เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาทรงช่วยผมรับมือข้อท้าทายในชีวิตได้สำเร็จ
เล่าโดย เดล เออร์วิน
“แปดคนก็เกินพอ! แฝดสี่หนอเพิ่มปัญหา.” นี่คือพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นแจ้งการเกิดแฝดสี่ เพิ่มเข้ากับลูกสาวที่มีอยู่แล้วสี่คนในครอบครัวของเรา. ตอนเป็นหนุ่ม ผมไม่เคยคิดจะแต่งงาน เรื่องการมีลูกยิ่งไม่ต้องพูดถึง. แต่กระนั้น ลองนึกภาพผมตอนนี้—เป็นพ่อของลูกแปดคน!
ผมเกิดปี 1934 ที่เมืองมารีบา ออสเตรเลีย. ผมเป็นคนเล็กสุดในจำนวนลูกสามคน. ในเวลาต่อมา ครอบครัวของเราได้ย้ายไปบริสเบน ที่นั่นแม่สอนเด็กในโรงเรียนรวีวารศึกษาที่โบสถ์เมทอดิสต์.
ช่วงต้นปี 1938 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลงข่าวว่าโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ดจากสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาอาจถูกปฏิเสธการเข้าประเทศออสเตรเลีย. แม่ถามสตรีพยานฯ ที่มาประกาศที่บ้านว่า “ทำไมเขาถูกปฏิบัติแบบนั้นล่ะ?” พยานฯ ตอบว่า “พระเยซูตรัสไว้มิใช่หรือว่าผู้คนจะข่มเหงสาวกของพระองค์?” จากนั้นแม่ก็รับหนังสือชื่อการบำบัดรักษา ซึ่งชี้ถึงข้อแตกต่างหลายอย่างระหว่างศาสนาแท้และศาสนาเท็จ.a ด้วยความประทับใจในหนังสือเล่มเล็กนั้น วันอาทิตย์ถัดไป แม่ได้พาพวกเราไปยังที่ประชุมของพยานพระยะโฮวา. ตอนแรกพ่อคัดค้านอย่างรุนแรง แต่บางครั้งพ่อก็เขียนคำถามหลายข้อเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลฝากแม่นำไปให้พี่น้องชายคนหนึ่ง. แล้วพี่น้องคนนั้นก็เขียนคำตอบตามหลักพระคัมภีร์ฝากกลับมาให้พ่อ.
วันอาทิตย์วันหนึ่ง พ่อไปยังการประชุมกับพวกเราด้วย ตั้งใจจะต่อว่าพยานพระยะโฮวา. แต่หลังจากได้พูดคุยกับผู้ดูแลเดินทางซึ่งเยี่ยมประชาคมเวลานั้น พ่อก็เปลี่ยนท่าทีและถึงกับอนุญาตให้ใช้บ้านเป็นศูนย์ศึกษาพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์ โดยมีคนสนใจในละแวกนั้นมาร่วมด้วย.
พ่อกับแม่รับบัพติสมาเมื่อเดือนกันยายน 1938. ผมกับพี่สาวพี่ชายรับบัพติสมาเดือนธันวาคม 1941 คราวการประชุมใหญ่ระดับชาติ ณ สวนสาธารณะฮาร์เกรฟในนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์. ตอนนั้นผมอายุเจ็ดขวบ. หลังจากนั้น ผมออกประกาศกับพ่อแม่เป็นประจำ. สมัยนั้น พยานฯ มักจะนำหีบเสียงแบบกระเป๋าหิ้วไปตามบ้านแล้วเปิดให้เจ้าของบ้านฟังคำบรรยายเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระคัมภีร์.
พยานฯ คนหนึ่งซึ่งเด่นชัดมากในความทรงจำของผมคือเบิร์ต ฮอร์ตัน. เขามีรถติดเครื่องขยายเสียงที่ใช้การได้ดีทีเดียว และติดตั้งลำโพงใหญ่ไว้บนหลังคารถ. การทำงานกับเบิร์ตนั้นตื่นเต้นจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กผู้ชายรุ่นผม. ยกตัวอย่าง พอถึงคราวกระจายเสียงคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลจากยอดเนินเขา เรามักจะเห็นรถตำรวจมุ่งหน้ามาทางเรา. เบิร์ตจะปิดเครื่องขยายเสียงทันที และขับรถไปต่อจนถึงเขาอีกลูกหนึ่งห่างกันหลายกิโลเมตร แล้วเอาแผ่นอื่นขึ้นมาเปิด. ผมได้เรียนรู้มากมายจากเบิร์ตในเรื่องความวางใจพระยะโฮวาและความกล้าหาญ และจากพี่น้องคนอื่น ๆ ที่ภักดีและกล้าหาญเหมือนเขา.—มัดธาย 10:16.
เมื่ออายุ 12 ปี ผมให้คำพยานด้วยตัวเองเป็นประจำหลังเลิกเรียน. คราวหนึ่ง ผมได้พบครอบครัวแอดสเฮด. ต่อมา ครอบครัวนี้ซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่, ลูกแปดคน, และหลานอีกหลายคนได้เรียนรู้ความจริง. ผมขอบคุณพระยะโฮวาที่ทรงให้โอกาสเด็กอย่างผม นำความจริงของพระคัมภีร์ไปให้ครอบครัวที่น่ารักนี้ได้รู้จัก.—มัดธาย 21:16.
รับสิทธิพิเศษตั้งแต่อายุยังน้อย
ผมเริ่มงานรับใช้เต็มเวลาประเภทไพโอเนียร์เมื่ออายุ 18 ปี และถูกมอบหมายไปทำงานที่เมืองไมต์แลนด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์. ปี 1956 ผมได้รับเชิญไปทำงานที่สำนักงานสาขาออสเตรเลียในซิดนีย์. ในจำนวนผู้ปฏิบัติงาน 20 คน หนึ่งในสามเป็นผู้ถูกเจิมที่มีความหวังจะปกครองกับพระคริสต์ในราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์. ผมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับพวกเขา!—ลูกา 12:32; วิวรณ์ 1:6; 5:10.
ความตั้งใจของผมที่จะอยู่เป็นโสดมีอันต้องลบเลือนไปเมื่อผมได้มารู้จักจูดี เฮลเบิร์ก ไพโอเนียร์สาวที่น่าดึงดูดใจ เธอถูกเชิญเข้ามาช่วยงานผมชั่วคราว ณ สำนักงานสาขา ในโครงการใหญ่เกี่ยวกับการประชุมใหญ่. ผมกับจูดีตกหลุมรักกันและกัน ต่อมาอีกสองปีเราแต่งงาน. หลังจากนั้น เราเริ่มต้นงานเยี่ยมหมวด หมายถึงแต่ละสัปดาห์เราไปเยี่ยมพยานพระยะโฮวาหนึ่งประชาคมเพื่อให้การสนับสนุนพี่น้องชายหญิง.
ปี 1960 จูดีคลอดคิม ลูกสาวคนแรกของเรา. ปัจจุบัน เมื่อคู่สมรสที่เดินทางเยี่ยมหมวดมีบุตรจะต้องหยุดงานเยี่ยมแล้วตั้งหลักฐานเป็นที่เป็นทาง. แต่สิ่งที่ยังความประหลาดใจมากคือมีการอนุโลมให้เราทำงานเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ต่อไป. ภายหลังการทูลอธิษฐานอย่างจริงจัง เราตอบรับโอกาสที่เปิดให้ และตลอดช่วงเจ็ดเดือนจากนั้น ไม่ว่าเราเดินทางโดยรถประจำทาง, เครื่องบิน, และรถไฟ คิมจะไปกับเราทุกครั้ง รวมระยะทาง 13,000 กิโลเมตรระหว่างที่เราเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ทั้งในควีนส์แลนด์และนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี. เวลานั้นเราไม่มีรถส่วนตัว.
ทุกแห่งที่เราไป เราเข้าพักค้างคืนในบ้านพวกพี่น้องชายหญิง. เนื่องจากสภาพอากาศร้อน ห้องนอนสมัยนั้นนิยมใช้ผ้าม่านกั้นแทนประตู ซึ่งเพิ่มความเครียดของเราเมื่อคิมร้องไห้ในตอนกลางคืน. ในที่สุด การที่ต้องดูแลทารกและทำงานที่รับมอบหมายด้วยปรากฏว่ายากเกินไป. ดังนั้น เราปักหลักในบริสเบน และผมเริ่มงานเขียนป้ายโฆษณา. เมื่อคิมอายุสองขวบ เราได้ลูกสาวอีกคนหนึ่งชื่อเพทินา.
รับมือเหตุการณ์เศร้าสลด
ปี 1972 เมื่อลูกสาวอายุ 12 ขวบ และ 10 ขวบ จูดีเสียชีวิตด้วยโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรัง. ครอบครัวของเราแทบจะรับการสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้. แต่กระนั้น ในช่วงที่จูดีป่วยและหลังการเสียชีวิตของเธอ พระยะโฮวาทรงปลอบโยนเราโดยทางพระคำ, ทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์, และทางพวกพี่น้อง. นอกจากนั้น เราได้รับกำลังใจจากวารสารหอสังเกตการณ์ ซึ่งมาถึงเราทันเวลาหลังเหตุเศร้าสลด. บทความในฉบับนั้นพูดถึงความทุกข์ลำบากที่เกิดขึ้นเฉพาะตัว รวมถึงความโศกเศร้าอาลัยคนที่จากไป ทั้งชี้ให้เห็นอีกว่าความทุกข์ลำบากสามารถช่วยเราให้พัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ เยี่ยงพระเจ้า เป็นต้นว่า ความเพียรอดทน, ความเชื่อ, และความซื่อสัตย์มั่นคง.b—ยาโกโบ 1:2-4.
หลังการเสียชีวิตของจูดี ผมกับลูกสาวยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น. แต่ผมต้องยอมรับว่าการทำหน้าที่พ่อและแม่ในเวลาเดียวกันนั้นยากจริง ๆ. แต่ลูกสาวที่แสนดีทั้งสองคนก็ได้ช่วยให้ภาระหนักนี้เบาลง.
แต่งงานใหม่และครอบครัวขยายใหญ่ขึ้น
ต่อมา ผมแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง. ผมกับแมรีภรรยาคนใหม่มีหลาย ๆ อย่างเหมือนกัน. สามีแมรีเสียชีวิตด้วยโรคต่อมน้ำเหลืองอักเสบเรื้อรังเช่นกัน. อีกอย่างหนึ่ง เธอมีลูกสาวสองคนชื่อคอลลีนและเจนนิเฟอร์. คอลลีนอายุน้อยกว่าเพทินาสามปี. ดังนั้น ครอบครัวของเราตอนนี้มีเด็กผู้หญิงสี่คน อายุ 14, 12, 9, และ 7.
ผมกับแมรีตกลงกันว่าในตอนแรกเราต่างคนจะอบรมตีสอนลูกของตัวเองไปก่อนจนกว่าเด็ก ๆ รู้สึกสบายใจพร้อมจะยอมรับคำแนะนำจากพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยง. ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนฐานะสามีภรรยา ผมกับแมรีวางกติกาหลัก ๆ ไว้สองข้อ. ข้อแรก เราจะไม่แสดงความขัดแย้งกันเมื่ออยู่ต่อหน้าลูก และข้อสองเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิลที่บันทึกในเอเฟโซ 4:26 เราจะหารือกันจนกว่าได้จัดการปัญหาให้เป็นที่เรียบร้อย แม้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงก็ตาม!
ทุกคนปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตได้ดีอย่างน่าทึ่งในฐานะครอบครัวที่มีทั้งพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง แต่ความทรงจำของเราในเรื่องความสูญเสียนั้นไม่ได้เลือนหายไปทันที. ยกตัวอย่าง คืนวันจันทร์เป็น “คืนร้องไห้” สำหรับแมรี. หลังการศึกษาประจำครอบครัว เมื่อเด็ก ๆ เข้านอนกันแล้ว บ่อยครั้ง แมรีจะพรั่งพรูอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ภายในออกมา.
แมรีอยากได้ลูกอีกคนหนึ่ง ลูกแท้ ๆ ของเรา. น่าเศร้า เธอได้แท้งลูก. เมื่อแมรีตั้งครรภ์อีก คราวนี้เราจะเจอสิ่งที่น่าตื่นใจซึ่งรออยู่. ผลจากการตรวจด้วยอัลตราซาวนด์ ปรากฏว่าแมรีไม่ได้ตั้งครรภ์ลูกหนึ่งคน แต่สี่คน! ผมตกตะลึง ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นได้. ตอนนี้ผมอายุ 47 ปี และอีกไม่นานก็จะเป็นพ่อของลูกแปดคน! แฝดสี่คนอยู่ในครรภ์ 32 สัปดาห์ คลอดโดยการผ่าตัดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1982. ลูกคลอดตามลำดับดังนี้: คลินต์ หนัก 1.6 กก.; ซินดี หนัก 1.9 กก.; เจเรมี หนัก 1.4 กก.; และแดเนตต์ หนัก 1.7 กก. แต่ละคนไม่ละม้ายคล้ายกันเลย.
ไม่นานหลังจากทารกถือกำเนิด แพทย์ผู้ทำคลอดให้แมรีก็เข้ามานั่งข้าง ๆ ผม.
เขาถามว่า “คุณกังวลเรื่องการดูแลลูก ๆ หรือ?”
ผมตอบ “น่าจะอย่างนั้น ผมไม่เคยประสบสภาพการณ์เช่นนี้มาก่อน.”
คำพูดต่อมาของหมอทำให้ผมตะลึงงันและมีกำลังใจมากทีเดียว.
หมอบอกว่า “ประชาคมของคุณจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง. แค่จามเท่านั้น ก็จะมีคนยื่นกระดาษทิชชูให้คุณเป็นพัน!”
เนื่องด้วยความชำนิชำนาญของสูติแพทย์และทีมงานที่เก่ง ทารกสี่คนแข็งแรงดีพอสมควร ภายในสองเดือนก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้.
ข้อท้าทายในการเลี้ยงลูกแฝดสี่คน
เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมกับแมรีจึงทำรายการกำหนดเวลาสำหรับ 24 ชั่วโมง. พี่คนโตสี่คนมีหน้าที่ช่วยเลี้ยงน้องเล็ก ๆ. และคำพูดของหมอปรากฏว่าเป็นความจริง—แม้แต่ความจำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ประชาคมก็พร้อมให้ความช่วยเหลือเรา. ก่อนหน้านี้ จอห์น แมกอาเทอร์เพื่อนเก่าได้ช่วยจัดหาเพื่อนพยานฯ ที่เป็นพ่อค้าให้มาต่อเติมบ้านของเรา. ตอนที่ทารกมาถึงบ้าน พี่น้องหญิงก็จัดทีมงานมาช่วยเลี้ยง. ความกรุณาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความรักแบบคริสเตียนในภาคปฏิบัติ.—1 โยฮัน 3:18.
ในแง่หนึ่ง แฝดสี่คนเป็น “ทารกของประชาคม” เสียแล้ว. จวบจนถึงวันนี้ แฝดสี่เหล่านี้ถือว่าพี่น้องชายหญิงผู้เปี่ยมด้วยความรักที่ให้การอนุเคราะห์พวกเราเป็นครอบครัวของเขา. ส่วนแมรี เธอเป็นภรรยาและมารดาที่โดดเด่นจริง ๆ เธอทำเพื่อลูก ๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก. เธอปฏิบัติตามสิ่งที่เรียนรู้จากพระคำและองค์การของพระเจ้าอย่างแท้จริง. ไม่มีคำแนะนำอะไรดีไปกว่านี้!—บทเพลงสรรเสริญ 1:2, 3; มัดธาย 24:45.
การประชุมคริสเตียนและการประกาศเผยแพร่ยังคงเป็นกิจวัตรสำคัญของเราประจำสัปดาห์ ถึงแม้ต้องใช้ความอุตสาหะในการดูแลแฝดสี่. พระพรที่เราได้รับระหว่างนั้นคือมีสามีภรรยาสองคู่ได้แสดงน้ำใจด้วยการมาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่บ้านของเรา. แม้ว่าวิธีนี้ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับเรา แต่ระหว่างศึกษา บางครั้งแมรีถึงกับผล็อยหลับเพราะความอ่อนเพลีย ขณะที่แขนยังโอบลูกน้อยที่หลับอยู่. ต่อมา สามีภรรยาสองคู่นั้นก็กลายมาเป็นพี่น้องฝ่ายวิญญาณของเรา.
การฝึกอบรมฝ่ายวิญญาณตั้งแต่ปฐมวัย
แม้แต่ก่อนลูกเล็ก ๆ จะเดินได้ด้วยซ้ำ ผมกับแมรีและพวกพี่ ๆ จะพาพวกเขาออกไปในงานประกาศ. ในระหว่างที่ลูกหัดเดินเตาะแตะ ผมและแมรีต่างคนต่างจูงลูกสองคน และพวกเขาไม่ได้เป็นภาระหนัก. ที่จริง บ่อยครั้งเด็ก ๆ เป็นจุดเริ่มให้เราได้สนทนากับเจ้าของบ้านที่เป็นมิตร. วันหนึ่งผมพบชายคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าถ้าวันเกิดของคนเราตกในช่วงจักรราศีใด บุคลิกลักษณะก็จะเป็นไปตามรูปแบบนั้น. ผมไม่โต้แย้งเขา แต่ถามว่าจะสะดวกไหมถ้าจะแวะมาหาอีกในเช้าวันนั้น. เขาตกลง แล้วผมก็กลับไปอีกพร้อมแฝดทั้งสี่. ขณะที่เขาเพ่งตาดูด้วยความประหลาดใจ ผมจัดให้ลูกยืนเรียงแถวตามลำดับใครเกิดก่อนเกิดหลัง. แล้วเราก็พูดคุยกันฉันเพื่อน ไม่เฉพาะความต่างกันทางกายภาพที่เห็นได้ชัด แต่ความต่างทางบุคลิกภาพด้วย ซึ่งแสดงว่าทฤษฎีของเขาใช้ไม่ได้. เขาพูดว่า “มันเหมือนเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะที่ผมอ้างทฤษฎีนี้กับคุณ ผมจะต้องค้นคว้ามากขึ้นจริงไหมครับ?”
ขณะที่เพิ่งหัดเดิน แฝดสี่คนไม่พอใจที่เราตีสอนเขาพร้อมกันเมื่อทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร ดังนั้นเราจึงต้องว่ากล่าวแก้ไขแต่ละคนเป็นส่วนตัว. ถึงกระนั้น เขาก็ได้เรียนรู้ว่ากฎอันเดียวกันใช้ได้กับทุกคน. ที่โรงเรียน เมื่อเผชิญประเด็นเรื่องสติรู้สึกผิดชอบ พวกเขายังคงยึดมั่นกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิล และช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ซินดีกลายเป็นปากเสียงแทนพี่และน้อง ๆ. ไม่นานผู้คนก็ได้เรียนรู้ว่าแฝดสี่ผนึกพลังกันอย่างเหนียวแน่นสักเพียงไร!
ผมกับแมรีมักจะเจอข้อท้าทายในการช่วยลูกรักษาความภักดีต่อพระยะโฮวาขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น. เราสามารถพูดได้แต่เพียงว่าหน้าที่การงานของเราจะหนักกว่านี้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนของประชาคมที่มีความรักและอาหารฝ่ายวิญญาณอย่างอุดมบริบูรณ์จากองค์การของพระยะโฮวาในส่วนที่เห็นประจักษ์แก่ตา. เราบากบั่นพยายามให้มีการศึกษาพระคัมภีร์ในครอบครัวเป็นประจำ และเปิดโอกาสให้สื่อความกันได้เสมอ ถึงแม้การทำอย่างนี้ไม่ง่ายเสียทีเดียว. กระนั้น ความพยายามมีผลคุ้มค่า เพราะลูกทั้งแปดคนของเราเลือกที่จะปฏิบัติพระยะโฮวา.
รับมือขณะย่างเข้าสู่วัยชรา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมได้รับสิทธิพิเศษให้ทำหน้าที่มอบหมายหลายอย่างร่วมกับประชาคม เช่น ผู้ปกครองในประชาคม, ผู้ดูแลนคร, และผู้ทำหน้าที่แทนผู้ดูแลหมวด. ผมทำหน้าที่ฐานะสมาชิกคณะกรรมการประสานงานกับโรงพยาบาลด้วย งานด้านนี้คือที่จะช่วยแพทย์ร่วมมือกับคนไข้พยานฯ เมื่อเกิดปัญหาในเรื่องการเติมเลือด. เป็นเวลา 34 ปีที่ผมได้รับเกียรติเป็นผู้จดทะเบียนให้แก่คู่สมรส. ผมได้จัดงานแต่งงานถึง 350 ราย รวมทั้งงานแต่งงานของลูกสาวหกคนของผมด้วย.
ผมขอบคุณพระยะโฮวาเสมอที่ผมได้รับการเกื้อหนุนอย่างภักดี แรกทีเดียวจากจูดีและตอนนี้จากแมรี. (สุภาษิต 31:10, 30) ภรรยาทั้งสองให้การสนับสนุนผมระหว่างที่ทำงานฐานะผู้ปกครองในประชาคม และยังได้วางตัวอย่างที่ดีในงานรับใช้และปลูกฝังคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณไว้ในตัวลูก ๆ ด้วย.
ปี 1996 ผมได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการผิดปกติทางสมองซึ่งแสดงอาการมือสั่นและร่างกายเสียสมดุล. ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่สามารถเขียนป้ายอีกต่อไป. อย่างไรก็ดี ผมก็ยังคงความชื่นชมยินดีอยู่เสมอในงานรับใช้พระยะโฮวา แม้จะเชื่องช้าไปบ้าง. ว่ากันในแง่ดี ผมได้พัฒนาความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นต่อผู้สูงอายุคนอื่น ๆ.
เมื่อผมทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ผมขอบพระคุณพระยะโฮวาเพราะพระองค์อยู่พร้อมตลอดเวลาที่จะช่วยผมและครอบครัวให้สามารถรับมือกับข้อท้าทายหลายอย่างด้วยความยินดี. (ยะซายา 41:10) ผมกับแมรี พร้อมทั้งลูกของเราแปดคนรู้สึกขอบคุณด้วยเช่นกันต่อพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณในประชาคม ซึ่งเป็นครอบครัวที่ยอดเยี่ยม เกื้อหนุนพวกเรา. ทุกคนต่างก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความรักของเขาในหลาย ๆ ทางเกินกว่าที่เราจะพรรณนาได้.—โยฮัน 13:34, 35.
[เชิงอรรถ]
a จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่เวลานี้งดพิมพ์แล้ว.
b ดูเดอะ ว็อชเทาเวอร์ ฉบับ 15 มีนาคม 1972 หน้า 174-180.
[ภาพหน้า 12]
กับแม่, การ์ตพี่ชาย, และดอนพี่สาว เตรียมพร้อมจะเดินทางไปร่วมการประชุมใหญ่ปี 1941 ในนครซิดนีย์
[ภาพหน้า 13]
กับจูดีและคิม ช่วงที่ผมทำงานเยี่ยมหมวดในรัฐควีนส์แลนด์
[ภาพหน้า 15]
หลังจากแฝดทั้งสี่ถือกำเนิด ลูกสาวสี่คนของเราและประชาคมพร้อมให้ความช่วยเหลือ