรือทำอะไรก็ไม่สำเร็จ แต่ท่านคิดถึงข้อจำกัดของพวกเขาและอดทนตอนที่พวกเขาทำผิดพลาด (มาระโก 14:34-38; ยอห์น 16:12) แม้แต่เด็ก ๆ ก็ชอบอยู่กับพระเยซู ทำไม? พวกเขาอยากอยู่ใกล้ท่านเพราะรู้สึกว่าท่าน “เป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว”—มัทธิว 11:29; มาระโก 10:13-16
20. พระเยซูแสดงว่าเป็นคนมีเหตุผลยังไงตอนที่ปฏิบัติกับผู้หญิงต่างชาติที่ลูกสาวถูกผีสิง?
20 พระเยซูเลียนแบบความถ่อมของพระยะโฮวาโดยเป็นคนมีเหตุผลและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ท่านแสดงความเมตตาเมื่อเห็นว่าเหมาะที่จะทำอย่างนั้น ขอคิดถึงตัวอย่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนยิว เธอขอให้พระเยซูรักษาลูกสาวที่ถูกผีสิง แต่ท่านพยายามปฏิเสธ ตอนแรก ท่านไม่ตอบอะไรเลยตอนที่ผู้หญิงคนนี้ขอให้ช่วย หลังจากนั้นพระเยซูก็บอกเธอว่าพระเจ้าส่งท่านมาเพื่อช่วยคนยิวไม่ใช่คนต่างชาติ และสุดท้ายท่านก็ใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อแสดงให้เห็นอย่างกรุณาว่าทำไมท่านถึงไม่ช่วยเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้มีความเชื่อมากเธอเลยไม่เลิกขอให้พระเยซูช่วย แล้วพระเยซูทำยังไง? ท่านช่วยรักษาลูกสาวของเธอให้หายทั้ง ๆ ที่ตอนแรกท่านบอกว่าจะไม่ช่วย (มัทธิว 15:21-28) พระเยซูถ่อมมากจริง ๆ และคนถ่อมเท่านั้นที่จะมีสติปัญญาแท้
21. ทำไมเราควรเลียนแบบคุณลักษณะ คำพูด และการกระทำของพระเยซู?
21 เราขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่บอกเราหลายอย่างเกี่ยวกับพระเยซูซึ่งเป็นคนฉลาดที่สุดในโลก คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรารู้ว่าท่านพูดและทำอะไรบ้าง ให้เราจำไว้ว่าพระเยซูเลียนแบบพ่อของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น ถ้าเราเลียนแบบคุณลักษณะของพระเยซูทั้งคำพูดและการกระทำ เราก็กำลังเลียนแบบสติปัญญาของพระยะโฮวาด้วย ในบทต่อไปให้มาดูกันว่าเราจะเอาสติปัญญาของพระเจ้ามาใช้ในชีวิตได้ยังไง?
a ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ช่างไม้ถูกจ้างให้สร้างบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ และทำเครื่องมือการเกษตร นักเขียนคนหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ประมาณ 100 ปีหลังจากพระเยซูเสียชีวิตได้เขียนเกี่ยวกับท่านว่า “ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านทำงานเป็นช่างไม้ งานที่ท่านทำเป็นประจำคือ ทำคันไถและแอก”
b คำกริยาภาษากรีกที่แปลว่า “กังวล” หมายถึง “ความหนักใจที่ทำให้จิตใจคนเราแบ่งแยก ไขว้เขว” ในมัทธิว 6:25 คำนี้ใช้กับคนที่กังวลมากจนไม่คิดถึงเรื่องอื่นและทำให้เขาไม่มีความสุข
c แพทย์หลายคนเห็นว่าการเครียดมากเกินไปอาจทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและอีกหลายโรคที่อาจทำให้ตายเร็วขึ้น