ควรให้ลูกเข้าโรงเรียนไหม?
คุณวาดมโนภาพได้ไหมถ้าคุณไม่สามารถอ่านถ้อยคำในหน้านี้? จะเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่สามารถพูดภาษาทางการของประเทศที่คุณอาศัยอยู่? จะเป็นอย่างไรถ้าสมมุติว่าคุณไม่สามารถชี้ประเทศบ้านเกิดของคุณว่าอยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก? เด็กมากมายนับไม่ถ้วนเติบโตขึ้นภายใต้สภาพการณ์แบบนี้ทีเดียว. แล้วลูกของคุณล่ะ?
ควรให้ลูกเข้าโรงเรียนไหม? ในหลายประเทศ การศึกษาระดับประถมและมัธยมเป็นการศึกษาภาคบังคับและมักจะเรียนฟรี. สนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กได้ถือว่าการศึกษาในโรงเรียนเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน. ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนก็รับรองอย่างนั้นเช่นกัน. ทว่าในบางประเทศ การเข้าโรงเรียนอาจต้องจ่ายค่าเล่าเรียนและนั่นอาจเป็นภาระด้านการเงินสำหรับบิดามารดา. ให้เราพิจารณาเรื่องนี้ในมุมมองของบิดามารดาที่เป็นคริสเตียนซึ่งต้องการให้บุตรของตนรู้หนังสือ ไม่ว่าโดยการเข้าโรงเรียนหรือโดยวิธีอื่น.
ตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการรู้หนังสือ
ผู้รับใช้ส่วนใหญ่ของพระเจ้าที่อ้างถึงในคัมภีร์ไบเบิลอ่านออกเขียนได้ทั้งนั้น. เปโตรและโยฮันอัครสาวกของพระเยซูเป็นคนยิว อาชีพทำการประมง แต่เขาได้เขียนพระธรรมหลายเล่มในคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษากรีก ไม่ใช่ภาษาถิ่นที่ใช้ในแกลิลี.a ดูเหมือนว่าบิดามารดาของทั้งสองคอยดูแลให้บุตรได้รับการศึกษาขั้นมูลฐาน. ผู้เขียนพระคัมภีร์คนอื่น ๆ อยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน ซึ่งก็มีทั้งดาวิดคนเลี้ยงแกะ, อาโมศผู้ทำเกษตรกรรม, และยูดาน้องชายร่วมมารดาของพระเยซู ซึ่งคงจะเป็นช่างไม้.
บุรุษชื่อโยบเขียนและอ่านได้ และพระธรรมเล่มหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่เรียกตามชื่อของท่านบ่งชี้ว่าท่านมีความเข้าใจทางด้านวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง. ท่านอาจมีความสามารถด้านวรรณกรรมด้วย เพราะถ้อยแถลงของท่านในพระธรรมโยบนั้นเป็นแบบกวี. และเรารู้ว่าคริสเตียนสมัยแรกรู้หนังสือ เพราะมีการค้นพบสิ่งซึ่งคงเป็นบันทึกของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องในพระคัมภีร์บนเศษเครื่องปั้นดินเผา.
การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคริสเตียน
คริสเตียนทั้งมวลจำต้องก้าวหน้าในความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิล หากเขาต้องการเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า. (ฟิลิปปอย 1:9-11; 1 เธซะโลนิเก 4:1) ความขยันหมั่นเพียรในการใช้พระคัมภีร์และหนังสือคู่มือศึกษาที่ยึดคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักจะส่งเสริมให้ก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. เนื่องจากพระเจ้าได้ประทานพระคำของพระองค์เป็นลายลักษณ์อักษร พระองค์ทรงคาดหมายให้ผู้ที่นมัสการพระองค์เป็นคนรู้หนังสือเท่าที่เป็นไปได้. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยความเข้าใจช่วยให้ง่ายขึ้นที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำ. แน่นอน เราอาจจะต้องอ่านคำแนะนำเฉพาะส่วนนั้น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อดูดซับรับความเข้าใจจากจุดต่าง ๆ และสามารถคิดใคร่ครวญในจุดเหล่านั้น.—บทเพลงสรรเสริญ 119:104; 143:5; สุภาษิต 4:7.
แต่ละปีประชาชนของพระยะโฮวาได้รับข้อเขียนที่เป็นประโยชน์หลายร้อยหน้า ซึ่งจัดเตรียมภายใต้การชี้นำของ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.” (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) สรรพหนังสือดังกล่าวพิจารณาเรื่องชีวิตครอบครัว, ธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ, ศาสนา, วิทยาศาสตร์, และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย. ที่สำคัญอย่างยิ่ง สรรพหนังสือเหล่านี้มีคำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณ. ถ้าบุตรหลานของคุณอ่านหนังสือไม่ออก พวกเขาจะไม่ได้รับความรู้ที่สำคัญหลายอย่าง.
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลที่ต้องมีราชอาณาจักรของพระเจ้า. ความรู้พื้นฐานทางภูมิศาสตร์ก็เป็นสิ่งน่าปรารถนาเช่นกัน. คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงสถานที่หลายแห่ง เช่น ประเทศอิสราเอล, อียิปต์, และกรีซ. ลูกของคุณสามารถชี้ดินแดนเหล่านั้นบนแผนที่โลกได้ไหม? เขาหาประเทศของตัวเองเจอไหม? การอ่านแผนที่ไม่เป็นอาจจำกัดความสามารถของคนเราเสียด้วยซ้ำที่จะรับใช้ในเขตงานมอบหมายได้อย่างสำเร็จผล.—2 ติโมเธียว 4:5.
สิทธิพิเศษในประชาคม
คริสเตียนผู้ปกครองและผู้ช่วยงานรับใช้มีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับการอ่าน. ตัวอย่างเช่น มีส่วนต่าง ๆ ที่ต้องเตรียมสำหรับการประชุมประชาคม. มีความจำเป็นที่ต้องทำบันทึกรายงานเกี่ยวกับสรรพหนังสือและเงินบริจาค. หากปราศจากการศึกษาพื้นฐาน คนเราคงรู้สึกยากมากที่จะเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ.
คนงานอาสาสมัครรับใช้ในสำนักงานเบเธลในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก. เพื่อที่อาสาสมัครเหล่านี้จะสื่อความได้ดีและปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปได้ เป็นต้นว่า การแปลสรรพหนังสือและการซ่อมเครื่องจักรกล พวกเขาต้องสามารถอ่านและเขียนภาษาทางการของประเทศที่เขาอยู่ได้. ถ้าบุตรของคุณใคร่จะมีสิทธิพิเศษดังกล่าวในภายหน้า ปกติแล้วก็ต้องมีความรู้พื้นฐาน. อะไรคือเหตุผลอื่น ๆ ที่หนักแน่นบางประการที่ลูกของคุณควรเรียนหนังสือ?
ความยากจนและการถือโชคลาง
ผู้คนที่อัตคัดขัดสนอาจจะทำอะไรไม่ได้มากนักภายใต้สภาพแวดล้อมบางอย่าง. อย่างไรก็ดี ในกรณีอื่น ๆ ครั้นได้รับการศึกษาระดับหนึ่งแล้ว เราและลูก ๆ ก็คงพอจะหลีกเลี่ยงความทุกข์ยากบางอย่างไปได้. คนไม่รู้หนังสือมีเพียงจำนวนน้อยเอาตัวรอดได้. เด็ก ๆ และกระทั่งบิดามารดาบางครั้งถึงแก่ชีวิตเพราะมีรายได้น้อยอันเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่อาจได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์. ทุโภชนาการและบ้านซอมซ่อมักจะเป็นสภาพของคนมีความรู้น้อยหรือไม่รู้หนังสือเลย. การศึกษาหรืออย่างน้อยมีความสามารถอ่านออกเขียนได้บ้างอาจจะช่วยในแง่เหล่านี้ได้.
อนึ่ง การรู้หนังสือช่วยลดแนวโน้มที่จะเชื่อโชคลาง. แน่นอน การถือโชคลางแพร่หลายทั้งในหมู่ชนที่มีการศึกษาและไม่ได้รับการศึกษา. แต่คนเหล่านั้นที่ขาดการศึกษาอาจถูกหลอกและถูกแสวงประโยชน์ได้ง่ายกว่า เนื่องจากบุคคลดังกล่าวอ่านข้อความที่เผยให้รู้การหลอกลวงนั้นไม่ได้. ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีแนวโน้มไปทางเชื่อโชคลางมากกว่า และหลงเชื่อว่าผู้รักษาที่ใช้คาถาอาคมสามารถทำอภินิหารเยียวยาได้.—พระบัญญัติ 18:10-12; วิวรณ์ 21:8.
เป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่เพื่อจะได้งานทำเท่านั้น
หลายคนคิดว่าวัตถุประสงค์สำคัญของการศึกษาก็เพื่อหาเงิน. กระนั้น บางคนที่มีการศึกษายังหางานไม่ได้ หรือแม้จะหาเงินได้ก็ไม่พอค่าใช้จ่ายที่จำเป็นพื้นฐาน. ด้วยเหตุนี้ บิดามารดาบางคนจึงคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะให้ลูกเข้าโรงเรียน. แต่การเข้าโรงเรียนให้คุณมากกว่าการเตรียมคนเราเพียงจะหาเงินได้เท่านั้น การเรียนหนังสือเตรียมเด็ก ๆ ให้พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตโดยทั่วไป. (ท่านผู้ประกาศ 7:12) ถ้าคนเราสามารถพูด, อ่าน, และเขียนภาษาทางการของประเทศที่ตนอาศัยอยู่ได้ การติดต่อบุคลากรทางการแพทย์, ทางราชการ, หรือธนาคารก็จะทำได้ง่ายขึ้น หรือกลายเป็นสิ่งปกติธรรมดา แทนที่จะเป็นเรื่องน่าวิตกกลัว.
ในบางแห่ง เด็กที่ไม่รู้หนังสืออาจถูกพาไปฝากใครบางคนให้เป็นลูกมือฝึกงานด้านงานก่อสร้าง, ทำประมง, เย็บผ้า, หรืออาชีพอื่นบางอย่าง. การฝึกอาชีพเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเด็กเหล่านี้ไม่เคยเข้าโรงเรียน เป็นไปได้ที่พวกเขาจะไม่ได้เรียนการอ่านและเขียนอย่างถูกต้อง. ไม่ต้องสงสัย เด็กเหล่านี้คงจะมีทางหลีกเลี่ยงการแสวงประโยชน์จากพวกเขาได้มากกว่า ทั้งยังจะมีชีวิตที่น่าพอใจมากขึ้น หากเขาได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานก่อนแล้วค่อยฝึกอาชีพ.
พระเยซูชาวนาซาเร็ธเป็นช่างไม้และดูเหมือนว่าพระองค์ผ่านการฝึกงานจากโยเซฟบิดาเลี้ยง. (มัดธาย 13:55; มาระโก 6:3) พระเยซูอ่านออกเขียนได้อีกด้วย เพราะถึงแม้พระชนมายุเพียง 12 พรรษา พระองค์สามารถพิจารณาเรื่องที่มีความหมายลึกซึ้งร่วมกับบรรดาผู้คงแก่เรียน ณ พระวิหาร. (ลูกา 2:46, 47) ในกรณีของพระเยซู การเรียนวิชาชีพไม่ได้ขัดขวางการศึกษาด้านอื่น ๆ.
ลูกสาวควรได้รับการศึกษาเช่นเดียวกันไหม?
บางครั้งบิดามารดาส่งบุตรชายของตนเข้าโรงเรียน แต่ไม่ได้ให้ลูกสาวเรียน. บางทีบิดามารดาบางคนอาจคิดว่าการให้ลูกสาวเรียนหนังสือต้องเสียค่าใช้จ่ายแพง แถมเชื่อว่าเด็กผู้หญิงเป็นประโยชน์แก่มารดามากกว่าเพราะอยู่บ้านตลอดวัน. แต่ลูกสาวจะเสียเปรียบหากไม่รู้หนังสือ. เอกสารที่องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) พิมพ์เผยแพร่บ่งชี้ว่า “การศึกษาวิจัยครั้งแล้วครั้งเล่าแสดงให้เห็นว่าการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อเด็กผู้หญิงนั้นเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ที่ดีเยี่ยมด้านการขจัดความยากจน.” (ความยากจนและเด็ก: บทเรียนในทศวรรษ 1990 สำหรับประเทศด้อยพัฒนา) เด็กผู้หญิงที่มีการศึกษาจัดการปัญหาชีวิตได้ดีกว่า และตัดสินใจรอบคอบมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในครอบครัว.
การศึกษาวิจัยเรื่องการตายของทารกในเบนิน แอฟริกาตะวันตกบ่งชี้ว่ามารดาที่ไม่รู้หนังสือเป็นกลุ่มที่สูญเสียลูกเล็กอายุต่ำกว่าห้าขวบ ในอัตรา 167 ต่อ 1,000 คน ส่วนลูกเล็กที่มารดาเรียนจบชั้นมัธยมเสียชีวิตในอัตรา 38 ต่อ 1,000. องค์การยูนิเซฟให้ข้อสรุปดังนี้: “ระดับการศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตของเด็กทารกในเบนิน และเหมือนที่เป็นอยู่ทั่วโลก.” ดังนั้นแล้ว การให้ลูกสาวของคุณได้รับการศึกษาย่อมได้ประโยชน์มากมายหลายประการ.
ชั้นเรียนสอนเขียนอ่านพอไหม?
เมื่อที่ใดมีความจำเป็น พยานพระยะโฮวาจัดชั้นเรียนเขียนอ่านสำหรับสมาชิกประชาคมที่อ่านหนังสือไม่ออก.b การจัดเตรียมที่เป็นประโยชน์แบบนี้ช่วยประชาชนเรียนรู้วิธีอ่าน โดยทั่วไปจะเรียนอ่านภาษาท้องถิ่นของเขาเอง. วิธีการนี้เหมาะสมไหมที่จะนำมาใช้แทนการศึกษาในโรงเรียน? ควรคาดหมายประชาคมให้จัดการศึกษาแก่ลูกของคุณไหมหากว่ามีโรงเรียนที่ถูกต้องตามเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนได้อยู่แล้ว?
ถึงแม้ประชาคมพยานพระยะโฮวาจัดเตรียมชั้นเรียนเขียนอ่านด้วยความเอื้ออาทรเช่นนั้นก็ตาม แต่ก็ได้เตรียมเพื่อผู้ใหญ่ที่ด้อยโอกาสซึ่งไม่เคยเข้าโรงเรียนตอนเป็นเด็ก. อาจเป็นได้ว่าบิดามารดาของพวกเขาไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการรู้หนังสือ หรือไม่มีโรงเรียนให้เรียน. บุคคลประเภทนี้จะรับความช่วยเหลือโดยการเข้าชั้นเรียนเขียนอ่านที่จัดขึ้นตามประชาคมต่าง ๆ. แต่ชั้นเรียนเหล่านี้ไม่ได้ทดแทนการเรียนในโรงเรียน หรือไม่มีจุดประสงค์จะให้การศึกษาเบื้องต้น. ไม่มีการสอนบางวิชา เป็นต้นว่า วิชาวิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, และประวัติศาสตร์ในชั้นเรียนเขียนอ่านนี้. อย่างไรก็ตาม อาจมีการสอนวิชาต่าง ๆ ดังกล่าวในหลักสูตรของโรงเรียนทั่วไป.
ในแอฟริกา ชั้นเรียนเขียนอ่านส่วนใหญ่มักสอนภาษาประจำเผ่าและมีไม่บ่อยนักที่สอนภาษาทางการของประเทศ. แต่ตามปกติแล้ว การเรียนในโรงเรียนทั่วไปมักใช้ภาษาทางการของประเทศ. ทั้งนี้เป็นประโยชน์มากขึ้นสำหรับนักเรียน เพราะมีหนังสืออ่านหลายเล่มและสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หลากหลายล้วนเป็นภาษาทางการ. ถึงแม้จะจัดชั้นเรียนเขียนอ่านของประชาคมเพิ่มเข้ากับการศึกษาตามปกติของโรงเรียน แต่ไม่อาจใช้แทนกันได้. ดังนั้น เพื่อจะให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงก็สมควรมิใช่หรือที่เด็กพึงรับการศึกษาตามปกติในโรงเรียน?
หน้าที่รับผิดชอบของบิดามารดา
ผู้ชายที่นำหน้าในการสนองความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของประชาคมควรเป็นคริสเตียนตัวอย่าง. พวกเขาต้องปกครองครอบครัวและบุตร “ด้วยวิธีที่ดีงาม.” (1 ติโมเธียว 3:4, 12, ล.ม.) การปกครอง “ด้วยวิธีที่ดีงาม” คงรวมเอาการทำทุกสิ่งเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยลูกของเราหลีกเลี่ยงผลเสียหายในอนาคต.
พระเจ้าทรงมอบความรับผิดชอบที่สำคัญแก่บิดามารดาที่เป็นคริสเตียน. พวกเขาควรอบรมเลี้ยงดูบุตรตามพระคำของพระองค์และช่วยบุตรให้เป็น “ผู้รักความรู้.” (สุภาษิต 12:1; 22:6, ล.ม.; เอเฟโซ 6:4) อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ดังนี้: “ถ้าแม้นผู้ใดไม่เลี้ยงดูคนเหล่านั้นซึ่งเป็นของตนเอง และโดยเฉพาะคนเหล่านั้นซึ่งเป็นสมาชิกแห่งครอบครัวของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธเสียซึ่งความเชื่อและนับว่าเลวร้ายกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อเสียด้วยซ้ำ.” (1 ติโมเธียว 5:8, ล.ม.) ฉะนั้น จึงสมควรจัดการศึกษาที่เหมาะสมให้แก่บุตรด้วย.
บางครั้งปรากฏว่าระบบของโรงเรียนไม่สามารถสนองสิ่งจำเป็นด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนได้ เพราะความแออัด, ขาดกองทุน, หรือบางทีผู้มีหน้าที่สอนไม่สบายใจ, ได้เงินเดือนน้อย. ดังนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่บิดามารดาจะสอดส่องดูแลการเล่าเรียนของลูกที่โรงเรียน. นับว่าสุขุมที่จะทำความรู้จักคุ้นเคยกับพวกครู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปิดเทอมทุกครั้ง กระทั่งขอคำแนะนำจากครูถึงวิธีที่เด็กจะสามารถพัฒนาการเรียนให้ดีขึ้น. ด้วยเหตุนี้ บรรดาครูจะเกิดความรู้สึกว่าตนมีค่าและเป็นประโยชน์ และมีกำลังใจจะมุมานะยิ่งขึ้นเพื่อสนองความต้องการของเด็กด้านการศึกษา.
การศึกษาเป็นส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก. สุภาษิต 10:14 กล่าวว่า “คนมีปัญญาย่อมสะสมความรู้ไว้.” ข้อนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิล. ประชาชนของพระยะโฮวา ทั้งหนุ่มสาวและคนสูงอายุก็เช่นเดียวกัน ต้องมีความรู้มากเท่าที่เป็นไปได้เพื่อช่วยผู้อื่นฝ่ายวิญญาณ และ ‘สำแดงตนเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า, ไม่มีอะไรต้องอาย, ใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง.’ (2 ติโมเธียว 2:15, ล.ม.; 1 ติโมเธียว 4:15) ดังนั้น ลูก ๆ ของคุณควรเข้าโรงเรียนไหม? ไม่ต้องสงสัย คุณจะลงความเห็นว่าลูกควรเข้าโรงเรียน ถึงแม้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ในประเทศของคุณ. แต่บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนจำต้องตอบคำถามข้อนี้ซึ่งสำคัญมากกว่าที่ว่า ‘ลูกของฉันควรได้รับการศึกษาไหม?’ ไม่ว่าอยู่ที่ประเทศไหน คุณเห็นพ้องมิใช่หรือกับคำตอบที่หนักแน่นว่าเห็นควร?
[เชิงอรรถ]
a ภาษาถิ่นของพวกเขาอาจแปลงจากภาษาอาระเมอิกแบบที่พูดกันในแกลิลีหรือภาษาถิ่นที่แปลงจากภาษาฮีบรู. ดูหนังสือการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 144-146 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
b ดูตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 22 ธันวาคม 2000 หน้า 8 และ 9.
[กรอบ/ภาพหน้า 12, 13]
หากไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเข้าโรงเรียน
การเข้าโรงเรียนไม่อาจเป็นไปได้ภายใต้สภาพการณ์บางอย่าง. ยกตัวอย่าง วารสารผู้ลี้ภัย (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่ามีเด็กเพียง 1 ใน 5 คนที่อยู่ในวัยเรียนมีโอกาสเรียนหนังสือในค่ายผู้ลี้ภัย. ในบางกรณี การนัดหยุดงานของพวกครูทำให้โรงเรียนต้องปิดเรียนระยะยาว. โรงเรียนอาจอยู่ห่างไกลเกินไป หรือบางภูมิภาคไม่มีโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ. การกดขี่ข่มเหงคริสเตียนอาจยังผลให้เด็กถูกไล่ออกจากโรงเรียน.
คุณจะช่วยบุตรได้อย่างไรในสภาพแวดล้อมดังกล่าว? พอจะมีแนวทางใดไหมที่ทำได้ ถ้าคุณมีบุตรหลายคนและอาศัยในภูมิภาคที่ไม่สามารถรับมือค่าใช้จ่ายที่จะให้ทุกคนเข้าโรงเรียน? ถ้าคุณสามารถทำได้ คุณจะส่งเสียบุตรหนึ่งหรือสองคนให้เข้าโรงเรียนได้ไหมโดยที่เขาจะไม่ประสบอันตรายฝ่ายวิญญาณ? ถ้าเช่นนั้น คนที่เข้าโรงเรียนก็อาจจะช่วยสอนบุตรคนอื่น ๆ ของคุณได้เกี่ยวกับสิ่งที่เขาเรียนจากโรงเรียน.
บางประเทศมีการจัดการเรียนหนังสือขึ้นที่บ้าน.c เกี่ยวกับการจัดเตรียมเรื่องนี้ โดยปกติบิดาหรือมารดาใช้เวลาสองหรือสามชั่วโมงสอนหนังสือลูกทุกวัน. ในสมัยปฐมบรรพบุรุษบิดามารดาประสบความสำเร็จมากทีเดียวในการสั่งสอนบุตร. ดูเหมือนว่าเนื่องจากการอบรมสั่งสอนที่ดีของบิดามารดา โยเซฟบุตรยาโคบจึงกลายเป็นคนมีความสามารถดูแลผู้อื่นได้ขณะที่ยังเป็นหนุ่ม.
หลักสูตรหรือระเบียบวาระการสอนอย่างเป็นทางการไม่อาจจะทำได้ในสถานที่บางแห่งหรือในค่ายผู้ลี้ภัย แต่บิดามารดาอาจใช้สรรพหนังสือที่พยานพระยะโฮวาจัดพิมพ์เป็นพื้นฐานสำหรับการสอนได้. อย่างเช่น หนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล อาจเป็นประโยชน์เมื่อสอนเด็กเล็ก. ส่วนวารสารตื่นเถิด! ก็มีบทความหลายเรื่องต่าง ๆ กัน. อาจใช้หนังสือชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? สอนในวิชาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์. หนังสือประจำปีแห่งพยานพระยะโฮวา มีภาพแผนที่โลกขนาดเล็กและบอกเรื่องราวชีวิตและกิจการเผยแพร่ในดินแดนต่าง ๆ.
การเตรียมการสอนที่ดีและปรับให้เข้ากับระดับความเข้าใจของเด็กย่อมจะสำเร็จผลเป็นอย่างมาก. หากเด็กยังคงอ่านและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะปรับตัวได้ง่ายขึ้นเมื่อเขาสามารถเรียนในโรงเรียนตามปกติในวันข้างหน้า. ด้วยความริเริ่มและบากบั่น คุณสามารถช่วยบุตรเป็นบุคคลที่ได้รับการศึกษาดี. นั่นย่อมก่อผลที่น่าพอใจอย่างแท้จริง!
[เชิงอรรถ]
c ดูบทความ “การเรียนหนังสือที่บ้าน เหมาะสำหรับคุณไหม?” ในวารสารตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 8 เมษายน 1993 หน้า 9-12.
[ภาพ]
อาจทำอะไรได้หากคุณอยู่ในภูมิภาคที่บุตรไม่สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้?