พวกเขาได้พิสูจน์ไหมว่าคัมภีร์ไบเบิลผิดพลาด?
พวกนักวิทยาศาสตร์และนักวิจารณ์พระคัมภีร์ได้พิสูจน์อย่างแท้จริงไหมว่า คัมภีร์ไบเบิลมีข้อผิดพลาดและเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น? ก่อนที่คุณยอมรับว่าพวกเขามีข้อพิสูจน์ คุณควรจดจำไว้ว่า ถึงแม้นักศึกษาหลายคนเสนอความคิดเห็นของตนในแบบที่มั่นใจและเสมือนมีหลักฐานก็ตาม พวกเขาก็ใช่ว่าเป็นฝ่ายถูกเสมอไปไม่. บ่อยครั้งความคิดเห็นของพวกเขาอาศัยรากฐานที่คลอนแคลน.
การสันนิษฐานที่น่าสงสัย
เพื่อเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับคำแถลงที่ฟังดูน่าเชื่อถือโดยนักวิจารณ์พระคัมภีร์ ขอพิจารณาสิ่งที่ เอส. อาร์. ไดรเวอร์ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับพระธรรมดานิเอล. ตามความเข้าใจที่สืบทอดกันมา ถือกันว่าหนังสือเล่มนี้เขียนโดยดานิเอลเองในบาบูโลนเมื่อศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราช. (ดานิเอล 12:8, 9) แต่ไดรเวอร์อ้างว่า พระธรรมนี้ได้รับการเขียนขึ้นหลังจากนั้นมากนัก. ทำไม? “ข้อพิสูจน์” ประการหนึ่งที่ได้เสนอคือว่า หนังสือนั้นมีคำภาษากรีก และไดรเวอร์ยืนยันว่า “อาจยืนยันอย่างมั่นใจได้ว่า ถ้อยคำเหล่านี้ไม่อาจใช้ในพระธรรมดานิเอลได้นอกเสียจากว่า พระธรรมนี้เขียนภายหลังการแผ่ขยายของอิทธิพลของชาวกรีกในเอเชีย โดยทางชัยชนะของอเล็กซานเดอร์มหาราช.” อเล็กซานเดอร์ได้ชัยชนะราว ๆ ปี 330 ก่อนสากลศักราช.
คำแถลงของไดรเวอร์ฟังดูมั่นใจมากจริง ๆ. กระนั้น เพื่อสนับสนุนเรื่องนั้น เขากล่าวถึงคำภาษากรีกเพียงสามคำเท่านั้น คำทั้งหมดนั้นเป็นชื่อของเครื่องดนตรี. (ดานิเอล 3:5) เนื่องจากชาวกรีกมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเอเชียตะวันตกตั้งแต่ยุคแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกไว้ ใคร ๆ จะยืนยันอย่างที่ฟังขึ้นได้อย่างไรว่า ไม่มีการใช้เครื่องดนตรีที่มีชื่อภาษากรีกในบาบูโลนในศตวรรษที่หกก่อนสากลศักราช? ช่างเป็นหลักฐานที่เชื่อถือไม่ได้เสียนี่กระไรสำหรับการสงสัยเรื่องการกำหนดเวลาและผู้เขียนของพระธรรมดานิเอล!
อีกตัวอย่างหนึ่งคือทัศนะต่อหนังสือห้าเล่มแรกในคัมภีร์ไบเบิล. ตามความเข้าใจที่สืบทอดกันมากล่าวกันว่า หนังสือเหล่านี้เขียนโดยโมเซเป็นส่วนใหญ่ราว ๆ ปี 1500 ก่อนสากลศักราช. อย่างไรก็ดี พวกนักวิจารณ์อ้างว่า พบลีลาการเขียนที่ต่างกันในหนังสือเหล่านั้น. นอกจากนี้ พวกเขาสังเกตว่า บางครั้งมีการกล่าวพาดพิงถึงพระเจ้าด้วยพระนามของพระองค์คือ ยะโฮวา และบางครั้งโดยคำภาษาฮีบรูสำหรับ “พระเจ้า.” จากการสังเกตเช่นว่านี้ พวกเขาจึงวินิจฉัยออกมาว่า พระธรรมเหล่านี้เป็นการรวมกันของบทจารึกที่เขียนขึ้นในเวลาต่าง ๆ กัน แล้วจัดไว้ในรูปแบบสุดท้ายช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากปี 537 ก่อนสากลศักราช.
ทฤษฎีนี้เป็นที่เชื่อถือกันอย่างกว้างขวาง กระนั้นก็ไม่มีใครชี้แจงเหตุผลที่โมเซจะกล่าวพาดพิงถึงพระผู้สร้างโดยใช้ทั้งคำพระเจ้าและยะโฮวาไม่ได้. ไม่มีใครพิสูจน์ว่า ท่านจะเขียนในลีลาต่างกันไม่ได้หากท่านบรรยายถึงหัวเรื่องที่ต่างกัน เขียนในช่วงเวลาที่ต่างกันในชีวิตของท่าน หรือใช้ข้อมูลจากแหล่งก่อนสมัยของท่าน. นอกจากนั้น ดังที่จอห์น โรเมอร์ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อเทสทาเมนท์—เดอะ ไบเบิล แอนด์ ฮิสทรี (พระคริสต์ธรรม—คัมภีร์ไบเบิล และประวัติศาสตร์) ว่า “ข้อคัดค้านที่สำคัญต่อวิธีวิเคราะห์แบบนี้ คือว่า จนบัดนี้เขาก็ไม่พบชิ้นส่วนของบทจารึกโบราณเพื่อพิสูจน์ว่า บทจารึกต่าง ๆ ตามทฤษฎีซึ่งนักวิจารณ์พูดถึงนั้นเคยมีจริง.”
ข้อสันนิษฐานขั้นพื้นฐานของนักวิจารณ์พระคัมภีร์หลายคนได้รับการชี้แจงไว้โดยไซโคลพีเดีย ของแมคคลินท็อกและสตรองว่า “นักวิจารณ์ . . . ตั้งต้นจากข้อสมมุติที่ว่า ข้อเท็จจริงแห่งประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่เบื้องหลังเรื่องราวในพระคัมภีร์นั้นเป็นข้อเท็จจริงตามธรรมชาติล้วน ๆ มีลักษณะคล้ายกันกับข้อเท็จจริงที่เรารู้จัก . . . . ผู้เขียนกล่าวถึงเหตุการณ์ซึ่งอยู่นอกขอบเขตแห่งกฎธรรมชาติอันเป็นที่รู้จักนั้นเสมือนเป็นข้อเท็จจริงไหม? ถ้าเช่นนั้นแล้ว . . . เหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดขึ้น.”
ด้วยเหตุนี้ หลายคนเข้าใจว่า การอัศจรรย์เกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องจากมันอยู่นอกขอบเขตของกฎธรรมชาติอันเป็นที่รู้จัก. ในทำนองเดียวกัน คำพยากรณ์ในระยะยาวคงต้องเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมนุษย์ไม่สามารถมองไปยังอนาคตระยะไกลได้. การอัศจรรย์ใด ๆ ต้องเป็นตำนาน หรือเทพนิยาย. คำพยากรณ์ใดที่สำเร็จสมจริงชัด ๆ คงต้องได้เขียนขึ้นหลังจากความสมจริงของคำพยากรณ์นั้น.a เนื่องจากเหตุนี้ บางคนได้โต้แย้งว่า คำพยากรณ์ต่าง ๆ ในพระธรรมดานิเอลได้สมจริงเมื่อถึงศตวรรษที่สองสากลศักราช และบอกว่า เพราะฉะนั้นพระธรรมเล่มนั้นต้องได้เขียนขึ้นในตอนนั้น.
แต่ข้อสันนิษฐานแบบนี้ขึ้นอยู่กับเรื่องของความเชื่อที่ว่า พระเจ้ามิได้ดำรงอยู่ หรือมิฉะนั้นก็หากพระองค์ดำรงอยู่ พระองค์ก็ไม่เคยแทรกแซงในประวัติศาสตร์ของมนุษย์. แน่นอน จุดสำคัญทั้งสิ้นของพระคัมภีร์คือว่า พระเจ้าทรงดำรงอยู่ และทรงปฏิบัติการในประวัติศาสตร์ของมนุษย์. หากเป็นเช่นนั้นจริง—และหลักฐานแสดงว่าเป็นเช่นนั้น—รากฐานส่วนใหญ่ของการวิจารณ์พระคัมภีร์สมัยปัจจุบันนั้นก็เป็นโมฆะ.
วิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันเผยให้เห็นไหมว่าพระคัมภีร์ผิดพลาด?
อย่างไรก็ดี จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคำอ้างที่ว่า วิทยาศาสตร์ได้เผยให้เห็นว่า เราเชื่อคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้? ความจริงคือว่า เมื่อพระคัมภีร์กล่าวถึงสิ่งที่เราเรียกว่าวิทยาศาสตร์นั้น สิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวส่วนมากนั้นไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันสอน.
ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์เสนอคำสั่งที่ใช้การได้ทีเดียวเกี่ยวกับสุขอนามัยและโรคติดต่อ. หนังสือแมนนูอัล ออฟ ทรอพิคัล เมดิซิน (ตำราเรื่องโรคในเขตร้อน) อธิบายว่า “ไม่มีใครจะลืมความรู้สึกประทับใจเนื่องจากการป้องกันไว้ล่วงหน้าทางด้านสุขอนามัยอย่างระมัดระวังในสมัยของโมเซ. . . . เป็นความจริงที่ว่า การแยกประเภทของโรคนั้นเป็นแบบเรียบง่ายทีเดียว—[กล่าวคือ] มีอาการหนักและกินเวลาสั้น เรียกว่า ‘ภัยพิบัติ’ และโรคแบบเรื้อรังพร้อมกับจุดด่างบนผิวหนังเรียกว่า ‘โรคเรื้อน’—แต่กฎเกี่ยวกับการกักตัวไว้อย่างเข้มงวดกวดขันที่สุดนั้นดูเหมือนจะก่อผลประโยชน์มากมายทีเดียว.”
จงพิจารณาคำแถลงของพระคัมภีร์ด้วยที่ว่า “แม่น้ำทั้งหลายไหลไปสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่ได้เต็ม. แม่น้ำไหลไปสู่ที่ใด ก็ไหลไปสู่ที่นั้นอีก.” (ท่านผู้ประกาศ 1:7, ฉบับแปลใหม่) ข้อนี้ฟังดูคล้ายกับคำพรรณนาเรื่องวัฏจักรของน้ำที่พบในตำราเรียนทุกวันนี้. แม่น้ำปล่อยน้ำลงสู่ทะเล ที่ซึ่งน้ำนั้นระเหยขึ้นไปเป็นเมฆที่กลับไปอยู่เหนือแผ่นดิน เพื่อตกมาเป็นฝนหรือหิมะ แล้วไหลกลับคืนสู่แม่น้ำทั้งหลายอีก.
ในทำนองเดียวกัน ข้อสรุปของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่า ภูเขาต่าง ๆ สูงขึ้น และทรุดต่ำลง และครั้งหนึ่งภูเขาในทุกวันนี้เคยอยู่ใต้ทะเลสมัยโบราณนั้น ประสานกับถ้อยคำเชิงกวีของประพันธ์บทเพลงสรรเสริญที่ว่า “น้ำอยู่เหนือภูเขา. ภูเขาโผล่ขึ้นมา หุบเขาทรุดลงไป—ไปยังที่ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดไว้ให้น้ำนั้น.”—บทเพลงสรรเสริญ 104:6, 8, ฉบับแปลใหม่.
นักเขียนคนหนึ่งยืนยันว่า “ผู้เขียนทุกคนในพระคริสต์ธรรมเดิมถือว่า โลกเป็นเหมือนจานที่แบนราบ และบางครั้งพวกเขากล่าวพาดพิงถึงเสาหลักซึ่งเข้าใจว่าค้ำโลกอยู่.” แต่เรื่องนี้ไม่จริง. ยะซายาได้กล่าวถึง “พระองค์ผู้ทรงประทับเหนือวงกลมของแผ่นดินโลก.” (ยะซายา 40:22, ล.ม. ) และโยบได้กล่าวถึงพระองค์ผู้นี้ว่า “พระองค์ทรงกางแผ่นฟ้าเหนือออกไปยังที่เวิ้งว้าง และทรงให้โลกห้อยอยู่โดยมิได้ติดกับอะไร.” (โยบ 26:7) คำพรรณนาเกี่ยวกับโลกว่ามีสันฐานกลมลอยอยู่ในอวกาศโดยไม่มีสิ่งรองรับที่เห็นด้วยตานั้นฟังดูเป็นแบบสมัยปัจจุบันอย่างน่าทึ่ง.
วิวัฒนาการ
จะว่าอย่างไรในเรื่องความขัดแย้งระหว่างคัมภีร์ไบเบิลกับทฤษฎีวิวัฒนาการ?b ดิ เอ็นไซโคลพีเดีย บริทันนิคา รายงานว่า “ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นที่ยอมรับโดยสังคมทางด้านวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่อย่างท่วมท้น.” แต่คัมภีร์ไบเบิลสอนด้านภาษาที่ง่ายพอที่จะเข้าใจในเรื่องยุคก่อนยุควิทยาศาสตร์ว่า ชีวิตเป็นผลมาจากการทรงสร้างโดยตรงจากพระเจ้า และสอนว่า ชีวิตชนิดพื้นฐานต่าง ๆ กันมิได้วิวัฒน์มา แต่ได้ถูกสร้างขึ้น.—เยเนซิศ 1:1; 2:7.
นักวิวัฒนาการก็ไม่ต่างกันกับนักวิจารณ์พระคัมภีร์. พวกเขามีความเชื่อมั่นอย่างแข็งขัน และแสดงความคิดเห็นของเขาเองอย่างเสมือนมีหลักฐาน. แต่มีบางคนสุจริตใจพอที่จะยอมรับว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการมีจุดอ่อน. คนหนึ่งชี้ว่า “แบบฉบับของดาร์วินในเรื่องวิวัฒนาการพิสูจน์ไม่ได้โดยการทดลอง หรือการสังเกตโดยตรงดังที่เป็นเรื่องปกติในวงการวิทยาศาสตร์ . . . นอกจากนั้นทฤษฎีวิวัฒนาการ กล่าวถึงลำดับเหตุการณ์ที่ไม่มีใดเหมือน ต้นกำเนิดของชีวิต ต้นกำเนิดของเชาวน์ปัญญา และอื่น ๆ. เหตุการณ์ที่ไม่มีใดเหมือนเป็นเรื่องเกิดซ้ำอีกไม่ได้และนำมาอยู่ภายใต้การตรวจสอบโดยการทดลองแบบใด ๆ ไม่ได้.” (วิวัฒนาการ: ทฤษฎีที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน โดยมิคาเอล เดนทอน) อีกคนหนึ่งกล่าวถึง “ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิวัฒนาการ.” ถึงกระนั้น เขาชี้ถึงความยากลำบากใหญ่หลวงในการพิสูจน์ “ข้อเท็จจริง” นี้: “เมื่อคุณหาตัวเชื่อมระหว่างสัตว์กลุ่มหลักก็จะหาไม่พบเลย.”—เดอะ เน็ค ออฟ เดอะ จิราฟ โดยฟรานซิส ฮิทชิง.
พวกเขาทราบได้มากน้อยเพียงไร?
ส่วนใหญ่ของหลักฐานในเรื่องวิวัฒนาการได้รับการเสนอโดยนักธรณีวิทยา และนักวิชาว่าด้วยสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณ—นักวิทยาศาสตร์ผู้ซึ่งศึกษาอดีตเก่าแก่ของแผ่นดินโลก. ปัญหาที่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เผชิญไม่ต่างกันกับปัญหาที่พวกนักดาราศาสตร์เผชิญ. โดยความช่วยเหลือจากอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ พวกนักดาราศาสตร์มองดูการแผ่รังสีเป็นระยะไกลสุดลูกหูลูกตาจากดาวต่าง ๆ ดาวเคราะห์ กาแล็กซี และเทหวัตถุที่แปลกประหลาด เช่นเควซาร์ (วัตถุคล้ายดาว). โดยการใช้ข้อมูลที่หาได้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด พวกเขาพัฒนาทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ลึกซึ้งอย่างเช่น ลักษณะของดวงดาว และต้นกำเนิดของเอกภพ. พวกเขาไม่ค่อยจะมีโอกาสตรวจสอบดูทฤษฎีของเขา แต่เมื่อได้ตรวจสอบ พวกเขามักจะพบว่า ทฤษฎีนั้นไม่สมบูรณ์ หรือผิดพลาดชัด ๆ.
นักดาราศาสตร์ทางด้านการแผ่รังสีไฟฟ้าชื่อเกอร์ริท เวอร์ชูร์ ได้เขียนไว้ว่า “การสำรวจอย่างละเอียดเกี่ยวกับดาวเคราะห์เมื่อเร็ว ๆ นี้ของสหรัฐเผยให้เห็นการขาดความรู้แท้อย่างน่าตกตะลึงในเรื่องสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในจักรวาล. เมื่อเข้าไปใกล้ ๆ ดาวอังคารปรากฏว่าต่างกันมากทีเดียวจากสิ่งใด ๆ ที่เรานึกภาพได้จากแผ่นดินโลก . . . . ไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดคาดการณ์ล่วงหน้าว่า แถบคาดของดาวพฤหัสจะมีโครงสร้างที่แปลกประหลาดทีเดียวเช่นนั้น . . . ดาวเสาร์ให้ความประหลาดใจมากที่สุดเมื่อกล้องถ่ายภาพของยานวอยเยจเจอร์เผยให้เห็นวงแหวนเป็นเกลียว ดวงจันทร์ที่ไล่กัน และวงแหวนเล็ก ๆ กว่า 1,000 วง . . . . สิ่งที่เป็นจริงในอวกาศดูเหมือนว่าเป็นจริงในตัวอย่างจากห้องทดลองที่ถ่ายภาพไว้ภายใต้กำลังขยายที่มีอานุภาพเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. การมองที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นแต่ละครั้งเผยให้เห็นข้อมูลที่มิได้คาดหมายเลยทีเดียวซึ่งทำให้เราตะลึงงัน และเปลี่ยนความเชื่อถือแต่ก่อนของเรา.”
เช่นเดียวกับนักดาราศาสตร์ นักธรณีวิทยา นักวิชาว่าด้วยสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณ และคนอื่น ๆ ซึ่งจัดให้มี “ข้อพิสูจน์” ส่วนใหญ่ในเรื่องวิวัฒนาการสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ไกลโพ้นทีเดียว—หาใช่ในระยะทางไม่ หากแต่ในเรื่องเวลาที่ยาวนาน. ดังที่นักดาราศาสตร์อาศัยการแผ่รังสีอันเลือนลางที่มาจากระยะไกลจนจินตนาการไม่ได้นั้นเพื่อเป็นข้อมูลของเขา นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เหล่านี้ต้องจำใจอาศัยร่องรอยที่หลงเหลืออยู่โดยเหตุบังเอิญจากอดีตอันยาวนานแห่งดาวเคราะห์ของเรา. เช่นเดียวกับนักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์อื่น ๆ เหล่านี้ต้องเป็นฝ่ายผิดพลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้ในข้อสรุปหลายประการของพวกเขา.
คุณเชื่อคัมภีร์ไบเบิลได้ไหม?
เนื่องจากเหตุนี้ คนช่างคิดไม่จำเป็นต้องกลัวจนหงอเนื่องจากความคิดเห็นของนักวิทยาศาสตร์ที่มีข้อใหญ่ใจความว่า คุณจะเชื่อคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้. อย่างไรก็ดี แค่นี้เองก็ใช่จะพิสูจน์ว่าคุณเชื่อพระคัมภีร์ได้. เพื่อจะเป็นเช่นนั้น คุณต้องทำสิ่งที่นักวิจารณ์พระคัมภีร์หลายคนไม่ได้ทำ—เปิดคัมภีร์ไบเบิลด้วยตัวคุณเองแล้วอ่านด้วยจิตใจเปิดกว้าง. (กิจการ 17:11) หลายปีมาแล้ว นักเขียนบทละครชาวออสเตรเลียคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นนักวิจารณ์คัมภีร์ไบเบิล ได้สารภาพว่า “เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ทำสิ่งซึ่งปกติเป็นภารกิจแรกของนักข่าว: ตรวจสอบข้อเท็จจริง. . . . และผมรู้สึกขนลุก เพราะสิ่งที่ผมอ่าน [ในเรื่องราวเกี่ยวกับกิตติคุณ] นั้นไม่ใช่เป็นตำนาน และไม่ใช่เรื่องแต่งขึ้นที่ทำให้มีลักษณะเหมือนจริง. นั่นเป็นการรายงาน. เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์พิเศษต่าง ๆ จากประจักษ์พยานและจากคนอื่นอีกต่อหนึ่ง . . . . การรายงานมีรสชาติ และรสชาตินั้นอยู่ในกิตติคุณ.”
เราขอสนับสนุนคุณให้เจริญรอยตามแบบอย่างของเขา. จงอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยตัวคุณเอง. เมื่อคุณพิจารณาสติปัญญาอันลึกล้ำของพระคัมภีร์ วิธีที่คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ได้สมจริง และความกลมกลืนกันอย่างน่าพิศวงในพระคัมภีร์แล้ว คุณก็จะสำนึกว่า พระคัมภีร์เป็นยิ่งกว่าเพียงการรวบรวมเทพนิยายที่ไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์. (ยะโฮซูอะ 23:14) เมื่อคุณตรวจดูด้วยตัวเองถึงวิธีที่สติปัญญาในพระคัมภีร์อาจเปลี่ยนชีวิตของคุณไปในทางที่ดีขึ้นได้แล้ว คุณคงจะไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:16, 17) ถูกแล้ว คุณเชื่อคัมภีร์ไบเบิลได้!—โยฮัน 17:17.
[เชิงอรรถ]
a นักศึกษาพระคัมภีร์หลายคนตระหนักว่า ทฤษฎีนี้ผิดพลาด เนื่องจากพระคัมภีร์ภาคภาษากรีกซึ่งได้รับการเขียนในศตวรรษแรกสากลศักราชนั้น บันทึกความสมจริงของคำพยากรณ์หลายข้อในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู ซึ่งพอจะพิสูจน์ได้ว่าเขียนมาหลายศตวรรษก่อนหน้านั้น. ตัวอย่างเช่น ความสมจริงในศตวรรษแรกของรายละเอียดทั้งหมดของดานิเอล 9:24-27 ได้รับการบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ภาคภาษากรีก หรือไม่ก็โดยนักประวัติศาสตร์ทางโลก.
b สำหรับการพิจารณาอย่างครบถ้วนในเรื่องวิวัฒนาการกับการมีผู้สร้างนั้น โปรดดูหนังสือ ชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? พิมพ์ในปี 1988 โดยสมาคมวอชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทรกท์ แห่งนิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 7]
เป็นเรื่องยากสำหรับนักวิชาว่าด้วยสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณจะวินิจฉัยว่า เกิดอะไรขึ้นในอดีตอันยาวนานพอ ๆ กับที่ยากสำหรับนักดาราศาสตร์จะวินิจฉัยลักษณะของสิ่งที่ดำรงอยู่ในบริเวณอันไกลโพ้นของอวกาศ.