“ลูกค้าถูกเสมอ”
เล่าโดย เหว่ย ชุง ฉิ่น
สามีเคยบอกฉันว่าอย่าใส่ใจกับ “พวกเคร่งศาสนาที่มา กดกระดิ่งที่ประตูบ้าน.” ดังนั้น เมื่อพยานพระยะโฮวา มาที่ประตูบ้าน ฉันจะบอกว่าเราไม่สนใจ. แต่สามีก็บอก ด้วยว่า “ลูกค้าถูกเสมอ” ดังนั้น เมื่อพยานฯ คนหนึ่งมาที่ ภัตตาคารมังกรแดงของเราและต้องการบอกฉันเกี่ยวกับ ศาสนาของเธอ ฉันคิดว่าฉันต้องรับฟัง.
ถ่อง วาย. สามีฉันเป็นเจ้าของภัตตาคารมังกรแดงขายอาหารจีนบนถนนเซนต์แคลร์ ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ. หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ที่นั่นเองเขาสอนฉันด้วยคติที่ว่า “ลูกค้าถูกเสมอ.”
ที. วาย. มาอเมริกาเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก. หลังจากเรียนจบในปี 1927 เขาไปทำงานในภัตตาคารแห่งหนึ่งย่านไทมส์ สแควร์ ในนครนิวยอร์ก. เขาสังเกตดูผู้คนนั่งกินอาหารกลางวันตรงเคาน์เตอร์ในร้านของชำที่ขายยาด้วย ซึ่งมีเนื้อที่ประกอบอาหารจำกัด. ดังนั้น เขาได้ความคิดจะขายเชาเมน (หมี่ผัด) ร้อน ๆ.
ไม่นานหลังจากนั้น ร้านอาหารขนาดเล็กที่เขาเปิดในเขตกรีนิช วิลเลจ ก็ดำเนินธุรกิจที่รุ่งเรือง. ปี 1932 เขาย้ายกิจการไปคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ และเปิดภัตตาคารมังกรแดงซึ่งจุได้ถึง 200 ที่. หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในคลีฟแลนด์ลงข่าวในเดือนกันยายน 1932 ว่า “โดยการรุกเข้าเขตทะเลสาบเกรตเลก หลังจากทุ่มเททำอาหารถูกปากคนกินนับล้านทั่วภาคตะวันออกมาแล้ว ถ่อง วาย. ฉิ่น ได้เปิดสาขาแรกในภาคตะวันตกตอนกลางที่คลีฟแลนด์ นั่นคือธุรกิจการทำหมี่สด ซึ่งเขาปรับปรุงพัฒนาในเวลาห้าปีจนกลายเป็นธุรกิจทำเงินล้านดอลลาร์ต่อปี.”
ก่อนจะชี้แจงว่า ที. วาย. กับฉันมาพบกันได้อย่างไร ฉันขอเล่าเรื่องชีวิตที่เติบโตขึ้นมาในเมืองจีน ซึ่งมีส่วนนวดปั้นชีวิตของฉันไม่น้อย.
ภูมิหลังที่ยากจน
สิ่งที่ฉันจำได้ในวัยเด็กก็คือการเฝ้าดูแม่ออกจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเราบนแผ่นดินใหญ่ของจีนไปเสาะหาอาหาร. พ่อแม่ของฉันยากจนมากถึงกับต้องยกลูกบางคนให้คนอื่นเลี้ยง. วันหนึ่ง ตอนที่ฉันอายุแค่สองหรือสามขวบ พ่อกลับมาถึงบ้านด้วยแววตาที่ส่ออะไรบางอย่าง. ฉันคิดว่า ‘คงเป็นข่าวร้ายสำหรับฉัน.’
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ แม่ก็จูงมือฉัน และเราเดินไปตามคันนาแคบ ๆ และเฉอะแฉะ ซึ่งต้องระมัดระวังเพื่อจะไม่ไถลลื่นตกน้ำ. เราแวะไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งที่นั่นแม่พูดกับเด็กหญิงใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วอีกบ้านหนึ่งแม่ได้พูดกับเด็กสาวท่าทางเคร่งขรึม ไม่ยิ้มแย้ม. ฉันจำไม่ได้ว่าเคยเห็นหน้าเด็กผู้หญิงสองคนนี้มาก่อน. เขาเป็นพี่สาวของฉันเอง. ขณะที่เขาทั้งสองร่ำลาฉัน ฉันสังหรณ์ว่าเราจะไม่มีวันเจอกันอีก.
ขณะที่เราเดิน แม่คุยกับฉันไปเรื่อย ๆ เล่าเรื่องของแม่เองบ้าง เรื่องพ่อบ้าง และเรื่องพี่ชายพี่สาวของฉัน. ฉันยังจำได้ถึงแววตาของแม่ที่แสดงความกรุณาแม้ดูเศร้าหมอง. เมื่อเราไปถึงที่หมายปลายทาง ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล. บ้านดูทึม ๆ. นี่คือบ้านใหม่ของฉัน. ฉันไม่อยากงีบ แต่แม่และพ่อแม่ที่รับอุปการะบอกให้ฉันหลับสักงีบหนึ่ง. ไม่ช้าฉันก็ผล็อยหลับและเมื่อฉันตื่นขึ้น แม่ไปเสียแล้ว. ฉันไม่เคยพบแม่อีกเลย.
วัยเด็กที่แสนเศร้า
แม้ว่าตอนนี้มีอาหารพอกิน แต่ความรักมีน้อยและน้ำตาหลั่งท่วมหัวใจของฉัน. ฉันตื่นขึ้นมาร้องไห้ทุกเช้า. ฉันคิดถึงแม่และพี่ชายคนที่อยู่กับแม่. ฉันคิดฆ่าตัวตายบ่อย ๆ. ครั้นฉันโตพอ ฉันอยากเข้าโรงเรียน แต่พ่อแม่บุญธรรมกักตัวฉันไว้ทำงานที่บ้าน.
เมื่อฉันอายุได้เก้าขวบ เราย้ายไปอยู่ไกลถึงเซี่ยงไฮ้. พ่อแม่บุญธรรมบอกฉันว่า “ตอนนี้เธอโตพอที่จะไปจ่ายตลาดและทำกับข้าวได้แล้ว.” ฉะนั้น หน้าที่เหล่านี้จึงเพิ่มเข้ากับงานปลีกย่อยประจำวันในบ้าน. พ่อแม่บุญธรรมให้เงินฉันพอซื้ออาหารสำหรับสามมื้อเป็นวัน ๆ ไป. ระหว่างทางไปตลาด ฉันเดินผ่านพวกขอทานและรู้สึกเวทนาเพราะพวกเขาหิวโหย. ดังนั้น ฉันจึงเจียดเศษสตางค์หนึ่งหรือสองเหรียญให้คนขอทาน และยังมีพอซื้ออาหารตามที่ฉันต้องการ.
ฉันอยากเข้าโรงเรียนและเรียนหนังสือเหลือเกิน! พ่อแม่บุญธรรมให้สัญญาว่า “ภายในหกเดือนนี้แหละเราจะลงทะเบียนเรียนให้เธอ.” หกเดือนผ่านไป เขาบอกฉันว่า “นับแต่นี้ไปอีกหกเดือน.” ในไม่ช้าฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่มีวันได้เข้าโรงเรียนแน่ ๆ. หัวใจฉันแหลกลาญ. ฉันเริ่มเกลียดทุกคนในบ้าน. บ่อยครั้ง ฉันขังตัวเองในห้องน้ำและอธิษฐาน. แม้เรานับถือและศรัทธาพระต่าง ๆ มากมาย ถึงอย่างไรฉันก็รู้ว่ามีพระเจ้าองค์ใหญ่ยิ่ง ทรงฤทธิ์อำนาจมากกว่าองค์อื่น ๆ ทั้งสิ้น. ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระองค์ดังนี้: “ทำไมจึงมีความเจ็บปวดและความเศร้าโศกมากมายเหลือเกิน?” ฉันเฝ้าอธิษฐานอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี.
การสมรสเปลี่ยนชีวิตของฉัน
ในเมืองจีนสมัยนั้น ถือเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่, ญาติ, และเพื่อนเป็นฝ่ายจัดการให้ลูกหลานได้แต่งงาน. เพื่อนคนหนึ่งของ ที. วาย. ที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน หลังจากกลับประเทศจีนแล้วได้เขียนจดหมายถึงเขาว่า “คุณอายุเลย 30 แล้วและยังไม่แต่งงาน.” และเขาได้เอ่ยถึงฉันแถมบอกว่า “สาวเจ้าคนนี้อายุ 18 ปี หน้าตาน่ารัก อุปนิสัยก็ไม่แพ้กัน. . . . ถ่อง วาย. ฉิ่น ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะพิจารณาโอกาสนี้อย่างจริงจัง.” เพื่อนของเขาได้แนบรูปถ่ายไปด้วย.
ที. วาย. เขียนถึงพ่อแม่บุญธรรมของฉันว่า “ผมเห็นรูปถ่ายลูกสาวของคุณ ซึ่งได้รับคำยืนยันว่าเป็นคนมีความประพฤติดีงาม. ผมยินดีจะแต่งงานกับเธอ หากหลังจากที่เราได้เจอหน้ากันและรู้จักกันสักระยะหนึ่งแล้วเราพบว่าความรักเบ่งบานในหัวใจของเรา.” ที. วาย. มาเซี่ยงไฮ้ และเราได้พบกัน. ถึงแม้ฉันคิดว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากไปสำหรับฉัน แต่ฉันก็ตัดสินใจว่าอย่างน้อยการแต่งงานคงจะทำให้ฉันมีทางออกไปพ้นบ้านนี้เสียที. ดังนั้น เราแต่งงานในปี 1935 และไม่รอช้า เราเดินทางไปอเมริกาโดยทางเรือ. นี่คือเรื่องราวของฉันว่าได้มาอยู่ที่คลีฟแลนด์อย่างไร.
ปัญหารุมเร้าทั้ง ๆ ที่ร่ำรวย
เริ่มต้นด้วยปัญหาด้านการสื่อความกับสามี. เขาพูดภาษากวางตุ้ง ส่วนฉันพูดภาษาเซี่ยงไฮ้. มันเหมือนกับว่าเราพูดสองภาษาต่างกัน. นอกจากนั้นฉันต้องเรียนภาษาอังกฤษและขนบธรรมเนียมใหม่ ๆ ด้วย. และงานใหม่ของฉันนะหรือ? ฉันจะต้องเป็นพนักงานที่พราวเสน่ห์และมีมารยาทงามคอยต้อนรับแขกในภัตตาคาร พยายามเอาใจลูกค้าเสมอ. ใช่สิ ฉันต้องจำไว้ว่า “ลูกค้าถูกเสมอ.”
วันหนึ่ง ๆ ฉันทำงานอย่างทรหดกับสามีสิบหกชั่วโมงหรือมากกว่านั้น และส่วนใหญ่เป็นเวลาที่ฉันมีครรภ์. กลอเรียลูกสาวคนแรกของเราเกิดปี 1936. ระยะเก้าปีหลังจากนั้นฉันได้ให้กำเนิดลูกอีกหกคน—ชายสามหญิงสาม ลูกคนหนึ่งตายเมื่ออายุเพียงหนึ่งขวบ.
ระหว่างนั้น ที. วาย. ได้เริ่มทำธุรกิจภัตตาคารและไนต์คลับหลายแห่ง. นักร้องนักแสดงบางคนที่เริ่มจับงานอาชีพนี้ซึ่งแสดงในสถานที่ดังกล่าว อาทิ เคย์ ลุก, แจ็ก ซู, และเคย์ บอลลาร์ด กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ. อนึ่ง อาหารจีนที่เราผลิตก็มีการวางตลาดอย่างกว้างขวางและมีชื่อเสียง.
มาถึงกลางทศวรรษปี 1930 ที. วาย. เป็นที่รู้จักฐานะ ราชาเชาเมน. เขาได้เป็นนายกสมาคมพ่อค้าจีน และเป็นปาฐกบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศจีนด้วย. ฉันพลอยเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานการกุศล, งานสังคม, งานช่วยเหลือประชาชน, และกิจกรรมในชุมชน. การปรากฏตัวในที่สาธารณะและการร่วมขบวนแห่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน. ภาพและชื่อของเราปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ในเมืองคลีฟแลนด์จนชินตา; ทุกอย่างที่เราพูดหรือกระทำดูเหมือนว่าต้องเป็นข่าว—ตั้งแต่ธุรกิจซึ่งต้องเสี่ยงไปจนถึงเรื่องการพักตากอากาศ และกระทั่งขนาดรองเท้าของฉันด้วยซ้ำ!
ในปี 1941 เมื่อฝูงบินญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ สหรัฐได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น. เนื่องจากเราเป็นชาวตะวันออก เราประสบกับการเดียดฉันท์. แม้แต่ก่อนเกิดสงครามด้วยซ้ำ เราได้รับจดหมายขู่เอาชีวิตในช่วงที่เราปลูกบ้านหลังใหญ่ในละแวกที่คนมีหน้ามีตาอยู่อาศัย. แต่บ้านหลังนั้นก็สร้างเสร็จเรียบร้อย และเราได้เลี้ยงดูลูกของเราในบ้านหลังนั้น.
ดังนั้น เป็นอันว่าฉันมีบ้านโอ่อ่าสวยงาม มีสามีที่น่านับถือ และมีครอบครัว มีทั้งเสื้อผ้าสวย ๆ และเครื่องเพชร. แต่ความสุขยังคงวิ่งหนีไปจากฉันอยู่เรื่อย ๆ. ทำไม? เหตุผลประการหนึ่งคือ เราให้เวลากับครอบครัวน้อยมาก. แม้ทุกเช้าฉันพยายามตื่นให้ทันเวลาลูก ๆ ไปโรงเรียนก็ตาม แต่เรามักทำงานกันอยู่ตอนที่ลูกเข้านอน. แม่บ้านเป็นคนเอาใจใส่ในเรื่องความจำเป็นประจำวันของพวกเขา.
เรานับถือศาสนาพุทธ แต่บรรดาเทพเจ้าในศาสนาของเราไม่ได้ให้การปลอบประโลมเลย. ที. วาย. กับลูกชายคนโตจะพากันเดินจุดเทียนทั่วทั้งบ้านแล้วนำอาหารไปเซ่นเจ้า. แต่เจ้าไม่เคยแตะต้องอาหารนั้นเลย ดังนั้น ในเวลาต่อมาพวกเด็ก ๆ จะกินของที่ตั้งไว้อย่างเอร็ดอร่อย.
ในที่สุด เนื่องด้วยความเหนื่อยล้าและเห็นว่าหมดหนทาง ฉันจึงหาเหตุผลว่าครอบครัวคงอยู่กันอย่างผาสุกมากกว่านี้ถ้าไม่มีฉันเสียคนหนึ่ง. ฉันป่วยเป็นโรคประสาทอย่างรุนแรงและถึงกับพยายามฆ่าตัวตาย. ดีที่ฉันถูกนำส่งโรงพยาบาลทันท่วงทีและหายป่วยเป็นปกติ.
คำตอบสำหรับคำอธิษฐานของฉัน
หลังจากนั้น คือในปี 1950 สตรีคนหนึ่งซึ่งมีผมขาวสวยได้เข้ามาในภัตตาคารกับสามีของเธอ. ขณะที่ฉันต้อนรับเขาทั้งสองและทำให้แน่ใจว่าเขามีที่นั่งที่สะดวกสบาย สตรีผู้นั้นได้พูดกับฉันเรื่องพระเจ้า. ฉันไม่สนใจ. พยานพระยะโฮวาเคยไปที่บ้านและพยายามจะคุยกับฉัน แต่ฉันจะบอกปัดทันทีทุกครั้ง. อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ที่ภัตตาคารย่อมต่างออกไป—“ลูกค้าถูกเสมอ!”
เฮเลน วินเทอรส์ สตรีคนนี้ถามฉันว่าเชื่อถือคัมภีร์ไบเบิลหรือเปล่า. ฉันตอบไปว่า “คัมภีร์เล่มไหนล่ะ? มีมากมายเหลือเกิน!” ทุกครั้งที่เธอกลับมา ฉันจะนึกในใจว่า ‘คนน่ารำคาญมาอีกแล้ว!’ ทว่าเธอเป็นคนใจดีและไม่ละความพยายาม. และสิ่งที่เธอพูดเรื่องแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน ซึ่งจะไม่มีความเจ็บปวดหรือความทุกข์ใด ๆ อีกเลยนั้น ฟังดูแล้วน่าสนใจจริง ๆ.—2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 21:3, 4.
คราวหนึ่งที่เธอมา เธอได้ให้ใบเชิญเข้าร่วมประชุม ณ หอประชุมราชอาณาจักรและชี้ไปที่ข้อความสั้น ๆ ด้านหลังใบเชิญซึ่งพูดถึงพระพรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า. ฉันจำได้เมื่อหยิบขึ้นมาดูภายหลังและคิดว่า ‘ถ้าเรื่องนี้เป็นจริงได้ก็คงจะดี!’ เธอเสนอการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับฉันที่บ้าน และในที่สุดฉันตกลงศึกษา.
แต่ละสัปดาห์เรานั่งล้อมโต๊ะศึกษาด้วยกัน ซึ่งก็มีเฮเลนกับตัวฉัน และลูกทั้งหกคน ซึ่งในตอนนั้นมีอายุไล่เลี่ยกันตั้งแต่ 5 ถึง 14 ปี. บ่อยครั้งฉันรู้สึกเห็นใจเธอเพราะบางครั้งเด็ก ๆ ดูเหมือนกับว่าจะหมดความสนใจ. ปี 1951 เราเริ่มเข้าร่วมการประชุมที่หอประชุมราชอาณาจักร. ไม่นานนักฉันจึงตระหนักว่าสิ่งที่ฉันเรียนรู้นั้นเป็นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของฉัน. ดังนั้น ฉันได้ตัดสินใจว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างแท้จริงที่จะต้องฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้ดี ซึ่งเป็นการท้าทายที่ยากยิ่งสำหรับฉัน.
ประสบความสุขแท้
จากนั้นไม่นานฉันเริ่มก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านความรู้ และจึงได้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาพระเจ้า. ครั้นวันที่ 13 ตุลาคม 1951 ณ การประชุมใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ฉันรับบัพติสมาพร้อมกับลูกคนโตและคนรองคือ กลอเรียและทอม. ชีวิตของฉันเริ่มมีความหมายเป็นครั้งแรก. นั่นเป็นการเริ่มช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดของฉัน.
ฉันปฏิบัติรับใช้มนุษย์ด้วยกันมาตลอดชีวิต แต่คราวนี้ฉันปลงใจแล้วว่าก่อนอื่นจะขอรับใช้พระผู้สร้างของเรา! ฉันเริ่มเข้าส่วนร่วมในการบอกข่าวราชอาณาจักรแก่ทุกคนที่รับฟัง. นอกจากนั้น ฉันพยายามโน้มนำลูก ๆ ให้คิดถึงความจำเป็นที่พึงเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน และความสำคัญของการบอกให้ผู้อื่นรู้เรื่องราวอันดีวิเศษจากพระคำของพระเจ้า.
ปี 1953 เราเริ่มมีการศึกษาหนังสือประจำประชาคมที่บ้าน. เกือบ 45 ปีต่อมา การศึกษาหนังสือประจำประชาคมก็ยังคงมีที่บ้านเช่นเคย. นับว่าเป็นการสนับสนุนฝ่ายวิญญาณอย่างมากมายแก่ครอบครัวของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา.
การรักษาความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและยังต้องดำเนินธุรกิจภัตตาคารของเราเป็นการท้าทายจริง ๆ. อย่างไรก็ตาม ฉันสามารถนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับหลายคน. คนเหล่านี้บางคนยอมรับความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแล้วต่อมารับใช้เป็นไพโอเนียร์ ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกผู้เผยแพร่เต็มเวลา. ช่วงทศวรรษปี 1950 ลูกสี่คนเล็กของเราได้อุทิศชีวิตของเขาแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมา. ที. วาย. ไม่สนใจคัมภีร์ไบเบิล ถึงกระนั้นเขาจะขับรถรับส่งเราที่หอประชุม. เราตกลงกันว่าจะไม่พูดเหมือนเป็นการเทศน์ให้พ่อฟัง แต่ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน เราจะคุยกันเองคนละจุดสองจุดที่เราได้จากการประชุม.
สมัยนั้น ที. วาย. ต้องเดินทางบ่อย ๆ ไปทำธุรกิจตามเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐ. ฉันได้โทรศัพท์ไปที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ในบรุกลิน นิวยอร์ก และได้เล่าสภาพการณ์ของเรา. แกรนต์ ซูตเทอร์ ตอนนั้นเป็นเลขาธิการและเหรัญญิกของสมาคมฯ ได้เชิญพวกเราไปเยี่ยมชมอาคารต่าง ๆ ในช่วงที่เราอยู่ในนิวยอร์ก. ที.วาย. รู้สึกประทับใจมาก โดยเฉพาะในด้านความสะอาดของห้องครัว ซึ่งสมัยนั้นมีการเตรียมอาหารเลี้ยงประมาณ 500 คน.
ระหว่างการเยี่ยมชมสำนักงาน เราได้รู้จัก รัสเซลล์ เคอร์เซน ซึ่งภายหลังเขาได้ส่งคัมภีร์ไบเบิลทางไปรษณีย์ให้ ที.วาย. ซึ่งเขาก็ได้อ่านทุกคืนจนจบ. ต่อมา ณ การประชุมนานาชาติของพยานพระยะโฮวาในนครนิวยอร์กในปี 1958 สามีของฉันก็รับบัพติสมา! โดยไม่รู้มาก่อน พวกเราประหลาดใจมากเมื่อลูกชายคนโตของเราซึ่งเวลานั้นเป็นสมาชิกครอบครัวเบเธลที่สำนักงานใหญ่ มีส่วนสั้น ๆ ในระเบียบวาระครั้งนั้น.
ซื่อสัตย์จนกระทั่งสิ้นชีวิต
ที. วาย. กับฉันมักออกไปประกาศเผยแพร่ตามบ้านด้วยกัน. เมื่อสายตาของเขาเริ่มเสื่อม เราจึงมีส่วนให้คำพยานตามถนนเป็นประจำ. หนังสือพิมพ์เดอะ คลีฟแลนด์ เพรสพาดหัวข่าวว่า “เปลี่ยนศาสนาที่ภัตตาคารมังกรแดง” พร้อมกับลงภาพขณะเรากำลังเสนอวารสารหอสังเกตการณ์และตื่นเถิด! แก่คนหนึ่งที่เดินผ่านมา. บทความนั้นเล่าว่าเราเข้ามาเป็นพยานฯ ได้อย่างไร. ประกอบกับเวลานั้นภัตตาคารมังกรแดงเปลี่ยนชื่อเป็นภัตตาคารฉิ่น.
ตลอดเวลาหลายปี ฉันกับสามีได้มีโอกาสรับรองพี่น้องคริสเตียนมากมายทั้งชายและหญิงจากทั่วโลกในฐานะแขกของภัตตาคาร. เราจดจำคำเตือนของบราเดอร์ เฟรด แฟรนซ์ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเวลานั้นเป็นนายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์. เมื่อท่านมาเยือนที่ร้าน ท่านกระตุ้นเตือนเราว่า “จงซื่อสัตย์ และยึดมั่นกับองค์การของพระยะโฮวา.”
ที. วาย. เป็นโรคเส้นเลือดสมองหลายหนตอนต้น ๆ ทศวรรษปี 1970 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 1975. หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลงข่าวมรณกรรมเสียยืดยาว พร้อมภาพตอนที่เขาเสนอวารสารหอสังเกตการณ์ในงานเผยแพร่. ชีวิตบั้นปลายที่เรามีร่วมกันนับว่าเป็นช่วงชีวิตที่ดีเยี่ยม. หลังจากดำเนินกิจการมานานกว่า 60 ปี ในที่สุดภัตตาคารฉิ่นก็ปิดกิจการในเดือนเมษายน 1995. สำหรับบางคน ดูเหมือนเป็นการจบสิ้นของยุคหนึ่ง.
ธำรงไว้ซึ่งเป้าหมายฝ่ายวิญญาณ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราอยากโอนกิจการของครอบครัวให้ลูกชายสามคนรับไปดำเนินต่อ. อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาดังกล่าวเปลี่ยนไป เราต้องการให้เขาเจริญรอยตามพระเยซูและเข้ามาเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา. เราได้ถามลูกแต่ละคนว่าเขาอยากเป็นไพโอเนียร์ในฮ่องกงหรือไม่เพื่อจะได้ช่วยชาวจีนคนอื่น ๆ ให้เรียนรู้สิ่งที่เราได้เรียนมาแล้ว. เราเสนอให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ลูก ๆ เพื่อจุดประสงค์นั้น. แม้ว่าตอนนั้นไม่มีลูกคนไหนพูดภาษาจีนได้คล่อง แต่วินิเฟรด, วิกตอเรีย, และริชาร์ดสมัครใจย้ายไปฮ่องกง.
วินิเฟรดลูกสาวของเราเป็นไพโอเนียร์ที่นั่นมากกว่า 34 ปีแล้ว! วิกตอเรียแต่งงานกับมาร์คัส กัม และท้ายที่สุดทั้งสองกลับมาอยู่ที่สหรัฐ. ทั้งสองได้อบรมเลี้ยงดูลูกสามคนคือ สเตฟานี และสเรอา ซึ่งทั้งสองคนนี้ทำงานเผยแพร่เต็มเวลาในเมืองคลีฟแลนด์ และซีมิอันพร้อมกับมอร์ฟิดด์ภรรยาของเขาทำงานรับใช้ที่ว็อชเทาเวอร์ฟาร์ม วอลล์คิลล์ นิวยอร์ก. เวลานี้วิกตอเรียกับมาร์คัสมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ คอยช่วยเหลือดูแลฉัน. มาร์คัสเป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธานในประชาคมโคเวนทรีในคลีฟแลนด์.
กลอเรีย ลูกสาวคนโตต้องนั่งเก้าอี้ล้อเพราะเธอล้มป่วยเป็นโรคโปลิโอในปี 1955. เธอกับเบนผู้เป็นสามีอยู่ที่เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอยังคงประกาศเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอที่นั่น. ส่วนทอมเป็นผู้รับใช้เต็มเวลามานานกว่า 22 ปี. ทอมพร้อมด้วยเอสเทอร์ภรรยา ปัจจุบันทำงานที่ศูนย์การศึกษาของว็อชเทาเวอร์ แพตเทอร์สัน นิวยอร์ก. ริชาร์ดกับเอมิภรรยาของเขากลับจากฮ่องกงมาปรนนิบัติดูแล ที. วาย. ก่อนเขาสิ้นชีวิต. เดี๋ยวนี้ทั้งสองคนทำงานรับใช้ที่แพตเทอร์สันเช่นกัน วอลเดนลูกคนสุดท้องได้ทำงานรับใช้เต็มเวลามานานกว่า 30 ปี. ตลอดช่วง 22 ปีหลังนี้ วอลเดนกับภรรยาของเขาแมรี ลู ได้รับใช้ประชาคมต่าง ๆ ในสหรัฐเกี่ยวเนื่องกับงานหมวดและภาค.
อย่าคิดว่าลูก ๆ ไม่เคยสร้างปัญหาใด ๆ ให้เรา. ลูกคนหนึ่งตอนเป็นวัยรุ่นได้หนีออกจากบ้านและนานถึงสามเดือนทีเดียวที่เราไม่ได้ข่าวคราวจากเขา. มีอยู่ช่วงหนึ่ง ลูกอีกคนให้ความสนใจกีฬามากกว่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ เขาเคยหนีการศึกษาครอบครัวประจำสัปดาห์เพื่อไปแข่งกีฬา. ถึงกับมีการเสนอให้เขารับทุนเรียนพลศึกษาเสียด้วยซ้ำ. เมื่อเขาตัดสินใจทำงานรับใช้เต็มเวลาแทนการรับทุนการศึกษาดังกล่าวจากมหาวิทยาลัย ฉันรู้สึกเหมือนกับยกภูเขาออกจากอกทีเดียว!
ดีใจที่ฉันได้รับฟัง
แม้ว่าลูกของฉันแยกย้ายกระจายกันอยู่ทั่วโลก แต่ฉันได้รับการชูใจที่รู้ว่าลูก ๆ ต่างก็ปฏิบัติพระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์. ตอนนี้ ฉันอายุ 81 ปีและโรคไขข้อและโรคภัยอื่น ๆ เป็นสาเหตุทำให้ฉันเชื่องช้าไปบ้าง แต่ใจแรงกล้าที่ฉันมีต่อพระยะโฮวาหาได้ย่อหย่อนลงไม่. ฉันพยายามดูแลตัวเองเพื่อว่าลูกจะได้ไม่ต้องออกจากงานรับใช้เต็มเวลามาปรนนิบัติดูแลฉัน.
ฉันจดจ่อคอยท่าอนาคตเมื่อจะได้เห็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริงทุกอย่าง และฉันจะได้พบคนที่ฉันรักซึ่งล่วงลับไปแล้ว รวมถึงสามีของฉัน พ่อแม่ผู้ให้กำเนิด และเฮเลน วินเทอรส์ ซึ่งได้นำการศึกษากับพวกเรา. (โยฮัน 5:28, 29; กิจการ 24:15) น่าดีใจเพียงใดที่ฉันรับฟังสุภาพสตรีผมขาวที่น่ารักคนนั้นกว่า 46 ปีมาแล้ว! จริง ลูกค้าคนนั้นเป็นฝ่ายถูก!
[รูปภาพหน้า 21]
เมื่อเราแต่งงาน
[รูปภาพหน้า 23]
ครอบครัวของเราในปี 1961. จากซ้ายไปขวา: วิกตอเรีย, เหว่ย, ริชาร์ด, วอลเดน, ทอม, ที. วาย., วินิเฟรด, และกลอเรียอยู่ข้างหน้า
[รูปภาพหน้า 24]
เหว่ย ฉิ่น ในปัจจุบัน