การสอนที่ช่วยได้มากในสมัยอันวิกฤตของเรา
“จงรู้ข้อนี้ คือในสมัยสุดท้าย จะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้. . . . คนชั่วและเจ้าเล่ห์จะกำเริบชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้อื่นหลงผิดและตนเองถูกทำให้หลงผิด.”—2 ติโมเธียว 3:1, 13, ล.ม.
1, 2. เพราะเหตุใดเราจึงควรสนใจในคำสอนที่เราปฏิบัติตาม?
คุณกำลังได้รับการช่วยเหลือ หรือว่าคุณกำลังถูกทำร้าย? ปัญหาของคุณกำลังได้รับการแก้ไข หรือปัญหานั้นกำลังถูกทำให้แย่ลง? โดยอะไร? โดยคำสอนต่าง ๆ. ใช่แล้ว คำสอนต่าง ๆ อาจมีผลกระทบชีวิตคุณได้อย่างมากมาย ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นหรือไม่ก็เลวลง.
2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์สามคนได้ศึกษาเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้และเสนอการค้นคว้าของพวกเขาในวารสารการศึกษาศาสนาตามหลักวิทยาศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ). จริงอยู่ พวกเขาอาจไม่ได้ศึกษาตัวคุณหรือครอบครัวของคุณ. กระนั้น สิ่งที่พวกเขาพบก็แสดงว่ามีความเกี่ยวพันระหว่างคำสอนต่าง ๆ กับความสำเร็จหรือล้มเหลวของคนเราในการรับมือกับสมัยอันวิกฤตของเรา. ในบทความถัดไป เราจะสังเกตดูสิ่งที่พวกเขาได้ค้นพบ.
3, 4. มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงว่าเรามีชีวิตอยู่ในสมัยวิกฤต?
3 แต่ก่อนอื่น ขอพิจารณาคำถามนี้: ‘คุณเห็นด้วยไหมว่า เรามีชีวิตอยู่ในสมัยที่ยากจะรับมือได้?’ หากเป็นเช่นนั้น คุณคงจะเห็นแน่ ๆ ว่า หลักฐานพิสูจน์ว่า สมัยนี้เป็น “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) วิธีที่ผู้คนได้รับผลกระทบมีหลายหลาก. ตัวอย่างเช่น คุณคงรู้จักประเทศต่าง ๆ ซึ่งในขณะนี้กำลังถูกแบ่งแยกขณะที่ฝ่ายต่าง ๆ ต่อสู้กันเพื่อมีอำนาจทางการเมือง. ในที่อื่น ๆ การเข่นฆ่าเกิดขึ้นจากความแตกต่างทางศาสนาหรือเชื้อชาติ. ไม่เพียงทหารเท่านั้นที่ถูกทำร้าย. ขอนึกถึงผู้หญิงและเด็กหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถูกทำทารุณ คนชราซึ่งไม่ได้รับอาหาร, ความอบอุ่น, และที่พักอาศัย. คนจำนวนมากสุดคณานับกำลังทนทุกข์อย่างสาหัส ทำให้มีคลื่นผู้อพยพอันมหาศาลและความทุกขเวทนามากมายอันเกี่ยวเนื่องอยู่ด้วย.
4 นอกจากนั้น สมัยของเรายังมีปัญหาทางเศรษฐกิจด้วย ซึ่งยังผลให้มีการปิดโรงงาน, การว่างงาน, ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือและเบี้ยบำนาญ, ค่าเงินตกต่ำ, และอาหารมีน้อยลง. คุณจะบอกรายการปัญหาเพิ่มอีกได้ไหม? คงจะได้. คนอื่น ๆ อีกหลายล้านคนทั่วโลกทนทุกข์จากการขาดแคลนอาหารและโรคต่าง ๆ. คุณอาจเคยได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองจากแอฟริกาตะวันออกที่แสดงให้เห็นชาย, หญิง, และทารกที่ซูบผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก. ผู้คนหลายล้านในเอเชียก็ทนทุกข์คล้ายกัน.
5, 6. ทำไมจึงอาจกล่าวได้ว่า โรคภัยก็เป็นลักษณะหนึ่งที่มีล้นเหลือในสมัยวิกฤตนี้?
5 เราทุกคนได้ยินถึงโรคน่ากลัวต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนี้. เมื่อวันที่ 25 มกราคม 1993 เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ กล่าวว่า “เฟื่องฟูท่ามกลางความสำส่อนทางเพศ, ความหน้าซื่อใจคดและการป้องกันแบบส่งเดช โรคระบาดเอดส์ในลาตินอเมริกากำลังเพิ่มขึ้นจนล้ำหน้าสหรัฐ . . . การทวีขึ้นส่วนใหญ่แล้วมาจากอัตราการติดโรคที่เพิ่มขึ้นในหมู่ . . . ผู้หญิง.” ในเดือนตุลาคม 1992 ยู. เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต กล่าวว่า “เพียงสองทศวรรษที่แล้วเท่านั้นที่กรมการสาธารณสุขสหรัฐ ซึ่งโห่ร้องยินดีกับชัยชนะด้านสาธารณสุขครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งที่เคยมี ได้แถลงว่านั่นเป็นเวลาที่จะ ‘เลิกเป็นห่วงเรื่องโรคติดเชื้อได้แล้ว.’” แต่เดี๋ยวนี้ล่ะจะว่าอย่างไร? “โรงพยาบาลต่าง ๆ กำลังเต็มไปด้วยผู้ตกเป็นเหยื่อแห่งภัยพิบัติซึ่งเคยคิดกันว่าถูกพิชิตไปแล้ว. . . . พวกจุลินทรีย์กำลังพัฒนากลยุทธ์ด้านจีนที่ฉลาดกว่าแต่ก่อน ซึ่งทำให้มันพัฒนาเร็วกว่าพัฒนาการของยาปฏิชีวนะใหม่ ๆ. . . . ‘เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งโรคติดเชื้อ.’”
6 เพื่อเป็นตัวอย่าง นิวส์วีก ฉบับ 11 มกราคม 1993 รายงานดังนี้: “เดี๋ยวนี้เชื้อมาลาเรียทำให้ผู้คนติดโรคนี้ราว 270 ล้านคนทุกปี ทำให้เสียชีวิตถึง 2 ล้านคน . . . และทำให้มีอย่างน้อย 100 ล้านคนที่ป่วยอย่างรุนแรง. . . . ขณะเดียวกัน เชื้อโรคนี้กำลังมีความต้านทานมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อยาที่เคยใช้ได้ผลในการรักษา. . . . เชื้อโรคบางพันธุ์อาจไม่มีทางรักษาได้ในไม่ช้า.” เรื่องนี้คงทำให้คุณกลัวจนตัวสั่น.
7. คนจำนวนมากในทุกวันนี้มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสมัยอันยุ่งยากนี้?
7 คุณอาจสังเกตเห็นว่าในสมัยวิกฤตที่ยากจะรับมือนี้ หลายคนมองหาความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาของเขา. ลองนึกถึงคนที่หันเข้าหาหนังสือต่าง ๆ ที่ว่าด้วยการรับมือกับความเครียดหรือโรคใหม่บางโรค. คนอื่น ๆ อยากจะได้คำแนะนำเหลือเกินในเรื่องชีวิตสมรสที่ล้มเหลว, การดูแลเด็ก, ปัญหายุ่งยากเรื่องแอลกอฮอล์หรือยาเสพย์ติด, หรือเกี่ยวกับวิธีทำให้ข้อเรียกร้องจากงานของเขากับความรู้สึกกดดันที่บ้านสมดุลกัน. ใช่แล้ว พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ! คุณกำลังต่อสู้กับปัญหาส่วนตัวหรือประสบกับความยุ่งยากบางอย่างซึ่งเกิดขึ้นจากสงคราม, การขาดแคลนอาหาร, หรือภัยพิบัติไหม? ถึงแม้ว่าปัญหาที่กดดันอยู่นั้นดูเหมือนเกินกว่าที่จะแก้ไข คุณก็มีเหตุผลจะถามว่า ‘ทำไมเราจึงมาถึงสถานะอันวิกฤตเช่นนี้?’
8. เพราะเหตุใดเราจึงควรหันเข้าหาคัมภีร์ไบเบิลเพื่อความหยั่งเห็นเข้าใจและการชี้นำ?
8 ก่อนที่เราจะรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความพอใจในชีวิตเดี๋ยวนี้และในอนาคต เราจำเป็นต้องรู้ว่า ทำไมเราจึงเผชิญกับสมัยอันวิกฤตเช่นนี้. พูดกันตรง ๆ แล้ว นั่นทำให้เราแต่ละคนมีเหตุผลจะพิจารณาคัมภีร์ไบเบิล. เพราะเหตุใดเราจึงชี้ไปยังคัมภีร์ไบเบิล? ก็เพราะมีแต่คัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่มีคำพยากรณ์ที่ถูกต้องแม่นยำ เป็นประวัติศาสตร์ที่เขียนไว้ล่วงหน้า ที่เผยให้เราเห็นถึงเหตุผลของสภาพยากลำบากของเรา เราอยู่ที่ไหนในกระแสเวลา และอนาคตมีอะไรให้เรา.
บทเรียนจากประวัติศาสตร์
9, 10. คำพยากรณ์ของพระเยซูที่มัดธายบท 24 สำเร็จเป็นจริงอย่างไรในศตวรรษแรก?
9 หอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กุมภาพันธ์ 1994 มีการทบทวนที่น่าสนใจเกี่ยวกับคำพยากรณ์อันมีชีวิตชีวาของพระเยซูในมัดธายบท 24. ถ้าคุณเปิดคัมภีร์ไบเบิลของคุณไปที่บทนั้น คุณจะเห็นได้ในข้อ 3 ว่า เหล่าอัครสาวกของพระเยซูทูลขอสัญลักษณ์เกี่ยวกับการประทับของพระองค์ในอนาคตและช่วงอวสานของระบบสิ่งต่าง ๆ. แล้วในข้อ 5 ถึงข้อ 14 พระเยซูทรงบอกล่วงหน้าถึงพระคริสต์ปลอม, สงคราม, การขาดแคลนอาหาร, การกดขี่ข่มเหงคริสเตียน, การละเลยกฎหมาย, และการประกาศเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าออกไปอย่างกว้างขวาง.
10 ประวัติศาสตร์พิสูจน์ว่า สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง ๆ ในช่วงอวสานแห่งระบบสิ่งต่าง ๆ ของชาวยิว. หากคุณมีชีวิตอยู่ในเวลานั้น นั่นก็คงจะเป็นเวลาที่ยุ่งยากใช่ไหม? อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ ได้เคลื่อนเข้าสู่จุดสุดยอด ความทุกข์ลำบากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเหนือกรุงยะรูซาเลมและระบบยิว. ในข้อ 15 เราเริ่มอ่านถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ชาวโรมันโจมตียะรูซาเลมในปีสากลศักราช 66. เหตุการณ์เหล่านั้นได้มาถึงจุดสุดยอดในความทุกข์ลำบากที่พระเยซูทรงกล่าวถึงในข้อ 21—การทำลายล้างกรุงยะรูซาเลมในปีสากลศักราช 70. ความทุกข์ลำบากครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดแก่กรุงนี้. แต่คุณก็ทราบว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้หยุดแค่นั้นและพระเยซูก็ไม่ได้ตรัสว่าจะหยุดแค่นั้น. ในข้อ 23 ถึงข้อ 28 พระองค์เผยให้เห็นว่า หลังจากความทุกข์ลำบากในปีสากลศักราช 70 จะมีสิ่งอื่นเกิดขึ้น.
11. ความสำเร็จเป็นจริงของมัดธายบท 24 ในศตวรรษแรกเกี่ยวพันกับสมัยของเราอย่างไร?
11 บางคนในสมัยนี้อาจมีแนวโน้มจะบอกปัดเรื่องต่าง ๆ จากอดีตด้วยคำถามที่ว่า ‘ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญขนาดนั้น?’ นั่นคงเป็นความคิดที่ผิดพลาด. ความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ย้อนไปในครั้งนั้นเป็นสิ่งสำคัญ. เพราะเหตุใด? ก็เพราะสงคราม, การกันดารอาหาร, แผ่นดินไหว, โรคภัย, และการข่มเหงในระหว่างช่วงอวสานแห่งระบบยิวจะมีสะท้อนให้เห็นในความสำเร็จเป็นจริงครั้งใหญ่กว่าหลังจาก “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ” สิ้นสุดลงในปี 1914. (ลูกา 21:24) หลายคนที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้เคยเป็นประจักษ์พยานในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เมื่อความสำเร็จเป็นจริงในสมัยนี้เริ่มต้น. แต่ถึงแม้คุณเกิดหลังปี 1914 ก็ตาม คุณก็ได้เป็นประจักษ์พยานว่า คำพยากรณ์ของพระเยซูมีความสำเร็จเป็นจริงนับแต่นั้นมา. เหตุการณ์ต่าง ๆ ในศตวรรษที่ 20 นี้พิสูจน์ให้เห็นเกินพอว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงอวสานแห่งระบบชั่วปัจจุบัน.
12. ตามที่พระเยซูตรัส เรายังอาจคาดหมายจะเห็นอะไรอีก?
12 นี่หมายความว่า “ความทุกข์ลำบาก” ในมัดธาย 24:29 รออยู่เบื้องหน้าเรา. นั่นจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฝ่ายฟ้าสวรรค์ซึ่งอาจเหลือที่จะจินตนาการได้. ข้อ 30 แสดงว่า ครั้นแล้วผู้คนจะเห็นสัญลักษณ์ที่ต่างออกไป—สัญลักษณ์ที่พิสูจน์ว่า การทำลายล้างใกล้จะถึงแล้ว. ตามบันทึกที่คล้ายคลึงกันในลูกา 21:25-28 ในเวลานั้นในวันข้างหน้า ‘มนุษย์จะสลบเนื่องด้วยความกลัวและการคอยท่าเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก.’ บันทึกของลูกายังกล่าวอีกด้วยว่า ในคราวนั้นชนคริสเตียนจะชูศีรษะขึ้นเพราะการช่วยให้รอดสำหรับพวกเขาใกล้เข้ามามากแล้ว.
13. ประเด็นสำคัญสองประการอะไรที่เราพึงสนใจ?
13 คุณอาจพูดว่า ‘ทั้งหมดนั้นก็ดีอยู่หรอก แต่ฉันคิดว่าประเด็นก็คือ ฉันจะเข้าใจและเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากของเราได้อย่างไรล่ะ?’ คุณพูดถูก. ประเด็นแรกของเราคือระบุปัญหาสำคัญต่าง ๆ และดูว่า เราจะเลี่ยงปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร. เกี่ยวโยงกับเรื่องนั้นก็คือประเด็นที่สองที่ว่า คำสอนในพระคัมภีร์จะช่วยเราให้มีชีวิตที่ดีกว่าในขณะนี้ได้อย่างไร. เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอเปิดพระคัมภีร์ของคุณไปที่ 2 ติโมเธียวบท 3 และดูว่าถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลจะช่วยคุณให้จัดการกับช่วงที่ยากลำบากได้อย่างไร.
คำพยากรณ์เกี่ยวกับสมัยของเรา
14. ทำไมจึงมีเหตุผลจะเชื่อว่าการพิจารณา 2 ติโมเธียว 3:1-5 จะเป็นประโยชน์แก่เราได้?
14 พระเจ้าทรงดลใจเปาโลให้เขียนคำแนะนำอันดีเยี่ยมมากมายถึงติโมเธียว คริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งได้ช่วยเขาให้ดำเนินชีวิตอย่างที่ประสบผลสำเร็จและมีความสุขมากขึ้น. บางส่วนของเรื่องที่เปาโลเขียนนั้นมีความหมายสำคัญในสมัยของเรา. ถึงแม้คุณรู้สึกว่าคุณรู้คำพยากรณ์เหล่านั้นเป็นอย่างดี ก็จงติดตามอย่างใกล้ชิดในคำพยากรณ์ที่ 2 ติโมเธียว 3:1-5 (ล.ม.). เปาโลเขียนดังนี้: “แต่จงรู้ข้อนี้ คือในสมัยสุดท้าย จะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้. เพราะว่าคนจะรักตัวเอง, รักเงินทอง, อวดตัว, จองหอง, เป็นคนหมิ่นประมาท, ไม่เชื่อฟังบิดามารดา, อกตัญญู, ไม่ภักดี, ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ, ไม่ยอมตกลงกัน, เป็นคนใส่ร้าย, ไม่มีการควบคุมตัวเอง, ดุร้าย, ไม่รักความดี, เป็นคนทรยศ, หัวดื้อ, พองขนด้วยความหยิ่ง, เป็นคนรักการสนุกสนานแทนที่จะรักพระเจ้า, มีความเลื่อมใสต่อพระเจ้าในรูปแบบหนึ่ง แต่ปฏิเสธพลังแห่งความเลื่อมใสนั้น.”
15. เพราะเหตุใด 2 ติโมเธียว 3:1 น่าจะเป็นข้อที่เราสนใจเป็นพิเศษในขณะนี้?
15 โปรดสังเกต มี 19 สิ่งด้วยกันที่ให้รายการไว้. ก่อนเราจะตรวจสอบสิ่งเหล่านี้และมาถึงขั้นจะรับประโยชน์ ให้เราหยุดคิดสักครู่เพื่อจะเข้าใจคำพยากรณ์ทั้งหมด. ขอดูที่ข้อ 1. เปาโลบอกล่วงหน้าว่า “ในสมัยสุดท้าย จะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” “สมัยสุดท้าย” ของอะไร? เคยมีสมัยสุดท้ายหลายสมัย เช่น สมัยสุดท้ายของปอมเปอีโบราณ หรือไม่ก็สมัยสุดท้ายของกษัตริย์หรือตระกูลที่ทำการปกครอง. แม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ยังกล่าวถึงสมัยสุดท้ายหลายครั้ง เช่น สมัยสุดท้ายของระบบยิว. (กิจการ 2:16, 17) กระนั้น พระเยซูทรงวางพื้นฐานให้เราเข้าใจว่า “สมัยสุดท้าย” ที่เปาโลกล่าวถึงนั้นหมายถึงสมัยของเรานี้เอง.
16. อุทาหรณ์เรื่องข้าวดีและข้าวละมานบอกล่วงหน้าถึงสภาพการณ์อะไรสำหรับสมัยของเรา?
16 พระเยซูทรงทำเช่นนั้นด้วยอุทาหรณ์เกี่ยวกับข้าวดีและข้าวละมาน. ข้าวเหล่านี้ถูกหว่านในทุ่งนาและปล่อยให้เจริญขึ้น. พระองค์ตรัสว่า ข้าวดีกับข้าวละมานหมายถึงผู้คน—คือคริสเตียนแท้กับคริสเตียนปลอม. เรากล่าวถึงอุทาหรณ์นี้เพราะอุทาหรณ์นี้แสดงให้เห็นว่าช่วงเวลายาวนานช่วงหนึ่งจะผ่านไปก่อนจะถึงอวสานแห่งระบบชั่วทั้งหมด. เมื่ออวสานนั้นมาถึง บางสิ่งบางอย่างจะเจริญงอกงามเต็มที่. นั่นคืออะไร? คือการออกหาก หรือการหันไปจากหลักการคริสเตียนแท้ ซึ่งทำให้เกิดผลของความชั่วขึ้นมากมาย. คำพยากรณ์อื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลยืนยันว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในระหว่างสมัยสุดท้ายแห่งระบบอันชั่วช้า. นั่นคือสมัยที่เราอยู่นี้แหละ ในช่วงอวสานแห่งระบบสิ่งต่าง ๆ.—มัดธาย 13:24-30, 36-43.
17. 2 ติโมเธียว 3:1-5 ให้รายละเอียดอะไรที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับอวสานของระบบสิ่งต่าง ๆ?
17 คุณเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ของเรื่องนี้ไหม? สองติโมเธียว 3:1-5 ให้ข้อบ่งชี้คล้ายกันแก่เราที่ว่า ในช่วงอวสานแห่งระบบนี้หรือสมัยสุดท้าย สภาพการณ์รอบ ๆ พวกคริสเตียนจะไม่ดี. เปาโลไม่ได้กล่าวว่า 19 สิ่งที่ให้รายการไว้นั้นจะเป็นวิธีการหลักที่จะพิสูจน์ว่า สมัยสุดท้ายได้มาถึง. แต่ท่านเตือนถึงสิ่งซึ่งเราต้องรับมือในระหว่างสมัยสุดท้ายนี้. ข้อ 1 กล่าวถึง “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” คำนี้มาจากภาษากรีก และหมายความตามตัวอักษรว่า “เวลากำหนดที่โหดร้ายรุนแรง.” (คิงดอม อินเตอร์ลิเนียร์) คุณเห็นด้วยมิใช่หรือที่ว่า คำ “โหดร้ายรุนแรง” พรรณนาอย่างเหมาะเจาะถึงสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้? ข้อความที่มีขึ้นโดยการดลใจนี้ดำเนินต่อไปเพื่อให้ความหยั่งเห็นเข้าใจสมัยของเราจากพระเจ้า.
18. เราควรเพ่งเล็งอะไรเมื่อเราศึกษาถ้อยคำเชิงพยากรณ์ของเปาโล?
18 ความสนใจที่เรามีต่อคำพยากรณ์นี้จะช่วยให้เราระบุตัวอย่างต่าง ๆ อันน่าเศร้าใจที่แสดงว่าสมัยของเรานี้เป็นสมัยวิกฤตหรือโหดร้ายรุนแรงแค่ไหน. จงระลึกถึงจุดสำคัญสองจุดของเรา: (1) เพื่อระบุปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้สมัยของเรายากลำบากและเพื่อเห็นวิธีหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น; (2) เพื่อปฏิบัติตามคำสอนซึ่งใช้ได้ผลจริงและช่วยเราให้ชื่นชมกับชีวิตที่ดีกว่าได้. ดังนั้น แทนที่จะเน้นถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้สมัยของเราเป็นสมัยวิกฤต เราจะเพ่งเล็งอยู่ที่คำสอนซึ่งสามารถช่วยเราและครอบครัวของเราในสมัยที่ยากจะรับมือได้นี้.
เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันอุดม
19. คุณเห็นหลักฐานอะไรที่ว่าผู้คนเป็นคนรักตัวเอง?
19 เปาโลเริ่มรายการของท่านโดยบอกล่วงหน้าว่า ในสมัยสุดท้าย “คนจะรักตัวเอง.” (2 ติโมเธียว 3:2) ท่านหมายความอย่างไร? คุณคงเป็นฝ่ายถูกที่กล่าวว่า ตลอดประวัติศาสตร์มีชายและหญิงที่หยิ่งยโส, หาประโยชน์ใส่ตัว. กระนั้น ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ข้อบกพร่องนี้มีอยู่ทั่วไปอย่างผิดปกติในทุกวันนี้. หลายคนมีข้อเสียนี้อย่างถึงขนาด. ข้อเสียเหล่านี้เกือบเป็นบรรทัดฐานในแวดวงการเมืองและการค้าเลยทีเดียว. ชายและหญิงต่างแสวงอำนาจและชื่อเสียงไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไป. ปกติแล้ว ก็เป็นคนอื่น ที่ต้องเสีย เพราะคนที่รักแต่ตัวเองเหล่านั้นไม่สนใจว่า เขาทำความเสียหายแก่คนอื่นอย่างไร. พวกเขาจะรีบฟ้องร้องหรือฉ้อโกงคนอื่น ๆ. คุณคงเข้าใจได้ถึงสาเหตุที่หลายคนเรียกยุคนี้ว่า “ยุคฉันก่อน.” ผู้คนที่ทะนงตัวและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมีดาษดื่น.
20. คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลตรงข้ามกับน้ำใจแห่งการรักตัวเองซึ่งแพร่หลายอยู่นั้นอย่างไร?
20 ไม่จำเป็นที่ใครจะสะกิดใจเราให้นึกถึงประสบการณ์อันขมขื่นที่เราเคยมีในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนที่เป็น “คนรักตัวเอง.” แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความจริงที่ว่า โดยการระบุปัญหานี้อย่างไม่อ้อมค้อม คัมภีร์ไบเบิลช่วยเรา เนื่องจากคัมภีร์ไบเบิลสอนเราถึงวิธีหลีกหนีหลุมพรางนี้. นี่คือสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว: “อย่าทำสิ่งใดจากความมุ่งหมายที่เห็นแก่ตัวหรือจากความปรารถนาอันล่อลวงที่จะโอ้อวด แต่จงถ่อมใจต่อกันและกัน ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวเสมอ. และแสวงหาเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ไม่เพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น.” “อย่าคิดถึงตัวท่านเองเกินกว่าที่ท่านควรคิด. แต่ท่านจงคิดด้วยความเจียมตัว.” คำแนะนำดีเยี่ยมนี้มีอยู่ในฟิลิปปอย 2:3, 4 และโรม 12:3 ดังที่ถอดความไว้ในฉบับแปลทูเดย์ส อิงลิช เวอร์ชัน.
21, 22. (ก) มีหลักฐานเด่นชัดอะไรที่ว่าคำแนะนำเช่นนั้นเป็นประโยชน์ในทุกวันนี้? (ข) คำแนะนำของพระเจ้ามีผลกระทบอย่างไรต่อปกติชนเป็นรายบุคคล?
21 บางคนอาจคัดค้านว่า ‘นั่นก็ฟังดูดี แต่ใช้ไม่ได้ผลหรอก.’ ใช้ได้ผลสิ. คำแนะนำนั้นได้ผล และใช้ได้จริงกับปกติชนในสมัยนี้. ในปี 1990 สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้พิมพ์หนังสือลักษณะของลัทธิต่าง ๆ ในสังคม (ภาษาอังกฤษ). บท 8 มีชื่อเรื่อง “พยานพระยะโฮวาในประเทศที่นับถือคาทอลิก” และหนังสือนี้อธิบายถึงโครงการสำรวจในเบลเยียม. เราอ่านว่า “เมื่อหันมาพิจารณาแรงดึงดูดใจที่แน่ชัดของการมาเป็นพยานฯ นอกจากแรงดึงดูดใจจาก ‘ความจริง’ แล้ว บางครั้งเหล่าผู้ที่ตอบในการสำรวจกล่าวอีกครั้งหนึ่งถึงมากกว่าหนึ่งลักษณะ. . . . ความอบอุ่น, ไมตรีจิต, ความรัก, และความเป็นเอกภาพ เป็นคุณลักษณะที่มีการกล่าวถึงมากที่สุด แต่ความซื่อตรงและความประพฤติส่วนตัวใน ‘การปฏิบัติตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล’ ก็เป็นคุณลักษณะที่พวกพยานฯยึดมั่นด้วยเช่นกัน.”
22 เราอาจเปรียบการสังเกตโดยทั่วไปนั้นกับภาพที่ถ่ายโดยเลนส์มุมกว้าง. แต่ถ้าคุณใช้เลนส์ดึงภาพหรือเลนส์ถ่ายไกลแทน คุณก็จะเห็นภาพในระยะใกล้ คือประสบการณ์ในชีวิตจริงมากมาย. ประสบการณ์เหล่านี้คงจะรวมถึงพวกผู้ชายซึ่งเคยยโส, ชอบวางอำนาจ, หรือเห็นแก่ตัวอย่างไม่ละอาย แต่เดี๋ยวนี้เป็นผู้ที่อ่อนโยนมากขึ้น เป็นสามีและบิดาซึ่งแสดงความรักอันอ่อนละมุนและความกรุณาต่อคู่สมรสของเขา ลูก ๆ ของเขาและคนอื่น ๆ. นั่นคงจะรวมถึงพวกผู้หญิงซึ่งเคยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่หรือไม่เห็นอกเห็นใจและเดี๋ยวนี้เป็นผู้ที่ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ให้เรียนรู้แนวทางแห่งหลักการคริสเตียนแท้. มีตัวอย่างเช่นนี้หลายแสนตัวอย่าง. บัดนี้ ขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมา. คุณเห็นมิใช่หรือว่าการอยู่ท่ามกลางผู้คนเช่นนั้นย่อมดีกว่าจะเผชิญกับเหล่าชายหญิงที่รักตนเองก่อนเป็นอันดับแรกมากนัก? นั่นจะทำให้การรับมือกับสมัยวิกฤตของเรานี้ง่ายขึ้นมิใช่หรือ? ฉะนั้น การปฏิบัติตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลจะทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นมิใช่หรือ?
23. ทำไมจึงคุ้มค่าที่จะเอาใจใส่ 2 ติโมเธียว 3:2-5 ต่อไป?
23 แต่เราเพิ่งพิจารณาเพียงประการแรกเท่านั้นในรายการที่เปาโลบันทึกไว้ที่ 2 ติโมเธียว 3:2-5. ประการอื่น ๆ ล่ะ? การที่คุณตรวจสอบประการเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วนคงจะช่วยคุณเช่นกันมิใช่หรือให้รู้แน่ถึงปัญหาสำคัญ ๆ ในสมัยของเราเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้นและทำให้คุณสามารถเข้าใจว่า แนวทางเช่นไรจะทำให้คุณและคนที่คุณรักมีความสุขยิ่งขึ้น? บทความถัดไปจะช่วยคุณให้ตอบคำถามเหล่านั้นและได้รับพระพรอันอุดม.
จุดต่าง ๆ ที่พึงจำ
▫ มีหลักฐานอะไรบ้างแสดงว่าเรามีชีวิตอยู่ในสมัยวิกฤต?
▫ เพราะเหตุใดเราจึงแน่ใจได้ว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้าย?
▫ ประเด็นสำคัญสองประการอะไรที่เราอาจได้จากการศึกษา 2 ติโมเธียว 3:1-5?
▫ ในสมัยนี้ซึ่งคนจำนวนมากเป็นคนรักตัวเอง คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลได้ช่วยไพร่พลของพระยะโฮวาอย่างไร?
[ที่มาของภาพหน้า 8]
Photo top left: Andy Hernandez/Sipa Press; photo bottom right: Jose Nicolas/Sipa Press