บุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น
“พระองค์เป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่”—มัดธาย 16:16.
1, 2. (ก) จะกำหนดความยิ่งใหญ่ของคนเราได้อย่างไร? (ข) ผู้ใดบ้างในประวัติศาสตร์ถูกเรียกว่ามหาราช และเพราะเหตุใด?
คุณคิดว่าใครคือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น? คุณประเมินค่าความยิ่งใหญ่ของคนเราได้อย่างไร? โดยอัจฉริยภาพทางการทหารของเขาหรือ? หรือโดยความปรีชาสามารถอันเลิศด้านการคิดของเขา? หรือโดยพลังกายอันเข้มแข็งของเขา?
2 ผู้ครอบครองหลายคนถูกเรียกว่า “มหาราช” เช่น ไซรัสมหาราช, อะเล็กซันเดอร์มหาราช, และชาร์เลเมน ผู้ซึ่งถูกเรียกว่า “มหาราช” แม้ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ. โดยลักษณะท่าทางที่น่าเกรงขามของพวกเขา คนเช่นนั้นใช้อำนาจบารมีอันยิ่งใหญ่ของเขาเหนือเหล่าคนที่อยู่ใต้การปกครองของตน.
3. (ก) อะไรคือการตรวจสอบเพื่อประเมินความยิ่งใหญ่ของมนุษย์? (ข) โดยการใช้วิธีตรวจสอบเช่นนั้น ใครคือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น?
3 น่าสนใจ นักประวัติศาสตร์ เอ็ช. จี. เวลส์ อธิบายการตรวจสอบของเขาเพื่อประเมินความยิ่งใหญ่ของมนุษย์. กว่า 50 ปีมาแล้ว เขาเขียนว่า “การทดสอบของนักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของแต่ละคนก็คือ ‘เขาละอะไรไว้ให้เจริญขึ้นบ้าง? เขาได้ทำให้ผู้คนเริ่มคิดในแนวใหม่ซึ่งยังยืนยงคงอยู่เมื่อเขาจากไปไหม?’ โดยการทดสอบนี้” เวลส์สรุปว่า “พระเยซูอยู่ในอันดับแรก.” แม้แต่นะโปเลียน โบนาปาร์ตก็ให้ข้อสังเกตว่า: “พระเยซูคริสต์ทรงใช้อำนาจและบัญชาผู้คนทั้งหลายที่ขึ้นอยู่กับพระองค์โดยที่พระองค์มิได้ทรงปรากฏพระกายให้เห็นเลย.”
4. (ก) มีแง่คิดที่ขัดแย้งอะไรเกี่ยวกับพระเยซู? (ข) นักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่คริสเตียนได้จัดให้พระเยซูอยู่ในตำแหน่งใดในประวัติศาสตร์?
4 กระนั้น บางคนแย้งว่าพระเยซูไม่ใช่บุคคลในประวัติศาสตร์ แต่เป็นบุคคลในเทพนิยาย. ที่ยิ่งไปไกลกว่านั้นอีกคือ หลายคนบูชาพระเยซูเป็นพระเจ้า โดยบอกว่าพระเจ้าทรงมายังโลกในฐานะเป็นพระเยซู. อย่างไรก็ตาม โดยอาศัยการลงความเห็นของเขาบนหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทั้งสิ้นเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระเยซูในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เวลส์เขียนว่า: “เป็นสิ่งที่น่าสนใจและสำคัญซึ่งนักประวัติศาสตร์ โดยปราศจากความโน้มเอียงใด ๆ ไปในทางเทววิทยา จะพบว่าเขาไม่อาจจะพรรณนาถึงความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติได้อย่างจริงจังโดยไม่ให้ครูผู้ไม่มีรายได้จากนาซาเร็ธอยู่ในอันดับแรกที่สุด. . . . นักประวัติศาสตร์ดังเช่นตัวข้าพเจ้า ซึ่งไม่ได้เรียกตัวเองเป็นคริสเตียนด้วยซ้ำ เห็นว่าเรื่องนี้รวมจุดอยู่ที่ชีวิตและคุณลักษณะของมนุษย์ผู้มีความสำคัญที่สุดคนนี้อย่างไม่อาจโต้แย้งได้.”
พระเยซูทรงมีชีวิตอยู่จริงไหม?
5, 6. นักประวัติศาสตร์ เอช. จี. เวลล์ และ วิลล์ ดูแรนต์ กล่าวอย่างไรเกี่ยวกับการที่พระเยซูเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์?
5 แต่จะว่าอย่างไรถ้าหากบางคนบอกคุณว่าพระเยซูไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง คือบอกว่าพระองค์เป็นบุคคลในเทพนิยาย เป็นผลจากการคิดแต่งเรื่องขึ้นของคนในศตวรรษแรกล่ะ? คุณจะตอบข้อกล่าวหานี้อย่างไร? ขณะที่เวลส์ยอมรับว่า “เราไม่ทราบมากนักเกี่ยวกับ [พระเยซู] เท่าที่เราอยากจะทราบ” อย่างไรก็ตาม เขาให้ข้อสังเกตว่า “กิตติคุณทั้งสี่เล่ม . . . ลงรอยกันในการให้เรื่องราวแก่เราเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะอันแน่นอน; กิตติคุณเหล่านั้นถ่ายทอดความมั่นใจในความเป็นจริงในเรื่องนี้. การจะสันนิษฐานว่าพระองค์ไม่เคยมีชีวิตอยู่ และว่าบันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของพระองค์เป็นเรื่องแต่งขึ้นนั้น เป็นการยากยิ่งกว่าและเป็นการทำให้เกิดปัญหามากขึ้นแก่พวกนักประวัติศาสตร์ยิ่งกว่าการที่จะยอมรับว่าส่วนประกอบอันเป็นสาระสำคัญของเรื่องราวในกิตติคุณนั้นเป็นความจริง.”
6 วิลล์ ดูแรนต์ นักประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือ ได้ให้เหตุผลในทำนองเดียวกัน โดยอธิบายว่า “ที่ว่าคนธรรมดาไม่กี่คน [ซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นคริสเตียน] ในชั่วอายุหนึ่งได้แต่งเรื่องบุคคลผู้ทรงพลังและมีบุคลิกที่ดึงดูดใจมาก แต่งหลักจรรยาและอุดมการณ์อันสูงส่งในเรื่องภราดรภาพของมนุษยชาติอันเป็นแรงบันดาลใจนั้นขึ้นมา คงจะเป็นเรื่องอัศจรรย์ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าการอัศจรรย์ใด ๆ ซึ่งมีบันทึกในกิตติคุณทั้งสี่เสียอีก.”
7, 8. พระเยซูทรงมีผลกระทบต่อมนุษยชาติมากมายขนาดไหน?
7 เหตุฉะนั้น คุณอาจหาเหตุผลกับคนช่างสงสัยเช่นนั้นว่า: บุคคลที่มีคุณลักษณะตามแบบเทพนิยาย—ซึ่งไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง—จะสามารถมีผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้อย่างน่าทึ่งขนาดนั้นได้ไหม? หนังสืออ้างอิง ประวัติศาสตร์โลกสำหรับนักประวัติศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “ผลทางประวัติศาสตร์อันเนื่องมาจากกิจการต่าง ๆ ของ [พระเยซู] นั้นสำคัญยิ่งกว่ากิจการของคนใด ๆ ในประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งจากแง่คิดทางโลกด้วยซ้ำ. ศักราชใหม่ อันเป็นที่ยอมรับโดยชาติอารยธรรมชั้นแนวหน้าของโลกก็เริ่มนับตั้งแต่ปีที่พระองค์ทรงประสูติ.” จงคิดถึงเรื่องนี้. แม้แต่ปฏิทินบางชนิดอาศัยปีที่คิดกันว่าพระเยซูทรงประสูติ. สารานุกรมเวิลด์ บุ๊ก อธิบายว่า “วันเดือนปีก่อนปีนั้นมีการนับเป็นปี ก่อน ค.ศ. หรือก่อนพระคริสต์. วันเดือนปีหลังปีนั้นมีการนับเป็นปี เอ.ดี. หรือ อันโน โดมีนี (ในปีแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา).”
8 โดยการสั่งสอนที่ทรงพลังและโดยวิธีที่ทรงดำเนินชีวิตประสานกับคำสอนเหล่านั้น พระเยซูทรงก่อผลกระทบมากมายในชีวิตผู้คนจำนวนมากจนไม่อาจระบุได้มาเป็นเวลานานเกือบสองพันปี. ดังที่นักเขียนคนหนึ่งกล่าวไว้อย่างเหมาะเจาะว่า “บรรดากองทหารทุกกองที่เคยเดินทัพ และกองทัพเรือทุกกองที่เคยมีการสร้างขึ้นมา และรัฐสภาของทุกประเทศที่เคยเปิดประชุมกัน กษัตริย์ทุกองค์ที่เคยครอบครอง เมื่อนำมารวมกันแล้วก็ยังไม่มีผลกระทบชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลกอย่างมีพลังเทียบเท่าพระเยซู.” กระนั้น พวกนักวิจารณ์กล่าวว่า ‘ทุกอย่างที่เราทราบจริง ๆ เกี่ยวกับพระเยซูนั้นพบในคัมภีร์ไบเบิล. ไม่มีบันทึกร่วมสมัยที่เกี่ยวกับพระองค์อยู่เลย.’ แต่นั่นเป็นความจริงหรือ?
9, 10. (ก) พวกนักประวัติศาสตร์และนักเขียนฝ่ายโลกในศตวรรษแรกกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับพระเยซู? (ข) โดยอาศัยหลักฐานของพวกนักประวัติศาสตร์ยุคแรก ๆ สารานุกรมอันเป็นที่ยอมรับนับถือฉบับหนึ่งจึงสรุปอย่างไร?
9 ถึงแม้การอ้างอิงถึงเรื่องพระเยซูคริสต์โดยนักประวัติศาสตร์ฝ่ายโลกในศตวรรษแรกมีน้อยมากก็ตาม ข้ออ้างอิงเหล่านั้นก็มีอยู่จริง. คอร์เนลิอุส ทาซิทุส นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันซึ่งเป็นที่ยอมรับนับถือ ได้เขียนว่าจักรพรรดิเนโรแห่งโรม ‘ได้โยนความผิดในการเผากรุงโรมให้พวกคริสเตียน’ แล้วทาซิทุสอธิบายว่า “ชื่อ [คริสเตียน] นั้นได้มาจากพระคริสต์ ซึ่งปนเตียว ปีลาต ผู้สำเร็จราชการได้ประหารในรัชกาลของติเบริอุส.” ซูโทนิอุสและพลินี เดอะ ยังเกอร์ นักเขียนชาวโรมันในสมัยนั้น ต่างก็กล่าวถึงพระคริสต์. นอกจากนั้น ฟลาวิอุส โจซีฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวในศตวรรษแรก ได้เขียนไว้ในหนังสือ ประวัติโบราณของชาวยิว (ภาษาอังกฤษ) เกี่ยวกับความตายของสาวกคริสเตียนยาโกโบ. โจซีฟุสกล่าวไว้ในคำอธิบายว่ายาโกโบเป็น “น้องชายของพระเยซู ซึ่งมีชื่อเรียกว่าพระคริสต์.”
10 ดังนั้น สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ จึงสรุปดังนี้: “ประวัติบันทึกเหล่านั้นพิสูจน์ว่าในสมัยโบราณนั้นแม้กระทั่งพวกศัตรูของศาสนาคริสเตียนก็ไม่เคยสงสัยประวัติความเป็นมาของพระเยซู ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันขึ้นมาเป็นครั้งแรกและโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอในตอนปลายศตวรรษที่สิบแปด ระหว่างศตวรรษที่สิบเก้า และในตอนต้นศตวรรษที่ยี่สิบ.”
ตามความจริงแล้ว พระเยซูคือใคร?
11. (ก) อะไรคือแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เพียงแหล่งเดียวเกี่ยวกับพระเยซู? (ข) คำถามอะไรที่เหล่าสาวกของพระเยซูเองถามเกี่ยวด้วยเอกลักษณ์ของพระองค์?
11 ถึงกระนั้น ส่วนใหญ่ของทุกอย่างซึ่งเป็นที่รู้จักกันเกี่ยวด้วยพระเยซูนั้นได้มีการบันทึกไว้โดยสาวกของพระองค์ในศตวรรษแรก. รายงานต่าง ๆ ของพวกเขาได้รับการเก็บรักษาไว้ในกิตติคุณทั้งสี่—พระธรรมคัมภีร์ซึ่งเขียนโดยอัครสาวกของพระองค์สองคนคือ มัดธายกับโยฮัน และโดยสาวกของพระองค์อีกสองคนคือ มาระโกกับลูกา. บันทึกต่าง ๆ ของคนเหล่านี้บอกให้ทราบอะไรบ้างเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของพระเยซู? พระองค์คือผู้ใดกันแน่? ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูในศตวรรษแรกใคร่ครวญคำถามนี้. เมื่อพวกเขาเห็นพระเยซูทรงห้ามคลื่นลมแรงในทะเลให้สงบลงอย่างมหัศจรรย์ พวกเขาถามด้วยความตกตะลึงว่า “ท่านนี้เป็นผู้ใด?” ต่อมา ในอีกโอกาสหนึ่ง พระเยซูทรงถามเหล่าอัครสาวกของพระองค์ว่า “ฝ่ายพวกท่านนี้ว่าเราเป็นผู้ใดเล่า?”—มาระโก 4:41; มัดธาย 16:15.
12. เราทราบอย่างไรว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า?
12 ถ้าคุณถูกถามด้วยคำถามนั้น คุณจะตอบอย่างไร? ที่แท้แล้ว พระเยซูเป็นผู้ใด? แน่นอน หลายคนในคริสต์ศาสนจักรคงบอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการในรูปลักษณ์มนุษย์ เป็นพระเจ้าที่จุติมา. แต่ผู้ที่คบหาใกล้ชิดกับพระเยซูไม่เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า. อัครสาวกเปโตรเรียกพระองค์ว่า “พระคริสต์ พระบุตร ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.” (มัดธาย 16:16) และคุณอาจค้นดูมากเท่าไรก็ตาม คุณจะอ่านไม่พบเลยว่าพระเยซูอ้างตัวเป็นพระเจ้า. แทนที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงบอกแก่ชาวยิวว่าพระองค์ทรงเป็น “พระบุตรของพระเจ้า” ไม่ใช่เป็นพระเจ้า.—โยฮัน 10:36.
13. พระเยซูทรงต่างไปจากมนุษย์อื่น ๆ ทั้งหลายอย่างไร?
13 เมื่อพระเยซูทรงดำเนินข้ามทะเลที่มีพายุ พวกสาวกก็ยิ่งรู้สึกประทับใจในข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ไม่ใช่เป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย. (โยฮัน 6:18–21) พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่พิเศษอย่างยิ่ง. ทั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้พระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้าในฐานะเป็นบุคคลวิญญาณในสวรรค์ ถูกแล้ว ในฐานะเป็นทูตสวรรค์ มีการระบุในคัมภีร์ไบเบิลว่าทรงเป็นอัครทูตสวรรค์. (1 เธซะโลนิเก 4:16; ยูดา 9) พระเจ้าทรงสร้างพระองค์ขึ้นก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง. (โกโลซาย 1:15) ดังนั้น นานแสนนานจนไม่อาจพรรณนาได้ ก่อนที่เอกภพซึ่งเป็นเทหวัตถุจะถูกสร้างด้วยซ้ำ พระเยซูทรงยินดีที่อยู่ใกล้ชิดในสวรรค์ร่วมกับพระบิดาของพระองค์ พระเจ้ายะโฮวา พระผู้สร้างองค์ใหญ่ยิ่ง.—สุภาษิต 8:22, 27–31; ท่านผู้ประกาศ 12:1.
14. พระเยซูทรงกลายมาเป็นมนุษย์อย่างไร?
14 ครั้นเมื่อประมาณเกือบสองพันปีมาแล้ว พระเจ้าได้ทรงย้ายชีวิตพระบุตรของพระองค์สู่ครรภ์ของสตรีผู้หนึ่ง. ด้วยเหตุนั้น พระเยซูจึงได้มาเป็นพระบุตรของพระเจ้าในลักษณะมนุษย์ โดยบังเกิดจากสตรีเช่นเดียวกับคนทั่วไป. (ฆะลาเตีย 4:4) ขณะที่พระเยซูเจริญเติบโตในครรภ์มาเรียมารดาของพระองค์นั้น และต่อมาเมื่อพระองค์ทรงเติบโตขึ้นเป็นเด็กชาย พระองค์ก็ทรงพึ่งอาศัยในคนเหล่านั้นซึ่งพระเจ้าทรงเลือกให้เป็นบิดามารดาของพระองค์เมื่ออยู่บนแผ่นดินโลก. ในที่สุดพระเยซูก็ทรงเป็นชายที่บรรลุนิติภาวะ และปรากฏว่าพระองค์ทรงได้รับความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับการที่พระองค์เคยทรงอยู่ร่วมกับพระเจ้าในสวรรค์มาก่อน. สิ่งนี้เกิดขึ้น ‘เมื่อท้องฟ้าแหวกออกตรงพระองค์’ ในคราวการรับบัพติสมาของพระองค์.—มัดธาย 3:16; โยฮัน 8:23; 17:5.
15. เราทราบอย่างไรว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์อย่างเต็มที่เมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก?
15 จริงทีเดียว พระเยซูทรงเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเสมอเหมือน. แต่กระนั้น พระองค์ทรงเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เท่าเทียมกับอาดาม มนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างแต่แรกและให้อยู่ในสวนเอเดน. อัครสาวกเปาโลอธิบายว่า “‘มนุษย์คนแรกคืออาดามเกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่.’ อาดามคนสุดท้ายกลายเป็นวิญญาณผู้ประสาทชีวิตให้.” พระเยซูถูกเรียกว่า “อาดามคนสุดท้าย” เนื่องจากพระเยซูทรงเป็นมนุษย์สมบูรณ์เช่นเดียวกับอาดามมนุษย์คนแรก. แต่เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นและได้อยู่ร่วมพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์อีกครั้งหนึ่งในฐานะเป็นบุคคลวิญญาณ.—1 โกรินโธ 15:45 (ล.ม.)
วิธีที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า
16. (ก) อะไรทำให้การคบหาสมาคมกับพระเยซูเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่ง? (ข) เพราะเหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่าการได้เห็นพระเยซูก็เท่ากับได้เห็นพระเจ้า?
16 จงคิดสักครู่ถึงสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยมที่บางคนได้ชื่นชมในฐานะผู้ที่ได้คบหาสมาคมกับพระเยซูคริสต์เป็นส่วนตัวเมื่อพระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก! ลองนึกภาพการได้ฟัง, การได้เฝ้ามอง, และกระทั่งการพูดคุยและทำงานกับพระองค์ผู้เดียวซึ่งได้ใช้เวลานับเป็นพัน ๆ ล้านปีในฐานะผู้ร่วมงานใกล้ชิดของพระเจ้ายะโฮวาในสวรรค์! ในฐานะพระบุตรองค์ซื่อสัตย์ พระเยซูทรงเลียนแบบพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ. ที่จริงแล้ว พระองค์ทรงเลียนแบบพระบิดาของพระองค์อย่างครบถ้วนจนพระองค์สามารถบอกแก่เหล่าอัครสาวกของพระองค์ก่อนที่พระองค์จะถูกประหารไม่นานว่า “ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดาด้วย.” (โยฮัน 14:9, 10, ล.ม.) ถูกแล้ว ในทุกสภาพการณ์ที่พระองค์ทรงเผชิญบนแผ่นดินโลกนี้ พระองค์ทรงกระทำเช่นเดียวกับที่พระบิดาของพระองค์ พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ จะทรงกระทำหากพระองค์ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกนี้. ด้วยเหตุนั้น เมื่อเราศึกษาเรื่องชีวิตและงานรับใช้ของพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับว่าเรากำลังเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นบุคคลเช่นไร.
17. บทความชุด “ชีวิตและงานสั่งสอนของพระเยซู” ในหอสังเกตการณ์ มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อันยอดเยี่ยมอะไร?
17 ด้วยจุดมุ่งหมายเช่นนี้เอง บทความชุด “ชีวิตและงานสั่งสอนของพระเยซู” ได้เริ่มลงในวารสารหอสังเกตการณ์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 1985 จนถึงเดือนมิถุนายน 1991 ไม่เพียงจัดให้มีเรื่องราวอันยอดเยี่ยมของมนุษย์เยซูเท่านั้น แต่ยังได้สอนเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพระบิดาของพระเยซูในสวรรค์ พระเจ้ายะโฮวาด้วย. หลังจากลงได้สองตอน ผู้ประกาศศาสนาเต็มเวลาคนหนึ่งเขียนถึงสมาคมวอชเทาเวอร์ด้วยความหยั่งรู้ค่าว่า “การที่จะใกล้ชิดพระบิดายิ่งขึ้นนั้นไม่มีวิธีใดจะดีไปกว่าการได้มาเรียนรู้จักพระบุตรของพระองค์!” นั่นช่างเป็นความจริงสักเพียงไร! ความห่วงใยอันอ่อนละมุนที่มีต่อผู้คนทั้งหลายและความมีพระทัยกว้างขวางของพระบิดาได้มีการยกย่องสรรเสริญในการดำเนินชีวิตของพระบุตรของพระองค์.
18. ใครคือผู้ประพันธ์ข่าวสารราชอาณาจักร และพระเยซูทรงยอมรับเรื่องนี้อย่างไร?
18 ความรักซึ่งพระเยซูมีต่อพระบิดาของพระองค์ ดังที่แสดงให้เห็นโดยการยอมตนอยู่ภายใต้พระทัยประสงค์ของพระบิดาของพระองค์โดยสิ้นเชิง เป็นสิ่งที่งดงามอย่างแท้จริงที่จะสังเกตดู. พระเยซูทรงตรัสแก่ชาวยิวซึ่งพยายามจะสังหารพระองค์ว่า “เรามิได้ทำสิ่งใดจากความริเริ่มของเราเอง; แต่เราพูดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา.” (โยฮัน 8:28, ล.ม.) ดังนั้นเอง พระเยซูไม่ใช่เป็นผู้ริเริ่มข่าวสารราชอาณาจักรที่พระองค์ทรงประกาศสั่งสอน. พระเจ้ายะโฮวาทรงเป็นผู้ริเริ่มข่าวสารนั้น! และพระเยซูทรงถวายพระเกียรตินั้นแด่พระบิดาของพระองค์เสมอ. พระองค์ตรัสว่า “เรามิได้กล่าวจากความริเริ่มของเรา แต่พระบิดาเองผู้ทรงใช้เรามาได้ให้พระบัญชาแก่เราในเรื่องที่เราจะบอกและพูด. . . . เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูด พระบิดาบอกเราอย่างไร เราก็พูดอย่างนั้น.”—โยฮัน 12:49, 50.
19. (ก) เราทราบอย่างไรว่าพระเยซูทรงสั่งสอนด้วยวิธีที่พระยะโฮวาทรงสั่งสอน? (ข) เพราะเหตุใดพระเยซูจึงทรงเป็นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น?
19 กระนั้น พระเยซูก็ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวหรือสั่งสอนสิ่งที่พระบิดาทรงบอกแก่พระองค์. พระองค์ทรงกระทำมากกว่านั้นอีก. พระองค์ตรัสถึงหรือสั่งสอนเรื่องนั้นด้วยวิธี ที่พระบิดาคงจะได้ตรัสและสั่งสอน. ยิ่งกว่านั้น ในบรรดากิจการงานและสัมพันธภาพทุกอย่าง พระองค์ทรงประพฤติและดำเนินการเช่นเดียวกับที่พระบิดาจะทรงประพฤติและดำเนินการเมื่ออยู่ในสถานการณ์เดียวกัน. พระเยซูทรงชี้แจงว่า “พระบุตรจะกระทำสิ่งใดตามความริเริ่มของตนเองไม่ได้เลย เว้นแต่ที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำ. เพราะว่าสิ่งใด ๆ ที่พระองค์ทรงกระทำ พระบุตรก็ทรงกระทำในลักษณะเดียวกัน. (โย. 5:19, ล.ม.) ในทุกวิถีทาง พระเยซูทรงเป็นภาพสะท้อนอันสมบูรณ์ของพระบิดาของพระองค์ พระเจ้ายะโฮวา. ฉะนั้น จึงไม่มีข้อสงสัยว่าพระเยซูทรงเป็นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น! จึงเป็นที่แน่นอนว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่เราจะพิจารณาบุคคลสำคัญที่สุดนี้อย่างใกล้ชิด!
ความรักของพระเจ้าสำแดงให้เห็นในพระเยซู
20. อัครสาวกโยฮันทราบได้อย่างไรว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” ?
20 เราเรียนรู้เรื่องอะไรโดยเฉพาะโดยการศึกษาอย่างลึกซึ้งและเอาใจใส่เกี่ยวกับชีวิตและงานสั่งสอนของพระเยซู? โยฮันยอมรับว่า “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า.” (โยฮัน 1:18) แต่โยฮันเขียนด้วยความมั่นใจเต็มที่ใน 1 โยฮัน 4:8 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก.” โยฮันสามารถกล่าวเช่นนี้ได้ก็เพราะท่านรู้จักความรักของพระเจ้าโดยสิ่งที่ท่านได้เห็นในพระเยซู.
21. เรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับพระเยซูที่ทำให้พระองค์เป็นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น?
21 เช่นเดียวกับพระบิดา พระเยซูทรงมีพระทัยเมตตา, กรุณา, อ่อนโยน, และเข้าหาได้ง่าย. คนที่อ่อนแอและคนที่ถูกเหยียบย่ำรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพระองค์ เช่นเดียวกับที่ผู้คนทุกชนิด—ไม่ว่าผู้ชาย, ผู้หญิง, เด็ก ๆ, คนมั่งมี, คนยากจน, คนมีอำนาจ, และคนบาป. อันที่จริง เป็นเพราะแบบอย่างอันเลิศล้ำแห่งความรักของพระองค์โดยเฉพาะในการเลียนแบบพระบิดาของพระองค์นั่นเองที่ทำให้พระองค์เป็นบุรุษใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น. แม้แต่นะโปเลียน โบนาปาร์ตก็กล่าวอย่างชัดแจ้งว่า “อะเล็กซานเดอร์, ซีซาร์, ชาร์เลเมน และตัวข้าพเจ้าเองได้สร้างอาณาจักรขึ้น แต่เราได้กระทำงานอันยิ่งใหญ่ของเราให้สำเร็จโดยอาศัยอะไร? โดยกำลังอำนาจ. แต่พระเยซูคริสต์ผู้เดียวได้ก่อตั้งราชอาณาจักรของพระองค์บนความรัก และทุกวันนี้ คนนับล้าน ๆ คงจะยอมตายเพื่อพระองค์.”
22. อะไรคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกี่ยวกับคำสั่งสอนของพระเยซู?
22 การสั่งสอนของพระเยซูเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่. พระเยซูทรงเรียกร้องว่า “อย่าต่อสู้คนชั่ว แต่ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่านให้หันแก้มซ้ายให้เขาด้วย.” “จงรักศัตรู และอวยพรให้แก่ผู้ที่ประทุษร้ายเคี่ยวเข็ญท่าน.” ‘จงกระทำแก่คนอื่น ๆ ดังที่ท่านต้องการให้เขากระทำต่อท่านเหมือนกัน.’ (มัดธาย 5:39, 44; 7:12) โลกนี้จะต่างไปเพียงไรหากทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งสอนอันยอดเยี่ยมนี้!
23. พระเยซูทรงทำอะไรเพื่อเร้าหัวใจและกระตุ้นผู้คนให้กระทำการดี?
23 คำอุปมาหรืออุทาหรณ์ต่าง ๆ ของพระเยซูมีผลกระทบต่อหัวใจ กระตุ้นให้ผู้คนกระทำการดีและหลีกเว้นการชั่ว. คุณอาจนึกถึงเรื่องที่พระองค์ทรงเล่าซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับชาวซะมาเรียซึ่งถูกดูหมิ่นเหยียดหยามที่ได้ช่วยคนต่างชาติพันธุ์ซึ่งบาดเจ็บในขณะที่คนชาติเดียวกันกับเขาซึ่งมีท่าทางน่ายกย่องนั้นไม่ได้ช่วย. หรือคำอุปมาเกี่ยวกับบิดาที่เมตตาและให้อภัยกับบุตรชายสุรุ่ยสุร่าย. และเรื่องเกี่ยวกับเจ้าเมืองซึ่งยกหนี้ถึง 60 ล้านเดนารีแก่บ่าว แต่บ่าวคนนั้นกลับทวงหนี้และจับเพื่อนบ่าวของตนซึ่งไม่สามารถใช้หนี้แก่ตนเพียง 100 เดนารีจำคุกไว้นั้นล่ะจะว่าอย่างไร? ด้วยอุทาหรณ์แบบง่าย ๆ พระเยซูได้ทรงทำให้การกระทำที่เห็นแก่ตัวกับความโลภเป็นที่น่าสะอิดสะเอียน และการกระทำอันเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตาเป็นที่น่าดึงดูดใจยิ่ง!—มัดธาย 18:23–35; ลูกา 10:30–37; 15:11–32.
24. เพราะเหตุใดเราจึงสามารถกล่าวได้ว่าพระเยซูทรงเป็นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็นโดยปราศจากข้อกังขาใด ๆ?
24 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนให้เข้ามาหาพระเยซูโดยเฉพาะและชักจูงพวกเขาให้ทำการดีก็คือการที่พระองค์ทรงดำเนินชีวิตประสานกันอย่างเต็มที่กับสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอน. พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประกาศสั่งสอน. พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยความอดทนกับการผิดของคนอื่น ๆ. เมื่อเหล่าสาวกของพระองค์ถกเถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด พระองค์ก็ทรงแก้ไขพวกเขาด้วยความกรุณาแทนที่จะตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรง. พระองค์ทรงรับใช้เพื่อความจำเป็นของพวกเขาด้วยความถ่อมใจ กระทั่งล้างเท้าพวกเขาด้วยซ้ำ. (มาระโก 9:30–37; 10:35–45; ลูกา 22:24–27; โยฮัน 13:5) และในที่สุด พระองค์ทรงเต็มพระทัยทนรับความตายอย่างทุกข์ทรมาน ไม่ใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ทั้งสิ้น! จริงทีเดียว พระองค์ทรงเป็นบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น!
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ มีข้อพิสูจน์อะไรว่าพระเยซูทรงเป็นบุคคลจริง ๆ ในประวัติศาสตร์?
▫ เราทราบอย่างไรว่าพระเยซูทรงเป็นมนุษย์ กระนั้น พระองค์ทรงต่างไปจากมนุษย์ทั้งหลายอย่างไร?
▫ ทำไมการศึกษาเรื่องชีวิตของพระเยซูจึงเป็นวิธีดีที่สุดที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า?
▫ เราอาจเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าโดยการศึกษาเกี่ยวกับพระเยซู?
[รูปภาพหน้า 10]
พวกอัครสาวกถามด้วยความตกตะลึงว่า “ท่านนี้เป็นผู้ใด?”