ในฐานะแม่ม่ายดิฉันได้รับการประโลมใจอย่างแท้จริง
เล่าโดย ลิลี อาร์เธอร์
ผู้เผยแพร่หนุ่มซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวากำลังเยี่ยมตามบ้านในโอทาคามันด์ประเทศอินเดีย. ตามธรรมเนียมแล้วผู้หญิงจะไม่เปิดประตูให้กับคนแปลกหน้าเช่นนี้. สองสามชั่วโมงผ่านไปเขารู้สึกเหนื่อยและท้อใจ จึงหันกลับบ้าน. แต่เขาหยุด และโดยไม่รู้สาเหตุ เขาได้รับการกระตุ้นให้เยี่ยมบ้านถัดไป. ดูซิว่ามีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งจะเล่าโดยผู้หญิงที่เปิดประตูให้เขา.
พร้อมด้วยลูกสาวอายุสองเดือนอยู่ในอ้อมแขนของดิฉันและลูกชายอายุขวบกับสิบเดือนยืนอยู่ข้าง ๆ ดิฉันเปิดประตูทันทีและเห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ที่นั่น. คืนก่อนหน้าดิฉันประสบความซึมเศร้าสุดประมาณ. ดิฉันปรารถนาจะได้การปลอบประโลมจึงได้อธิษฐานว่า “พระบิดาผู้สถิตทางภาคสวรรค์ ได้โปรดปลอบประโลมฉันด้วยพระคำของพระองค์.” และตอนนี้ ดิฉันประหลาดใจเมื่อชายแปลกหน้าอธิบายว่า “ผมกำลังนำข่าวสารที่ประโลมใจและความหวังจากพระวจนะของพระเจ้ามาให้คุณ.” ดิฉันคิดว่าเขาต้องเป็นผู้เผยแพร่ที่พระเจ้าทรงส่งมาแน่. แต่สภาพการณ์อะไรที่ทำให้ฉันต้องอธิษฐานขอการช่วยเหลือในตอนนั้น?
เรียนความจริงจากพระคัมภีร์
ดิฉันเกิดปี 1922 ในหมู่บ้านกูดาเลอร์แถบหุบเขานิลกิริอันงดงามซึ่งอยู่ตอนใต้ของอินเดีย. คุณแม่ของดิฉันเสียชีวิตตอนที่ดิฉันอายุได้สามขวบ. ต่อมา คุณพ่อซึ่งเป็นนักเทศน์โปรเตสแตนต์ก็แต่งงานใหม่. ทันทีที่เราสามารถพูดได้ คุณพ่อสอนดิฉันกับน้องชายและน้องสาวให้อธิษฐาน. ตอนอายุสี่ขวบ ขณะที่คุณพ่อนั่งที่โต๊ะอ่านคัมภีร์ไบเบิลตามกิจวัตร ดิฉันจะนั่งที่พื้นอ่านไบเบิลฉบับส่วนตัวของดิฉัน.
เมื่อเติบโตขึ้น ดิฉันมีอาชีพเป็นครู. เมื่ออายุได้ 21 ปี คุณพ่อก็จัดการแต่งงานให้ดิฉัน. สามีและดิฉันได้รับพระพรโดยมีลูกชายชื่อซันเดอร์และต่อมาลูกสาวชื่อรัตนา. แต่ช่วงที่รัตนาใกล้จะคลอด สามีของดิฉันป่วยหนัก และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เสียชีวิต. เมื่ออายุ 24 ปีดิฉันกลายเป็นหญิงม่ายอย่างกะทันหันพร้อมทั้งต้องรับผิดชอบลูกน้อยสองคน.
ตอนนั้น ดิฉันอ้อนวอนขอพระเจ้าทรงปลอบประโลมดิฉันด้วยพระวจนะของพระองค์ และวันต่อมานั่นเองที่พยานพระยะโฮวามาเยี่ยมดิฉัน. ดิฉันเชิญเขาเข้าในบ้านและรับหนังสือชื่อ “จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง.” ในคืนนั้นขณะที่อ่านหนังสือนั้นดิฉันเห็นชื่อพระยะโฮวาครั้งแล้วครั้งเล่า และสิ่งนี้เป็นเรื่องแปลกมากสำหรับดิฉัน. ภายหลัง พยานฯคนนั้นก็กลับมาอีกและเปิดให้ดิฉันดูจากคัมภีร์ไบเบิลว่านี้เป็นชื่อของพระเจ้า.
จากนั้นต่อมาไม่นาน ดิฉันเรียนรู้ว่า คำสอนต่าง ๆ เช่น ตรีเอกานุภาพและไฟนรกไม่ได้อาศัยหลักในพระคัมภีร์. ดิฉันได้รับความหวังและคำปลอบประโลมตอนที่รู้ว่าภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า แผ่นดินโลกจะกลายเป็นอุทยานและบรรดาคนที่เรารักซึ่งตายไปจะกลับมาโดยการเป็นขึ้นจากตาย. ที่สำคัญที่สุด ดิฉันเริ่มรู้จักและรักพระยะโฮวาพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ผู้สดับคำอธิษฐานของดิฉันและทรงช่วยดิฉัน.
แบ่งปันความรู้ที่พบใหม่
ดิฉันเริ่มแปลกใจว่าทำไมดิฉันจึงได้มองข้ามข้อคัมภีร์เหล่านั้นที่มีพระนามของพระเจ้า. และเหตุใดในการอ่านคัมภีร์ด้วยตนเองดิฉันไม่ได้เห็นความหวังอันชัดเจนเรื่องชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลก? ดิฉันกำลังสอนในโรงเรียนที่ดำเนินการโดยกลุ่มมิชชันนารีโปรเตสแตนต์ ดังนั้น ดิฉันจึงเปิดข้อคัมภีร์หลายข้อให้ผู้จัดการโรงเรียนดู. (เอ็กโซโด 6:3; บทเพลงสรรเสริญ 37:29; 83:18; ยะซายา 11:6-9; วิวรณ์ 21:3, 4) ดิฉันพูดว่าเราอาจจะมองข้ามข้อคัมภีร์เหล่านี้ไป. แต่น่าแปลกที่ผู้จัดการดูเหมือนไม่ค่อยจะพอใจ.
ต่อมา ดิฉันเขียนจดหมายถึงครูใหญ่ซึ่งอยู่อีกเมืองหนึ่ง พร้อมกับอ้างอิงข้อคัมภีร์เหล่านั้น. ดิฉันขอร้องเพื่อจะมีโอกาสพูดคุยกับเธอ. เธอตอบว่าบิดาของเธอซึ่งเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงในประเทศอังกฤษ จะพิจารณาเรื่องนี้กับดิฉัน. พี่ชายของครูใหญ่เป็นสังฆนายกที่มีชื่อ.
ดิฉันเตรียมจุดสำคัญและข้อคัมภีร์ต่าง ๆ และนำหนังสือ “จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง” ของดิฉันและพาลูก ๆ ไปยังเมืองที่อยู่ติดกัน. ดิฉันอธิบายอย่างกระตือรือร้นว่าพระยะโฮวาเป็นใคร และชี้แจงว่าไม่มีตรีเอกานุภาพ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ที่ดิฉันได้เรียนรู้มา. พวกเขาฟังอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่พูดอะไรสักคำ. จากนั้นนักเทศน์จากอังกฤษกล่าวว่า “ฉันจะอธิษฐานเผื่อ.” แล้วเขาก็อธิษฐานให้ดิฉันและส่งดิฉันออกไป.
การให้คำพยานตามถนน
วันหนึ่งพยานพระยะโฮวาเชิญดิฉันร่วมการประกาศตามถนนโดยใช้วารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด. ดิฉันบอกเขาว่านี้เป็นเรื่องที่ดิฉันไม่สามารถทำได้เลย. ในอินเดียผู้คนมักจะคิดถึงเรื่องที่เลวที่สุดเกี่ยวกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตามถนนหรือเดินไปตามบ้านต่าง ๆ. การทำเช่นนั้นจะนำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อเสียงที่ดีของผู้หญิงคนนั้นและถึงครอบครัวของเธอด้วย. เนื่องจากดิฉันรักและนับถือคุณพ่ออย่างยิ่ง ดิฉันไม่ต้องการนำความเสื่อมเสียมาสู่ท่าน.
แต่พยานฯคนนี้ชี้ให้เห็นข้อคัมภีร์ที่กล่าวว่า “ศิษย์ของเราเอ๋ย จงมีปัญญาขึ้น และกระทำให้ใจของเรามีความยินดี เพื่อเราจะมีคำตอบคนที่ตำหนิเราได้.” (สุภาษิต 27:11) เขาพูดว่า “คุณทำให้พระทัยของพระยะโฮวายินดีโดยการแสดงอย่างเปิดเผยว่าคุณเป็นตัวแทนของพระองค์และราชอาณาจักรของพระองค์.” ความปรารถนาที่เหนือกว่าสิ่งใด ๆ ของดิฉันคือทำให้พระทัยของพระยะโฮวายินดี ดิฉันจึงหยิบกระเป๋าใส่วารสารและไปประกาศตามท้องถนนกับเขา. กระทั่งทุกวันนี้ ดิฉันนึกภาพไม่ออกว่าดิฉันทำได้อย่างไร. ตอนนั้นเป็นปี 1946 เป็นเวลาประมาณสี่เดือนหลังจากที่ได้มีการติดต่อกัน.
ได้รับการหนุนใจเพื่อเอาชนะความกลัว
ในปี 1947 ดิฉันรับงานสอนหนังสือในเขตชานเมืองมัทราส อยู่ด้านชายฝั่งตะวันออกของอินเดีย ดังนั้น ดิฉันจึงย้ายไปที่นั่นพร้อมกับลูก ๆ. พยานพระยะโฮวากลุ่มเล็ก ๆ ประมาณแปดคนประชุมกันเป็นประจำในเมือง. เพื่อจะเข้าร่วมการประชุมเราต้องเดินทางถึง 25 กิโลเมตร. สมัยนั้นตามปกติในอินเดียผู้หญิงจะไม่เดินทางตามลำพัง. พวกเธอจะพึ่งสามีให้พาไป. ดิฉันไม่รู้ว่าจะขึ้นรถประจำทางอย่างไร วิธีที่จะซื้อตั๋ว จะลงรถได้อย่างไร และอื่น ๆ. ดิฉันรู้ว่าดิฉันควรจะรับใช้พระยะโฮวา แต่ทำอย่างไรล่ะ? ดังนั้น ดิฉันจึงอธิษฐาน “โอ้พระยะโฮวาพระเจ้า ดิฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่รับใช้พระองค์. แต่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดสำหรับดิฉันในฐานะสตรีอินเดียที่จะไปประกาศตามบ้าน.”
ดิฉันหวังว่าพระยะโฮวาจะทรงยอมให้ดิฉันตายเพื่อจะได้พ้นจากความขัดแย้งนี้. อย่างไรก็ดี ดิฉันคิดจะอ่านบางสิ่งจากพระคัมภีร์. พอดีดิฉันเปิดไปที่พระธรรมยิระมะยา ซึ่งกล่าวว่า “อย่าว่าตัวข้าพเจ้าเป็นเด็ก เพราะเจ้าจะต้องไปถึงบรรดาคนที่เราจะใช้ให้ไปนั้น และสิ่งอันใดที่เราจะสั่งเจ้า เจ้าจะต้องพูดสิ่งนั้นให้เขา อย่ากลัวหน้าเขา เพราะเราอยู่ด้วยเจ้าเพื่อจะช่วยเจ้าให้พ้นได้.”—ยิระมะยา 1:7, 8.
ดิฉันรู้สึกว่าพระยะโฮวาทรงตรัสกับดิฉันจริง ๆ. ดังนั้น ดิฉันจึงมีความกล้าขึ้นและในทันทีนั้นเองดิฉันนั่งลงที่จักรเย็บผ้า และเย็บกระเป๋าเพื่อใช้ใส่วารสารต่าง ๆ. หลังจากอธิษฐานอย่างจริงจัง ดิฉันไปประกาศตามบ้านตามลำพัง เสนอหนังสือทั้งหมด และถึงกับเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์ในวันนั้น. ดิฉันมุ่งมั่นที่จะให้พระยะโฮวาเป็นอันดับแรกในชีวิต และมอบความมั่นใจและความไว้วางใจทั้งสิ้นแด่พระองค์. งานประกาศตามบ้านจึงกลายเป็นกิจวัตรในชีวิตของดิฉัน แม้จะมีการพูดตำหนิติเตียนก็ตาม. ทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้าน กิจกรรมของดิฉันสร้างความประทับใจให้กับบางคนอย่างยิ่ง.
เราทราบเรื่องนี้ตอนที่ดิฉันกับลูกสาวไปตามบ้านในเมืองมัทราสหลายปีต่อมา. สุภาพบุรุษชาวฮินดูคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดได้กล่าวโดยที่คำนวณอายุดิฉันผิดไปว่า “ฉันรู้จักวารสารนี้ตั้งแต่คุณยังไม่เกิดด้วยซ้ำ. สามสิบปีมาแล้วสุภาพสตรีคนหนึ่งเคยยืนอยู่ที่ถนนเม้าท์เป็นประจำและเสนอวารสารเหล่านี้.” เขาต้องการเป็นสมาชิกบอกรับวารสารนี้.
อีกบ้านหนึ่งเป็นชาวฮินดูวรรณะพราหมณ์ที่เกษียณอายุราชการแล้วเชิญเราเข้าไปข้างในและพูดว่า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้วสุภาพสตรีคนหนึ่งเคยเสนอวารสารหอสังเกตการณ์ บนถนนเม้าท์. ฉันจะรับสิ่งที่คุณเสนอเพราะเห็นแก่ผู้หญิงคนนั้น.” ดิฉันอดยิ้มไม่ได้เพราะรู้ว่าผู้หญิงที่คนทั้งสองเอ่ยถึงก็คือตัวดิฉันเอง.
ได้รับพระพรและเข้มแข็งขึ้น
ดิฉันแสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาด้วยการรับบัพติสมาในน้ำในเดือนตุลาคมปี 1947. เวลานั้น ตลอดทั้งประเทศมีเฉพาะดิฉันคนเดียวที่เป็นสตรีพยานฯซึ่งพูดภาษาทมิฬ แต่ปัจจุบันนี้มีสตรีทมิฬนับร้อยซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาที่ซื่อสัตย์เอาการเอางาน.
หลังจากที่ดิฉันรับบัพติสมาแล้ว เกิดการต่อต้านขัดขวางรอบด้าน. พี่ชายของดิฉันเขียนจดหมายมาว่า “เธอได้ก้าวเลยความถูกต้องเหมาะสมและขนบธรรมเนียมทั้งสิ้น.” นอกจากนั้น ดิฉันได้รับการต่อต้านจากโรงเรียนที่ดิฉันทำงานและจากชุมชนที่ดิฉันอยู่. ทว่าดิฉันกลับติดสนิทใกล้ชิดกับพระยะโฮวายิ่งขึ้นโดยการอธิษฐานอย่างไม่ละลดและด้วยใจจริง. หากตื่นขึ้นมากลางดึก ดิฉันจะจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดและศึกษาทันที.
เมื่อได้รับการเสริมกำลัง ดิฉันจึงอยู่ในฐานะดีกว่าที่จะประโลมใจและช่วยเหลือคนอื่น ๆ. สตรีสูงอายุชาวฮินดูคนหนึ่งที่ดิฉันศึกษาด้วยได้ยืนหยัดมั่นคงในการนมัสการพระยะโฮวา. เมื่อเธอเสียชีวิต สตรีในบ้านอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้พวกเรามีความสุขก็คือความภักดีของเธอที่มีต่อพระเจ้าผู้ซึ่งเธอเลือกที่จะนมัสการจวบจบบั้นปลายชีวิตของเธอ.”
สตรีอีกคนหนึ่งที่ดิฉันศึกษาด้วยไม่เคยยิ้มเลย. ใบหน้าของเธอมักจะสะท้อนให้เห็นความกังวลและความเศร้าเสมอ. แต่ภายหลังที่ได้สอนเธอเกี่ยวกับพระยะโฮวา ดิฉันสนับสนุนเธอให้อธิษฐานถึงพระองค์ เนื่องจากพระองค์ทรงทราบความทุกข์ยากของเราและทรงดูแลเรา. สัปดาห์ต่อมาใบหน้าของเธอแลดูผ่องใส. นับเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นรอยยิ้มของเธอ. เธออธิบายว่า “ดิฉันอธิษฐานถึงพระยะโฮวา และดิฉันมีสันติสุขในจิตใจและหัวใจ.” เธออุทิศชีวิตของเธอแด่พระยะโฮวาและยังคงซื่อสัตย์ทั้ง ๆ ที่มีอุปสรรคมากมาย.
สมดุลต่อหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ
เนื่องจากต้องดูแลลูกเล็ก ๆ สองคน ดิฉันรู้สึกว่าความปรารถนาที่จะรับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลาฐานะเป็นไพโอเนียร์ไม่อาจเป็นจริงขึ้นมาได้. แต่แล้วก็มีการรับใช้อีกทางหนึ่งที่เปิดออกเมื่อมีความต้องการผู้แปลสรรพหนังสือทางพระคัมภีร์เป็นภาษาทมิฬ. ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาดิฉันจึงสามารถรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายนี้ และในขณะเดียวกันทำงานเป็นครูซึ่งเป็นงานประจำ ดูแลลูก ๆ ทำงานบ้าน เข้าร่วมการประชุมทุกรายการ และร่วมงานเทศนาประกาศ. ในที่สุด เมื่อลูก ๆ โตขึ้น ดิฉันจึงได้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ นับเป็นสิทธิพิเศษที่ให้ความยินดีตลอด 33 ปีที่ผ่านมา.
แม้เมื่อซันเดอร์และรัตนายังเยาว์วัยอยู่ ดิฉันพยายามปลูกฝังความรักต่อพระยะโฮวาและความปรารถนาที่จะเอาใจใส่ผลประโยชน์ของพระองค์เป็นสิ่งแรกในทุกแง่มุมแห่งชีวิตของพวกเขา. พวกเขารู้ว่าบุคคลแรกที่เขาควรจะพูดด้วยเมื่อตื่นขึ้นคือพระยะโฮวา และพระองค์ต้องเป็นคนสุดท้ายที่เขาควรจะคุยด้วยก่อนจะเข้านอน. และพวกเขารู้ด้วยว่าไม่ควรมองข้ามการเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมประชุมและร่วมการประกาศ เพียงเพราะมีการบ้านที่ได้จากโรงเรียน. ขณะที่ดิฉันสนับสนุนพวกเขาให้ทำให้ดีที่สุดในการศึกษาเล่าเรียน แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้เขาทำคะแนนสูง ๆ เพราะกลัวว่าเขาจะให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา.
หลังจากที่พวกเขารับบัพติสมา เขาใช้ช่วงปิดเทอมเป็นไพโอเนียร์. ดิฉันสนับสนุนรัตนาเพื่อจะเป็นคนกล้าหาญ ไม่เก็บตัวและขี้อายดังที่ดิฉันเคยเป็น. เมื่อเสร็จการศึกษามัธยมปลายและการอบรมด้านธุรกิจ เธอเริ่มเป็นไพโอเนียร์และต่อมาก็เป็นไพโอเนียร์พิเศษ. ต่อมาเธอแต่งงานกับริชาร์ด กาเบรียลซึ่งเป็นผู้ดูแลเดินทาง ซึ่งเดี๋ยวนี้รับใช้ฐานะผู้ประสานงานคณะกรรมการสาขาของสมาคมวอชเทาเวอร์ที่อินเดีย. พวกเขาและอาบิเกลลูกสาวของเขารับใช้เต็มเวลา ณ สำนักงานสาขาที่อินเดีย และแอนดรูลูกชายของเขาเป็นผู้ประกาศข่าวดี.
อย่างไรก็ดี ตอนที่ซันเดอร์อายุราว 18 ปี เขาทำให้ดิฉันช้ำใจเมื่อเขาเลิกคบหากับพยานพระยะโฮวา. หลายปีต่อมาเป็นเวลาที่ดิฉันทุกข์ใจอย่างยิ่ง. ดิฉันเพียรอ้อนวอนพระยะโฮวาเพื่อขอทรงยกโทษให้ไม่ว่าความผิดใด ๆ ก็ตามที่ดิฉันอาจได้ทำลงไปขณะที่เลี้ยงดูเขาและขอทรงให้สติซันเดอร์เพื่อเขาจะกลับมา. แต่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ดิฉันสูญสิ้นความหวังทุกอย่าง. และแล้ววันหนึ่ง หลังจากเวลา 13 ปีเขากลับมาและบอกดิฉันว่า “แม่ครับ ไม่ต้องห่วงผม ทุกอย่างจะเรียบร้อย.”
ไม่นานจากนั้นซันเดอร์ออกความพยายามเป็นพิเศษเพื่ออาวุโสขึ้นฝ่ายวิญญาณ. เขาก้าวหน้าจนถึงขั้นเป็นที่ไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลประชาคมของพยานพระยะโฮวา. ต่อมาเขาออกจากงานที่ให้ค่าจ้างสูงเพื่อจะเป็นไพโอเนียร์. ขณะนี้เขาและเอสเธอร์ภรรยาของเขารับใช้งานนี้ด้วยกันในเมืองบังกาลอร์ทางภาคใต้ของอินเดีย.
การปลอบประโลมชั่วชีวิต
ดิฉันมักจะขอบพระคุณพระยะโฮวาเสมอสำหรับการทรงยอมให้ดิฉันผ่านการหล่อหลอมด้วยอุปสรรคและความทุกข์เป็นเวลาหลายปี. หากไม่ได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น ดิฉันอาจจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษอันล้ำค่าที่ได้ชิมคุณความดี ความเมตตากรุณา และการสำแดงความรักและการเอาพระทัยใส่อย่างอ่อนโยนของพระองค์ถึงขนาดนี้. (ยาโกโบ 5:11) ช่างอบอุ่นหัวใจที่จะอ่านในพระคัมภีร์ถึงความเอาพระทัยใส่และความห่วงใยที่พระยะโฮวาทรงมีต่อ “ลูกกำพร้าและหญิงม่าย.” (พระบัญญัติ 24:19-21) ทว่าไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้กับความประเล้าประโลมและความสบายใจที่ได้ประสบความใฝ่พระทัยและความห่วงใยจากพระองค์จริง ๆ.
ดิฉันเรียนรู้ที่จะให้ความมั่นใจและความวางใจทั้งสิ้นในพระองค์ ไม่หมายพึ่งความคิดของดิฉันเอง แต่รับพระองค์ให้เข้าส่วนในทุกวิถีทางของดิฉัน. (บทเพลงสรรเสริญ 43:5; สุภาษิต 3:5, 6) ขณะที่เป็นแม่ม่ายสาว ดิฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการปลอบประโลมใจจากพระวจนะของพระองค์. มาตอนนี้ ในวัย 68 ปี ดิฉันพูดได้อย่างแท้จริงว่าการเข้าใจพระคัมภีร์และนำคำแนะนำนั้นไปใช้ ทำให้ดิฉันได้รับการปลอบประโลมใจสุดที่จะประมาณ.
[รูปภาพของ ลิลี อาร์เธอร์ หน้า 25]
[รูปภาพหน้า 26]
ลิลี อาร์เธอร์พร้อมกับสมาชิกครอบครัวของเธอ